คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : PART I : EPISODE 03 : 'แอบ' คิดมาก [2/4]
“จริง ๆ ก็ไม่ได้มีอะไรให้เล่าเป็นพิเศษหรอกน่า พี่คลอรีนก็แค่ดูแล้วก็กดไลค์สตอรี่เฉย ๆ”
“กดไลค์เฉย ๆ เองเหรอวะ โห่!”
กึก!
“อ้าว พิงกี้?”
ในตอนนั้นทั้งฉันและทรายต่างก็ต้องพากันหันไปยังผู้มาใหม่ซึ่งได้ส่งเสียงมาก่อน พอเห็นว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกลฉันก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความรู้สึกโล่งอก ทว่าทรายกลับเลิกคิ้วแล้วเอ่ยถามพิงกี้อย่างไม่เชื่อตาตัวเอง
“นี่มึงมาโรงเรียนก่อนเข้าแถวได้ไงวะอีพิงกี้”
“เอ้าอีดอก ตบกับกูเลยมะ” พิงกี้แยกเขี้ยวพร้อมกับส่งค้อนก้อนโตให้เพื่อนคนสนิท สักพักจึงทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ว่างก่อนความสนใจทั้งหมดจะพุ่งมาที่ฉัน “แล้วเมื่อกี้คือไรอะ พี่เขาไม่พูดไม่อะไรเลยเหรอวะ”
“อื้อ ไม่ได้พูดอะไรเลย” ฉันตอบไปตามตรง ยกมือขึ้นมาเกาแก้มแก้เก้อ
“อีเวร! ไม่ได้ใจแม่เลยอะ กูบอกไงแล้วว่าให้มึงติดแคปชัน ๆ พี่เขาจะได้มีเรื่องตอบ แต่มึงก็ดื้ออะอุ่นไอ”
ปึง!
พูดจบก็ตบโต๊ะด้วยความรู้สึกขัดใจ ท่าทางของพิงกี้ดูจะไม่โอเคกว่าตัวฉันที่เป็นเจ้าของเรื่องเสียอีก แน่นอนว่าพอถูกเพื่อนด่าเข้าให้แบบนั้นก็ไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากยิ้มแห้ง
“จริงจังเวอร์วัง ขนาดอุ่นไอมันยังไม่อะไรเลยนะมึง อย่าว่าเพื่อนดิ”
“เอ้า! ก็กูไม่ชอบอะไรที่มันยืดยาดอะ ตอนแรกเห็นว่าอุ่นไอมันชอบเขาข้างเดียวหรอกนะเลยไม่ได้ออกตัวขนาดนี้ แต่เมื่อวานคือชัดเลยอะ กูว่ามันก็ต้องมีบ้างแหละที่พี่แกจะรู้สึกด้วย กูถึงได้พยายามดันให้ได้กันสักทีไง อยากให้เพื่อนมันสมหวังแล้วผิดตรงไหนวะ”
พิงกี้ร่ายยืดยาว ถึงคำพูดจะดูกระแทกกระทั้นไปบ้างแต่ก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจและหวังดีจากเธอ เห็นอย่างนั้นทั้งฉันและทรายจึงผ่อนยิ้มออกมาพร้อมกันด้วยความอ่อนใจ
“เออน่า กูเก็ทมึงอยู่ ใจจริงกูเองก็อยากให้อุ่นไอสมหวังกับพี่เขาเหมือนกันแหละ ก็มันเล่นชอบมาตั้งแต่ประถมเลยนี่หว่า” ทรายว่าพลางเหลือบตามายังฉัน ประโยคนั้นสร้างความรู้สึกวูบวาบไปทั่วหน้าด้วยความเขินอายจนต้องหาอะไรสักอย่างมาทำกลบเกลื่อนไปพลาง
“ง่า ขอบคุณพวกแกมากเลยนะ แต่ว่าไอไม่ได้หวังถึงขั้นนั้นหรอก ขอแค่ได้ชอบอยู่อย่างนี้ก็พอแล้ว” ตอนเอ่ยก็ไม่ได้สบตากับใครนอกจากก้มหน้ามองโต๊ะ จึงทำให้ไม่ทันสังเกตเลยว่าเพื่อนทั้งสองกำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศที่ยังคึกคักอยู่ก่อนหน้านี้จู่ ๆ ก็เงียบไปจนน่าแปลกประหลาด
“….”
“….”
อ่าว...ทำไมพากันเงียบล่ะ?
ได้แต่ตั้งคำถามในใจแล้วละสายตาขึ้นไปเพื่อค้นหาคำตอบ ทว่ากลับพบกับสีหน้าเลิ่กลั่กและทำอะไรไม่ถูกของทั้งสองคน เห็นดังนั้นหัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากันเป็นปม ตั้งใจว่าจะเอ่ยถามอะไรออกไป แต่...
“ไงน้อง ๆ คุยไรกันอยู่อะ พี่แจมด้วยได้ปะ”
“!”
พลันก็ต้องสะดุ้งโหยง ร่างทั้งร่างเกือบจะกลายเป็นหินเมื่อเสียงทุ้มแสนคุ้นเคยของใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้นจากด้านหลัง แน่นอนว่าเสียงนั้นทำให้ฉันแทบหยุดหายใจ สติสตังเตลิดหาย กว่าจะเรียกมันกลับคืนมาได้ก็เล่นกินเวลาไปเกือบหนึ่งนาทีเต็ม ๆ
“อ่าว ทำไมทำหน้าเหมือนเห็นผีกันงั้นอะ”
กรี๊ด! เป็นเขาจริง ๆ ด้วย TT
“สะ สวัสดีค่ะพี่คลอรีน”
“หวัดดีค่ะ แฮ่”
ในตอนนั้นทรายที่คงจะเรียกสติกลับมาได้ก่อนเพื่อนก็เอ่ยทักทายอาคันตุกะผู้มาใหม่ด้วยเส้นเสียงที่ไม่ค่อยจะมั่นคงเท่าไหร่นัก รอยยิ้มบนใบหน้าก็ฝืดเฝือนเต็มที ส่วนพิงกี้ก็ส่งเสียงหัวเราะพลางยกมือโบกให้เป็นคนที่สอง ซึ่งคนโตกว่าก็รับคำทักทายด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจประจำตัวเองดังเช่นเคย
“ดีครับน้อง ๆ ^^”
“อะ เอ่อ...” ฉันจึงตั้งใจจะหันไปเอ่ยอะไรสักอย่างกับเขาบ้างเพื่อไม่ให้บรรยากาศมันกระอักกระอ่วนจนเกินไป ทว่าสมองกลับตื้อตันขึ้นมาดื้อ ๆ จนไม่รู้จะเอ่ยอะไรซะงั้น
ตึกตัก...ตึกตัก...
ฮื้อ ทำไงดีอ่า พี่คลอรีนเข้ามาตอนไหน...แล้วเขาได้ยินเรื่องที่ฉันคุยกับเพื่อนเมื่อกี้หรือเปล่าด้วย
ถ้าสมมติว่าเขาได้ยินจริง ๆ ฉันจะทำตัวยังไงดี จะเข้าหน้าเขาติดไหมเนี่ย...
“อุ่นไอ?”
“ขะ...คะ!?”
แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกเป็นครั้งที่สองเมื่อพี่คลอรีนเอ่ยเรียกฉันด้วยโทนเสียงที่สูงกว่าเดิมราวกับกำลังสงสัยในปฏิกิริยาอันไม่ปกติของฉัน ก่อนจะตัดสินใจกัดฟันหันไปสบตากับเขาแม้ว่าหัวใจจะยังหวาดหวั่นอยู่ในที
“เป็นอะไรไปอะ...หรือพี่มาผิดจังหวะปะเนี่ย” เจ้าของใบหน้าแสนดูดีเลิกคิ้วเป็นคำถาม เขากวาดมองอีกสองคนเพียงเล็กน้อยก่อนจะลากสายตามายังฉัน ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับดังเคย
ตาย...ตายแน่
ฉันจะพูดอะไรกับเขาดีอ่า แง้
“เอ่อพี่คลอรีน คือวันนี้อุ่นไอมันเหมือนจะเป็นหวัดอะ เมื่อกี้มันพูดอยู่ว่าเจ็บคอไม่อยากใช้เสียงเยอะ”
“อ่าวเหรอ”
แล้วคนที่เข้ามาช่วยพลิกสถานการณ์ก็คือพิงกี้ คราวนี้พี่คลอรีนจึงละสายตาจากฉันแล้วหันไปยังคนพูดด้วยสีหน้าฉงนฉงาย สักพักก็เคลื่อนสายตากลับมาดังเดิม
“เมื่อวานยังดี ๆ อยู่เลยไม่ใช่อ่อ หรือเพราะตากลมตอนนั่งซ้อนท้ายพี่อะ”
“คือ...น่าจะนะคะ แหะ” ฉันส่งยิ้มแห้งในท้ายประโยค ตัดสินใจตามน้ำของพิงกี้ไปเพราะสมองตอนนี้มันว่างเปล่าไปหมด
แค่เห็นหน้าพี่คลอรีนมันก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วอ่า ฮื้อ
“ซะงั้น” พี่คลอรีนผ่อนยิ้มพร้อมด้วยสีหน้าอ่อนใจคล้ายไม่เชื่อว่าฉันจะมาเป็นหวัดเพราะนั่งตากลมตอนซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับบ้านกับเขาได้
ก็...ไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ นั่นแหละ ไม่เชื่ออะถูกแล้ว
ใครบ้างเป็นหวัดเพราะนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ ร่างกายอ่อนแอเกินไปแล้วมั้งแบบนั้นอะ
“ถ้างั้นก็ดูแลตัวเองดี ๆ นะ เดี๋ยวพี่ไปเตรียมเคารพธงชาติก่อน”
ฟึบ...
“อ๊ะ”
สิ้นคำนั้น ฝ่ามืออุ่นร้อนก็เคลื่อนมาลูบศีรษะฉันด้วยความนุ่มนวลและอ่อนโยนชวนใจสั่น การกระทำของพี่คลอรีนสร้างสีสันบริเวณพวงแก้มฉันจนแทบจะลามไปถึงใบหู ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยกลัวว่าเขาจะสังเกตเห็นอาการประหม่าของฉันในตอนนี้
ตึกตัก! ตึกตัก!
หวา ๆ ๆ ทำไงดี…
“อาการมันเป็นไงคะ บอกหมอหน่อยซิคุณพิงกี้”
กึก!
“รู้สึกเหมือนหัวใจมันเต้นตึกตัก! ตึกตัก! จนแทบจะหลุดออกมาดิ้นข้างนอกเลยล่ะค่ะคุณหมอ”
ดะ เดี๋ยวสิ…ทั้งสองคนพูดอะไรกันเนี่ย!
Writer's Talk
คือเพื่อนนี่ตัวชงเลยจริง ๆ นะคะ55555555555555 และในส่วนของตอนนี้ จังหวะที่คลอรีนโผล่เข้ามากะคือ...
55555555555555555555555555
วันนี้ขอให้ทุกคนมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะเช่นเคยนะคะ <3 ถ้าอารมณ์ดีอาจจะมีเบิ้นรอบสองอีก ฮี่ๆ ><
1 คอมเม้นต์ 1 ล้านกำลังใจดี ๆ
หรือจะเข้ามาคุยกันในแท็กทวีต #เพียงอุ่นไอ ก็ได้เช่นกันนะคะ ><
ความคิดเห็น