ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    "No STATUS - สถานะที่ไม่มีชื่อ" - [Fic SNSD. JeTi, Yulsic]

    ลำดับตอนที่ #4 : SISTER

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 58


    …SISTER…

     

                จอง อึนเฮในชุดผ้ากันเปื้อนกระวีกระวาดจัดเตรียมอาหารในห้องครัวตั้งแต่เช้ามืด นางไม่ ยอมให้ลูกสาวตัวดีแตะต้องอะไรเลย ซึ่งความจริง เจสสิก้าก็ไม่คิดจะแตะต้องอะไรอยู่แล้วล่ะ เธอ ปล่อยให้ผู้เป็นมารดาจัดเตรียมอาหารสำหรับเธอและทิฟฟานี่ไป แม้ว่าทิฟฟานี่พยายามที่จะเสนอ ตัวเข้าช่วยหลายครั้งหลายหนแต่ก็ไม่เป็นผล... ไม่นานนัก ชุดจานอาหารเช้าน่าตาน่ารับประทานที่ สุดในสามโลกก็ถูกเสริฟต่อหน้าสองสาว

     

                “จะทานให้อร่อยเลยนะคะ”

     

                เจสสิก้าและทิฟฟานี่กล่าวก่อนลงมือรับประทานอาหาร พลันขณะที่จอง จุนซูเดินออกมา ที่โต๊ะอาหารพอดี

     

                “นึกว่าสาวที่ไหนมาบ้านพ่อนะเนี่ย”

     

                “สวัสดีค่ะ คุณพ่อ”

     

                ทิฟฟานี่หยุดการรับประทานเพื่อทักทายคุณจอง เพราะเมื่อคืนหล่อนไม่ทันได้พบกับเขาที่ เลิกจากที่ทำงานมาก็ตี 2 แล้ว

     

                “มาเยี่ยมเจสซี่เฉยๆหรอลูก”

     

                “ก็... ไม่เชิงหรอกค่ะ คุณพ่อ ฟานี่มาคุยงานที่ค้างไว้ต่อช่วงคริสต์มาส การได้มาเยี่ยมที่นี่ เป็นผลพลอยได้น่ะค่ะ”

     

                ใช่ซะเมื่อไหร่กันล่ะ... การตั้งใจมาที่นี่เพื่อมาหาเจสสิก้านั่นแหละ คือเหตุผลหลักและเหตุผลเดียวของทั้งหมด เจสสิก้าทราบดีอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร...

     

                “เสียดายที่มาแค่วันเดียวเองนะหนูฟานี่ น่าจะอยู่ยาวๆกว่านี้อีกนิด ไหนๆก็มาทั้งที เจสซี่ ลองชวนพี่ฟานี่อยู่ต่อไม่ได้หรอไง เราอ่ะ”

     

                อึนเฮเสริมอย่างเสียดาย เพราะทิฟฟานี่จะกลับวันนี้แล้วหลังกินอาหารเช้าเสร็จ เพราะนาง อดทำอาหารเมนูใหม่ๆที่นางอยากทำตั้งนานแล้ว แต่สองพ่อลูกไม่เคยอยู่กลับมากินเลย ถ้ามีทิฟฟานี่มาอยู่ สองคนนี้ก็จะมีเรื่องให้ได้กลับมากินข้าวที่บ้านทุกครั้ง

     

                “โถ่... แม่ พี่ฟานี่เขาลาได้แค่ 2 วันนี่แหละ หัวหน้าที่นู้นหน้าเลือดจะตาย”

     

                เจสสิก้าระบายออกมาบ้าง แต่ก็ต้องหยุดไปเมื่อเห็นสายตาปรามของทิฟฟานี่ งานของ ทิฟฟานี่คือเป็นผู้จัดการโรงเรียนอนุบาลเล็กๆ แต่หล่อนถูกใช้งานเกินขอบเขตหน้าที่มาก และยัง เกินเวลา ไม่มีวันหยุด ลาได้ยาก เงินเดือนต่ำกว่าวุฒิ โอ้ย... เยอะแยะอธิบายไม่ถูก เจสสิก้าต้อง สงบสติอารมณ์บ่อยมากเมื่อพูดถึงเรื่องที่ทำงานของทิฟฟานี่

     

                “สิก้าก็พูดไป... หัวหน้าเขาไม่ได้ใจร้ายกับพี่อย่างนั้นหรอก”

     

                ความจริงแล้ว...ทิฟฟานี่อายุมากกว่าเจสสิก้า 6 ปี หล่อนเป็นรุ่นพี่ที่เคยเรียนด้วยกันมา ของเจสสิก้า แม้ว่าพอเป็นแฟนกันคบกันแล้วจะเรียกกันเหลือแค่ชื่อ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ไม่ได้เปิดเผย และทางครอบครัวก็ไม่มีใครทราบเรื่องความสัมพันธ์นี้ ทั้งคู่เลยต้องคุยกันเปรียบ เสมือนพี่กับน้องทั่วไป

     

                “ความจริงฟานี่ก็เสียดายค่ะ อยากอยู่นานๆเหมือนกัน แต่ฟานี่ลาที่ทำงานได้แค่ 2 วัน เท่านี้จริงๆ”

     

                ทิฟฟานี่ตอบคำถามอย่างใจเย็น... ทั้งบ้านใช้เวลาบนโต๊ะอาหารอีกประมาณ 10 นาที ก่อนที่จะร่ำลาแยกย้ายกันทำงาน เจสสิก้าก็ต้องไปส่งทิฟฟานี่ที่สนามบิน

     

    ...................................

     

                เจสสิก้ากลับมายังที่ทำงาน วันนี้เธอแจ้งแล้วว่าเธอเข้าช้ากว่าปกติ ซึ่งก็ดีที่เธอไม่ได้มี คาบสอนในตอนเช้า การเป็นนักศึกษาฝึกสอนในโรงเรียนที่ท้ายที่สุด พ่อของเธอก็เข้ามาเป็นหนึ่ง ในหุ้นส่วนผู้บริหาร บางครั้งมันก็ดี... ความจริงเจสสิก้าพยายามที่จะทำทุกอย่างด้วยลำแข้งของ ตัวเธอเอง หาทุนเรียเอง สมัครงานเอง แต่ครอบครัวก็ไม่ปล่อยเธอซะทีเดียว

     

                “เจสสิก้า”

     

                เสียงของหัวหน้าคุณครูเรียกเจสสิก้าไล่หลังเธอมา

     

                “วันนี้อ.เดวิดขอลา ไม่มีครูฝรั่งคนไหนอยู่เลย ขอเจสสิก้าไปสอนแทนในคาบต่อไปนี้จะ ได้ไหมจ๊ะ เดี๋ยวจะนับเป็นคาบฝึกสอนพิเศษให้เลย”

     

                “ได้สิคะ... สอนห้องไหนหรอคะ”

     

                “ห้องครูยูริแหละจ้ะ ขอบใจมากเลยนะจ๊ะ”

     

                โดยที่ถือว่าเจสสิก้าตกปากรับคำแล้ว หัวหน้าระดับแทบไม่รอฟังคำตอบใดๆจากเธออีก เลย เหลือแต่เจสสิก้าที่นั่งอึ้งอ้าปากค้างตามหลังหล่อนไป นี่ไม่มีใครสังเกตกันจริงๆใช่ไหม ว่าเธอ กับยูริไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และยังมาจับคู่งานให้เป็นบัดดี้กันอย่างเมื่อก่อนอยู่ได้ เจสสิก้ากลืนก้อนเหนียวๆลงคออย่างยากเย็น ทั้งๆที่ภายในใจเธอกลับเต้นระส่ำเมื่อคิดว่า... กำลัง จะได้เจอกับยูริ พลันเธอก็นึกถึงหน้าทิฟฟานี่เมื่อเช้า ระหว่างที่ไปส่งคนรักเดินทางกลับขึ้นมาได้

     

                “ฟานี่ไม่อยู่แล้ว ห้ามดื้อนะคะ เข้าใจมั้ย”

     

                ทิฟฟานี่เอ่ยคำสั่งลา ขณะที่ทั้งคู่ต้องแยกกันแล้วจริงๆ

     

                “ค๊าาาาา”

     

                “กลับไปก็ตั้งใจทำงาน ส่วนบุหรี่น่ะ ฟานี่ให้สูบได้ แต่ห้ามบ่อย ห้ามติด ถ้าจำเป็น หลีกเลี่ยงไม่สูบได้ก็ไม่ต้องสูบ อย่ากลับไปติดมันนะคะ ที่รัก”

     

                “รับทราบแล้วค๊า”

     

                “แล้วเรื่องผู้หญิงคนนั้น ห้ามเด็ดขาดนะคะ สิก้า ตัดแล้วตัดเลย ฟานี่ให้โอกาสสิก้าแล้ว สิก้าต้องทำให้ได้ แต่ถ้าสิก้าทำไม่ได้ สิก้าบอกเค้านะ... เค้าจะได้ไม่ต้องคาดหวัง...”

     

                เจสสิก้ารับหน้านิ่ง เธอแค่อยากแสดงให้ทิฟฟานี่เห็นว่าในเรื่องนี้เธอซีเรียสจริงจังนะ

    แต่ก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบกับคำขอของหล่อน

     

                “ห้ามใดๆทั้งสิ้น ยกเว้นเรื่องงานเรื่องเดียว !

     

                เจสสิก้าไม่รอให้ทิฟฟานี่พูดจบ เธอใช้มืออีกข้างที่เหลือจากการจับมือทิฟฟานี่เอื้อมไป ที่หลังคอของหล่อนเพื่อหันกลับมาให้รับรสจุมพิตของเธอแทนคำตอบทุกอย่าง ซึ่งทิฟฟานี่ก็ยอม โอนอ่อนโน้มตัวเข้าหารสจูบนั้นอย่างว่าง่าย เพราะหล่อนรักรอยจูบของเจสสิก้าเหลือเกิน...

                ทั้งคู่ชอบที่จะไปไหนมาไหนด้วยกันในที่ที่ไม่มีคนรู้จัก ข้างนอกอื่นไกลที่พวกเธอทั้งคู่จะ สามารถแสดงความรักต่อกันได้อย่างเปิดเผยในระดับหนึ่ง เฉกเช่นว่าเป็นคู่รักกันจริงๆแบบนี้

     

                .....................................

     

                เจสสิก้ากัดฟันเดินไปยังห้องประจำของยูริ เธอต้องทนให้ไหว ต้องทำตัวเป็นปกติ ด้วย ความจริงเธอก็อยากรู้ว่ายูริจะวางตัวต่อเธออย่างไร เมื่อ 1 อาทิตย์ที่ผ่านมา หล่อนพยายามจะหนี หน้าเธอตลอดแบบนี้ เจสสิก้าเคาะห้องสามที ก่อนจะเปิดเข้าไปข้างใน...

                ยูริเธอนั่งอยู่ตรงนั้น สวมเสื้อคลุมเสื้อน้ำเงินที่เธอชอบใส่ประจำ ผมสีดำปล่อยสยายอยู่ ข้างๆประบ่าของเธอ ยูริไม่ได้มองขึ้นมาที่ผู้มาใหม่แทบจะในทันที แต่เป็นอีกสองวินาทีนับจากนั้น ราวกับว่าเธอทราบอยู่แล้วว่า ใครจะเดินเข้ามา

     

                “อันยองค่ะ ออนนี่... นี่พัสดุของออนนี่ หัวหน้าชินเฮฝากให้เมื่อวานค่ะ”

     

                เจสสิก้ารีบพูดออกมาโดยเร็ว พร้อมยื่นห่อของสีน้ำตาลให้ยูริราวกับเธอกลัวว่าจะไม่ได้พูด เจสสิก้าส่งยิ้มที่คิดว่ากว้างที่สุดให้ยูริก่อนที่ยูริจะพูด หรือแสดงสีหน้าใดบนใบหน้าเสียอีก

     

                “ขอบใจมากจ้ะ” ยูริตอบสั้นๆ

     

                “ความจริงเขาให้ออนนี่สอนคนเดียวก็ได้นะเนี่ย แม้ไม่มีครูฝรั่ง ออนนี่ออกจะเก่งภาษา อังกฤษขนาดนี้”

     

                “...^_^...”

     

                แหง่ว !! ไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆที่แย่ไปกว่ารอยยิ้มฝืดๆแบบนี้อีกแล้ว เจสสิก้าอยากจะ fade out ตัวเองให้หายไปจากที่นี่ทันที เธอเกลียดความผิดหวัง และที่ชัดเจนคือยูริไม่ทำตัวเหมือน เดิมกับเธอ ทำไมกันล่ะ พี่สาวคนนี้ของเธอไม่เข้าใจหรือไงว่านี่มันเป็นการเจอกันในที่ทำงาน เวลา งานนะ พวกเราคุยกันได้นะ ออนนี่...​ไม่เห็นต้องเย็นชาแบบนี้เลย

     

                “เธอต้องไปเตรียมตัวหน้าชั้นแล้วล่ะ สิก้า คลาสกำลังจะเริ่มแล้ว”

     

                ยูริเงยหน้าจากกองเอกสารของหล่อนและกล่าวกับเจสสิก้าในที่สุด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ ใจของเจสสิก้าชื้นขึ้นเลย...

                การสอนในคลาสนี้เป็นไปอย่างเรียบร้อยไม่มีปัญหา เจสสิก้าสามารถใช้พื้นฐานภาษาอังกฤษที่มีอยู่ในธรรมชาติของเธอได้อย่างคล่องแคล่ว แม้ความจริงแล้ว บรรยากาศการสอนวันนี้จะออกมา “ไม่เป็นธรรมชาติ” ที่สุดก็ตาม

     

                “คุณครูยูริ คุณครูเจสสิก้าคะ หนูอยากเห็นคุณครูสองคนเต้น cover ด้วยกันอีก เหมือน งานประจำโรงเรียนครั้งนั้น ถ้ามีอีกให้หนูไปเต้นด้วยนะคะ”

     

                เสียงของเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งฝ่าวงล้อมเข้ามาหาคุณครูสองคนที่ต่างก็พากันกำลัง เก็บของอย่างเงียบเชียบ เจสสิก้ารีบตอบขึ้นในทันที

     

                “ได้สิจ๊ะ เอาเพลงอะไรดี / ยูจิน เธอต้องรีบไปเรียนคลาสต่อไปที่ตึกสามหนิ รีบไปซะ”

     

                ยูริตัดบทสนทนาทั้งหมด ราวกับคำขอของเด็กนักเรียนที่ตอนนี้ยืนเหวออยู่กับคุณครูฝึก สอนอีกคนเป็นแค่อากาศ เด็กน้อยยูจินต้องรีบบอกลาและวิ่งไปเรียนต่อ เหลือก็แต่ครูสาวที่ยังคง ยืนนิ่งและมองไปที่พี่สาวของเธออย่างตัดพ้อ แต่ยูริไม่ได้มองมาที่เธอเลย หล่อนยังคงเก็บของต่อไป เมื่อเสร็จสิ้นยูริก็จะเดินออกไปหน้าตาเฉย !

     

                “ออนนี่ !

     

                เจสสิก้าเรียกชื่อ ที่เป็นเสมือนชื่อเรียกยูริไปแล้ว เธอไม่ได้เรียกแค่เพราะเป็นชื่อเรียก พี่สาว แต่เธอเรียกเป็นชื่อของยูริ เธอแทบจะไม่เคยเรียกหล่อนว่า พี่ยูริ เลยตั้งแต่รู้จักกันมา จนทำให้ดองวุค น้องชายคนสนิทที่ชอบไปไหนมาไหนด้วยกันสามคนก็เรียกตามเจสสิก้าด้วย ถึงแม้ว่าความจริงเขาควรจะเรียกยูริว่า นูน่า ก็ตาม...

     

                “ฮื้ม...”

     

                ยูริตอบรับคำขานหน้าตาเฉยชา แต่ก็ยังไม่หยุดการกระทำที่จะเดินออกไปจากตรงนี้ ผิดกับเจสสิก้าที่สีหน้าตอนนี้ไม่สู้ดีแล้ว

     

                “ออนนี่...​อย่าพึ่งไปค่ะ”

     

                เจสสิก้ากล่าวเสียงอ่อย ในใจเธอตีกันวุ่นวาย ความจริงเธอก็รู้ว่ากล่าวโทษยูริไม่ได้ที่เรื่อง มันเป็นแบบนี้เพราะเธอเลือกเองทั้งนั้น และที่ยูริทำก็ไม่ได้ผิดอะไรกับการที่ไม่คุยกับเธอ แต่ว่า เจสสิก้ากลับรู้สึกแย่มาก และเธอไม่มีความสุขเลยกับการที่ไม่ได้คุย ไม่ได้ทักกันแบบนี้ มันราวกับ ว่าทั้งคู่ไม่ใช่พี่น้องที่เคยสนิทกัน รักกันมากๆมาก่อนหน้านี้เลย เธอไม่โอเคเลย...

     

                “สิก้า... พี่มีไปสอนต่อน่ะ”

     

                ยูริไม่รีรอให้เจสสิก้ารั้งเธอไว้มากกว่านี้ ช่างเป็นภาพที่เจ็บปวดแต่ก็น่าขบขันยิ่งนัก หากว่า ทั้งยูริและเจสสิก้าเป็นคนรักกัน และคนที่ทิ้งไปคือเจสสิก้า ซึ่งวันนี้เดินกลับมาหายูริ แต่ยูริผู้ซึ่งเจ็บ แล้วจำ ไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้า ตั้งใจจะหลบเลี่ยงอย่างเด็ดขาด แน่วแน่...​ภาพนี้ มันก็คงเป็น ความเจ็บปวดที่พอจะเข้าใจได้ แต่ความเป็นจริงแล้ว... มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ พวกเธอทั้งคู่เป็นอะไรกันหรือ? มีความจำเป็นใดๆที่ต้องห่างเหินกันตามคำขอของคนรักของอีกคน ทั้งที่ทั้งคู่ต่างก็มีคนรักของตัวเองแล้ว... สถานะของยูริกับเจสสิก้าคืออะไรนะหรือ? ถึงต้องอยู่ใน สถานกาณ์แบบนี้กัน ภาพเหล่านี้จึงเป็นความเจ็บปวดที่ทำใจให้เข้าใจได้ยากยิ่งนัก...

     

                ยูริเดินออกไปแล้ว... พร้อมๆกับน้ำตาของอีกคนที่เหลือในห้อง... ไหลอาบลงมา

     

                .....................................

               

                เวลา 17:30 น.

     

                คุณครูสาวดับบุหรี่ตัวที่สาม ตรงที่ดับบุหรี่ ก่อนจะลุกเก็บข้าวของ จ่ายเงินที่แคชเชียร์ และเดินออกมาที่รถเพื่อจะเดินทางไปที่หมายที่ตั้งใจไว้ เธอหยิบหมากฝรั่งมาเคี้ยว และพรมน้ำหอมที่มือ และตามจุดต่างๆเพื่อกลบกลิ่นบุหรี่ ก่อนจะเดินขึ้นไปยังคอนโดใกล้กับ โรงเรียน คีย์การ์ดถูกรูดเปิดห้องที่ไม่ใช่ห้องของเธอออก แต่ก็เป็นห้องที่เธอคุ้นเคยดี...

     

                อีกไม่นาน ออนนี่ก็จะขึ้นมา..

     

                สิบนาทีต่อมา เสียงคีย์การ์ดถูกรูด พร้อมด้วยประตูที่เปิดออกมาช้า ด้วยเจ้าของห้องยัง สาละวนกับกระป๋งกระเป๋ามากมายพะรุงพะรัง และไฟในห้องก็สว่างขึ้น...

     

                “จ๊ะเอ๋ ออนนี่” ^^

     

                เจสสิก้าโผล่มาจากด้านหลัง ด้วยเสียงร่าเริงที่สุดเท่าที่จะทำตัว ความตั้งใจครั้งนี้ของเธอ คือทำให้ทุกอย่าง... เป็นเหมือนเดิม ยูริดูตกใจเล็กน้อย แต่ก็ปรับสีหน้าแทบจะในทันที

     

                “บางทีเธอก้ควรคิดนะสิก้าว่า หลังจากวันนั้นแล้ว เธอควรเอาคีย์การ์ดมาคืนให้พี่ซะ แฟนเธอจะได้สบายใจไง”

     

                ยูริกล่าวไปพลาง เก็บของไปพลาง ออนนี่บึนปากกับประโยคที่สัมผัสได้ว่าประชุดแน่ๆ จากออนนี่ของเธอ นั่นทำให้เธอมั่นใจว่า ยูริไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก

     

                “ง่าาา ออนนี่อา...”

     

                เจสสิก้าเดินไปดักหน้าของพี่สาวที่กำลังจะไปเปิดตู้เย็น เธอยังไม่กล้าแตะต้องตัวยูริ เลยอยากจะขอเพื่อพิสูจน์ก่อน...

     

                “ขอกอดหน่อยจิ...

     

                หญิงสาวที่ตอนนี้แปลงร่างเป็นแมวน้อยขี้อ้อน ผายมือออกเพื่อขอคำตอบจากพี่สาว แต่ยูริเบ๋ปากใส่อย่างงอนๆทั้งๆที่อยากหัวเราะ

     

                “ม่ายยย...​ไปห่างๆเลยนะ”

     

                ว่าไปพร้อมกับกำลังจะเดินหนี แต่แมวน้อยตัวนั้นหาได้ฟังเสียงไม่

     

                หมับ...

     

                แมวน้อยจู่โจมกอดพี่สาวจากด้านข้างอย่างแน่นหนาในเวลาอันรวดเร็ว และพี่สาว... ไม่ได้ขัดขืนอะไร หล่อนปล่อยให้น้องสาวตัวดีกอดแต่โดยดี ชั่วเวลาสิบวินาทีแห่งความเงียบ

     

                “เค้าคิดถึงออนนี่...”

     

                “..........”

     

                “เราไม่เอาแบบนี้แล้วได้ไหม ออนนี่ เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมเถอะนะ  ฉันขอโทษ”

     

                เจสสิก้ากระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เธอพูดจากใจจริง ซึ่งยูริไม่ได้ตอบอะไร มืออีกข้าง เลื่อนมาลูบศรีษะของเจสสิก้าอย่างอ่อนโยนเบาๆ

     

                “ฉันไม่โอ.เลย ที่ออนนี่เมินฉันแบบนี้ เราไม่เอาแบบนี้แล้ว เปลี่ยนแผนกันเถอะนะ ออนนี่”

     

                “...แล้วใครเป็นคนเริ่ม? หืม”

     

                ถึงคราวเจสสิก้าต้องคลายอ้อมกอดกับคำถามนี้ ยูริไม่ได้ใช้น้ำเสียงรุนแรง หรือเย็นชา แต่ก็สัมผัมได้ถึงความตัดพ้อในน้ำเสียงนั้น

     

                “ง่าาา ออนนี่อา ฉันขอโทษ พี่ก็รู้ว่าฉันแค่อยากทำให้แฟนฉันสบายใจเท่านั้น ฉันไม่รู้จะ ทำยังไงดี แต่ไม่ได้อยากทำแบบนี้ ฉันบอกออนนี่แล้วไงว่าความจริงฉันไม่ได้อยากจะห่างพี่เลยนะ”

     

                แมวน้อยรีบอธิบายทุกอย่างด้วยร้อนรน ตอนนี้ยูริไม่ได้กอดเธอกลับ

     

                “แล้วตอนนี้กับแฟนเรา เป็นยังไงบ้าง? มันดีขึ้นไหมล่ะ ที่ทำแบบนี้”

     

                ยูริถามเสียงเบา ใช้มืออีกข้างลูบศีรษะคนตัวเล็กอย่างเอ็นดู เจสสิก้านิ่งกับคำถามนั้น ความจริงก็คือมันโอเคสำหรับความสัมพันธ์ของเธอกับทิฟฟานี่มาก ทิฟฟานี่เชื่อใจเธอได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และตัวเจสสิก้าเองก็สบายใจที่ไม่ต้องโกหกหล่อนอีกต่อไป แต่ว่าสำหรับความรู้สึกของเจสสิก้าเองคนเดียว สำหรับ “ความสุขของเธอ” เองคนเดียวนั้น ไม่มีเลย...

     

                “มัน... มันก็ดีขึ้นแหละ” เจสสิก้าตอบตามตรง

     

                “ก็ดีแล้วไง...” ยูริยังคงลูบหัวเธออยู่

     

                “แต่ฉันไม่โออ่ะ ออนนี่ ฉันคิดถึงพี่ พี่หายไปไหนมา พี่หลบหน้าฉัน ฉันไม่มีความสุขเลย ไม่เอาแบบนี้แล้วอ่ะ ออนนี่... เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะนะ”

     

                ในช่วงเวลาแห่งความต้องการของตนเองเป็นใหญ่ ไม่มีใครอยากปฏิเสธความสุขของ ตนเองที่มีอยู่ข้างหน้า ไม่มีใครอยากให้อะไรที่มันดีอยู่แล้ว แปรเปลี่ยนเป็นความทุกข์ทรมาณ ของการไม่มองหน้ากันหรอก...​ เจสสิก้าตัดสินใจทำสิ่งที่หัวใจต้องการ เธอตัดสินใจแล้วว่าไม่ ต้องการจะรับรู้ความทรมานจากการต้องห่างกับยูริอีก... มันไม่ใช่วิถีของเธอเลย เธออยากให้ยูริ กับเธอกลับมาเป็นพี่น้องที่สนิทกันเหมือนเดิม แม้ว่าจะต้องโกหกทิฟฟานี่ก็ตาม...

     

                “นะ ออนนี่นะ เรากลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมเถอะนะ”

     

                “ม่ายยยยอ่ะ”

     

                “ง่าาาาา”

     

                “ฉันไม่ใช่เพื่อนเธอ ฉันเป็นพี่สาว...”

     

                ยูริยิ้มคิ้วขมวดให้กับแมวน้อยที่กำลังทำหน้างอแงอยู่ข้างตัวเธอตอนนี้ ก่อนที่จะพากันนั่งลงที่โซฟาห้องรับแขก เจสสิก้ายังไม่ยอมคลายอ้อมกอดจาก “พี่สาว” ของเธอ ง่ายๆ

     

                “ก็นั่นแหละ...”

     

                เจสสิก้ารับอย่างจำใจ... ไอ้พวกชื่อเรื่องสถานะความสัมพันธ์น่ะ เธอไม่ได้กังวลเท่าใด เพราะจะพี่สาว น้องสาว พี่ชาย ลูกอิป้า อะไรที่ไหน ถ้าเธอสนิทด้วย... เธอเรียกว่า “เพื่อนสนิท” ทั้งหมดนั่นแหละ สำหรับยูริ... หล่อนก็เป็นทั้งเพื่อนสนิท และพี่สาวของเธอจริงๆนี่นา ถึงแม้ว่า เราจะพึ่งรู้จักกันไม่นานก็เถอะ

     

                “เราเป็นเหมือนเดิมกันเถอะนะ อออนี่ ฉันขอโทษที่ทำอย่างนั้นกับพี่ นะ นะ นะ”

     

                “..................”

     

                “น้าาาาาาาาาา”

     

                ยูริมะเหงกให้กับความขี้อ้อนของแมวเหมียว เพราะเรื่องลูกตื้อ ลูกอ้อนคงต้องยอมยกให้ เธอคนนี้คนเดียวจริงๆ

     

                “ความจริง... พี่ก็ไม่ได้โกรธเธอหรอก แต่แค่... เสียใจน่ะ”

     

                ความจริงจากปากของยูริทำให้แมวเหมียวหยุดนิ่งเพราะความอึ้ง ความรู้สึกผิดประเด ประดังเข้ามาในจิตใจ เธอมองสบตาพี่สาวที่ก็มองตาเธอตรงๆด้วยดวงตาสั่นระริก

     

                “พี่เสียใจนะ สิก้า... พี่คิดว่าเราเป็นพี่น้องกัน สนิทกันมากพอที่จะอธิบายให้กันเข้าใจได้ เมื่อมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น เธอกับทิฟฟานี่กลับไปคุยกันเอง ทะเลาะกันเอง เคยมาถามพี่สักคำไหม ว่าเรื่องมันเป็นยังไง จริงไหม ทำไม ให้พี่ช่วยอธิบายไหม? แต่นี่คืออะไร... สิก้าเลือกทำเอง จัดการเองหมด จนพี่รู้สึกว่า เหมือนเราเป็นแค่... คนรู้จักกัน เท่านั้น”

     

                พอถึงคราวยูริอ้าปากแล้ว เจสสิก้าไม่มีคำใดๆจะพูด จะแก้ตัว หรืออธิบายใดๆเลย เธอยอมก้มหน้ารับฟังอย่างเดียว โดยที่มือก็ยังขอสัมผัสไออุ่นจากมือพี่สาวไว้อยู่

     

                “ทีตอนพี่แทยอนมา พี่ยังพามาแนะนำให้สิก้ารู้จัก อยากพามาให้รู้จัก แต่ทำไมพอแฟน สิก้ามา ถึงไม่เคยบอกอะไรพี่เลย แล้วก็มามีปัญหากันเพราะตัวพี่อีก พอช่วงที่เราห่างกัน... เธอก็ ไปสนิทแต่กับดองวุค ทั้งๆที่เราก็สนิทกันมาทั้งสามคน พี่ก็น้อยใจเป็นนะ พี่เจอเรื่องแบบนี้พี่ก็เฟล เป็นนะสิก้า พี่ยอมรับว่าพี่ไม่อยากเจอหน้าเธอ ไม่อยากเจอหน้าใครเลย...”

     

                ยูริพูดรัวเสียงสั่นระริก น้ำตาที่ไหลคลอเบ้าจะไหลลงมาเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เจสสิก้ารีบมุดตัวเข้าไปซบที่อก โอบกอดพี่สาวเอาไว้เพื่อจะปลอบโยน แม้ท่ากอดนี้จะดูเหมือน ยูริกำลังกอดปลอบเธอมากกว่า

     

                “สิก้าขอโทษนะ ออนนี่ ขอโทษสำหรับทุกอย่าง...”

     

                แต่น้ำใสๆไหลออกจากตาเจสสิก้าไปเรียบร้อยแล้ว... สองพี่น้องยังคงกอดปลอบกันอยู่ เจสสิก้าที่พร่ำพูดแต่คำว่าขอโทษไม่รู้เท่าไหร่ แต่บรรยากาศในห้องก็ดีขึ้นกว่าที่เข้ามาในตอนแรก รวมถึงบรรยากาศความสุขในหัวใจของคนที่ทั้งคู่ที่ก็ค่อยๆมีมากขึ้นเช่นกัน...

     

    :::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×