ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Fairy Tail] Fairy Hotter

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter I :: ชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่

    • อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 56




    Chapter I

    :: ชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ ::

               

     

     

    นัตสึยืนนิ่งอยู่ระหว่างชานชาลาที่เก้าและสิบ  เพื่อมองหาว่าไอ้ชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่อะไรนั่นอยู่ตรงไหน..

     

    ...แต่ไม่ว่าจะหาอย่างไรเขาก็มองหามันไม่เจอเลย  หรือบางทีเขาจะมาผิดสถานี.....ก็ไม่น่าใช่  เพราะเมื่อวานหลังจากที่กลับจากการไปซื้อของกับกิลดาร์ซที่ตรอกไดแอกอนอะไรนั่นแล้ว  กิลดาร์ซก็บอกให้เขาเก็บกระเป๋าสัมภาระและสิ่งของจำเป็นให้เรียบร้อย  แล้วพรุ่งนี้ให้ออกเดินทางไปยังสถานีรถไฟคิงส์ครอส  แล้วไปยังชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่..

     

    แต่ตอนนี้  เวลานี้  ไม่ว่าจะมองหายังไงก็หาไอ้ชานชาลานั่นไม่เจอเลยจริงๆ นะ !!!

     

    ..โว้ยยยย  กิลดาร์ซก็ไม่อยู่ด้วย  แล้วแบบนี้จะหาเจอได้ยังไงกันฟระ..

     

    ดูเหมือนตอนนี้นัตสึเริ่มที่จะเดือดขึ้นมาเสียแล้ว  ก็ยอมรับล่ะว่าเขาเป็นคนอารมณ์ดี  แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนอารมณ์ร้อนแรง(?)เช่นเดียวกันนะ !

     

     

    พลั่ก!

     

    ในขณะที่กำลังจะเดือดเป็นไฟ  นัตสึก็รู้สึกถึงแรงกระแทกที่แผ่นหลังของเขา  ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปมองด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจสุดๆ “อะไรฟระ!?

     

    “เอ่อ ขอโทษที  พอดีฉันกำลังรีบ” ใครคนนั้นตอบกลับมา..

     

    ..เธอคือหญิงสาวที่มีเรือนผมสีแดงสการ์เล็ตสวยงาม  ใบหน้าสวยหวานหากแต่แววตากลับเข้มแข็งดุจนักรบ  และสิ่งที่ทำให้นัตสึรู้สึกสะดุดตากับเธอมากที่สุดก็คงจะเป็น.......กระเป๋าสัมภาระอันมากมายก่ายกองของเธอ

     

    “เอ้อ  เธอจะไปไหนน่ะ??” เขาตัดสินใจเอ่ยถามเธอออกไป

     

    “ฟิโอเร่” เธอตอบกลับมาสั้นๆ  แต่มันก็เป็นคำตอบที่ทำให้คนฟังเบิกตาขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ  ก่อนที่นัตสึจะยิ้มร่าอย่างดีใจแล้วบอกกับเธอ

     

    “ฉันเองก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน  แต่พอดีฉันเพิ่งจะได้ไปเป็นครั้งแรก  ก็เลย....”

     

    “นายตามหาชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่ไม่พบสินะ” เธอแทรกขึ้นมาก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ

     

    “ใช่เลย” นัตสึพยักหน้ารับ

     

    “หึ  ฉันชื่อเอลซ่า  สการ์เล็ต” เจ้าของเรือนผมสีดุจเดียวกับชื่อกล่าวแนะนำตัว “แล้วนายชื่ออะไรล่ะ?”

     

    “นัตสึ  ดรากูนีล” นัตสึตอบกลับไป

     

    เอลซ่าตะลึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของนัตสึ  “นาย....อย่าบอกนะว่านายคือ....เด็กชายผู้รอดชีวิตคนนั้นน่ะ?”

     

    “อือ” นัตสึตอบรับด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย  ก็มันจะให้พอใจได้ไงกันฟะ? ใครๆ ก็ตามที่ได้พบกับเขาและรู้จักกับเขา  ต่างก็พากันตกตะลึงกับชื่อของเขากันทั้งนั้น  แล้วก็จะถามกลับมาด้วยสีหน้าประหลาดใจสุดๆ เลยว่า อย่าบอกนะว่านายคือเด็กชายผู้รอดชีวิตคนนั้นกันทั้งนั้น แต่ไม่เห็นจะมีใครทักเรื่องที่เขาเป็นดราก้อนสเลเยอร์เลย

     

    ..มันพิเศษขนาดนั้นเลยเหรอไงฟะ  กับแค่การเป็นเด็กชายผู้ชายรอดชีวิตเนี่ย..??

     

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะ” เอลซ่าว่า  พร้อมกับยื่นมือมาให้นัตสึ

     

    ฝ่ายเขาเองจึงยื่นมือไปหาเธอ  ก่อนจะจับมือนั้นเขย่าตามประสาคนเพิ่งจะรู้จักกันนั่นแหละ “ยินดีที่ได้รู้จักเหมือนกัน”

     

    เอลซ่ายิ้มรับกับท่าทางของนัตสึ  “เอาล่ะ ฉันว่าเราควรจะรีบไปได้แล้วนะ”

     

    นัตสึพยักหน้ารับ  ก่อนจะเดินตามเอลซ่าไปยังกำแพงหินที่กั้นกลางอยู่ระหว่างชานชาลาที่เก้าและสิบ  แม้จะสงสัยอยู่ไม่น้อยว่ามาทำอะไรตรงกำแพงนี้ก็ตาม  แต่นัตสึก็ไม่ได้ถามอะไรออกไป

     

    “เราจะวิ่งเข้าไปในกำแพงนี่กัน” เจ้าของเรือนผมสีแดงหันมาบอกนัตสึ  “เดี๋ยวฉันจะวิ่งเข้าไปก่อน  แล้วนายก็วิ่งตามฉันเข้ามาเลยนะ”

     

    “ดะ เดี๋ยวก่อนนะ” นัตสึร้องเรียกเอลซ่าที่กำลังจะวิ่งไปเอาไว้ก่อน  ทำให้สาวเจ้าชะงัก  ก่อนจะหันมามองหน้านัตสึด้วยความสงสัย “เราจะวิ่งเข้าไปในกำแพงนี่ได้ไงกันฟะ  แบบนี้ก็ชนกำแพงแตกหมดน่ะสิ?”

     

     ..เอ่อ นายกลัวกำแพงแตกมากกว่ากลัวตัวเองเจ็บตัวงั้นเหรอ?..

     

    “ไม่เป็นไรหรอกน่า  วิ่งตามฉันมาก็พอแล้ว” เธอว่า ก่อนจะจับรถเข็นกระเป๋าสัมภาระเอาไว้ให้มั่น  แล้วก็วิ่งเข้าไปใกล้กำแพงก่อนที่นัตสึจะรีบห้ามเพราะกลัวเธอจะชนกำแพงหินนั่นแตกไปเสียก่อน  ก็มีอันต้องพาให้นัตสึตกตะลึงทันที  เพราะ...เอลซ่าและสัมภาระกองโตของเธอหายวับเข้าไปในกำแพงนั้นเสียแล้ว

     

    “เห้ย!” นัตสึมองดูด้วยความตกใจและประหลาดใจ ก่อนที่สีหน้าของผู้ถูกเรียกว่า เด็กชายผู้รอดชีวิตจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแห่งความสนุกสนานขึ้นมา “น่าสนุกแฮะ”

     

    คราวนี้ฝ่ายนัตสึเองก็ไม่รอช้า  เขารีบเข็นกระเป๋าสัมภาระของตนวิ่งเข้าใกล้กำแพงทันที  อีกทั้งยังวิ่งเต็มฝีเท้าแบบที่ไม่กลัวเลยสักนิดว่าตัวเองจะผ่านกำแพงนั้นเข้าไปไม่ได้

               

    ความรู้สึกเหมือนกำลังวิ่งผ่านที่มืดแคบอย่างไรอย่างนั้น...หากแต่เพียงแค่เสี้ยววินาทีเดียว  ภาพที่ปรากฏตรงหน้าก็พาให้นัตสึตกตะลึงไม่น้อย

     

    เหล่านักเรียนมากหน้าหลายตาต่างก็กำลังเก็บพวกสัมภาระของตนขึ้นไว้บนรถไฟจนดูวุ่นวายไปหมด  ดูๆ แล้วหลายคนเองก็คงจะเป็นนักเรียนใหม่เหมือนกันกับนัตสึ  แต่ก็มีอีกหลายคนเองเช่นกันที่ดูจะเป็นรุ่นพี่

     

    “ยินดีต้อนรับสู่ชานชาลาที่เก้าเศษสามส่วนสี่นะ”

     

    เสียงของเอลซ่าดังขึ้นมา  นัตสึจึงหันไปมองหน้าเธอก่อนจะยิ้มให้ “ขอบใจที่พามานะเฟ้ย”

     

    “ไม่เป็นไร” เอลซ่าว่า “ฉันว่านายรีบเก็บของขึ้นไปหาตู้รถนั่งจะดีกว่านะ  แล้วก็หวังว่าเมื่อไปถึงที่โน่นแล้ว  ฉันจะได้มีโอกาสพบกับนายอีกนะ  นัตสึ”

     

    เธอกล่าวจบก็เดินจากไปขึ้นรถทันที  ซึ่งนัตสึก็เพียงแค่มองตามด้วยความไม่เข้าใจ  โรงเรียนบ้านั่นมันกว้างมากขนาดที่ว่าจะไม่ได้พบหน้ากันเลยรึไง? 

     

    เรื่องนั้นช่างมัน  นัตสึหันมามองทางรถไฟแล้วก็ต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอเสีย...บังเอิญว่าเขาไม่ถูกกับรถไฟสักเท่าไหร่น่ะนะ  จริงๆ ต้องบอกว่าไม่ถูกกับยานพาหนะทั้งหลายแหล่ต่างหากล่ะ  แต่จะเดินไปเองก็คงไม่มีวันเดินไปถึงไอ้โรงเรียนศาสตร์ๆ นั่นแน่  เพราะกิลดาร์ซเองก็บอกเอาไว้แล้วว่าการจะไปถึงที่นั่นได้  ต้องอาศัยรถไฟที่ชานชาลาเก้าเศษสามส่วนสี่นี้ไป

     

    “ให้ตายสิฟะ” บ่นออกมาอย่างเบื่อๆ  ก่อนจะหยิบเอากรงสัตว์เลี้ยงออกมากล่องกระดาษกล่องใหญ่ที่เขาเอามาด้วย

     

    ..ไม่ต้องงงไปหรอกว่าทำไมเขาถึงได้เอาสัตว์เลี้ยงมาด้วย  นั่นก็เพราะไอ้โรงเรียนศาสตร์ๆ มันมีกฎว่าเด็กใหม่ทุกคนต้องมีสัตว์เลี้ยงเป็นของตัวเอง  เพราะงั้นกิลดาร์ซก็เลยพาเขาไปหาซื้อสัตว์เลี้ยงที่ตรอกไดแอกอนมาไว้  และตัวเขาเลือกมานั้นก็คือ

     

    แมวสีฟ้า ชื่อ แฮปปี้

     

    “เอาล่ะแฮปปี้  ออกมาอยู่เป็นเพื่อนกันหน่อย” นัตสึว่า แล้วก็เปิดกรงออก  ปล่อยให้แฮปปี้บินออกมาจากกรง

     

    ..ใช่  แฮปปี้เป็นแมวบินได้

     

    “ไอล์เซอร์  นัตสึเหงาล่ะสิท่า?” เจ้าแมวน้อยว่าพร้อมทำหน้าล้อเลียน

     

    ..ใช่ แฮปปี้เป็นแมวพูดได้

     

    คิดๆ ไปแล้วมันก็เหมือนไม่ใช่แมวสินะ? แต่เพราะนี่มันโลกเวทมนต์  จะมีแมวแบบนี้ก็คงไม่แปลกนักหรอก

     

    “ไม่ได้เหงาเฟ้ย!!” นัตสึตอบเจ้าแมวน้อยของตน ก่อนจะรีบถือกระเป๋าขึ้นรถไฟ “ไปกันเถอะแฮปปี้ ..สู่ไอ้โรงเรียนศาสตร์ๆ สูงๆ อะไรนั่น”

     

    “ไอล์เซอร์!!!

     

     

    โชคดีที่เดียวที่เมื่อขึ้นมาบนรถไฟแล้ว  ยังเหลือตู้รถว่างๆ ให้นัตสึได้นั่ง  เพราะเขาไม่ค่อยอยากจะนั่งกับคนอื่นสักเท่าไรนัก...เพราะเขาไม่ถูกกับรถไฟ  เดี๋ยวพาให้คนอื่นรำคาญเอา

     

    แต่ดูเหมือนความสงบสุขจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวังไว้  เพราะดันมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในตู้รถขบวนเดียวกันกับนัตสึ  แถมใครคนนั้นยังมาพร้อมกับแมวอีกต่างหาก

     

    ..เด็กใหม่เหมือนกันสินะ?

     

    “ขอนั่งด้วยคนสิวะ” อีกฝ่ายเอ่ย  ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามของนัตสึโดยไม่รอคำอนุญาตเลยแม้แต่น้อย  ..เพราะงั้นมันจะขอทำกระเพื่อมอะไร??

     

    “ไอล์” แฮปปี้ตอบรับให้แทนนัตสึที่ไม่ได้ตอบอะไรไปเลย 

     

    เจ้าของเรือนผมสีเชอร์รี่บลอสซั่ม(55.) ทำเพียงแค่มองคนตรงหน้าอย่างพิจารณาเท่านั้น..

     

    ..สูง หน้าตาเถื่อน  เรือนผมสีดำ  หน้าตาเละเทะ(?)..

     

    “มองอะไรฟะ?” อีกฝ่ายถามขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่านัตสึจ้องอยู่

     

    “เปล่าเฟ้ย” ทางนัตสึเองก็ตอบกลับไป  แต่ก็เหมือนตอบเพียงปาก..เพราะสายตาคู่สีดำคมนั้นก็ยังจ้องมองอีกฝ่ายอยู่ดี

     

    สุดท้ายแล้วฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา  ทำให้บรรยากาศภายในตู้รถไฟเงียบลงทันตาเห็น  แม้แต่แฮปปี้เองก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมา

     

    ..เงียบจนน่าอึดอัด

     

    “แกชื่ออะไรฟะ?” ดูเหมือนคนตรงหน้าของนัตสึคงจะทนความเงียบและบรรยากาศชวนอึดอัดเช่นนี้ไม่ไหว  เขาจึงได้เอ่ยถามนัตสึออกมา

     

    “นัตสึ  ดรากูนีล” ตอบไปด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายเล็กน้อย  เพราะคิดว่าเมื่อฝ่ายนั้นรู้ชื่อของเขาแล้ว  คงไม่วายถามกลับมาด้วยประโยคสุดฮิตว่า อย่าบอกนะว่านายคือเด็กชายผู้รอดชีวิตคนนั้น

     

    “นัตสึ  ดรากูนีล...” อีกฝ่ายทวนชื่อของนัตสึช้าๆ ก่อนดวงตาคมนั้นจะฉายแววตื่นเต้นเล็กน้อยออกมา

     

    นั่นปะไร  คงไม่พ้นจากที่คาดไว้แหงแซะ

     

    “งั้นแกก็คือซาลามันเดอร์ที่เขาเล่าลือกันน่ะสิ?”

     

    “ใช่แล้วเฟ้ย!” ตอบกลับไปทันทีด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความพอใจ ในที่สุดก็มีคนตาถึงมองออกว่าเขาเป็นซาลามันเดอร์สักที

     

    ..ถึงแม้ที่ผ่านๆ จะไม่ได้สร้างชื่อดีๆ ให้ตัวเองนัก  แต่ก็มีคนรู้จักเขาในฐานะของซาลามันเดอร์ไม่น้อยนะ  นั่นเพราะเขาเคยไปอาละวาดไว้หลายเมืองเหมือนกัน  อาวะวาดไว้อย่างสวยงามซะด้วย...เพราะควบคุมเวทย์ไม่ได้ดั่งใจ  จึงเป็นเหตุให้นัตสึยอมมาเรียนที่โรงเรียนศาสตร์ๆ แห่งนี้

     

    อีกฝ่ายมองหน้านัตสึอย่างพิจารณา  ก่อนจะเอ่ยออกมา “งั้นแกมีอะไรมาพิสูจน์ฟะ  ว่าแกคือซาลามันเดอร์”

     

    เจ้าของนามซาลามันเดอร์ยกยิ้มมุมปาก  ก่อนจะยกมือข้างขวาขึ้นมา..

     

    ร่างสูงฝั่งตรงข้ามมองการกระทำของนัตสึอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก  แต่แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างขึ้นและเชื่อในคำพูดของอีกฝ่าย....นั่นเพราะตอนนี้ที่ปลายนิ้วของนัตสึ  มองเห็นเป็นรูปเปลวไฟโอบล้อมอยู่  และมันก็ร้อนขนาดที่ทำให้ไอน้ำในอากาศระเหยกลายเป็นไอได้เลยทีเดียว

     

    “ร้ายกาจ!!

     

    “แค่นี้ยังน้อยไปนะเฟ้ย  ของจริงน่ะ...ทำให้บ้านหลังพินาศลงในสิบวิฯ ยังได้เลย” นัตสึพูด

     

    “แกนี่มันไม่เลวเลยจริงๆ” ชายเจ้าของเรือนผมสีดำว่า  ก่อนจะเป็นฝ่ายแนะนำตัวเองเสียบ้าง “ฉันชื่อกาซิล  เร้ดฟอกซ์”

     

    “กาซิล...?” นัตสึทวนชื่อของอีกฝ่าย  มีความรู้สึกว่าชื่อมันคุ้นหูอยู่ไม่น้อย  แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรให้มาก  อีกฝ่ายก็เปิดเผยตัวต่อ

     

    “เป็นดราก้อนสเลเยอร์เหล็ก”

     

    ซาลามันเดอร์ตาโตกับคำพูดนั้นทันที “จริงเหรอฟะ?”

     

    “จริงสิ”

     

    แล้วหลังจากนั้นทั้งคู่ก็พูดคุยสอบถามเรื่องของตัวเองที่เคยได้ผ่านมา  นั่นรวมถึงเรื่องสมัยเด็กที่ทั้งคู่เคยถูกมังกรเลี้ยงและสอนเวทปราบมังกรให้อีกด้วย 

     

    “หึ  ดีใจจังนะที่กาซิลได้เจอดราก้อนสเลเยอร์เหมือนกันสักที” แมวของกาซิลเอ่ยขึ้นมา

     

    “จริงสิ  นายชื่ออะไรอย่างนั้นเหรอ?” แฮปปี้จึงหันไปถามแมวตัวนั้นบ้าง  และไม่ลืมที่จะแนะนำก่อนตัวตามมารยาท “ฉันแฮปปี้นะ”

     

    แมวตัวผู้ขนสีดำของกาซิลจึงยิ้มตอบกลับมา “ฉันชื่อแพนเธอร์  ลิลลี่”

     

    แล้วเจ้าแมวเองก็หันหน้าเข้าคุยกันอย่างถูกคอ

     

     

    กว่าที่รถไฟจะเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาได้  ก็พาให้นัตสึและกาซิลเสียน้ำลายไปไม่น้อยทีเดียว  นี่พวกเขานั่งคุยกันนานมากพอสมควรเลยทีเดียวนะ  แต่รถไฟเพิ่งจะเคลื่อนตัวเท่านั้นเองเรอะ?

     

    แต่บ่นไปก็เท่านั้นแหละ  รถไฟเคลื่อนตัวได้ไม่เท่าไร  ข้อเสียของการเป็นดราก้อนสเลเยอร์ก็เข้ามาทำร้ายทั้งคู่ทันที..

     

    “อุ๊บ  แหวะ...อ้วก”

     

    ทำให้เจ้าแมวทั้งสองตัวอดที่จะสมเพชเจ้านายของตัวเองอยู่ไม่น้อย..

     

     

    รถไฟเคลื่อนที่มาถึงที่ใดแล้วไม่อาจทราบได้  สิ่งที่พอจะรู้ก็คงมีเพียงแค่..สภาพปางตายของดราก้อนสเลเยอร์หนุ่มทั้งสองนี่แหละ

     

    “อุ๊บ  ไม่...ไหว.....แล้ว” นัตสึครวญครางออกมา

     

    “แหวะ..” กาซิลเองก็ไม่ยอมน้อยหน้านัตสึเช่นกัน -*-

     

    ในขณะที่อาการย่ำแย่ลงไปทุกที  รถขายสินค้าก็เข็นผ่านมาที่ประตูตู้รถไฟ  ลิลลี่จึงรีบเรียกคนขายเอาไว้  เผื่อว่าบางทีอาจจะมียาแก้เมายานพาหนะขายเอาไว้ด้วย

     

    “พวกคุณ จะรับอะไรไปทานรองท้องหน่อยไหม?” คนขายเอ่ยถามขึ้นมา

     

    “ไม่ล่ะ” ลิลลี่ส่ายหน้า “มียาแก้เมายานพาหนะไหม?” 

     

    “ไม่มี” คนขายตอบกลับมา  ก่อนจะมองไปยังแมวอีกตัวที่ทำหน้าเหมือนหิวปลามากเลยทีเดียว “มีปลานะ จะเอาไหม?”

     

    “เอาสิ ไอล์” และแน่นอนว่าแฮปปี้ก็ตอบรับทันที

     

    คนขายยื่นปลาให้แฮปปี้  ก่อนจะมองนัตสึกับกาซิลที่มีอาการย่ำแย่มาก  พลางนึกเดาว่าบางทีสองคนนี้อาจจะเมารถไฟก็เป็นได้

     

    “ไม่มียาแก้เมาก็จริง  แต่ก็มีอาหารที่กินแล้วพอจะช่วยบรรเทาอาการเมารถไฟให้ทุเลาลงได้นะ” เอ่ยน้ำเสียงนาบเนิบให้ลิลลี่สนใจ

     

    “อาหารอะไรงั้นเหรอ?” แมวสีดำถามกลับมา

     

    “จริงๆ ก็ได้เกือบทุกอย่าง..” พูดได้แค่นั้น  นัตสึที่หน้าซีดก็รีบมองหน้าคนขายทันที  ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่ว

     

    “เอา..เอามา...ให้...หมด” นัตสึว่า “เหมา...หมดคันรถ แหวะ”

     

    คนขายพยักหน้ารับ  ก่อนจะหันไปถามทางกาซิลบ้าง “แล้วเธอล่ะ?”

     

    “อุ๊บ เอา  ขะ...ขา  รถเข็น...มา”

     

    แม้คำพูดของกาซิลจะสร้างความประหลาดใจให้กับคนขายได้ไม่น้อย  ..ขารถเข็นเนี่ยนะ?.. แต่เขาก็ยอมเข็นทั้งคันรถเข้ามาในตู้ขบวนนี้ให้  พร้อมหันไปรับเงินจากลิลลี่  แล้วเดินจากไป

     

    ฝ่ายดราก้อนสเลเยอร์ทั้งสองไม่รอช้าปล่อยเวลาให้เสียเปล่า  นัตสึเริ่มจัดการเก็บกวาดพวกขนมและอาหารบนรถเข็นนั่นลงกระเพาะทันที  เช่นเดียวกับกาซิลที่หักเอาขารถเข็นออกมากัดกิน

     

    ดูเหมือนของในรถเข็นเหล่านี้จะพอช่วยพวกเขาได้บ้าง  เพราะมันช่วยให้อาการทรมานของพวกเขาทุเลาลง...เล็กน้อย -*- แต่ก็ดีกว่าไม่ช่วยอะไรเลยนั่นแหละ

     

    และใครจะไปคาดคิดว่าในช่วงเวลาที่ทรมานแทบเป็นแทบตายของดราก้อนสเลเยอร์  ช่วงเวลาที่น่าเบื่อของแมวดำ  และช่วงเวลาในการแทะปลาของแมวสีฟ้านี้  จะมีแขกไม่ได้รับเชิญเปิดประตูเข้ามาในตู้รถที่พวกเขานั่งกันอยู่

     

    “เอ่อ  ขอโทษนะคะ  พวกคุณเห็นกบ  เอ้อ..แมวที่ใส่หมวกกบที่ชอบพูดว่า ฟรอซก็ว่างั้น ผ่านมาแถวนี้บ้างไหมคะ?”

     

    แขกรับเชิญที่ว่าเป็นเด็กสาวตัวเล็กอายุน่าจะราวๆ 12 ปีเห็นจะได้ มีเรือนผมสีน้ำเงินประกายดุจดั่งท้องฟ้ายามไร้เมฆ เธอเอ่ยถามพวกเขาออกมาด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย ยิ่งเห็นสภาพของสมาชิกทั้ง 4 ที่นั่งอยู่ในตู้รถนี้ด้วยแล้ว เธอก็ยิ่งดูจะมีสิหน้าวิตกมากขึ้นไปอีก

     

    “ไม่เห็นหรอกนะ” แล้วลิลลี่ก็ตอบออกมา  เพราะเห็นว่าหนุ่มๆ ทั้งสองนั้นตอบไม่ได้  ส่วนแฮปปี้ที่แทะปลาอยู่ก็คงตอบไม่ได้เช่นกัน = =

     

    “อะ  เอ่อ  ขอโทษที่รบกวนนะคะ” เธอกล่าว  ทำท่าเหมือนจะเดินออกไป  แต่แล้วดวงตากลมโตคู่นั้นก็เบิกขึ้นเล็กน้อยราวกับว่าตกใจกับอะไรสักอย่าง

     

    และอะไรสักอย่างที่ว่านั่น...ก็เห็นจะเป็นนัตสึกับกาซิลได้

     

    “พวกคุณเป็นดราก้อนสเลเยอร์เหรอคะ?” เธอถามทั้งสองที่กำลังนั่งปิดปากด้วยความทรมานกันอยู่ 

     

    “ใช่..  อุแหวะ” ทั้งสองนั้นตอบกลับมาพร้อมกัน  แล้วคนถามก็ยิ้มกว้างออกมาทันที  “สวัสดีค่ะ  หนูชื่อเวนดี้นะคะ  เป็นดราก้อนสเลเยอร์แห่งนภาค่ะ”

     

    นัตสึกับกาซิลหันมาจ้องมองเวนดี้  จริงๆ ก็อยากจะดีใจอยู่หรอกที่ได้เจอดราก้อนสเลเยอร์อีกคนเข้าโดยบังเอิญ  หากแต่ ณ จุดจุดนี้แล้ว..ไม่มีอารมณ์ดีใจครับ

     

    เวนดี้เองก็คาดไว้แล้วว่าน่าจะเป็นแบบนี้  เธอจึงเดินเข้ามาหานัตสึกับกาซิล ก่อนจะร่ายเวทให้กับคนทั้งคู่

     

    “หายแล้ว!” นัตสึร้องขึ้นมาอย่างดีใจ เมื่อทันทีที่เวนดี้ร่ายเวทให้แล้ว อาการเมายานพาหนะก็หายไปทันที เช่นเดียวกับกาซิลที่ได้แต่มองเวนดี้อย่างงงๆ

     

    “นี่เธอร่ายเวทอะไรให้พวกฉันกัน?” เจ้าของเรือนผมสีดำถาม

     

    “มันชื่อเวททรอยอาค่ะ  เป็นเวทที่หนูใช้ป้องกันอาการเมายานพาหนะ” เวนดี้ชี้แจง  ก่อนจะถามกลับด้วยรอยยิ้ม “แบบนี้ดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ?”

     

    “โอ้ ขอบใจมากนะเวนดี้” นัตสึยิ้มกว้างขอบคุณเด็กสาวดราก้อนสเลเยอร์ตัวเล็ก

     

    แล้วจากนั้นทั้งสามก็พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องของมังกรที่เลี้ยงตนเองมา  และเวนดี้เองก็ไม่ลืมที่จะบอกว่าที่ตู้รถของตนเองนั้นก็ยังมีดราก้อนสเลเยอร์นั่งอยู่อีก 2 คนด้วยกัน

     

    “ทำไมดราก้อนสเลเยอร์มันเยอะจังวะ?” กาซิลพึมพำออกมา  ทำให้เวนดี้ได้แต่หัวเราะแหะๆ ให้  ก่อนจะขอตัวลากลับตู้รถของตนเองเสียที

     

    “งั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ  ต้องรีบไปตามหากบ..เอ้อ แมวใส่หมวกกบต่อ” แต่ก่อนที่จะเดินพ้นจากประตู  ร่างเล็กก็ไม่ลืมที่จะหันมาพูดกับกาซิลด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วง...คิดว่าน่าจะเป็นห่วงนะ

     

    “เอ้อ มีเศษเหล็กติดอยู่ที่คิ้ว  จมูก  แล้วก็คางของคุณด้วยล่ะค่ะ  คงเป็นเพราะว่าทานเหล็กเข้าไปเมื่อก่อนหน้านี้สินะคะ  ถ้ายังไงก็อย่าลืมเช็ดออกด้วยนะคะ”

     

    คนถูกเตือนยกมือขึ้นมาจับจมูกตนเอง  ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย “นี่มันเหล็กที่ฉันเจาะเอาไว้เฟ้ย  ไม่ใช่เศษเหล็กที่กระเด็นเพราะกินก่อนหน้านั้น!!






     

    -TBC-






       Writer Talk ;
       14/10/2013


       อัพเดตตอนล่าสุดหลังจากค้างมานาน -*- 55.  อยากจะบอกว่าเรื่องนี้บรรยายแปลกแฮะ = =;  ไปละๆ แค่ทักทาย 


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×