ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic EXO] Silently::ไซเลนท์ลี่ CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #9 : Silently VII::ใจไม่ร้ายทำไม่ลง... [100%]

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 56


    Silently VII

    ใจไม่ร้ายทำไม่ลง...

    Author: Wi Lyn


     




     

     

    ผมเดินลงมาตามทางเดินของชั้นสอง ทั้งๆที่ทางเดินก็สั้นแค่นี้ แต่ทำไม ถึงได้รู้สึกว่าแต่ละก้าวมันช่างยากเย็น รู้สึกไม่อยากจะเจอหน้าใครคนนั้นในเวลานี้

     

    ทั้งๆที่ตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด หนำซ้ำยังเป็นผู้ถูกกระทำ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องกลัว เหงื่อออกจนไหลลงมาตามเส้นผม มือที่ชื้นเหงื่อ บ่งบอกว่ากำลังเผชิญหน้ากับความเป็นจริง

     

     

     

     

     

    ความจริงที่ผมรู้ดีแก่ใจ......

     

    เคยมั้ย? ที่ต้องฝืนมองข้ามและทำใจยอมรับบางสิ่ง บางสิ่งที่ไม่ว่าจะทำเช่นไร พยายามลืมยังไง แต่สุดท้าย มันก็เหมือนรอยสักที่ต้องใช้เข็มลบออก แม้จะใช้เข็มอย่างดีก็ยังไม่อาจลบหมด ยังคงหลงเหลือร่องรอยเพื่อเตือนว่า ครั้งหนึ่ง มันเคยประดับอยู่บนผิวหนัง

     

    ใครกันนะที่เคยบอกว่า ความรักเหมือนรอยสัก เจ็บปวดแต่สวยงาม...

     

    มันจะสวยงามได้อย่างไร? ในเมื่อวันเวลาผ่านไป แผลที่เกิดขึ้นจากการถูกเข็มจี้ กลายเป็นแผลเน่าเฟะ ความสวยงามที่เคยคิดว่าอีกเดี๋ยวคงปรากฏ กลับหายวับไป

     

    เคยมั้ย? ที่ยอมเป็นคนโง่เพื่อแลกกับการได้รัก ยอมเสียศักดิ์ศรี ยอมโดนทรยศ คิดว่าความรักจะเอาชนะมันได้ซักวัน แต่แล้วก็รู้ว่า ไม่มีอะไรทำให้คนโง่กลายเป็นคนฉลาดได้ นอกจาก ยอมรับความจริง และก้าวถอยหลังออกมาจากความเจ็บปวด

     

    ผมเป็นคนหนึ่งที่มีมุมมองความรักที่สวยงาม แม้จะไม่ได้ช่างฝันเหมือนผู้หญิงทั่วไป แต่ก็ไม่ใช่คนมองความรักเป็นเรื่องง่ายๆเหมือนใครหลายคน

     

    นั่นหรือเปล่า ที่ทำให้ทุกวันนี้ ผมโดนทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียว โดนทำร้ายเพราะความรัก โดนทำร้ายเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ



    อุตส่าห์ทำเป็นคนตาบอด หูหนวก แต่ก็ไม่วายต้องมารับรู้เรื่องราวน่ารังเกียจที่คนเป็นเพื่อนกับคนรักหยิบยื่นให้ พอเวลาผ่านไปถึงได้รู้สึกตัว ว่านับวันตัวเองยิ่งน่าสมเพช

     

    น่าสมเพช ที่ยอมกลายเป็นตัวตลก เป็นเหมือนหุ่นเชิดให้เขาชักใย สูญเสียความเป็นตัวเองทุกครั้งที่เชือกชักใยทำงาน ไม่มีอะไรน่าสมเพชไปกว่านี้อีกแล้ว

     

    จากที่เคยคิดว่าจะยอมรับข้อผิดพลาดนั้น กลับสั่งใจไม่ได้ ร่างกายที่ไม่ได้เป็นแค่ของเราคนเดียว ทั้งที่รักแต่กลับแตะต้องไม่ลง หลายครั้งที่ถอยห่างออกมา เพราะยิ่งใกล้ก็ยิ่งเจ็บปวด

     

    แต่จะให้ทนอยู่แบบนี้ก็ไม่ไหว ไอ้สถานการณ์แบบนี้ คงทำอะไรไม่ได้นอกจาก เผชิญหน้ากับทุกสิ่งแล้วตัดสินใจปกป้องตัวเอง

     

    ผมเห็นลู่ฮานนั่งอยู่ที่โซฟาข้างๆแม่ของผม มองไปทางห้องครัว ก็เห็นพี่ชานมีกำลังทำหน้าเคร่งเครียด พอพี่เห็นผมก็พยักหน้าให้เล็กน้อย

     

    ผมรู้ดีว่าพี่กำลังเป็นห่วง เพราะพี่คือคนเดียว ที่รู้ว่าผมแบกรับอะไรไว้บนบ่า

     

    ไม่ว่าสิ่งไหนที่ผมตัดสินใจจะทำลงไป นั่นคือ ผมได้ไตร่ตรองมันแล้ว คิดแล้วคิดอีก ถึงแม้จะเสียคนที่รัก แต่อย่างน้อย ขอให้ผมได้เพื่อนของผมกลับมาก็ยังดี

    เพื่อน......สำคัญสำหรับผมเสมอ เพื่อนที่ผมพร้อมจะให้อภัย แม้ความผิดที่เขาสร้างขึ้นจะทำให้ผมเจ็บปางตาย

     

     

    ลู่ฮานเห็นผมเดินลงมาก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วยิ้มให้ทันที ยิ้มที่ผมเองก็ดูออกว่ามันช่างฝืน ส่วนตัวปัญหาอีกคนก็ยังคงยืนกอดอกพิงกรอบประตูเพื่อดูความเป็นไปของสิ่งที่ตนเองมีส่วนสร้างขึ้นมา

     

    “ชานยอล ทำไมไม่เห็นชวนเรามางานบ้างเลย ใจคอจะปล่อยให้เราอยู่คนเดียวอีกแล้วหรอ?” ลู่ฮานวิ่งเข้ามากอดแขนผม พร้อมกับใช้ใบหน้าเล็กนั่นถูไปมา

     

    การอ้อนแบบวิธีเดิมๆที่เคยใช้ได้ผล ไม่มีประโยชน์ในวันที่ทุกอย่างกำลังจะระเบิด...

     

    “เราว่าลู่ก็รู้ดีนะ ว่าที่เราไม่ชวน ไม่ไปให้ลู่เห็นหน้ามันเพราะอะไร?” ผมมองคนที่เคยรักสุดหัวใจด้วยแววตาเจ็บปวด

     

    ถ้ายังรักกันอยู่...ทำไมไม่หยุดทำร้ายกันซักที หากมันคือความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว ผมก็พร้อมจะให้อภัย แต่จะให้ทำหูทวนลมได้ยังไง ในเมื่อรู้ดีแก่ใจ ว่าคนรักกับเพื่อนสนิท ยังคงปล่อยให้เรื่องเลวทรามเกิดขึ้นอีกนับครั้งไม่ถ้วน

     

    “พูดอะไรน่ะ ระ..เราไม่รู้หรอกว่ายอลโกรธอะไร แต่ถ้าเราทำอะไรผิดไป เราขอโทษนะ อย่างอนกันสิ” ลู่ฮานที่ดูก็รู้ว่าทำใจดีสู้เสือ ยังคงป้อนคำหวานทั้งที่มือเล็กนั้นกำลังสั่น

     

    สั่นเพราะกลัวความจริง หรือสั่นเพราะกลัวว่าเรื่องเสื่อมเสียที่ตัวเองทำเอาไว้จะแดงขึ้นมา

     

    แต่ร่างสูงไม่มีทางรู้เลยว่า...ที่ลู่ฮานสั่น เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกทอดทิ้ง กลัวว่าร่างสูงที่แอบหลงรักมาตลอดสองปีจะบอกเลิก จะโทษใครได้ นอกจากตัวเอง

     

    ทุกคนในบ้านกำลังนั่งดูเหตุการณ์กันอย่างข้องใจว่าเกิดอะไรขึ้น คนสองคนที่รักกันปานจะกลืนกินถึงได้มีท่าทีเย็นชา เหตุใดคนตัวสูงถึงได้พ่นแต่คำแดกดันเช่นนี้

     

    “เดี๋ยวผมออกไปซื้ออาหารมาเพิ่มนะครับ แบคฮยอนใกล้จะตื่นแล้ว” ผมตัดสินใจเดินเลี่ยงออกมา เพราะเริ่มรู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ค่อยออก

     

    ลู่ฮานคว้ามือของผมเอาไว้ทันที ก่อนดวงตาคู่สวยเหมือนกวางน้อยที่ผมเคยคิดว่ามันสดใสจะมีหน่วยน้ำตาคลออยู่พร้อมจะร่วงทุกเมื่อ หากจิตใจถูกกระทบ

     

    “อะไรก็แบคฮยอน เดี๋ยวแบคฮยอนอย่างนั้น เดี๋ยวแบคฮยอนอย่างนี้ หยุดพูดถึงชื่อไอ้คนใบ้นั่นซักที ฉันเบื่อจะฟังแล้วนะ เราเป็นแฟนกันไม่ใช่หรอ? หรือว่าชอบมัน วันๆถึงได้เอาแต่เอ่ยถึงไม่หยุดปาก” ลู่ฮานระเบิดตัวเองเหมือนระเบิดเวลา ความอัดอั้นที่สุมอยู่ในใจถูกปลดปล่อยออกมา

     

    น้ำตามากมายไหลเป็นสาย จนนองไปทั้งหน้า ร่างสูงไม่เข้าใจว่าจะร้องไห้ทำไม ร้องไห้แล้วได้อะไรขึ้นมา

     

    บางที..............แค่ร้องไห้เพราะเสียใจ มันผิดด้วยหรือ?

     

    “ถ้าอยากจะคุยก็ตามออกมา คงไม่อยากให้ใครรับรู้เรื่องชั่วช้าที่ตัวเองก่อไว้หรอก ใช่มั้ย?” ประโยคสุดท้ายผมหันไปมองหน้าเซฮุน ก่อนจะเดินออกจากบ้านของเทา

     

    ผมเดินออกมาเรื่อยๆจนเจอกับลานสนามหญ้ากว้างๆที่คาดว่าน่าจะเป็นสนามฟุตบอลขนาดย่อม ก่อนจะหยุดเดินแล้วหันไปมองคนสองคนที่เดินตามมา

     

    เพราะรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรเอาไว้สินะ ไม่ต้องเอ่ยชื่อออกมาก็ยังรู้งาน!!!

     

    “ชานยอล” เซฮุนเป็นฝ่ายเรียกชื่อผมก่อน พร้อมกับเดินเข้ามายืนตรงหน้า

     

    “มึงรู้?” แค่เพียงคำสั้นๆที่เพื่อนพูดออกมา เหมือนมีหมุดซักพันตัวทิ่มใส่ร่างผม จะเจ็บก็ไม่เชิง รู้แค่ว่ามันทำให้ระบมไปได้ทั้งตัว

     

    ผมเปลี่ยนโฟกัสสายตาไปมองลู่ฮานที่ยังคงเหม่อลอย สายตาไร้แววนั่น ทำให้ผมเป็นห่วง แม้ความรักที่มีให้จะยังคงหลงเหลืออยู่ แต่มันก็เลือนรางเหลือเกิน

     

    “ลู่ ตอบเราหน่อย ทำได้ยังไง? ทำร้ายเราทั้งๆที่ปากบอกว่ารัก ทำได้ยังไง” ผมพยายามแล้วที่จะเข้มแข็ง แต่น้ำเสียงที่เอ่ยถามออกไป กลับสั่นเครือเหมือนคนไร้เรี่ยวแรง

     

    “ทั้งที่รัก ทั้งที่เชื่อใจ รู้บ้างมั้ยว่าเราพยายามแค่ไหน ที่จะรักลู่ต่อ ทั้งๆที่วันนั้นเราจำได้ทุกอย่างว่าลู่กับมันทำอะไร” ผมมองลู่ฮานด้วยสายตาที่ทั้งเจ็บปวด แล้วก็ทั้งรัก

     

    “กูผิดเอง เรื่องนี้กูผิดคนเดียว แต่มึงอย่าทำร้ายลู่เลยนะ กูขอ เห็นแก่ความเป็นเพื่อนที่มึงกับกูเคยมีต่อกัน ถึงกูจะเลว แต่มึงอย่าทำร้ายลู่” เซฮุนจับมือลู่ฮานมาวางบนมือของผม

     

    “คนนี้กูก็รักไปไม่น้อยกว่ามึง แล้วกูก็เจ็บไม่น้อยกว่ามึง แต่มึงเชื่อกูเถอะ คนที่ลู่รักวันยันค่ำก็ยังเป็นมึง” ผมไม่เข้าใจเซฮุนเลยซักนิด ที่ผมพูดไปนี่ ไม่ได้เข้าใจกันเลยใช่มั้ย?

     

    “เป็นมึง มึงจะรักเขาลงมั้ย? ไอ้ฮุน” ผมถามกลับไปโดยไม่ทันได้ฉุกคิดว่ามันจะทำร้ายจิตใจร่างบางที่ยืนตัวสั่นอยู่ตรงหน้า



    เสียงสะอื้นที่เคยกลั้นเอาไว้ หลุดออกมาให้ได้ยิน ปากที่กัดไว้ ขึ้นเป็นห้อเลือด เพื่อแสดงว่าร่างบางได้พยายามกลั้นมันเอาไว้จนถึงขีดสุด แค่เพียงคนรักเอ่ยว่าร้องไห้ทำไม น้ำตาซักหยดก็ยังไม่กล้าให้ไหล

     

    แต่เพราะคำพูดที่ได้ยิน ยากเกินกว่าจะประคับประคองความรู้สึกให้อยู่ในอารมณ์ปกติ ทั้งๆที่ร่างบางพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ แต่ก็ยังฮึดสู้เพื่อหวังจะแก้ตัวกับคนที่ตนเผลอทำร้าย

     

    “ไม่ใช่เพราะมึงรักคนอื่นไปแล้วหรอ?” คำถามที่ทำเอาผมนิ่งงันไป

     

    “เวลาแบบนี้คนที่มีสิทธิ์พูดน่าจะเป็นกูมากกว่า ไม่ใช่มึงนะ เซฮุน” ผมไม่ตอบคำถามนั้นแต่กลับเลือกที่จะประชดไอ้เซฮุนกลับไป

     

    “มึงอย่ามาพูดดีไป มึงเองก็ไม่ต่างจากพวกกูหรอก มึงดูไม่ออกหรอ? ว่าลู่มาหากูเพราะใคร ถ้าไม่ใช่เพราะมึงเอาเวลาทั้งหมดไปให้แบคฮยอน คนที่มึงควรดูแลไม่ใช่แฟนมึงหรอกหรอ?” เหมือนโดนหมัดฮุกพุ่งเข้าใส่แก้ม ที่ทำเอาปากค้างจนขยับเป็นคำพูดไม่ได้

     

    “อย่าเอากูไปเปรียบกับมึง ไอ้ฮุน กับแบคฮยอน มึงก็รู้ว่าเขาเป็นยังไง กูแค่สงสาร กูแค่เห็นใจ อย่ามาคิดว่ากูจะเหมือนมึง ที่แอบตีท้ายครัวชาวบ้านเหมือนพวกขอทาน” พอผมพูดจนจบประโยคก็โดนเซฮุนสวนหมัดใส่หน้าเต็มแรง

     

    เพราะไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมล้มลงไปกองกับพื้น ลิ้นรับรสชาติเลือดที่อยู่เต็มปาก ก่อนจะบ้วนมันทิ้งแล้วพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนใหม่

     

    “กูรู้ว่ามึงรักลู่ กูรู้ว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มึงไม่ได้สุข แต่จะให้กูทนเป็นคนตาบอด กูทำไมได้ ถ้ามึงรู้ว่ากูจะเสียใจ ทำไมมึงไม่หยุดซะตั้งแต่แรก มึงปล่อยให้เรื่องมันเลยเถิดมาขนาดนี้ได้ยังไง ถึงกูจะรักเขา แต่ไม่ได้หมายความว่ากูจะปล่อยให้เขาไปนอนกับใครก็ได้นะเว้ย ยิ่งคนๆนั้นเป็นมึง มึงที่เป็นเพื่อนรักกู” น้ำตาหยดที่หนึ่งไหลลงมา แม้จะพยายามปัดทิ้งเพราะไม่อยากดูเหมือนคนอ่อนแอ แต่ก็ไร้ประโยชน์

     

    แม้จะไร้เสียงสะอื้น แต่ไหล่กว้างที่กำลังสั่น ก็พอจะรู้ว่า ในใจคงกำลังร้องไห้อย่างหนัก

     

    ร่างบางที่เป็นคนสร้างเรื่องอีกคนได้แต่ยืนมองเพื่อนรักสองคนทำร้ายกันด้วยหมัดและคำพูด คำพูดที่สุดท้ายก็เข้าตัว คนตัวเล็กสะดุ้งทุกครั้งที่ผู้ชายสองคนขึ้นเสียงใส่กัน

     

     

     

     

    ใครก็ได้ช่วยหยุดที หยุดทะเลาะกันซักที แค่นี้ยังเจ็บไม่พอใช่มั้ย?

     

    ร่างสูงของเพื่อนสองคนผละออกจากกันทันที หลังหันมาพบว่าร่างบางล้มลงไปนอนกับพื้นพร้อมกับอาการของโรคหอบที่กำเริบ

     

    ผู้ชายสองคนพยายามช่วยกันหายาพ่นที่คนตัวเล็กมักจะพกติดกระเป๋าเอาไว้ แต่มันกลับไม่มี ยิ่งลนลานมากขึ้น เมื่อเห็นร่างเล็กเริ่มชักกระตุก มือสองข้างเกร็งจนบิดเบี้ยว

     

     

    เหมือนกับสภาพจิตใจ ที่ตอนนี้ไม่ว่าจะทำอย่างไร? ก็ไม่อาจลบความคิดที่ว่า ตนนั้นสกปรกได้เลย

     

    ความผิดที่ไม่มีใครหยิบยื่นให้ แต่เป็นตัวเองที่ก่อมันขึ้นมา

     

    ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า หรือ รอให้ความตายมาพาไปใช้กรรม แค่ในทุกวันต้องทนอยู่กับความผิดที่แบกเอาไว้ ก็เหมือนตายทั้งเป็นอยู่แล้ว

     

    ร่างบางมองคนสองคนที่ตนลงมือทำร้ายก่อนสติจะดับวูบไป.....


     

    ________________________________

    [คุยกับไรท์เตอร์]

    เฮ้ย!!!ดราม่าอ่ะ ตอนนี้ดราม่ามาเต็ม

    คือแต่งไปแต่งมาสงสารลู่เว้ย =_=

    ตอนนี้ก็สั้นๆนะ ยกยอดดราม่าไปอีกในตอนหน้า

    ส่วนจะมีคู่อื่นมั้ย? อันนี้ตอบไม่ได้ ฮ่าๆๆๆๆ

    คือ...ไม่คิดว่าตัวเองจะอัพมาราธอนขนาดนี้

    4 วัน 7 ตอน เออเว้ย!ไม่ปล่อยให้รีดเดอร์ลุ้นเรื่องหลายวัน

    ลิมิตของเรื่องนี้จะขึ้นอยู่กับกี่ตอนก็อยู่ที่ความเวิ่นเว้อของไรท์อ่ะนะ

    เจอกันตอนหน้านะคะ ตอนนี้ปวดหลังมาก ปย๊ง!!! 

     


    สำหรับใครที่เล่นทวิต รบกวนติดแท็ก #ฟิคเงียบ ให้ไรท์ทีนะคะ จะได้เช็คง่ายหน่อย



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×