ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic EXO] Silently::ไซเลนท์ลี่ CHANBAEK

    ลำดับตอนที่ #3 : Silently II::ฉันพูด...นายฟัง // ฉันฟัง...นายเขียน[100%]

    • อัปเดตล่าสุด 8 ส.ค. 56


     

    Silently II

    ฉันพูด...นายฟัง // ฉันฟัง...นายเขียน

    Author: Wi Lyn

     

     

     

     

     

    เพราะปัญหาทางการพูด ทำให้ผมเลือกงานที่อยากจะทำ หรือ เลือกเรียนในสิ่งที่อยากจะเรียนไม่ได้ เมื่อเราบกพร่องทางใดทางหนึ่ง ตัวเลือกของอนาคตก็ดูเหมือนว่าจะบกพร่องตามไปด้วย

     

    ถ้าถามผมว่าก่อนที่ผมจะพูดไม่ได้ อยากจะเรียนอะไร แล้วอาชีพใดคืออาชีพในฝัน สิ่งที่ยังคงกัดกร่อน ทำร้ายจิตใจผมจนทุกวันนี้คือ ผมอยากเป็นนักร้อง

     

    พ่อกับแม่เห็นแววว่าผมน่าจะเป็นนักร้องได้ตั้งแต่เด็ก พอเริ่มโตขึ้นก็เข้าเรียนร้องเพลงทันที ครูฝึกยังชมว่า แบคฮยอนนี่โชคดีจริงๆ เกิดมาพร้อมความสามารถพิเศษที่ติดตัวมา

     

    ผมเป็นเด็กพิเศษที่มี เพอร์เฟค พิตช์ หรือ แอ๊บโซลูท พิตช์ มีความสามารถในการแยกเสียงโน๊ตดนตรี สามารถจำแนกเสียงประเภทต่างๆได้อย่างแม่นยำ

     

    แล้วสิ่งสำคัญสำหรับการเป็นนักร้องคืออะไร? หน้าตา? ส่วนสูง? สีผิว? ฐานะ?

    สำหรับผมมันคือเสียงร้องที่ทรงพลัง  แต่ความฝันก็ต้องจบลงในวันที่ครอบครัวของผมประสบอุบัติเหตุ พ่อแม่ผมเสียชีวิตทันที แต่...พระเจ้ายื่นชีวิตใหม่ให้ผมเพียงคนเดียว

     

    ผมจะเป็นนักร้องอย่างที่ฝันได้ยังไง ในเมื่อไม่มีเสียง

     

    ผมใช้ชีวิตอยู่กับญาติอยู่ 5 ปี หลังจากเข้ามหาวิทยาลัยผมก็แยกออกมาอยู่คนเดียว โชคดีที่เข้ามหาวิทยาลัยได้ด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง เรื่องค่าใช้จ่ายจึงไม่มีปัญหา แต่ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน จะให้ผมไปแบมือขอเงินจากใคร นอกเสียจากตรากตรำทำงานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง

     

    เราควรเลือกงาน ไม่ใช่ให้งานเลือกเรา คำพวกนี้ใช้กับผมไม่ได้เลย เพราะผมไม่มีสิทธิ์เลือก งานที่ผมพอจะทำได้มีเพียงแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น เงินก็ไม่ได้ดี แต่อาศัยสอนตัวเองให้เป็นคนประหยัด รู้จักเก็บรู้จักออม

     

    ส่วนใหญ่เงินจะถูกใช้ไปกับค่ากิน ค่าเดินทาง และค่าสมุดกับปากกา

     

    วันนี้ผมมาที่ร้านเครื่องเขียนหลังจากมาครั้งสุดท้ายเมื่อสามเดือนก่อน ในช่วงระยะเวลาสามเดือนผมใช้สมุดไป 10 เล่ม ปากกาเมจิกสีดำ 25 แท่ง เพราะมันคือสิ่งจำเป็นในชีวิต เปรียบเหมือนตาที่ใช้มอง จมูกที่ใช้ดมกลิ่น หูที่ใช้ฟัง แต่ปากของผมใช้พูดไม่ได้เลยต้องเขียนเอา

     

    เพราะภาษามือไม่ใช่ภาษาสากลที่คนทั่วไปตามท้องถนนจะรู้จัก สิ่งที่ผมพอจะสื่อสารให้คนอื่นๆรับรู้ถึงความต้องการของผมก็มีแค่เขียนลงกระดาษแล้วยื่นให้เขาอ่าน

     

    หลายครั้งที่เมื่อผมลงมือเขียนแล้วยื่นกระดาษให้ มักจะได้รับคำถามกลับมาก่อนคำตอบเสมอ นายพูดไม่ได้หรอ?’ ‘นายเป็นใบ้หรอ?เคยพยายามทำใจให้ชิน แต่มันก็ยากเหลือเกิน

     

     

     

     

     

    ความเป็นผู้ใหญ่ เติบโตมาจาก ความเป็นเด็ก

    ความเข้มแข็ง เติบโตมาจาก ความอ่อนแอ

    ความถูกต้อง เติบโตมาจาก ความผิดพลาด

     

    ความหมายส่วนใหญ่ของการเริ่มต้น ล้วนแต่เติบโตมาจาก จุดจบของบางสิ่งบางอย่าง

     

    สิ่งนี้คือสิ่งที่พ่อกับแม่ของผมสอนผมมาตั้งแต่จำความได้ ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากสูญเสียครอบครัว ผมเริ่มต้นความฝันใหม่ หลังจากอุบัติเหตุ ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น จากความเป็นเด็ก


     

    คำสอนเหล่านี้คือสิ่งที่ผมใช้เตือนตัวเองเสมอมา ทำวันนี้ของชีวิตให้ดีที่สุด เพราะผมไม่รู้ว่าอนาคตผมจะยังมีชีวิตอยู่ไปอีกกี่ปี

     

     

    ผมเดินเข้าไปที่โซนของสมุดก่อนจะมองหาสมุดแบบเดิมที่มักจะซื้ออยู่เสมอ ก่อนจะพบว่ามันวางเหลืออยู่เพียงเล่มเดียว เฮ้อ!กะว่าวันนี้จะซื้อซักห้าเล่มซะหน่อย เอาไปเล่มเดียวก่อนก็ได้ เดี๋ยวค่อยไปบอกเจ้าของร้านให้เอามาลงใหม่

     

    ผมนั่งลงยองๆก่อนจะเอื้อมมือไปเพื่อจะหยิบสมุดเล่มสุดท้ายนั้น แต่ดูเหมือนผมจะช้ากว่าอีกฝ่าย สมุดเล่มที่ผมเล็งเอาไว้ ถูกมือใหญ่ตัดหน้าหยิบไปดื้อๆ หากผมพูดได้ สิ่งแรกที่ผมจะทำคือ ตะโกนใส่หน้าคนที่แย่งสมุดของผมไปดังๆ

     

    ผมทำได้แค่หันไปมอง เพื่อที่จะบอกเขาว่า ผมเองก็ต้องการสมุดเล่มนี้ ใบหน้าด้านข้างที่ดูน่ารัก จมูกโด่งๆ ผิวขาวๆ ผมสีดำสั้นพอประมาณ ทำให้ผมนึกออกทันที ปาร์คชานยอล

     

    ชานยอลหันหน้ามามองก่อนจะตาโต แล้วก็ยิ้มกว้าง

    “อ้าว นายนี่เอง” ชานยอลเอ่ยทักทายก่อนจะยกมือสองข้างขึ้นมาโบกไปมา

    ผมก้มหัวเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะมองตามสมุดเล่มเดียวที่โดนตัดหน้าไป ซึ่งตอนนี้วางอยู่บนตักของชานยอล คนตัวสูงดูเหมือนจะอ่านสายตาของผมออก จึงหยิบสมุดเล่มตัวปัญหาขึ้นมาโบกไปมาตรงหน้าผม

    “นายก็จะซื้อเล่มนี้หรอ? เมื่อกี้เหมือนฉันเห็นนายเองก็จะหยิบนะ” ผมพยักหน้าขึ้นลงเพื่อตอบคำถาม

    “อ๋อ!!!” ชานยอลลากเสียงยาวเหมือนล้อเลียนผม ก่อนจะดึงแขนผมให้ลุกขึ้นยืน แล้วลากตามไป

     

    ชานยอลลากผมมาจนถึงโซนปากกาเมจิกที่วางเรียงกันหลากสี คนตัวสูงยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า

     

    “เลือกสิ นายชอบสีอะไรเป็นพิเศษมั้ย? ไม่เอาสีดำนะ มันไม่สวยเลย ^^” ชานยอลยิ้มกว้างพร้อมกับหยิบปากกาหลายๆสีขึ้นมาลองเขียนดู

    ผมหยิบปากกาสีดำที่เป็นสีโปรดขึ้นมา เขียนข้อความลงไปบนกระดาษแผ่นเล็กที่เอาไว้ใช้ลองปากกา

     

    ผมชอบสีดำ เพราะฉะนั้นผมจะเอาสีดำ แล้วก็สมุดน่ะ ผมไม่เอาแล้วก็ได้ ผมเขียนเสร็จก็ยื่นกระดาษให้คนตัวสูงอ่าน

     

    ก่อนจะหยิบเอาปากกาเมจิกสีดำที่ราคาถูกกว่าสีอื่นมากสามแท่งไปจ่ายเงิน สมุดแบบนั้นไปหาที่ร้านอื่นก็ได้ รอให้ร้านนี้เอามาลงใหม่อีกรอบ แล้วค่อยกลับมาซื้อ ผมเดินไปที่เคาเตอร์จ่ายเงิน วางปากกาสามแท่งเพื่อให้เจ้าของร้านคิดเงิน

     

    ชานยอลเดินตามมาวางสมุดเล่มใหญ่ กับปากกาสีสันอีกห้าหกแท่งลง

    “คิดเงินรวมกันเลยนะครับ ทั้งของเขาแล้วก็ของผมเลย รบกวนช่วยใส่ถุงเดียวกันเลยนะครับ” ชานยอลบอกกับพนักงานก่อนจะล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบเงิน

    ผมที่พูดเถียงไม่ได้ เลยยื่นมือไปจับมือพนักงานแล้วก็ส่ายหน้าเป็นเชิงปฏิเสธ

     

    พนักงานทำหน้างงๆหันมามองชานยอลแล้วก็หันกลับไปคิดเงินต่อ ท่าทางที่กำลังจะเอาของใส่รวมกันทำให้ผมรู้ว่าพนักงานคนนี้ไม่ฟังผมเลย อย่าให้พูดได้บ้างนะ =_=

     

    ชานยอลเดินออกมาหน้าร้านหลังจากคิดเงินค่าของเสร็จ ผมเดินตามหลังมาติดๆ ในใจก็แอบด่าคนตัวสูงที่ชอบวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง จนไม่ทันสังเกตว่าชานยอลหยุดเดินแล้ว ทำให้หัวผมชนเข้ากับแผ่นหลังกว้างแบบเต็มแรง

     

    “นี่ด่าในใจจนลืมมองทางเลยหรอเนี่ย?” ผมตาโตทันทีที่คนตรงหน้าอ่านความคิดออก

     

    “อ่ะ นี่ ฉันให้” ชานยอลยื่นถุงที่ใส่ของมาให้ผม ผมเอียงคองงๆแล้วช้อนสายตามองคนตัวสูงทันที

     

    “ไม่ต้องงงหรอก ฉันสัญญากับตัวเองไว้แล้ว ว่าถ้าเจอนายอีกครั้ง ฉันจะซื้อสมุดกับปากกาสีสวยๆให้นาย ไหนๆวันนี้ก็เจอกันแล้ว เอาเป็นว่าให้นายเลยละกัน” ชานยอลจับมือผมให้รับถุงไปจากมือ

    “นายรู้จักฉันมั้ย? จำชื่อฉันได้มั้ย?” ผมพยักหน้าแล้วก็เปิดสมุดเล่มที่ได้รับมาจากชานยอล พร้อมกับปากกาสีฟ้าสวย เพื่อเขียนลงไป

     

    ปาร์ค ชานยอล

     

    ชานยอลยกยิ้มทันที ที่ผมเขียนชื่อของเขาลงไป

     

    “แล้วชื่อนายล่ะ เขียนสิ จะให้นายรู้จักฉันฝ่ายเดียว มันไม่แฟร์เลย” ชานยอลรบเร้าให้ผมเขียนชื่อลงไปอีกครั้ง ต่างกันตรงที่ครั้งนี้เป็นชื่อของผม

     

    บยอน แบคฮยอน

     

    ชานยอลพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะทวนชื่อผมอีกครั้งเบาๆ

     

    “ได้คุยกับนายแล้วรู้สึกดีจริงๆ ฉันพูด นายก็ฟัง พอฉันรอฟัง นายก็ค่อยเขียน” ชานยอลยังคงสนุกสนานอยู่เสมอ

     

    หมายความว่ายังไง? เขาพูด แล้วผมก็ฟัง พอเขาฟัง ผมก็เขียน ประโยคมันค่อนข้างแปลกๆ แต่ก็ถูก เพราะผมทำได้แค่เขียนเท่านั้นแหละ !


     

    ----------50%----------

     

     

    Rrrrrrrrrrr

     

    จู่ๆโทรศัพท์มือถือของผมก็สั่นขึ้นมา อย่าแปลกใจเลยครับว่าทำไมคนพูดไม่ได้อย่างผมทำไมต้องพกโทรศัพท์มือถือ ผมเองก็ต้องติดต่อใครต่อใคร ถึงจะไม่มากมายนักก็เถอะ

     

    ข้อความเข้ามาจากพี่พยาบาลที่ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลที่ผมทำงานอยู่

     

    แบคฮยอน เข้ามาหาคุณหมอที่โรงพยาบาลหน่อยนะ เห็นคุณหมอบอกว่ามีเรื่องจะคุยด้วย

     

    เรื่องอะไรกันนะ!สงสัยเพราะผมขมวดคิ้วแบบสุดยอด คนตรงหน้าถึงได้ยื่นมือมานวดระหว่างคิ้วของผม เพื่อช่วยคลายความกังวล

     

    ผมเงยหน้าขึ้นมองชานยอล ก่อนจะเห็นคนตัวสูงฉีกยิ้มกว้างจนกลัวว่าจะเห็นฟันผุซี่ในสุด เห็นรอยยิ้มแบบนี้แล้ว ผมก็อดยิ้มตามไม่ได้ คนอะไรมันจะอารมณ์ดีได้ขนาดนี้ ^^

     

    ผมแบมือทั้ง 2 ข้าง โดยให้ทุกนิ้วชิดกัน จากนั้นยกมือขึ้นมาขนานกันในแนวตั้ง แล้วจึงดึงมือทั้งสองข้างออกจากกัน  เพื่อบอกว่า ขอบคุณ

     

    ชานยอลยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมากดๆซักพัก แล้วก็เอาแนบหู

    “ฮัลโหล ลู่ฮาน วันนี้เราไม่มีซ้อม ไปกินข้าวด้วยกันนะ ช่วงนี้ไม่ได้เจอหน้าเลย คิดถึงมากกกก” คนตัวสูงทำเสียงออดอ้อนที่ดูไม่เข้ากับน้ำเสียงทุ้มๆของตัวเองเอาซะเลย ก่อนจะบิดซ้ายขวาเหมือนเขินคนปลายสายทั้งที่อีกฝ่ายคงไม่มีทางเห็น

     

    “โอเคครับ งั้นเดี๋ยวเราไปรับที่บ้านนะ แต่งตัวรอเลยล่ะ” ชานยอลพูดประโยคสุดท้ายก่อนจะวางหู แล้วยิ้มให้กับโทรศัพท์อีกหนึ่งที

     

    ชานยอลหันมายิ้มให้ผม ก่อนจะพูดบางอย่างที่ทำเอาผมรู้สึกไม่ค่อยจะสบอารมณ์

     

    “ไปก่อนนะ เห็นหน้านายทีไร คิดถึงแฟนเราทุกที หน้าก็หวานเหมือนกัน ตัวก็เล็กๆแบบนี้เลย ไว้เจอกันนะ แบคฮยอน” ชานยอลโบกมือหยอยๆ

     

    แต่ยังไม่วายส่งภาษามือกลับมาหาผมเพื่อบอกลา คนตัวสูงใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วโป้งสัมผัสกันเป็นรูปวงกลม โดยนิ้วกลาง นิ้วนาง และนิ้วก้อยกางออกจากกัน ในลักษณะเหยียดตรง จากนั้นขยับมือไปข้างหน้าและขยับถอยหลัง ความหมายของมันคือ โชคดี

     

    ผมจึงทำมือเป็นสัญลักษณ์เดียวกัน เพื่ออวยพรขอให้วันนี้โชคดี เขาคงจะรีบไปหาแฟนล่ะมั้ง? งั้นผมก็ควรจะรีบไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลได้แล้ว หากมีเรื่องด่วนขึ้นมาเดี๋ยวจะเดือดร้อนกันใหญ่

     

    “แบคฮยอน คือหมอจะบอกว่า ช่วงนี้โรงพยาบาลของเรามีวิกฤตเรื่องการเงิน ทำให้ต้องลดอัตราพนักงาน แม้แต่คนไข้อนาถา เราก็ต้องให้เขาย้ายออก หมอจะบอกว่าตำแหน่งของแบคฮยอนน่ะ ความจริงเราก็มีหมอเฉพาะทาง ไหนจะพยาบาลที่คอยดูแล หมอไม่อยากจะทำแบบนี้เลย แต่มันจำเป็นจริงๆ” คุณหมอใหญ่ยื่นซองสีขาวมาตรงหน้าผม

     

    จากคำบอกเล่าข้างต้น ก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมคงเป็นหนึ่งในจำนวนพนักงานที่โดนลดตำแหน่ง ซองขาวนี้ก็คงเป็นเงินก้อนสุดท้าย งานที่ผมผูกพันแบบนี้ ผมจะหาได้ที่ไหนอีก แต่ผมรู้ว่าคุณหมอไม่ได้อยากจะทำแบบนี้เลย

     

    ผมรับซองสีขาวมาเก็บใส่กระเป๋า ถ้าผมใช้อย่างประหยัด เงินก้อนนี้คงช่วยให้ผมใช้ชีวิตได้อีกเกือบเดือน ผมลุกขึ้นก่อนจะโค้งให้คุณหมอคนสนิทเพื่อขอบคุณสำหรับทุกสิ่งที่ผ่านมา

     

    “ถ้าลำบากอะไ ร อย่าลืมนึกถึงหมอนะ แบคฮยอนเป็นเด็กดี หมอเต็มใจจะช่วยเราทุกอย่างเลย” ถึงผมจะรู้ว่ามันเป็นแค่คำปลอบใจ เพราะหากหมออยากจะช่วย อย่างน้อย แค่ให้ผมได้ยังพอมีงานทำ แม้ในตำแหน่งเล็กๆก็ยังดี

     

    กว่าที่ผมจะหางานทำได้ ต้องโดนปฏิเสธและโดนไล่ออกมากี่ที่ ความทรงจำในตอนนั้นยังคงเด่นชัด ผมไม่อยากกลับไปเจอเหตุการณ์เช่นนั้น แต่เมื่อมันเป็นเรื่องของปากท้องและการดำรงชีวิต ทำให้ผมเลือกมากไม่ได้

     

    ผมเดินออกมานอกโรงพยาบาล หลังจากล่ำลาเด็กๆที่ผมเคยดูแล พร้อมกับสัญญาว่าหลังจากนี้จะกลับมาเยี่ยมพวกเขาบ่อยๆเท่าที่จะทำได้

     

    หลังจากนี้ผมจะทำยังไงดี งานก็ไม่มี ถึงแม้เงินเก็บจะยังพอมีเหลืออยู่ในบัญชีแต่ก็ใช่ว่าจะพอ สงสัยคงต้องเริ่มหางานใหม่แล้วล่ะ

     

    ลองคิดเล่นๆนะครับ ว่างานอะไรที่คนพูดไม่ได้พอจะทำได้บ้าง พนักงานเสิร์ฟ แคชเชียร์ คนแจกใบปลิว มันมีงานไหนบ้างที่ไม่ต้องใช้เสียง อย่างน้อยใช้แรงงานก็ยังไหว

     

    แค่ตอนเดินเข้าไปสมัครงาน ถ้าคนรับรู้ว่าเราพูดไม่ได้ ต่อให้มีความสามารถ เขาจะยังต้องการเราอยู่หรอ?

     

    คิดแล้วก็กลุ้มใจ แต่เพราะความเชื่อมั่นที่มีอยู่เต็มอก ทำให้ผมเลือกที่จะเดินหน้าต่อ เพราะเชื่อว่าวันข้างหน้า หากผมพยายามมันจะไม่มีอะไรเกินเอื้อม

     

    วันนี้ทั้งวันผมใช้เวลาหมดไปกับการเดินสมัครงานตามที่ต่างๆ ด้วยความหวังว่าจะเจอใครซักคนที่เมตตา ให้ทำงานในตำแหน่งไหนก็ได้ แต่ดูเหมือนว่าความเมตตาจะหายากเหลือเกินในโลกมนุษย์

     

    “โถ่ นูน่าอ่ะ ทำไมชอบให้ผมใส่มาสคอตไปแจกใบปลิวร้านทุกทีเลย โปรโมชั่นทีนึงก็ใส่ที ผมบอกแล้วไง ว่าให้ตั้งกระดานหน้าร้านแล้วเขียนโปรโมชั่นเอา ใช้แรงงานก็หนัก ค่าแรงก็ยังไม่ได้ ผู้หญิงอะไร โหดชะมัด!” เสียงบ่นที่ดังออกมาจากร้านเค้ก ทำให้ผมต้องหยุดยืนมอง

     

    หน้าร้านที่ตกแต่งสไตล์คันทรี่ดูแล้วสบายตา ภายในก็เป็นสีโทนพาสเทล ออกแนววินเทจ

     

    ผมละสายตาจากการสำรวจร้าน ก่อนจะหันไปเห็นคนตัวสูงใส่ชุดมาสคอตสีชมพู ดูจากหางที่เป็นพวง เดาไม่ยากว่าคงจะเป็นกระต่าย เหลือแต่ใส่หัวมาสคอตเข้าไปก็ครบเซ็ต

     

    จนคนตัวสูงหันหลังกลับมา ผมถึงได้รู้สึกว่าทำไมมองด้านหลังแล้วมันคุ้นตาแบบนี้

     

    เจอกันอีกแล้วนะ ปาร์ค ชานยอล

     

    ชานยอลเดินต้วมเตี้ยมออกมาจากร้านเพราะขนาดของชุดมาสคอตที่ค่อนข้างจะใหญ่เทอะทะ แขนสองข้างก็ประคองหัวกระต่ายหน้าตาน่ารัก ก่อนจะมีผู้หญิงหน้าตาสวยอีกคน แต่ดูคล้ายชานยอลเดินตามออกมา

     

    จับเอาหัวกระต่ายใส่หัวชานยอล แล้วส่งใบปลิวให้คนตัวสูงแจก ชานยอลรับมาแบบงงๆ เพราะการมองเห็นติดลบเมื่อต้องใส่ชุดแบบนี้

    ผมได้แต่ยืนหัวเราะกับท่าทางตลกๆของชานยอล ก็มันน่าขำออก สงสัยเพราะมองเห็นไม่ถนัด มือที่พยายามแจกใบปลิวถึงได้กวาดไปมามั่วไปหมด

     

    ผมเดินเข้าไปจับหัวกระต่ายให้เข้าที่ จับมันหมุนจนตรงกับตาของคนใส่ กระต่ายสีชมพูหยุดการเคลื่อนไหวไปเพียงไม่กี่วินาที หลังจากนั้นคนที่อยู่ในชุดมาสคอตก็ถอดหัวกระต่ายออก ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมุมปาก

     

    “เฮ้ย!มาได้ไงอ่ะ ตามเรามาหรอ?” ผมขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเขาบอกว่าผมตามมา ผมส่ายหัวเป็นการปฏิเสธทันที

     

    “งั้นไปกินน้ำกินท่าในร้านเราก่อนดิ เดี๋ยวเราแจกใบปลิวแป๊บ แล้วเดี๋ยวตามเข้าไป” ผมไม่อยากรบกวน จึงส่ายหน้าเบาๆก่อนจะโค้งตัวลา งานยังหาไม่ได้เลย ผมจะมานั่งดื่มน้ำสบายใจได้ยังไง

     

    ชานยอลยังคงไม่ยอมแพ้ ลากผมเข้าไปในร้าน ก่อนจะตะโกนบอกพี่สาวของตัวเองให้ช่วยดูแลผมที่เป็นเพื่อนของเขาที ว่าแต่...เราไปเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เมื่อไร เจอกันแค่สองครั้งเองนะ

     

    พี่สาวของชานยอลหลังจากที่รู้ว่าผมเป็นเพื่อนของน้องชาย ก็ลากผมไปนั่งที่โต๊ะทันที ก่อนจะหายเข้าไปในร้านเพื่อเอาเครื่องดื่ม ผมพยายามยกมือปฏิเสธแล้ว แต่เธอก็ไม่ฟัง

     

    พี่น้องเหมือนกันเด๊ะ!

     

    “มาแล้ว นี่เป็นน้ำทับทิมนะ ส่วนเค้กนี่ก็เค้กวานิลลาคาราเมล พี่ไม่รู้ว่าเราชอบกินอะไร พี่เลยจัดเมนูเด็ดขึ้นชื่อของร้านมาให้เลย” พี่สาวของชานยอลวางแก้วน้ำกับจานเค้กลงตรงหน้า พร้อมกับโฆษณาว่ามันคือเมนูเด็ดของร้าน

     

    “พี่ชื่อ ปาร์ค ชานมี เป็นพี่สาวของชานยอล ไอ้กระต่ายสีชมพูก้นเบอะหน้าร้านนั่นแหละ” ผมขำออกมาเล็กน้อยกับสรรพนามที่พี่ชานมีใช้เรียกน้องชาย

     

    “นี่เราจะปล่อยให้พี่แนะนำตัวอยู่ฝ่ายเดียวหรอ?” พี่ชานมีหรี่ตาลงเป็นเชิงตำหนิกลายๆ

     

    เอาอีกแล้ว!เจอสถานการณ์นี้อีกแล้ว เพราะแบบนี้ไง เป็นส่วนหนึ่งที่ผมไม่ค่อยอยากจะรู้จักใครเพิ่ม คนส่วนใหญ่หาว่าผมเสียมารยาท ร้อนให้ผมต้องรีบแนะนำตัวเพื่อแก้ความเข้าใจผิดทันที

     

    ผมเปิดกระเป๋าใบเก่งหยิบสมุดโน้ตเล่มที่ชานยอลซื้อให้ออกมา พร้อมกับปากกาสีเขียวมะนาว ที่ชานยอลซื้อให้เช่นกัน

     

    เพราะบางที การที่หน้ากระดาษไม่ได้มีแต่สีดำ มันก็ดูสวยไปอีกแบบ...

     

    ขอโทษครับ ผมชื่อ บยอน แบคฮยอน ยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมเขียนชื่อของตัวเองลงไป ก่อนจะส่งสมุดให้พี่ชานมีอ่าน

     

    พี่ชานมีสมแล้วที่เป็นพี่สาวของชานยอล ทำสีหน้าเดียวกันเป๊ะ กับตอนที่ชานยอลรู้ว่าผมพูดไม่ได้ แต่ต่างกันตรงที่พี่ชานมีไม่โพล่งออกมาตรงๆเหมือนชานยอล

     

    พี่ชานมีส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะส่งมือสวยมาลูบหัวผมเหมือนเอ็นดู พร้อมกับบอกให้ทานเยอะๆ มื้อนี้พี่ชานมีจะไปหักจากค่าแรงของชานยอลเอง

     

    หลังจากนั้นไม่นาน ชานยอลก็เดินเข้ามาในร้าน แล้วก็ถอดชุดกระต่ายโยนใส่หัวพี่ชานมีทันที แล้วก็วิ่งเข้าใส่แอร์เพื่อดับร้อน

     

    “คราวหลังถ้าพี่ให้ผมใส่อีก ผมจะไปฟ้องแม่จริงๆนะ แม่ก็เคยบอกพี่แล้ว ว่าถ้าจะจัดโปรโมชั่น ให้เขียนกระดานบอกลูกค้าแทน” ชานยอลแหวใส่พี่สาวตัวเองแบบไม่กลัวตายทันที แถมยังยกสตรีอันดับหนึ่งของบ้านมาเป็นข้ออ้างอีก

     

    “น้อยๆหน่อยไอ้น้องชาย เดี๋ยวแกจะโดนฉันกระทืบคาร้านเนี่ย เรื่องมากนัก มากินเค้กร้านเขาทุกวัน ยังจะไม่ช่วยกันทำมาหากินอีก ที่ฉันให้แกมาช่วยบ่อยๆก็เรียกลูกค้าได้เยอะออก” พี่ชานมีว่าพลางชี้มือไปทั่วร้าน

     

    ผมมองตามมือของพี่ชานมี ก่อนจะพบว่าทั่วร้านนั้นมีลูกค้าผู้หญิงเพียบ แล้วแต่ละคนก็พุ่งสายตามาทางชานยอลกันทุกคน ผมพอจะรู้แล้วว่าจุดประสงค์การเรียกลูกค้าของพี่ชานมีนี่เป็นยังไง ^^

     

    ชานยอลนิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันมาทางผมที่นั่งตัวลีบฟังบทสนทนาของสองพี่น้องอย่างไม่มีอะไรทำ

     

    “เฮ้ย!โทษที ลืมไปเลย กินอะไรยัง?” ชานยอลถามทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าผมมีตัวตน

     

    ผมพยักหน้าแล้วก็ชี้นิ้วไปที่แก้วน้ำและจานเค้กบนโต๊ะ ชานยอลจึงเดินเข้ามาร่วมโต๊ะด้วย ก่อนจะยกแก้วน้ำทับทิมกระดกจนหมด พี่ชานมีเลยเดินมาฟาดเข้าที่กลางหลังทันที

     

    “นี่แก ไปแย่งแบคฮยอนกินทำไม อยากกินก็เดินไปหลังร้านโน่น แกนะแก” พี่ชานมีว่าแล้วก็ฟาดมือลงไปเป็นของแถมอีกสามสี่ที

     

    “แหมๆๆๆ รู้จักกันแป๊บเดียวพี่ก็เข้าข้างแล้วนะ เชอะ!” ชานยอลสะบัดหน้าหนีพี่สาวตัวเอง ก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ผม

     

    ชานยอลคว่ำมือโดยเว้นระยะห่างระหว่างมือกับท้องเล็กน้อย จากนั้นยกมือขึ้นในแนวนอน จนกระทั่งหลังมือสัมผัสชิดกับใต้คาง พร้อมกับถามว่า อิ่มมั้ย?

     

    ผมพยักหน้าทันที เพื่อเป็นการขอบคุณผมเลยตอบเขากลับไปเป็นภาษามือ ชานยอลยิ้มออกมา ก่อนจะคว้าสมุดกับปากกาไปเขียน

     

    แล้ววันนี้มาทำอะไรแถวนี้?ชานยอลหันสมุดกลับมาหาผม เพื่อให้ผมอ่านข้อความ

     

    มาสมัครงาน เมื่อวันก่อนโดนให้ออกจากงานที่โรงพยาบาลน่ะ ผมเขียนบอกเหตุผลว่าทำไมวันนี้จึงมาโผล่แถวนี้ได้

     

    พี่ชานมีชะโงกหน้ามาอ่านข้อความที่ผมเขียน ผมเห็นแววตาวูบไหว หม่นแสงเพียงชั่วครู่ของพี่ชานมี ก่อนที่พี่ชานมีจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ผมใจเต้นเร็วด้วยความดีใจ

     

    “ถ้าหางานอยู่มาทำกับพี่มั้ย? ร้านพี่ไม่ใหญ่มาก แต่มีลูกค้าเยอะ พี่ว่าแบคฮยอนน่าจะช่วยพี่ได้นะ” ผมยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย เมื่อวันนี้ผมได้รู้แล้วว่า คนเมตตามีน้ำใจยังมีอยู่บนโลก

     

    ผมพยักหน้ารัวๆเพื่อเป็นการตอบตกลง พร้อมกับขยับปากซ้ำไปมาเป็นประโยคเดิม

     

    “ขอบ คุณ ครับ ขอบ คุณ ครับ ขอบ คุณ ครับ” แม้ไม่มีเสียงเปล่งออกมา แต่ดูเหมือนว่าพี่ชานมีจะรับรู้ความหมายของมันได้

     

    วันนี้เป็นอีกวันที่ผมจะจำเอาไว้ว่า ผมได้รับโอกาสจากคนๆนึง ที่ไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ไม่ได้สนิทสนม แต่กลับยื่นมือมาช่วยเหลือผมอย่างไม่นึกรังเกียจในความพิการของผม

     

    “งั้นหลังจากนี้ เราก็ได้เจอกันบ่อยขึ้นแล้วสินะ แบคฮยอน ^^ ผมหันไปหาชานยอล ก่อนจะยิ้มให้อย่างเต็มที่ รู้สึกว่าไม่ได้ยิ้มแบบนี้มานานแล้ว

     

     

     

    ยิ้มที่เจือไปด้วยความสุขและความหวังในการมีชีวิต ขอบคุณที่วันนี้ได้เจอชานยอล ขอบคุณที่วันนี้ได้รับน้ำใจที่ดีจากพี่ชานมี

     

    แบคฮยอนคนนี้ขอสัญญาว่าจะทำหน้าที่พนักงานร้าน Patici’er ให้ดีที่สุด สัญญาเลยครับ!

     

    -----------------100%--------------------

     


     

    [คุยกับไรท์เตอร์]

    มาต่อให้อีกนิด คาดว่าจะมาอีกทีประมาณคืนวันจันทร์ หรืออาจจะก่อนนะ
    วันจันทร์วิรินมีควิซ เพราะฉะนั้น คืนนี้ต้องอ่านหนังสือ

    ส่วนเย็นวันจันทร์ ก็ต้องปั่นไดเรคชั่นแล็ป อาจจะไม่ว่าง

    ดีใจมากพึ่งอัพวันนี้ก็มีคนเข้ามาอ่าน มาเม้นท์แล้ว 

    ขอบคุณจากใจเลยนะคะ ^^

     

     

    สำหรับใครที่เล่นทวิต รบกวนติดแท็ก #ฟิคเงียบ ให้ไรท์ทีนะคะ จะได้เช็คง่ายหน่อย


     

    :)  Shalunla
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×