ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic EXO] Silently::ไซเลนท์ลี่ CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #28 : Silently XXV::แก้แค้น [100%]

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.97K
      9
      27 ส.ค. 56

    Silently XXV

    แก้แค้น

    Author: Wi Lyn
     




     

     

    ผมรู้สึกเจ็บที่ข้อมือแล้วก็ข้อเท้ามาก อยากจะขยับตัวแต่ก็ดูจะเกินความสามารถในตอนนี้ หลังจากลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวเองถูกมัดมือมัดเท้าแบบนี้ ทำให้ผมกลัวมาก

     

    ก่อนความกลัวของผมจะเพิ่มขึ้น เมื่อผมเห็นจงอินนั่งคุยอยู่กับผู้ชายท่าทางน่ากลัวอีกหลายคน ก่อนทุกสายตาจะหันมามองผม แล้วเหยียดรอยยิ้มที่ผมมองว่ามันช่างน่าขยะแขยง

     

    ผมพยายามดิ้นจากพันธนาการนี้ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งเพิ่มความเจ็บปวดให้กับตัวเอง ทุกครั้งที่ขยับ เชือกที่มัดข้อมือก็บาดเนื้อผมจนตอนนี้รู้สึกแสบไปหมด

     

    “เจ็บมากมั้ย? พี่ยิ่งดิ้น เชือกมันยิ่งจะบาดลึกนะ” จงอินนั่งยองๆลงตรงหน้าผม ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างสนุกสนานที่เห็นผมพยายามแก้มัด

     

    ผมมองจงอินด้วยสายตาไม่ไว้ใจอย่างชัดเจน ผมไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร มีเหตุผลอะไรที่ทำกับผมแบบนี้ แต่ผมผิดหวังกับเขาที่สุด

     

    ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้มอบความเชื่อใจให้เขาเต็มร้อย แต่ผมก็ยัง.......ผิดหวัง

     

    อะไรกันนะ ที่ทำให้จงอินเปลี่ยนไป? อะไรที่ทำให้เขาน่ากลัวได้ขนาดนี้?

     

    “ผมรู้ว่าพี่ไม่เข้าใจว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ แต่อีกเดี๋ยวพี่ก็จะได้รู้ว่าสิ่งชั่วๆที่พ่อพี่ทำไว้กับพ่อผมครอบครัวผมมันเลวร้ายแค่ไหน” จงอินจับแก้มผมก่อนจะบีบมันแรงๆเหมือนอยากจะส่งความแค้นผ่านทางสัมผัส

     

     

     

     

    หมายความว่ายังไง?

     

     

    พ่อผมทำอะไรกับครอบครัวของเขา? จงอินกำลังพูดถึงเรื่องอะไรกันแน่?

     

     

    คิ้วของผมขมวดกันจนเป็นปม เพราะไม่ว่าจะคิดยังไงผมก็ยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่จงอินพูดอยู่ดี พ่อของผมล้มละลายด้วยเหตุผลอะไรผมก็ไม่ทราบ แล้วสุดท้ายพ่อกับแม่ของผมก็เสียชีวิต

     

    หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้รับข่าวสารอะไรอีกเลย เพราะป้าบอกว่าไม่รู้ก็จะเจ็บปวดน้อยที่สุด

     

    นี่มันอะไรกัน?

     

     

    พ่อของผมจะทำอะไรพ่อจงอินได้ยังไง? ในเมื่อท่านสองคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน...

     

     

    “พี่อย่าเพิ่งพยายามหาคำตอบเองสิ รออีกหน่อย เดี๋ยวพี่ก็จะได้รู้แล้ว” จงอินลูบแก้มของผมไปมาทำให้ผมสะบัดหน้าหนี

     

    แล้วผลสุดท้าย...

     

     

    จงอินก็ตบหน้าผม

     

     

    “พี่รู้มั้ยว่าผมรู้สึกยังไงทุกครั้งที่พี่ทำเหมือนรังเกียจผม เวลาผมสัมผัสตัวพี่ พี่เป็นแบบนี้เสมอ ทำไม ฮะ!!! ทำไม” จงอินจับแก้มผมแรงๆหลังจากตบหน้าผม

     

    เขาจับหน้าผมให้หันมาจ้องหน้าเขาตรงๆ สายตาของเขาที่กำลังใช้มองผม มันทำให้ผมเสียวสันหลังวาบ มันเหมือนสายตาเวลาเสือร้ายมองกระต่ายตัวเล็ก

     

     

    แล้วเขาก็เป็นเสือร้าย

     

     

     

     

    ส่วนผม...เหมือนกระต่ายไร้ทางสู้ในกำมือของเขา

     

     

     

    “สวดภาวนาให้ตัวเองเถอะ ผมหวังว่าพี่จะรอดพ้นคืนนี้นะ หึ!” จงอินหัวเราะในลำคอ พร้อมกับพูดสิ่งที่ทำให้ผมต้องตาค้าง

     

    จงอินกวาดสายตาไปทางผู้ชายหลายคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง ผู้ชายพวกนั้นล้วนแล้วแต่มองผมด้วยสายตาแทะโลม สายตาน่ารังเกียจของคนพวกนั้นกำลังทำให้ผมตัวสั่น

     

     

    สั่นเพราะรู้ว่าหลังจากนี้มันจะเกิดอะไรขึ้น

     

     

     

    “ผมจะไม่ฆ่าพี่ เพราะมันง่ายเกินไป ผมจะทำให้พี่รู้ว่าสิ่งที่ครอบครัวผมผ่านมา มันเลวร้ายแค่ไหน” จงอินลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง ก่อนจะเดินไปคว้าขวดเบียร์มาดื่ม

     

    ผมมองไปรอบตัวเพื่อจะหาสิ่งที่พอจะป้องกันตัวได้ แต่ก็ว่างเปล่า ที่นี่ไม่มีอะไรซักอย่าง ผมมองซ้ายขวาเพื่อหาจุดเด่นของที่นี่ก็พบเพียงแต่ว่ามันเป็นโกดังร้าง

     

    ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงรถวิ่ง ได้ยินแค่เพียงเสียงลมที่พัดไหวไปมา จนทำให้ผมหวั่นใจ

     

    หากผมเข้าใจถูก จงอินกำลังจะให้คนพวกนั้นทำร้ายผม ไม่ว่าจะทางไหน จุดหมายคือเขาต้องการให้ผมเจ็บปวด

     

     

    ทั้งที่สถานการณ์นี้ควรจะห่วงตัวเอง แต่ชั่วขณะหนึ่งผมกลับนึกขึ้นได้ว่าชานยอลจะเป็นยังไง? เรานัดกันตอนสามทุ่มนี่ก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนแล้ว

     

    เขาจะเกลียดผมแค่ไหนที่ปล่อยให้เขารอ เขาจะยังรอผมอยู่มั้ย?

     

    น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่ได้ แค่คิดว่าหลังจากวันนี้ที่ผมอาจจะไม่มีชีวิตกลับออกไป ความกลัวต่างๆนานาก็แล่นเข้ามาสู่จิตใจ

     

    ผมจะยังมีโอกาสกลับไปบอกชานยอลมั้ย? ว่าผมเองก็รักเขา ผมอยากจะตอบแทนเทา สำหรับมิตรภาพที่ดีที่เขามีให้เสมอมา

     

    อยากจะตอบแทนความรักของม๊าที่รักและดูแลผมเหมือนเป็นลูกอีกคน อยากขอบคุณพี่ชานมี อยากกลับไปตอบแทนบุญคุณป้าที่เลี้ยงดูผม

     

    หากว่า...หาก...หากจะมีโอกาสซักครั้งสำหรับผม ผมก็ขอมันซักครั้ง

     

    ครั้งนี้ผมกลัวเกินกว่าจะทำใจดีสู้เสือ ผมอยากไปให้พ้นจากที่นี่ ไม่อยากจะเสียเวลาอยู่ที่นี่กับคนพวกนี้ซักวินาทีเดียว

     

     

     

    เพราะบางที.....มันอาจจะทำให้ผมขาดใจได้

     

     

     

     

     

    โทรศัพท์มือถือคือสิ่งสุดท้ายที่พอจะช่วยชีวิตผมได้ แต่แล้วก็พบว่ามันไม่ได้อยู่ที่กระเป๋ากางเกง หันไปหาจงอินก็เห็นว่าเขากำลังโยนมันขึ้นลง เหมือนกับมันเป็นของเล่น

     

    “หาไอ้นี่อยู่หรอ?” จงอินพูดกับผมโดยไม่หันมามองหน้า สายตาของเขายังคงจับจ้องที่มือถือของผม

     

    “พี่นี่ท่าทางจะงานยุ่งน่าดู มีทั้งสายเข้า ข้อความเข้าไม่หยุด ผมรำคาญเลยกดตัดสายทิ้งให้ไง แล้วก็ถอดแบตเตอรี่มันออกเสียเลย” ความหวังเดียวของผมหายไปแล้ว

     

    แววตาสนุกสนานของจงอิน ทำให้ผมอยากจะหาเหล็กใหญ่ๆซักเส้นมาฟาดหัวเขาเหลือเกิน แต่แล้วก็คิดได้ว่านี่ไม่ใช่เวลามาคิดอะไรไร้สาระ

     

    สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือตั้งสติแล้วคิดหาทางออก ตอนนี้พึ่งใครไม่ได้แล้ว นอกจากตัวเอง...

     

     

     

    [ปาร์ค ชานยอล]

     

    “จงแด มึงจำได้มั้ย? ว่ารถคันนั้นที่แบคฮยอนขึ้นไป มันเป็นรถอะไร ป้ายทะเบียนมึงพอจะนึกออกมั้ย?” ผมรัวคำถามใส่จงแดชุดใหญ่ เพราะมันเป็นคนพบแบคฮยอน

     

    หวังว่ามันคงจะฉลาดพอที่จะจำรายละเอียดอะไรมาบ้าง

     

    “กูจำได้น่า รถตู้คันใหญ่สีขาว ป้ายทะเบียน AZ XXX” ผมเขย่าตัวจงแดเป็นการขอบคุณ ก่อนจะรีบแจ้งตำรวจในพื้นที่นอกเมืองนั้นให้ช่วยตามหาแบคฮยอน

     

    หลังจากที่ผมรับสายจงแด ผมก็รีบขับรถไปหามันจุดที่มันเจอแบคฮยอนทันที จากนั้นก็แจ้งตำรวจให้ช่วยตามหาแบคฮยอนอีกแรง ลำพังตัวผมคนเดียว

     

     

    ผมกลัว...

     

     

     

     

    กลัวว่ามันจะสายเกินไป

     

     

     

    ผมยืนรอผลจากตำรวจด้วยใจที่ร้อนรน ผมอยากจอแบคฮยอนให้ไวที่สุด ผมไม่อยากให้เกิดอันตรายกับเขา ทุกวินาทีที่ผ่านไป ทำให้ผมเหมือนจะขาดใจให้ได้

     

     

    ปาร์คชานยอลคนโง่...

     

     

     

    โง่ที่มักจะปล่อยให้เรื่องทุกอย่างมันเลวร้ายเสมอ

     

     

     

     

    “พบแล้วครับ รถตู้สีขาว ป้ายทะเบียน AZ XXX อยู่บริเวณโกดังร้างถนนสายที่ 14 ครับ” ผมรู้สึกใจชื้นขึ้นหลังจากได้รับรายงานจากตำรวจว่าพบรถคันดังกล่าว

     

    ผมรีบโดดขึ้นรถตำรวจทันที แล้วก็เอาแต่เร่งให้คุณตำรวจขับไวๆ เพราะใจผมมันไปถึงที่นั่นแล้ว

     

    ใช้เวลาซักพักรถตำรวจก็มาจอดที่โกดังร้างที่ว่า ผมหันไปมองก็เจอกับรถตู้สีขาวคันใหญ่ ก่อนที่ตำรวจส่วนหนึ่งจะล้อมโกดังจนทั่ว

     

     

    แล้วใจผมก็จะตกไปอยู่ตาตุ่ม เมื่อได้ยินเสียงของคนจำนวนมาก เหมือนพวกมันกำลังเล่นสนุกกับอะไรซักอย่าง ความกลัวแล่นเข้ามา จนมือผมเย็นไปหมด

     

    ตำรวจสองสามนายพยักหน้าตกลงกัน ก่อนจะพังประตูโกดังเก่าๆนั้นเข้าไป แล้วภาพที่ผมเห็นก็ทำให้หัวใจผมแทบจะสลาย

     

     

    น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัว รู้สึกอยากจะเอามีดปาดคอตัวเอง ภาพนั้นที่ทำให้ผมปวดใจ...

     

     

     

     

     

     






     

     

    --------------50%-------------

     

     

    ภาพแบคฮยอนที่โดนผู้ชายร่างกำยำสามคนรุม สองคนจับแขนของแบคฮยอนเอาไว้ คนตัวเล็กพยายามดิ้นจนสุดแรง ปากก็กรีดร้องทั้งที่ไม่มีเสียง

     

    ส่วนผู้ชายอีกคนก็กำลังทำเลวๆกับแบคฮยอน ความโกรธพุ่งขึ้นจนปรอทแตก ผมวิ่งเข้าใส่ผู้ชายคนนั้น จนมันผละออกจากแบคฮยอน ก่อนจะกระทืบมันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

     

     

    ผมกระทืบมันจนสลบเหมือด แต่ก็ยังไม่สาแก่ใจกับความเลวที่มันทำกับแบคฮยอน ผมยังคงกระทืบมันไปเรื่อยๆ หวังจะระบายความโกรธที่มันกำลังสุมอยู่ในใจ

     

    ครั้งแรกจริงๆที่ผมรู้สึกอยากจะฆ่าใครซักคน ผมกระทืบมันไป ร้องไห้ไป ยิ่งนึกถึงภาพตอนที่มันทำแบบนั้นกับแบคฮยอน ผมก็ยิ่งอยากจะกระทืบมันให้จมหายไปกับพื้นดิน

     

    ก่อนที่จงแดจะเข้ามาล็อคตัวผมเอาไว้ เมื่อชายคนนั้นนอนจมกองเลือดตัวเอง ผมสะบัดตัวออกจากการเกาะกุมของจงแด

     

    ก่อนจะทรุดลงกับพื้น แล้วร้องไห้ให้กับความผิดพลาดของตัวเอง ผมทำให้แบคฮยอนต้องอยู่ในสภาพนี้ ทั้งๆที่ผมบอกว่าจะปกป้องเขา ดูแลเขา

     

     

     

    แต่ผกลับผิดสัญญา เพียงเพราะความเห็นแก่ตัว

     

    ผมคลานเข้าไปหาแบคฮยอนที่ยังคงนอนอยู่กับพื้น เสื้อผ้าของคนตัวเล็กถูกฉีกจนกระจาย ผมต้องรีบถอดเสื้อคลุมมาปิดตัวเขาเอาไว้

     

    แบคฮยอนเหมือนคนไม่ได้สติ แววตาของเขาล่องลอย น้ำตาที่ไหลออกมาไม่หยุดของเขา เหมือนเข็มนับพันเล่มที่ทิ่มแทงหัวใจผม

     

    ผมได้แต่กอดเขาเอาไว้ ลูบหลังให้สติเขากลับมา ปากก็พร่ำคำขอโทษออกมาไม่หยุด

     

    ไม่มีเสียงสะอื้นหรือเสียงร้องไห้ มีเพียงแรงสะอื้นที่ไหล่เล็ก ทำให้ผมรู้ว่าเขาเองก็กำลังเสียใจแล้วก็เจ็บปวด

     

     

     

    เจ็บทั้งกายและใจ

     

     

     

     

    แล้วคืนนั้น คิมจงอินก็ถูกจับกุม...

     

     

    คิม จงอินที่กลับมาแก้แค้นให้กับพ่อของตัวเอง คิม ซูฮยอน

     

     

    เพราะพ่อของจงอินบอกกับลูกชายว่าตัวเองถูกพ่อของแบคฮยอนใส่ร้ายว่าเป็นคนยักยอกเงินบริษัท ทั้งที่ตัวเองก็ทำแบบนั้นจริงๆ

     

    จนเมื่อพ่อของแบคฮยอนจับได้ก็เลยไล่เขาออก แล้วก็เพราะความแค้น คนที่ทำให้พ่อกับแม่ของแบคฮยอนรถคว่ำก็คือพ่อของจงอิน

     

    แล้วหลังจากนั้นพ่อของเขาก็กลายเป็นอัมพาต นอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล อาการเดี๋ยวทรุด เดี๋ยวทรง

     

    สาเหตุที่จงอินกลับมาแก้แค้นนั่นก็เพราะคิมซูฮยอน ไม่อยากให้ลูกชายผิดหวังในตัวเอง เลยกุเรื่องขึ้นมาว่าพ่อของแบคฮยอนไล่เขาออก แล้วก็โยนความผิดเรื่องยักยอกเงินให้เขาเป็นแพะรับบาป

     

    คิมจงอินจึงกลับมาแก้แค้นแทนพ่อของตัวเอง โดยหารู้ไม่ว่าคนที่ทำความชั่วทุกอย่างก็คือพ่อของตัวเอง




    เขาตามสืบเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับแบคฮยอน จนรู้ว่าอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร แล้วก็ตามดูชีวิตประจำวันของแบคฮยอนทุกวัน โดยการจ้างคนแต่ละคนไม่ซ้ำหน้าเพื่อไม่ให้แบคฮยอนสงสัยหรือเอะใจ

     

    เมื่อผมรับรู้เรื่องทุกอย่างจากทั้งคำให้การของจงอินเอง แล้วก็พ่อของเขา ผมเองก็ตอบไม่ถูกว่าควรจะรู้สึกยังไง

     

     

    เพราะพ่อของจงอินบอกกับลูกชายตัวเองแบบนั้น ทำให้เขามาลงที่แบคฮยอน เหตุผลที่จงอินทำไปทั้งหมดก็เพื่อครอบครัว...

     

     

     

    “ชานยอล” เสียงเรียกเบาๆที่ดังขึ้นข้างๆตัวทำให้ผมต้องเงยหน้าขึ้นมอง

     

    ตอนนี้ผมนั่งอยู่ที่หน้าห้องพักคนไข้ในโรงพยาบาล แบคฮยอนถูกพามาส่งโรงพยาบาลหลังจากเหตุการณ์นั้น

     

    “ทำไมมานั่งอยู่ที่นี่ล่ะ ทำไมไม่เข้าไปข้างใน” ชานมีนั่งลงข้างๆผม พร้อมกับลูบหัวเพื่อปลอบใจ

     

    “ไม่กล้า ไม่กล้าสู้หน้าแบคฮยอน คนที่เคยสัญญาว่าจะดูแลเขา ปกป้องเขา แต่...แต่ผมเป็นคนทำให้เขาอยู่ในสภาพนี้ ฮึก ฮึก ผมไม่กล้ามองหน้าเขา” ผมร้องไห้ออกมาต่อหน้าทุกคนอย่างไม่อาย

     

    ชานมีจึงดึงผมไปกอดเอาไว้ แล้วก็ปลอบใจว่ามันไม่ใช่ความผิดของผม แต่มันไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยซักนิด ตรงกันข้าม มันกลับทำให้ผมรู้สึกแย่ลง

     

    ผมก้มหน้าร้องไห้ กอดเข่าตัวเองเอาไว้อย่างหาที่พึ่ง เวลานี้ผมอ่อนแอเกินไป อ่อนแอเกินกว่าจะปกป้องแบคฮยอน

     

    ผมไม่อาจลบภาพนั้นออกได้เลย ไม่ว่าจะพยายามลืมมันเท่าไร ผมก็ยังคงนึกถึงมันตลอด

     

    เหมือนมีใครเอาภาพนั้นมาฉายซ้ำๆให้ผมไม่สามารถที่จะลืมมันได้ ผมเจ็บปวดจนยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด

     

    ทำไมต้องเป็นแบคฮยอน? ทำไมกัน? ทำไม? ทำไมพระเจ้าถึงใจร้ายกับแบคฮยอนได้ขนาดนี้ ให้เขาเจอแต่เรื่องเลวร้ายทั้งๆที่เขาเป็นคนดีได้ยังไง?

     

    “เดี๋ยวพี่ดูชานยอลเอง พวกนายเข้าไปเยี่ยมแบคฮยอนก่อน ดูแลแบคฮยอนด้วยนะ” ชานมีหันไปสั่งกับบรรดาเพื่อนๆของผม รวมทั้งม๊าของเทาแล้วก็คุณป้าของแบคฮยอน

     

     

    “ชานยอล จะให้พี่บอกแกกี่ที ว่าความผิดมันไม่ใช่ของแก ถึงเราจะโทษคนพวกนั้นไปมันจะได้อะไรขึ้นมา ทุกอย่างมันจะเปลี่ยนแปลงมั้ย? สิ่งที่แบคฮยอนเสียไปมันจะเรียกกลับคืนมาได้หรือเปล่า? เวลาแบบนี้ แกไม่คิดว่าตัวเองควรจะเข้มแข็งเพื่อเป็นที่พึ่งให้แบคฮยอนหรอ?” ผมคิดตามที่ชานมีพูด

     

    มันใช่ที่ความผิดทุกอย่างไม่ใช่ของผม แต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกผิดต่อเขามากมายขนาดนี้ล่ะ ทำไมทุกครั้งที่ผมเห็นภาพตอนเขาถูกกระทำแบบนั้น ผมถึงรู้สึกอยากจะบีบคอตัวเองให้ตายขึ้นมาดื้อๆ

     

     

    รู้ดีว่าสภาพจิตใจของแบคฮยอนตอนนี้มันย่ำแย่ แล้วผมก็ควรจะเป็นที่พึ่งให้กับเขา คอยดูแลเขา ผมมั่นใจและกล้ายืนยันว่าไม่เคยรังเกียจสิ่งที่เกิดขึ้น

     

     

     

    ผมบอกแล้วไง ว่าเขาคือคนที่ผมรัก

     

    ต่อให้เขาผ่านสิ่งที่เลวร้ายมามากกว่านี้ ผมก็พร้อมจะอ้าแขนรับเขา ปกป้องเขา ...

     

    แต่ผมกลัว...

     

     

    กลัวว่าจะเป็นเขาเองนั่นแหละที่ปฏิเสธผม...

     

     

     

     

     

     

    “พี่ว่าแกเข้าไปดูแบคฮยอนเถอะ จะมานั่งอยู่ตรงนี้ตลอดไม่ได้นะ เกิดเขาไม่เห็นแกแล้วคิดว่าแกทิ้งเขาจะทำยังไง?” ชานมีลุกขึ้นยืน พร้อมกับส่งมือมาให้ผมจับเพื่อเป็นหลัก

     

     

    “ลุกเถอะชานยอล ถ้านายรักเขา อย่าได้ลังเลหรือปล่อยให้ทุกอย่างสายไปเหมือนที่ผ่านมา อย่ายอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายคนที่นายรัก เชื่อพี่นะ” ชานมีที่ยังคงเห็นว่าผมนั่งอยู่กับที่

     

    ก้มตัวลงมานั่งยองๆตรงหน้าผม สายตาอ่อนโยนที่ชานมีส่งมาให้ ทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจมากขึ้น ถึงแม้พี่สาวคนนี้จะชอบกวนประสาท

     

    แต่ก็พูดได้เลยว่า ยามที่ผมต้องการใครซักคน ชานมียืนอยู่ตรงนี้ ยืนอยู่ข้างๆผมเสมอ แม้เธอจะมีสามี มีลูกและครอบครัวต้องดูแลก็ตาม

     

    “ขอบคุณนะพี่” ผมส่งยิ้มให้ชานมีแล้วก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะจับลูกบิดประตูแล้วสูดหายใจเข้าเพื่อเรียกพลัง

     

     

    เปิดประตูเข้าไปก็ได้ยินเสียงคุยกันเอ็ดตะโรของพวกเพื่อนๆผม เทากับม๊าของเทานั่งอยู่ข้างเตียงคนไข้ ส่วนคุณป้าของแบคฮยอนก็กำลังจัดแจกันดอกไม้

     

    ผมเดินเข้าไปหาแบคฮยอนที่ยังคงหลับสนิทอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขามีรอยฟกช้ำหลายจุด ผมลูบใบหน้าเขาไปมา ไล้ผ่านบริเวณที่มีแผลของเขา แล้วก็กดจูบบริเวณนั้น

     

    หวังให้มันเป็นยาช่วยรักษาเขาจากภายใน ก่อนจะกดจูบที่หน้าผากของเขาเบาๆ

     

    “แบคฮยอน ฉันอยู่นี่แล้วนะ ต่อไปนี้จะไม่ไปไหนแล้ว ต่อให้นายไล่ฉันเหมือนหมู เหมือนหมาก็จะหน้าด้านดูแลนายแบบนี้แหละ” ผมกระซิบข้างหูคนหลับเพื่อหวังจะให้เขารับรู้ประโยคนี้แม้ในฝันก็ตาม

     

    ผมนั่งปักหลักรอแบคฮยอนฟื้นอยู่ที่ข้างเตียงคนไข้ จับมือเขาเอาไว้แล้วเพ่งมองใบหน้าน่ารักยามหลับตาพริ้ม ไม่รู้ว่าเพราะฝันร้ายหรืออะไร ที่ทำให้คิ้วของคนหลับขมวดเข้าหากัน

     

    ผมเห็นดังนั้นก็ใช้นิ้วนวดคลายบริเวณหัวคิ้วให้เขา แล้วก็ตามด้วยจูบเบาๆอีกหนึ่งที จึงทำให้แบคฮยอนเลิกขมวดคิ้วแล้วอมยิ้มน้อยๆทั้งที่ยังหลับอยู่แทน

     

     

    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไร ผมตื่นขึ้นมาหลังจากเผลอหลับไปซักพัก ก็เห็นแบคฮยอนนอนลืมตาโพลงมองเพดานห้องอยู่แล้ว

     

    “ตื่นแล้วหรอ? หิวน้ำมั้ย? หิวข้าวมั้ย?” แบคฮยอนหันมามองหน้าผมด้วยแววตาที่ผมเดาไม่ถูกว่าเขากำลังรู้สึกยังไง แต่เขาก็ส่ายหน้าปฏิเสธ



    “ทานแล้วหรอ?” แล้วแบคฮยอนก็พยักหน้าตอบกลับมา

     

    ผมลุกขึ้นยืน ก่อนจะนั่งลงที่เตียงคนไข้ข้างๆเขา เอามือลูบหัวเขาเล่นไปมา ผมอยากจะชดเชยช่วงเวลาที่เราขาดไป แม้จะไม่ได้เจอกันแค่เพียงเวลาสั้นๆ แต่ที่ผ่านมามันทำให้ผมรู้ว่าผมคิดถึงเขาเหลือเกิน

     

    เหตุการณ์ร้ายๆที่ผ่านเข้ามา สอนให้ผมตระหนักว่าเวลาทุกวินาทีมีค่านัก อย่าปล่อยให้เวลามันผ่านไปเฉยๆโดยที่เรายังคงนิ่งดูดาย

     

    หากวันหนึ่งเราเสียสิ่งนั้นไป จะได้ไม่มานั่งโทษตัวเองว่าเวลาที่ผ่านมา มัวทำอะไรอยู่...

     

     

    ผมกลัวว่าแบคฮยอนจะเบื่อ เลยเดินไปเปิดโทรทัศน์ให้เขาดูแก้เบื่อ ก่อนที่ภาพจากจอสี่เหลี่ยมจะสะกิดให้ผมรู้ตัวว่าเวลานี้ช่องที่เปิดอยู่เป็นช่องข่าวที่รายงานข่าวของจงอิน

     

    ผมกดเปลี่ยนช่องอย่างไม่ต้องคิด แล้วไปหยุดที่ช่องซีรี่ย์เรื่องหนึ่ง ก่อนจะชะงักอีกครั้งที่ละครเรื่องนั้นนางเอกโดนข่มขืน ผมหันไปมองหน้าแบคฮยอนก่อนจะยิ้มให้น้อยๆ

     

     

    ทีนี้ตัดสินใจกดรีโมตหาช่องการ์ตูนแบบไม่ต้องคิดเลยครับ ง่ายดีด้วย ผมพยายามเลี่ยงทุกอย่างที่จะทำให้เขาคิดถึงเหตุการณ์นั้น

     

    ผมหยุดที่ช่องการ์ตูนก่อนจะวางรีโมตลงที่โต๊ะหัวเตียงคนไข้ หันมายิ้มให้แบคฮยอนแล้วก็เดินไปหยิบจานสตรอเบอร์รี่ที่ม๊าของเทาเตรียมเอาไว้

     

    มาส่งให้แบคฮยอน คนตัวเล็กรับไปอย่างไม่อิดออด แถมยังจิ้มสตรอเบอร์รี่ใส่ปากผมอีกต่างหาก

     

    ผมส่งยิ้มให้เขาที่เห็นเขายิ้มได้อีกครั้ง แม้จะพอดูรู้ว่าเขาต้องฝืนมันมากแค่ไหน แต่ผมก็ยังดีใจ ที่คนที่ผมรักเข้มแข็งได้มากขนาดนี้

     

    เห็นความเข้มแข็งจากคนตัวเล็กๆแบบแบคฮยอนแล้ว ทำให้ผมเลือกที่จะเข้มแข็งเช่นกัน ผมจะอ่อนแอได้ยังไง ในเมื่อเขายังเข้มแข็งได้ขนาดนี้

     

    “นี่ม๊าเทาบอกว่าไม่อยากให้นายออกไปอยู่คนเดียว ม๊าเขาคิดถึงอ่ะ กลับไปอยู่กับม๊าดีมั้ย? ไอ้เทามันก็บ่นอยู่ทุกวันว่าเหงา ตั้งแต่นายย้ายออกไปอ่ะ” ผมหันไปบีบจมูกเขาเล่น ส่วนแบคฮยอนก็สะบัดหน้าไปมาอย่างน่ารัก

     

     

    ผมเห็นอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาชุดใหญ่ ไม่บ่อยนักที่แบคฮยอนจะทำท่าทางน่ารักให้เห็น ก่อนที่คนตัวเล็กจะทำท่าเขียนบนมือ

     

    ผมจึงเดินไปหากระดาษกับปากกามาให้เขา

     

    ไม่อยากรบกวนใครแล้ว อยู่ที่เดิมนั่นแหละ ฉันชอบที่นั่นนะแบคฮยอนเขียนใส่กระดาษก่อนจะส่งมันให้ผมอ่าน

     

    แล้วผมก็ขมวดคิ้วที่เขายังคงยืนยันจะอยู่คนเดียว ถึงแม้ว่าจงอินจะออกมาทำร้ายเขาไม่ได้แล้ว แต่อันตรายก็ใช่ว่าจะมีแค่นั้น แล้วผมก็กลัวเกินกว่าจะปล่อยเขาไว้คนเดียว

     

    หากเขาทำอะไรบ้าๆขึ้นมา ผมคงได้ขาดใจตายแน่ๆ ถึงแม้จะรู้ดีว่าคนน่ารักคนนี้เข้มแข็งมาก แต่ก็ยังอดหวั่นใจกับความอ่อนไหวของคนไม่ได้อยู่ดี

     

     

     

     

    เข้มแข็ง แต่ก็ใช่ว่าจะอ่อนแอไม่ได้...



    แต่ก็ป่วยการจะบังคับเขา ดูจากสีหน้าและท่าทางแล้ว เขาไม่อยากจะกลายเป็นภาระของใคร เขาอยากจะดูแลตัวเอง

     

     

    “โอเค อยู่ที่เดิมก็ที่เดิม ฉันไม่อยากบังคับนาย” ผมพยักหน้าเข้าใจเขาแล้วก็ลูบหัวเขาเล่น

     

    ก่อนที่พยาบาลจะเดินเข้ามาในห้องเพื่อให้ยาประจำวัน แบคฮยอนยังมีอาการช้ำจากภายในที่ต้องรักษา อีกทั้งต้องดูสภาพจิตใจว่าไม่มีอะไรผิดปรกติ

     

    ผมนั่งดูแบคฮยอนทานยาจนครบ มองจนพยาบาลออกจากห้อง แล้วก็รีบรุดไปยืนข้างเตียงคนไข้ ยาที่แบคฮยอนทานเข้าไปออกฤทธิ์ไวมาก จนทำให้คนตัวเล็กตาปรือ

     

    “ง่วงก็นอนซะนะ เดี๋ยวฉันนั่งอยู่ตรงนี้แหละ” ผมห่มผ้าห่มให้เขา ก่อนจะหันไปปรับอุณหภูมิภายในห้องให้อุ่นพอดี

     

    แบคฮยอนจับแขนของผมเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย จนผมต้องหันไปมองเขาแบบงงๆ ก่อนที่คนตัวเล็กจะเฉลยโดยการขยับตัวไปชิดอีกฝั่งของเตียง

     

    แล้วตบเตียงฝั่งที่ว่างเหมือนเชื้อเชิญให้ผมขึ้นไปนอน

     

     

     

    ใครสั่งใครสอนให้เขาทำตัวน่ารักขนาดนี้นะ......

     

     

    “หือ ไม่เป็นไร ฉันไม่ง่วง นายนอนซะนะ จะให้ฉันไปนอนเบียดกับคนไข้ได้ยังไง?” ผมส่งยิ้มอ่อนโยนให้เขาสบายใจ แต่ดูท่าว่าคนตัวเล็กจะไม่ยอม

     

    เพราะนอกจากเขาจะไม่ปล่อยมือผมแล้ว เขายังคว่ำปากเหมือนเด็กน้อยโดนขัดใจใส่ผม ทำเอาผมทำตัวไม่ถูกกับท่าทางน่ารักๆของเขา

     

    แล้วสุดท้ายผมก็แพ้...

     

     

     

     

     

    ผมส่งตัวเองขึ้นไปนอนบนเตียงคนไข้ข้างๆเขา ก่อนจะดึงผ้าห่มให้คลุมเขาทั้งตัว แต่คนตัวเล็กก็ดึงผ้าห่มมาแบ่งให้ผมห่มส่วนหนึ่งอีกด้วย

     

    ก่อนจะดึงแขนของผมไปหนุนแทนหมอน แล้วโยนหมอนคนไข้ลงไปนอนเล่นกับพื้นแทน

     

    “นี่ นอนหมอนมันจะไม่นิ่มกว่าหรอ? แขนฉันแข็งจะตาย” ผมหัวเราะในลำคอเล็กน้อยที่เห็นท่าทางแบบนั้นของเขา

     

     

    แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าผมชอบให้เขาทำแบบนี้ เพราะที่ผ่านมา เขาเข้มแข็งจนเกินไป เข้มแข็งจนผมไม่รู้ว่าจะแทรกตัวเองเข้าไปปกป้องเขาได้ส่วนไหน

     

     

    แบคฮยอนที่พอจัดท่านอนให้ตัวเองเรียบร้อยก็ตั้งท่าจะหลับตาลง ก่อนจะสะดุ้งเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

     

    คนตัวเล็กชันตัวลุกขึ้นมา มองหน้าผม ก่อนจะก้มหน้าลงมาประทับจูบลงบนริมฝีปากของผม การกระทำที่ผมคาดไม่ถึงจากแบคฮยอน ทำให้ผมตาโตแล้วก็สติหลุดเกินกว่าจะสานต่อจูบนั้น



    ท่าทางตกใจของผมทำให้แบคฮยอนหลุดหัวเราะออกมา ก่อนที่คนตัวเล็กจะละริมฝีปากแล้วเขกหน้าผากผมเบาๆหนึ่งทีเพื่อเรียกสติ

     

    ผมหันไปมองแบคฮยอนอึ้งๆเพราะไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้ คิดแล้วก็เขินซะอย่างนั้น ผมควรจะต้องเป็นฝ่ายจูบเขาสิ ไม่ใช่ให้เขามาจูบผม

     

     

     

    แต่เป็นแบบนี้ก็ไม่เลวนะ J

     

     

    แบคฮยอนซุกหน้าเข้ากับแผงอกของผม ก่อนที่ลมหายใจของเขาจะสม่ำเสมอเป็นตัวบอกว่าเขาเข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว

     

    ผมมีความสุขจนบอกไม่ถูกจริงๆแม้เขาจะไม่แสดงออกว่าเจ็บปวดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ผมก็ดีใจที่เขาไม่ผลักไสผมอย่างที่ผมคิด

     

     

     

     

     

    “หลับซะนะ คนดีของฉัน ต่อไปนี้ไม่ว่าใครหน้าไหน ฉันก็จะไม่ยอมให้มันมาทำร้ายเราได้อีก” ผมกดจูบลงบนกลุ่มผมนุ่มอย่างเนิ่นนาน

     

     

    ซึมซับทุกสัมผัสของเขาเอาไว้ เพื่อย้ำเตือนเวลาอันมีค่าในวันนี้

     

     

     

     

     

     

     

     

    หลังจากวินาทีนี้ ด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของผม ผมจะดูแลเขาจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต...


     

     

    -----------------100%----------------- 

    สำหรับใครที่เล่นทวิต รบกวนติดแท็ก #ฟิคเงียบ ให้ไรท์ทีนะคะ จะได้เช็คง่ายหน่อย

     


    [คุยกับไรท์เตอร์]


    ขอโทษที่ทำให้รีดเดอร์ต้องเจ็บปวดนะคะ

    หลายคนบอกว่าอย่าให้เป็นอย่างที่คิด

    ขออย่าให้แบคเจอเรื่องร้ายๆ ขอให้ชานไปช่วยทัน

    แต่ไรท์ว่าถ้าแบคเจอเรื่องเลวร้ายมา

    แต่ชานยังคงยืนเคียงข้าง อย่างไม่รังเกียจ

    ไรท์คิดว่ามันเป็นความรักที่วิเศษมากนะคะ

    ซึ่งเรื่องนี้มันก็ดราม่าของมันในตัวอยู่แล้ว

    เพราะฉะนั้นอย่าพึ่งก่นด่า หรือสาปแช่งไรท์เลยนะคะ :(


    มีเรื่องจะแจ้งว่า อีกประมาณ 5-6 ตอน

    ฟิคเรื่องนี้ก็คงจะจบแล้วนะคะ

    ไม่อยากให้เกินสามสิบตอน เดี๋ยวมันยืดเยื้อ

    มีใครจบฟิคไวในเวลาเท่าไรท์มั้ย? เทพเนอะ


    เอนจอยรีดดิ้งนะคะ

    เจอกันเมื่อสมองไรท์ไม่ตัน ปย๊ง!!!



    ยังคงขอฝากฟิคเรื่องนี้นะคะ

    เรื่องนี้โรแมนติกดราม่าเช่นกัน

    แต่เป็นชาย-หญิงเนอะ



     

     

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×