คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : PART I : EPISODE 02 : 'แอบ' มอง [1/3]
ตกเย็น
และแล้วเวลาหนึ่งวันของฉันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เผลอแป๊บเดียวก็ถึงเวลาเลิกเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...
“เฮ้อ” ได้แต่ทอดถอนหายใจเพราะความเสียดายที่สุดท้ายวันนี้ก็ไม่ได้เจอหน้าพี่คลอรีนอีกเลยตั้งแต่ตอนเที่ยง หนำซ้ำยังไม่ได้เข้าไปขอบคุณเรื่องของขวัญวันเกิดอีกต่างหาก
ก็ตอนนั้นพี่หงส์เล่นเกาะติดพี่คลอรีนตลอดเลยนี่นา...แย่จัง
“วันนี้แม่มารับเหมือนเคยเปล่าวะมึง”
“อะ...อ๋อ วันนี้แม่บอกให้เค้านั่งรถกลับเองอะ เห็นว่ารถมีปัญหานิดหน่อย” จำต้องละจากห้วงความคิดโดยพลันแล้วหันไปตอบพิงกี้ที่กำลังเดินไปประตูหน้าโรงเรียนด้วยกัน
ตอนนี้มีแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้ ส่วนทรายเป็นเวรประจำวันก็เลยต้องอยู่ทำความสะอาดห้องประจำชั้นก่อนถึงจะกลับบ้านได้น่ะ
“อ่าวเหรอ เอองั้นเดี๋ยวกูรอเป็นเพื่อนมึงก่อนแล้วกัน ไม่ได้รีบกลับอยู่ละ” พิงกี้ไหวไหล่อย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้าพัลวันด้วยความเกรงใจ
“จริง ๆ ไม่ต้องก็ได้นะ พิงกี้กลับเลย รถบ้านแกนาน ๆ มาทีอะ เดี๋ยวมันจะยากเอานา”
“เรื่องแค่นี้เอง ชินแล้วปะ? มึงก็รู้นิว่ารถเมล์กรุงเทพฯ มันเป็นยังไงอะ”
จบประโยคก็หัวเราะร่วนเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ฉันรู้นะว่าพิงกี้ก็แค่ทำให้ปัญหาพวกนี้กลายเป็นเรื่องตลก ทั้งที่พอถึงเวลาที่ต้องมายืนรอรถเมล์นานเกือบชั่วโมงจริง ๆ มันไม่ได้ตลกเลยสักนิด
พูดก็พูดเถอะ การคมนาคมของประเทศมันควรจะมีการบริหารจัดการที่ดีกว่านี้ได้แล้ว สงสารคนที่หาเช้ากินค่ำแล้วไม่มีรถส่วนตัวเลยต้องเผื่อเวลาเดินทางไปทำงานจนไม่มีเวลาพักผ่อนบ้างเถอะ
“แต่เค้าว่าอย่าเลย ถ้ารถบ้านแกมาแล้วก็ไปก่อนดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอะ” ฉันยังคงยืนยันคำเดิมเพราะไม่อยากให้ต้องมาลำบากรอรถเป็นเพื่อน
“มึงเนี่ยก็ยังชอบเกรงใจชาวบ้านเขาเหมือนเดิมเลยนะ...เออก็ได้ แต่ระหว่างรอให้รถมา เดี๋ยวกูยืนรอเป็นเพื่อน เค๊?”
“อื้อ เอางั้นก็ได้”
สักพักฉันและพิงกี้ก็พากันมายืนรอรถเมล์ที่ป้ายหน้าโรงเรียน ต่างคนต่างชวนคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ตามประสาเพื่อนสาวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งรถบ้านของพิงกี้มาแล้วเรียบร้อยพวกเราถึงได้โบกมือลากัน
“พรุ่งนี้เจอกันนะพิงกี้”
“เออ ๆ เจอกันเว้ยมึง”
สิ้นเสียงนั้นร่างบางที่สูงกว่าฉันเพียงเล็กน้อยก็วิ่งแจ้นขึ้นรถไปด้วยกลัวว่าคนขับจะด่วนใจร้อนปิดประตูใส่เสียก่อน ภาพนั้นทำให้ฉันหลุดขำออกมาเพียงเล็กน้อย ส่งยิ้มให้เพื่อนรักอยู่เช่นนั้นจนลับสายตาไป
เมื่อกลับมาอยู่กับตัวเองได้แล้วความคิดก่อนหน้านี้ที่ถูกพับเก็บไว้ก็ค่อย ๆ ไหลกลับมาในหัวอีกครั้ง ทั้งภาพ เสียง และความรู้สึกเมื่อตอนกลางวันยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำ ท้ายที่สุดฉันก็จมไปกับสิ่งเหล่านั้นจนรอยยิ้มที่มีก่อนหน้านี้มันหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้
“เฮ้อ...” จำต้องถอนหายใจอีกครั้งเพราะไม่อาจควบคุมความคิดตัวเองในตอนนี้และกลายเป็นความวิตกกังวลไป “เลิกคิดสักทีเถอะ มันน่ารำคาญนะรู้ไหม”
“รำคาญอะไรอะ”
“เฮือก!”
ในตอนนั้นสองตาจำต้องเบิกโพลงเพราะเสียงคุ้นหูของคนที่เฝ้าคิดถึงมาตลอดทั้งวันดังขึ้นอยู่ใกล้ ๆ ฉันรีบหันหน้าไปมองเจ้าของเสียงนั้นทันทีทันใด
“พี่...คลอรีน” เหลือเชื่อ! พี่เขามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่...
“เห็นทำหน้าเหมือนกำลังอมทุกข์เลยเข้ามาทัก แล้วก็ได้ยินเราบ่นว่ารำคาญพอดี”
ตึกตัก! ตึกตัก!
คนตรงหน้าเอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มดังเช่นทุกที นัยน์ตาสีเข้มลอบมองมาที่ฉันอย่างอ่อนโยนจนรู้สึกคล้ายหัวใจถูกกระชากอย่างรุนแรง
พี่คลอรีนยังคงเป็นคนที่ไม่ว่าจะตอนไหนก็ยังดูอบอุ่นสำหรับฉันตลอดเวลาจริง ๆ นั่นแหละ...
อยาก...ให้เขายิ้มแบบนี้ให้ฉันคนเดียวจัง
พูดแบบนี้มันจะดูเห็นแก่ตัวไปหรือเปล่านะ
“แล้วเมื่อกี้...รำคาญอะไรอะ หรือว่ารำคาญพี่?”
“ไม่ใช่นะคะ!” แทบจะดึงสติตัวเองกลับมาโต้ตอบไม่ทันเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนั้น รีบเงยหน้าขึ้นไปสบตาด้วยกลัวว่าเขาจะเข้าใจอะไรผิด ๆ ไป ปากก็เอ่ยอ้างสารพัดประโยคจนลิ้นแทบพันกัน “คือเมื่อกี้หนูรู้สึกหงุดหงิดอะไรนิดหน่อย ไม่ได้รำคาญอะไรพี่เลยนะคะ หนูไม่เคยคิดงั้นกับพี่เลย...จริง ๆ นะ”
“อุบ...อะไร นี่จริงจังอ่อ”
กึก!
ทว่าก็ต้องชะงักเพราะเสียงหัวเราะที่เกือบจะหลุดออกมาหากไม่ถูกกลั้นเอาไว้ก่อนจากพี่คลอรีน ภาพที่เห็นทำให้ฉันรู้สึกงุนงงไปชั่วขณะก่อนจะกระพริบตามองคนตรงหน้าถี่ ๆ
“อ๊ะ!” ทันใดนั้นสองข้างแก้มก็ร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อรู้ตัวแล้วว่าเมื่อกี้ตัวเองพูดเกินความจำเป็น ทั้งที่จริง ๆ แล้วพี่คลอรีนคงแค่หยอกเล่น แต่ฉันดันจริงจังและร้อนตัวเกินไป
โอ้ย ฉันเผลอปล่อยไก่อีกแล้วอ่า!
บ้า...บ้า ๆ ๆ
ฟึบ...
“อ๊ะ”
“อยากรู้เลยเนี่ยว่าใครที่ทำให้น้องหงุดหงิด ให้พี่ไปต่อยหน้าให้เอาไหม”
ในขณะที่ฉันกำลังต่อว่าตัวเองอยู่นั้น ฝ่ามืออุ่นร้อนก็วางทาบลงมาบนศีรษะอย่างนิ่มนวลพร้อมกับประโยคทีเล่นทีจริงของพี่คลอรีน คำพูดและการกระทำของเขาทำให้ฉันที่กำลังสติแตกเริ่มจะสงบลงบ้างเล็กน้อย
เฮ้อ...ใช้ไม่ได้เลยฉันเนี่ย
เมื่อรวบรวมสติกลับมาได้แล้วฉันก็ช้อนมองคนตัวสูงกว่าอีกครั้ง ใบหน้าผุดรอยยิ้มบาง ๆ ให้อีกฝ่าย
“ถ้าพี่คลอรีนจะต่อยให้จริง ๆ หนูคงไม่กล้าบอกหรอกค่ะ”
“อ้าว ทำไมอะ ทำไมบอกพี่ไม่ได้”
“แหะ...^^;” ขืนฉันบอกไป พี่คลอรีนก็ต้องต่อยหน้าตัวเองสิถ้างั้นอะ
ยังไงฉันก็ไม่มีวันบอกเขาแน่ ๆ อะ ไม่มีวันเด็ดขาดเลย
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แฮ่” ฉันส่งยิ้มให้เขาในท้ายประโยคก่อนจะหันไปสอดสายตาหารถเมล์ด้วยกลัวว่าจะคลาดกันแล้วไม่ทันขึ้น เพราะถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นขึ้นมาจริง ๆ มีหวังได้นั่งรอจนรากงอกแหงเลย
แน่นอนว่าระหว่างนั้นฉันไม่คิดจะปล่อยให้มีเดดแอร์ระหว่างเราสองคน ปากก็เอ่ยชวนพี่คลอรีนคุยสารทุกข์สุขดิบไปด้วย
“แล้ววันนี้พี่รีนไม่มีงานของกรรมการนักเรียนเหรอคะ ทำไมได้กลับไว”
“เปล่าหรอก วันนี้พี่โดดอะ ขี้เกียจ”
“อ่าว” ฉันหันไปมองคู่สนทนาตาปริบ ๆ ทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเช่นนั้น ท่าทางที่ดูไม่ได้ทุกข์ร้อนหรือใส่ใจอะไรนั่นสร้างความฉงนให้ฉันเป็นอย่างมาก “ทำไมงั้นอ่า”
ปกติจะรับผิดชอบหน้าที่ตัวเองมาก ๆ เลยนี่นา...
“ก็ไม่ทำไมหรอก...ช่างเรื่องพี่เหอะ ว่าแต่น้องอะ ทำไมยังไม่กลับบ้าน แม่พายยังไม่มารับอ่อ?” พี่คลอรีนสั่นศีรษะพร้อมโบกมือคล้ายต้องการบ่ายเบี่ยง ก่อนประโยคหลังจะหันมาถามเรื่องของฉันแทน
“เอ่อ วันนี้แม่หนูบอกว่ารถมีปัญหาก็เลยให้นั่งรถกลับเองน่ะค่ะ (._.) ” ฉันว่าพลางก้มหน้างุด พอเป็นฝ่ายโดนถามบ้างก็รู้สึกตื่นเต้นหน่อย ๆ มันรู้สึกเหมือนกำลังถูกใส่ใจอะไรประมาณนั้นเลยอะ
บ้าจัง...แค่นี้ก็รู้สึกเป็นเขิน ๆ แล้วอ่า
ฉันนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ นั่นแหละ
Writer's Talk
ก็คุณพี่ใจดีแบบนี้ ตะน้องจะไม่หวั่นไหวได้ยังก่อน!
โมเม้นต์น่ารัก ๆ ที่เคยอยากให้เกิดขึ้นในชีวิตจริง ๆ ค่ะ ยืนรอรถเมล์แล้วมีคนที่ชอบเข้ามาทักเนี่ยย งึ้ยยยยย //เอานังไรต์คนนี้ไปเก็บทีค่ะ ไม่ไหวแล้วววว
1 คอมเม้นต์ 1 ล้านกำลังใจดี ๆ
ความคิดเห็น