ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : โตเกียว
เวลาที่ในโกเบนั้น เหมือนสายน้ำในลำธารนิ่งที่ค่อยๆไหลผ่านอย่างช้าๆ ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่ฉันเป็นอยู่ในเวลานี้ ที่โตเกียว ทุกอย่างดูเหมือนจะรีบเร่งไปเสียหมด บนท้องถนนจะมีรถที่ติดกันอย่างแออัดทุกเช้าและเวลาเร่งด่วน เช่นเดียวกันกับรถไฟซึ่งเป็นทางโดยสารหลักของฉัน ฉันยอมรับในความพยายามของผู้โดยสารทุกคนแม้ว่าจะเสียค่าโดยสารเต็มราคาเพียงใด การบริการนั้นดูเหมือนจะไม่คุ้มค่าในบางเวลา วันนี้ก็เช่นกันฉันออกจากห้องพักใหม่ซึ่งอยู่ไม่ไกลจะสถานีนัก ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที พอมาถึงก็จะพบกับมหาชนที่ยืนรอรถอยู่มากมาย ไม่เพียงแต่คนรอเท่านั้นที่มาก คนที่อยู่บนรถไฟที่มาเองก็มีอยู่มากเหมือนกัน แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังมีวิธีการสอดแทรกเข้าไปในช่องว่างเล็กที่มีอยู่ในแต่ละตู้โดยสารได้ ฉันยืนดูสถานการณ์สักพักก่อนตัดสินใจโดดขึ้นไปตามคนอื่นๆ เพราะถึงรอขบวนหลังมันก็จะเป็นแบบเดียวกัน แถมยังทำให้เสียเวลาเพิ่มขึ้นด้วย ภายในรถที่แออัดอยู่แล้วนั้น ฉันยิ่งรู้สึกอึดอัดยิ่งขึ้นเนื่องจากเครื่องแบบบริษัทที่ยังไม่พอดีตัว  ฉันยกมือขึ้นขยับคอเสื้อที่บิดเบี้ยวบังเอิญไปสะกิดให้ปากกาที่เหน็บอยู่กับกระเป๋าเสิ้อหล่นลงไป ท่ามกลางเท้าของคนหลายสิบคน ขนาดพื้นที่ที่จะให้ยืนยังมีอยู่น้อยนิด ฉันจึงไม่อาจก้มลงไปเก็บได้ นี่เป็นปากกาแท่งที่สามแล้วนะ ทำฉันถึงไม่รู้จักระวังสักที พอรถเทียบเข้าชานชาลา ฉันแทบไม่ต้องขยับตัวอะไรเลย เพียงปล่อยตัวให้เคลื่อนไปตามฝูงคนที่ยื้อแย่งกันออกประตู ฉันก้มมองดูนาฬิกาแล้วรีบสาวเท้ายาวๆด้วยความรีบ ในใจก็คิดว่า ไม่สายหรอกๆ วันนี้อากาศดีไม่มีเหตุอะไรให้ฉันต้องสาย ยิ่งเดินไปไกลเท่าไหร่ ฉันยิ่งรู้สึกว่ารอบตัวกลับเย็นขึ้นอย่างน่าประหลาด แล้วฉันก็พบกับคำตอบเมื่อหน้าทางออกสถานี หิมะปุยเล็กๆร่วงหล่นเป็นสายลงมาจากท้องฟ้า
“โธ่ ทำไมต้องลงมาตอนนี้นะ “ วันนี้เป็นวันประเมินบุคคลของบริษัท หลังจากทำงานทุกสามเดือนบริษัทจะจัดให้มีการประเมินผลบุคลากร และวันนี้จะฉันโดนประเมินเป็นครั้งแรก โดนประเมินในสภาพโทรมๆจากการวิ่งฝ่าหิมะนี่ไป ฉันเริ่มมองหาของรอบตัวที่จะพอกันตัวเอง คงต้องใช้ประเป๋าเอกสารนี่แหละ
“คุณ” เสียงใครดังแว่วมาจากด้านหลัง ฉันหันไปมองหาต้นเสียง แต่ท่ามกลางคนที่มากมาย ฉันจึงไม่ทราบว่ามันมาจากไหน และที่สำคัญฉันไม่มีเวลาพอจะหาแล้ว ฉันจึงรีบเอากระเป๋าบังตัวแล้วออกวิ่งอย่างสุดชีวิต
..
“คุณฮาชิโมะโตะ”
“ .”
“คุณฮาชิโมะโตะ  เรียวโกะ”
“ค่ะ”  ฉันไม่กล้าสบตากับหัวหน้าของฉัน คุณยาบุขิเป็นหัวหน้าที่น่าเกรงขามคนหนึ่งในฝ่ายประสานงานที่ฉันอยู่
“ผมไม่ทราบว่าคุณคิดยังไงของคุณ ตั้งแต่เริ่มงานที่นี่ดูเหมือนคุณไม่ค่อยเต็มใจมาทำงานเลย”
“ขอโทษค่ะ” ฉันกล่าวได้แค่นี้
“ผมไม่ได้ต้องการคำขอโทษ”
“ขอโทษค่ะ” ฉันก็ยังเผลอหลุดปากออกไปพร้อมกับโค้งตัวลง
“นี่ เข้าเดือนที่สามแล้ว จากนี้ไปผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้ รีบลงไปหาฝ่ายบุคคลซะ หวังว่าเขาคงไม่เห็นชื่อคุณในบันทึกหรอกนะ”
ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับการไปฝ่ายบุคคลครั้งนี้ และแล้วไม่นานฉันก็ได้คำตอบ
“คุณโดนพักงาน 2 เดือน”
“อะไรนะค่ะ” ฉันฟังไม่ถนัด
“พักงาน 2 เดือน”
“เดี๋ยวสิค่ะ ก็ฉันอธิบายไปแล้วว่า ”
“ก็เพราะเราเข้าใจว่าคุณยังปรับตัวไม่ทัน เราเลยให้เวลาคุณไปปรับตัวไง”
ฉันนั่งแข็งทื่อรู้สึกชาทั้งตัว นี่หรือที่ฉันบอกกับตัวเองที่โกเบว่าฉันจะมาเริ่มต้นใหม่ ทำไมฉันไม่รักษาคำพูดของตัวเอง ฉันไม่ซื่อสัตย์กับตัวเอง เหมือนเวลาที่ไหลไปอย่างรวดเร็วนั้นกลับกลายเป็นไหลไปอย่างเชื่องช้าแทบจะหยุดนิ่ง ฉันไม่อยู่ในสภาพที่จะรับรู้อะไรรอบตัว กลางวันนั้นฉันทำได้แต่เดินเตร่ไปตามถนนที่เปียกเพราะหิมะ ไม่ว่าคนอย่างฉันจะอยู่ที่ไหนก็ดูเหมือนโชคจะไม่อยู่ที่นั่นด้วย ฉันมันมนุษย์อับโชค ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่ารอบตัวมืดลงเรื่อย ฉันหยุดเดินตรงหน้าร้านดอกไม้ที่เปิดไฟสว่างสดใสไม่ห่างจากสถานีรถไฟนัก ภายในร้านดูสวยงามและอบอุ่น มีลูกค้าเดินเลือกดอกไม้อยู่บางตา ในระหว่างที่มองอยู่นั้นฉันก็รู้สึกได้ว่ามีคนเดินเข้ามาหา เพราะเงาของเขาสะท้อนจากกระจกหน้าร้านด้านหน้า
“คุณครับ” เสียงของเขาดูคุ้นหูฉันเหลือเกิน เมื่อฉันหันกลับไปก็พบกับชายคนหนึ่ง รูปร่างผอมเล็ก ผิวของเค้าขาวมากจนดูเหมือนจะซีด เขาใส่สูทบางๆที่ดูเหมือนจะไม่เรียบร้อยนัก ในมือถือกระเป๋าใบใหญ่กับร่มพกสีเทา หน้าตาของเขาน่ามองด้วยนัยตาที่ดูสดใส แต่ขัดแย้งกับใบหน้าที่ดูซีดเซียวไม่มีสีเลือด
“เอ่อ คะ” เขาดูตกใจน้อยๆที่ฉันตอบรับ
“คือว่าผม คือ” เขาเอามีล้วงเข้าไปในกระเป๋าที่ถือมา เหมือนจะล้วงหาอะไรสักอย่างแต่รออยู่นานเขาก็หาไม่เจอเสียที ฉันเริ่มรู้สึกแปลกๆ หรือเขาจะมาจี้ฉัน เขากำลังจะล้วงหาปืนอยู่รึเปล่า ฉันก็บ้ายืนรอให้เขาจี้เสียนิ พอเห็นเขากำลังตั้งใจหาของอยู่ ฉันจึงค่อยๆขยับออกห่างทีละน้อย ก่อนจะหันกลับแล้วสาวเท้าหนีอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเห็นดังนั้นก็รีบเดินตามมา
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ ผมจะคืนของให้คุณน่ะครับ”
“คืนของให้ฉัน เอ่อ..ไม่ทราบว่าเรารู้จักกันด้วยหรือค่ะ”
“ก็คงไม่รู้จักกันหรอกครับ แต่บังเอิญผมเก็บปากกานี่ได้เมื่อเช้า” เขาพูดพร้อมยื่นปากกาที่ฉันทำตกบนรถไฟคืนให้กับฉัน
“ขอบคุณมากค่ะ” ฉันกล่าว ดูเหมือนตอนนี้สีหน้าของเขาจะดูมีชีวิตชีวากว่าเดิมมาก
“เอ่อ..คือ ผมมารุมัทสึ โทชิยูกิ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ เอ่อ..ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องตอบก็ได้ เอ่อ..แต่ถ้าตอบได้ผมก็จะดีใจมาก คือว่า..ผมน่ะ เอ่อ..คือผมอยากจะรู้จักคุณ”
“เอ๋..?” ฉันอุทานด้วยความสงสัย เขากำลังเมาหรือเป็นที่ฉันกำลังมึนกันแน่นะ
“ฉัน ฮาชิโมะโตะค่ะ” จะเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ฉันก็ตอบคำถามเขา ดูเขาจะพอใจมากจนสีหน้าที่ซีดในตอนแรกเปลี่ยนเป็นสีชมพู ซึ่งก็คงไม่ต่างอะไรกันกับฉันในตอนนี้ที่รู้สึก
“โธ่ ทำไมต้องลงมาตอนนี้นะ “ วันนี้เป็นวันประเมินบุคคลของบริษัท หลังจากทำงานทุกสามเดือนบริษัทจะจัดให้มีการประเมินผลบุคลากร และวันนี้จะฉันโดนประเมินเป็นครั้งแรก โดนประเมินในสภาพโทรมๆจากการวิ่งฝ่าหิมะนี่ไป ฉันเริ่มมองหาของรอบตัวที่จะพอกันตัวเอง คงต้องใช้ประเป๋าเอกสารนี่แหละ
“คุณ” เสียงใครดังแว่วมาจากด้านหลัง ฉันหันไปมองหาต้นเสียง แต่ท่ามกลางคนที่มากมาย ฉันจึงไม่ทราบว่ามันมาจากไหน และที่สำคัญฉันไม่มีเวลาพอจะหาแล้ว ฉันจึงรีบเอากระเป๋าบังตัวแล้วออกวิ่งอย่างสุดชีวิต
..
“คุณฮาชิโมะโตะ”
“ .”
“คุณฮาชิโมะโตะ  เรียวโกะ”
“ค่ะ”  ฉันไม่กล้าสบตากับหัวหน้าของฉัน คุณยาบุขิเป็นหัวหน้าที่น่าเกรงขามคนหนึ่งในฝ่ายประสานงานที่ฉันอยู่
“ผมไม่ทราบว่าคุณคิดยังไงของคุณ ตั้งแต่เริ่มงานที่นี่ดูเหมือนคุณไม่ค่อยเต็มใจมาทำงานเลย”
“ขอโทษค่ะ” ฉันกล่าวได้แค่นี้
“ผมไม่ได้ต้องการคำขอโทษ”
“ขอโทษค่ะ” ฉันก็ยังเผลอหลุดปากออกไปพร้อมกับโค้งตัวลง
“นี่ เข้าเดือนที่สามแล้ว จากนี้ไปผมคงช่วยอะไรคุณไม่ได้ รีบลงไปหาฝ่ายบุคคลซะ หวังว่าเขาคงไม่เห็นชื่อคุณในบันทึกหรอกนะ”
ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับการไปฝ่ายบุคคลครั้งนี้ และแล้วไม่นานฉันก็ได้คำตอบ
“คุณโดนพักงาน 2 เดือน”
“อะไรนะค่ะ” ฉันฟังไม่ถนัด
“พักงาน 2 เดือน”
“เดี๋ยวสิค่ะ ก็ฉันอธิบายไปแล้วว่า ”
“ก็เพราะเราเข้าใจว่าคุณยังปรับตัวไม่ทัน เราเลยให้เวลาคุณไปปรับตัวไง”
ฉันนั่งแข็งทื่อรู้สึกชาทั้งตัว นี่หรือที่ฉันบอกกับตัวเองที่โกเบว่าฉันจะมาเริ่มต้นใหม่ ทำไมฉันไม่รักษาคำพูดของตัวเอง ฉันไม่ซื่อสัตย์กับตัวเอง เหมือนเวลาที่ไหลไปอย่างรวดเร็วนั้นกลับกลายเป็นไหลไปอย่างเชื่องช้าแทบจะหยุดนิ่ง ฉันไม่อยู่ในสภาพที่จะรับรู้อะไรรอบตัว กลางวันนั้นฉันทำได้แต่เดินเตร่ไปตามถนนที่เปียกเพราะหิมะ ไม่ว่าคนอย่างฉันจะอยู่ที่ไหนก็ดูเหมือนโชคจะไม่อยู่ที่นั่นด้วย ฉันมันมนุษย์อับโชค ยิ่งเดินก็ยิ่งรู้สึกว่ารอบตัวมืดลงเรื่อย ฉันหยุดเดินตรงหน้าร้านดอกไม้ที่เปิดไฟสว่างสดใสไม่ห่างจากสถานีรถไฟนัก ภายในร้านดูสวยงามและอบอุ่น มีลูกค้าเดินเลือกดอกไม้อยู่บางตา ในระหว่างที่มองอยู่นั้นฉันก็รู้สึกได้ว่ามีคนเดินเข้ามาหา เพราะเงาของเขาสะท้อนจากกระจกหน้าร้านด้านหน้า
“คุณครับ” เสียงของเขาดูคุ้นหูฉันเหลือเกิน เมื่อฉันหันกลับไปก็พบกับชายคนหนึ่ง รูปร่างผอมเล็ก ผิวของเค้าขาวมากจนดูเหมือนจะซีด เขาใส่สูทบางๆที่ดูเหมือนจะไม่เรียบร้อยนัก ในมือถือกระเป๋าใบใหญ่กับร่มพกสีเทา หน้าตาของเขาน่ามองด้วยนัยตาที่ดูสดใส แต่ขัดแย้งกับใบหน้าที่ดูซีดเซียวไม่มีสีเลือด
“เอ่อ คะ” เขาดูตกใจน้อยๆที่ฉันตอบรับ
“คือว่าผม คือ” เขาเอามีล้วงเข้าไปในกระเป๋าที่ถือมา เหมือนจะล้วงหาอะไรสักอย่างแต่รออยู่นานเขาก็หาไม่เจอเสียที ฉันเริ่มรู้สึกแปลกๆ หรือเขาจะมาจี้ฉัน เขากำลังจะล้วงหาปืนอยู่รึเปล่า ฉันก็บ้ายืนรอให้เขาจี้เสียนิ พอเห็นเขากำลังตั้งใจหาของอยู่ ฉันจึงค่อยๆขยับออกห่างทีละน้อย ก่อนจะหันกลับแล้วสาวเท้าหนีอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาเห็นดังนั้นก็รีบเดินตามมา
“เดี๋ยวก่อนสิคุณ ผมจะคืนของให้คุณน่ะครับ”
“คืนของให้ฉัน เอ่อ..ไม่ทราบว่าเรารู้จักกันด้วยหรือค่ะ”
“ก็คงไม่รู้จักกันหรอกครับ แต่บังเอิญผมเก็บปากกานี่ได้เมื่อเช้า” เขาพูดพร้อมยื่นปากกาที่ฉันทำตกบนรถไฟคืนให้กับฉัน
“ขอบคุณมากค่ะ” ฉันกล่าว ดูเหมือนตอนนี้สีหน้าของเขาจะดูมีชีวิตชีวากว่าเดิมมาก
“เอ่อ..คือ ผมมารุมัทสึ โทชิยูกิ ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรครับ เอ่อ..ถ้าลำบากใจก็ไม่ต้องตอบก็ได้ เอ่อ..แต่ถ้าตอบได้ผมก็จะดีใจมาก คือว่า..ผมน่ะ เอ่อ..คือผมอยากจะรู้จักคุณ”
“เอ๋..?” ฉันอุทานด้วยความสงสัย เขากำลังเมาหรือเป็นที่ฉันกำลังมึนกันแน่นะ
“ฉัน ฮาชิโมะโตะค่ะ” จะเพราะเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ฉันก็ตอบคำถามเขา ดูเขาจะพอใจมากจนสีหน้าที่ซีดในตอนแรกเปลี่ยนเป็นสีชมพู ซึ่งก็คงไม่ต่างอะไรกันกับฉันในตอนนี้ที่รู้สึก
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น