คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : อิลลูชั่นโซนที่รกร้าง
จากการปะทะครั้งแรกกับสัตว์ประหลาดทำให้รามิลไทรู้อะไรหลายๆอย่างเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ชนิดนี้ โครงสร้างโดยรวมของมันแทบไม่ต่างจากมนุษย์ปกติ เว้นเสียแต่ร่างกายที่ผิดรูปไปบ้างและอวัยวะบางส่วนที่ผิดแปลกไปจากเดิม ความรู้จากวิชากายวิภาคทำให้เขาพอจะเข้าใจสัดส่วนและจุดอ่อนของมันบ้างและพร้อมที่จะรับมือกับมันทุกเวลาแล้วในตอนนี้
หลังจากที่รามิลไทและเอไอสาวได้ลองตรวจเช็คเครื่องอิลลูชั่นสีขาวที่หล่นอยู่ตรงหน้าประตูว่ามันไม่สามารถใช้งานได้จริงๆ รามิลไทก็ได้เริ่มทำการตรวจค้นภายในอาคารเกมเซ็นเตอร์ด้วยความระมัดระวังมากขึ้น เพราะเสียงของฝนที่กำลังตกอย่างรุนแรงทำเอาเขาแทบจะไม่ได้ยินอะไรเลย หากมีตัวอะไรโผล่มาด้านหลังคงจะไม่เป็นการดีแน่ๆ
ภายในอาคารเองก็มีสภาพไม่ต่างไปจากด้านนอกเท่าไร ร่างกายมนุษย์ที่ถูกสัตว์กลายพันธุ์ทำลายอย่างไม่ปราณีกระจัดกระจายไปทั่วดูเลวร้ายยิ่งกว่าในภาพยนตร์สยองขวัญที่เขาเคยดูมา แต่เมื่อเห็นแบบนี้ข้อสงสัยอีกอย่างหนึ่งก็แว่บเข้ามาในหัวของเขา…
ก่อนหน้านี้ในโทรทัศน์และข่าวต่างรายงานว่าพวกมันพยายามจะแพร่เชื้อไวรัสของพวกมันมาสู่คน ให้มนุษย์ธรรมดากลายเป็นสัตว์ประหลาดแบบมันและเพิ่มกำลังรบให้มากขึ้น แต่สภาพที่เห็นในตอนนี้ดูเหมือนกับว่ามันไม่ต้องการแพร่กระจายไวรัสนี้แล้ว มันแค่ต้องการฆ่าให้ตายและทำลายอุปกรณ์อิลลูชั่นอย่างเดียวเท่าน้น เขาคิดว่านี่จะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่าง
เมื่อรามิลไทยืนงงอยู่ภายในอาคารสักพักและไม่พบร้านค้าอะไรเลยสักร้าน โดยรอบมีเพียงตู้เกมเปล่าๆกับจุดจำหน่ายตั๋วตรงมุมหนึ่ง กับต้นไม้ในกระถางที่ล้มระเนระนาดเท่านั้น
“ไหนล่ะร้านค้าที่ฉันจะสามารถอัพเกรดสกิลของฉันได้น่ะโอเปอเรเตอร์” รามิลไทเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ\ เขาลองสังเกตไปรอบๆอีกครั้งและพบว่าอุปกรณ์เหล่านั้นดูเหมือนจะไม่ได้รับความเสียหายจากสัตว์ประหลาดเท่าไร
‘ร้านค้าของระบบอิลลูชั่นจะต้องทำการปรับเปลี่ยนวิชั่นเลนส์เป็นโหมดอิลลูชั่นเวิลด์เต็มรูปแบบถึงจะสามารถมองเห็นได้ค่ะ จะทำการปรับเปลี่ยนไหมคะ?’เอไอสาวร้องตอบ
“ก็ -- ตามนั้น” รามิลไทพูดขึ้น จากนั้นไม่เกินสองวินาทีเสียงร้องเตือนภายในหูฟังอิลลูชั่นก็ดังขึ้นเบาๆ – ติ๊ด! – วิชั่นเลนส์ได้เริ่มทำการเปลี่ยนแปลงทัศนียภาพโดยรอบของรามิลไทให้กลายเป็นโลกแห่งความฝันอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ขณะนี้ห้องโถงภายในอาคารเกมเซ็นเตอร์ได้ถูกเนรมิตให้กลายเป็นห้องสูทสุดหรูถูกปูด้วยพรมสีแดงสดดูสะอาดตาและซากศพที่เคยมีอยู่ได้หายไปจนหมด โคมไฟระย้าสไตล์ยุโรปห้อยอยู่บนเพดานจำนวนมากแต่ไม่ได้ถูกเปิดเอาไว้ ตู้เกมหลากหลายชนิดที่วางอยู่ทั่วบริเวณเมื่อครู่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นเคาทเตอร์ร้านขายของลักษณะราบเรียบและมีผู้คนจำนวนหนึ่งยืนเฝ้าอยู่ด้านหลังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ว้าว! มีคนด้วยแฮะ!” รามิลไทร้องร้องทันทีแต่สายตายังคงส่ายมองไปมากับความสวยงามรอบๆ
‘คนพวกนี้เป็นเอ็นพีซีหรือเอไอที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยโปรแกรมเช่นเดียวกับดิฉันค่ะ เป็นเพียงปัญญาประดิษฐ์ที่มีรูปลักษณ์ และพวกเขามีหน้าที่ดูแลร้านค้าต่างๆภายในอิลลูชั่นโซนค่ะ’ เอไอสาวไขข้อข้องใจของรามิลไท
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเบาๆและมองดูพนักงานเฝ้าร้านค้าเหล่านั้น รามิลไทรู้สึกว่าท่าทางการแสดงออกทั้งสีหน้าและการเคลื่อนไหวของเอ็นพีซีพวกนี้ทำออกมาได้ดีมากจนเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันเป็นเพียงแค่โปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นมา
เคาท์เตอร์ร้านขายของในห้องสูทสุดหรูนี้มีอยู่ด้วยกันนับสิบๆร้าน เท่าที่เขาเห็นในตอนนี้ก็จะมีทั้งร้านขายอุปกรณ์การต่อสู้ หนังสือเวทมนต์ อุปกรณ์ใช้แล้วหมดไป และอื่นๆอีกมากตามแบบฉบับร้านค้าในเกม แต่ละร้านจะมีอุปกรณ์ประจำร้านประดับตกแต่งอยู่ให้ดูมีสีสันยิ่งขึ้น
รามิลไทรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าพวกไอเทมอาวุธชุดเกราะต่างๆนี้มีโครงสร้างในโลกจริงเป็นอย่างไร เพราะเท่าที่เขารู้คือระบบอิลลูชั่นจะทำการเปลี่ยนแปลงวัตถุที่มีอยู่บนโลกจริงให้กลายเป็นวัตถุในโลกอิลลูชั่น แล้วถ้าอย่างนั้นอาวุธพวกนั้นล่ะ?
ชายหนุ่มก้าวเท้าเดินเข้าไปที่ร้านขายอาวุธด้วยท่าทีระมัดระวัง เพราะแม้ตอนนี้เขาจะเห็นสภาพโดยรอบเป็นโลกของอิลลูชั่นแล้ว แต่ในโลกความเป็นจริงอาจจะมีสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์แอบซ่อนอยู่อีกก็เป็นได้
รามิลไทหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าร้านขายอุปกรณ์การต่อสู้พร้อมกับพนักงานในร้านก็เอ่ยทักทายอย่างมีไมตรี
“สวัสดีครับคุณลูกค้า จะรับอะไรดีครับวันนี้” ชายหนุ่มผู้มีชุดเครื่องทรงคล้ายกับนักรบในยุคอวกาศเอ่ยต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แม้ว่าชุดสีขาวทรงประหลาดจะดูแปลกตาอยู่บ้างแต่รามิลไทก็รู้สึกว่าอีกสักห้าปีมันอาจจะเท่ไม่หยอกเลยทีเดียว
“เอ่อ… อยากได้ดาบสักเล่มน่ะครับ พอจะมีไหมครับ?” รามิลไทลองถามลองเชิงไปนิดหน่อย เพราะความจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการจะซื้ออะไรหรอก เขาแค่อยากรู้ว่าอาวุธของโลกอิลลูชั่นจะหน้าตาเป็นอย่างไรเท่านั้นเอง
“ครับ เชิญเลือกได้ตามแคทตาล็อกแผ่นนี้เลยครับ” พนักงานขายส่งยิ้มหวานพร้อมกับยื่นแผ่นพลาสติกใสในมือให้กับรามิลไท เขารับมันมาด้วยท่าทีสับสนว่ามันคืออะไร
และทันใดนั้นแผ่นพลาสติกใสก็มีแสงสีฟ้าพุ่งทะลุออกมากลายเป็นภาพของหน้าต่างสินค้ามากมายแบ่งเอาไว้ตามหมวดหมู่ รามิลไทเงยหน้ามองหน้าต่างสินค้าที่กำลังลอยอยู่เหนือแผ่นพลาสติกใสในมือด้วยความทึ่ง
“คุณสามารถลองสินค้าได้โดยการกดปุ่ม ทดลอง ที่มุมซ้ายล่างของสินค้าที่ต้องการนะครับ” พนักงานเอ็นพีซีชายคนนั้นให้คำแนะนำพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม
รามิลไททำตามที่ชายคนนั้นบอกโดยไม่ลังเล เขากดปุ่มทดลองไปที่ดาบเล่มหนึ่งหนึ่งครั้ง และไม่ทันที่เขาจะตั้งตัว – ฟึบ! – แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาเหนือหัวรามิลไทและดาบขนาดยักษ์ก็ล่วงตกลงมาเข้ามือขวาของเขาอย่างพอดิบพอดี
“โห้!” รามิลไทร้องอุทานเบาๆและลองกวัดแกว่งดาบอันนั้นอย่างสะเปะสะปะอยู่ครู่หนึ่ง เขาหยุดมือมองไปที่คมดาบสีเงินวาวอันนั้นและคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “โอเปอเรเตอร์ช่วยปรับเปลี่ยนวิชั่นเลนส์ให้กลายเป็นภาพจากโลกความจริงที่ตาขาซ้ายข้างเดียวได้ไหม?” ชายหนุ่มร้องขอให้เอไอสาวทำอะไรบางอย่างให้ และเธอก็ตอบรับ
‘รับทราบค่ะ’
สิ่งที่รามิลไทอยากรู้คือดาบที่เขากำลังถืออยู่ในมือขณะนี้ทางด้านโลกความจริงนั้นมีสภาพเป็นเช่นไร และแน่นอนว่าคำตอบก็เป็นไปอย่างที่เขาคิดเอาไว้ นั่นคือ ความว่างเปล่า…
ดาบขนาดยักษ์ที่เขาถืออยู่ในมือเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น และความรู้สึกหนักอึ้งของดาบที่เขาได้รับเป็นเพียงการดัดแปลงประสาทการรับรู้ของเครื่องอิลลูชั่น นั่นหมายความว่าแม้เขาจะซื้ออาวุธจากโลกอิลลูชั่นไปด้วยราคาแพงแค่ไหนก็สามารถทำได้แค่ปราบมอนสเตอร์ในโลกอิลลูชั่นเท่านั้น ไม่เป็นประโยชน์ในการต่อกรกับสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์เลยสักนิดเดียว
สิ่งเดียวที่เขาคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ที่สุดและเป็นหนี่งในเป้าหมายที่เขามายังอิลลูชั่นโซนแห่งนี้นั่นก็คือ การอัพเกรดสกิล แน่นอนว่าการเพิ่มทักษะในการเอาตัวรอดถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโลกในตอนนี้ และเขาคิดว่าระบบการอัพเกรดสกิลอันนี้แหละเป็นสาเหตุทำให้สัตว์ประหลาดพวกนั้นตั้งเป้าจะทำลายเครื่องอิลลูชั่นให้สิ้นซาก เพื่อไม่ให้มนุษย์ต่อกรกับพวกมันได้ นี่คือการสันนิษฐานของเขา…
“แล้วฉันจะสามารถอัพเกรดสกิลของตัวเองได้ที่ไหนล่ะโอเปอเรเตอร์” รามิลไทพยายามมองหาชื่อร้านค้าที่มีลักษณะตรงกับสิ่งที่เขากำลังต้องการแต่ก็ไม่เจอ
‘การอัพเกรดสกิลสามารถทำได้โดยการคุยกับเอ็นพีซีที่ชื่อว่า ยาจก ซึ่งนั่งอยู่ใกล้กับทางออกตรงนั้นค่ะ’ เอไอตอบคำถามและเสกให้ลูกศรสีแดงขนาดใหญ่ชี้ตรงไปยังประตูซึ่งมีชายชราท่าทางไม่สมประกอบนั่งหลับอยู่ รามิลไทเหร่ตามองด้วยสีหน้าไม่เชื่อพรางบ่นงึมงำ
“เอ่อ… ลุงแก่ๆนั่นน่ะนะ?”รามิลไทพูดขึ้น เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมระบบอิลลูชั่นถึงสร้างเอ็นพีซีอัพเกรดสกิลมีลักษณะเป็นขอทานซกมกแบบนี้ ถ้าจะให้มันดูสมกับคุณสมบัติการอัพเกรดสกิลก็ควรจะเป็นเอ็นพีซีที่ดูฉลาดๆและน่าเกรงขามกว่านี้หน่อยไม่ใช่หรือ?
ชายหนุ่มเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าชายขอทานคนนั้นและย่อตัวนั่งลงข้างๆ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มสะกิดไปที่ไหล่ของชายแก่ท่าทางซกมกผมเผ้ารุงรังคนนั้น “นี่ลุง ฉันมาอัพเกรดสกิล” รามิลไทเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงบอกบุญไม่รับ
“ห้ะ หืมม..อ้อ! สวัสดีพ่อหนุ่ม… จะเพิ่มทักษะอะไรดีล่ะ?” เสียงของยาจกฟังยากกว่าปกติเล็กน้อยคล้ายคนไม่มีแรงจะพูด รามิลไทคิดว่าถ้าหากจะไม่เป็นการเสียเวลาเขาคงจะยกน้ำขิงมาเสิร์ฟชายแก่คนนี้สักแก้ว
“เพิ่มทักษะอะไรดีผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ลุงช่วยแนะนำทีสิ ผมยังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร” รามิลไทเอ่ยขึ้น และยาจกคนนั้นก็หันหน้ามามองรามิลไทด้วยดวงตาสีขาวโพลน รามิลไทรู้สึกตกใจนิดหน่อยที่ชายคนนั้นไม่มีตาดำเหลืออยู่เลย – ชายแก่คนนั้นกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเริ่มอธิบายข้อมูลให้รามิลไทฟังอย่างตั้งใจ
“การจะเพิ่มทักษะหรืออัพเกรดสกิลของตัวเองจำเป็นต้องมีการเก็บค่าประสบการณ์จนเลเวลอัพเสียก่อน จากนั้นเจ้าก็จะได้รับแต้มทักษะ หรือสกิลพอยท์เพื่อนำมาอัพเกรดไงล่ะ”
ดวงตาของรามิลไทเบิกโพลงทันทีเมื่อได้ยินดังนั้น “เลเวลอัพ? สกิลพอยท์? จริงด้วยแฮะ!!!”
รามิลไทลืมไปเสียสนิทเลยว่าตามแบบฉบับการเล่นเกมทั่วไปนั้นจำเป็นจะต้องทำการสะสมค่าประสบการณ์เพื่อทำการอัพเลเวลของตัวเองเสียก่อน จากนั้นถึงจะทำการเพิ่มทักษะของตัวเองได้
“เวรเอ้ย! ลืมไปซะสนิท!” รามิลไทสบถออกมาเบาๆ “นี่แปลว่าฉันต้องมาเสียเวลาอัพเลเวลด้วยการฆ่ามอนสเตอร์ในโลกอิลลูชั่นอีกสินะ! มันใช่เวลามาทำอะไรแบบบนั้นไหมล่ะตอนนี้!!!” เขาพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างกระฟัดกระเฟียด แต่เสียงของเอไอสาวก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะอารมณ์ของเขาที่กำลังร้อนได้ที่อย่างพอดิบพอดี
‘ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ก่อนหน้านี้ท่านได้ทำการเลเวลอัพตัวเองมาเป็นเลเวลสิบเอ็ดเรียบร้อยแล้ว นั่นทำให้ท่านมีสกิลพอยท์ทั้งหมดสิบเอ็ดแต้มด้วยกันค่ะ’
“หืม!?” น้ำเสียงของรามิลไทดูประหลาดใจเล็กน้อย “ฉันไปเลเวลอัพมาเมื่อไรกัน? ฉันยังไม่ได้สู้กับมอนสเตอร์ในโลกอิลลูชั่นสักตัวเลยนะ?” เขาร้องทัก
‘ระบบอิลลูชั่นนั้นมีฟังก์ชั่นการเปลี่ยนแปลงการต่อสู้ในโลกความเป็นจริงให้กลายเป็นค่าประสบการณ์ได้ค่ะ อาทิเช่น การต่อสู้ในสังเวียนของนักมวย การแข่งขันกีฬาในทัวร์นาเมนท์ หรือแม้กระทั่งการสอบไฟนอลของทางมหาวิทยาลัย สิ่งเหล่านั้นระบบอิลลูชั่นจะทำการประมวลผลให้กลายเป็นค่าประสบการณ์ได้ค่ะ – ดังนั้นการต่อสู้กับมนุษย์กลายพันธุ์เมื่อสักครู่จึงถูกนำมาตีเป็นค่าประสบการณ์ในระบบอิลลูชั่นเช่นกัน’
“อ้อ” รามิลไทถึงบางอ้อและพยักหน้ารับคำตอบเบาๆ เขาหันหน้าไปหายาจกที่นั่งคุดคู้ไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกครั้งก่อนจะเริ่มพูด “งั้นลุงช่วยเช็คให้ผมทีว่าผมสามารถเพิ่มทักษะแบบไหนได้บ้าง”
ชายแก่ได้ยินดังนั้นจึงลืมตาขึ้นและหันมาทางรามิลไทด้วยใบหน้าอิดโรยพร้อมกับยื่นมือขวามาแตะที่หน้าผากของรามิลไทเบาๆ
วิ๊ง…
ทันทีที่มือของชายชราสัมผัสลงมาที่ผิวหนัง แสงสีเขียวสว่างจ้าขึ้นมาจนรามิลไทต้องหลับตาไปชั่วขณะ เขารู้สึกได้เลยว่าเหมือนกับมีอะไรบางอย่างดันหนังตาของเขาเอาไว้ไม่ให้มันเปิดขึ้นมาได้ง่ายๆ ความร้อนที่แผ่ซ่านเข้ามาทั่วร่างทำให้รามิลไทรู้ไม่แน่ใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเขากันแน่
วึบ!
เสียงของทุกสิ่งทุกอย่างหายไปจนหมด ตอนนี้เขาไม่ได้ยินอะไรเลยราวกับหูหนวก รามิลไทลองใช้นิ้วทั้งห้าขยี้ไปมาใกล้ๆหูของตัวเองก็พบว่าหูยังสามารถใช้การได้ปกติดี เขาพยายามลืมตาขึ้นด้วยความยากลำบากและพบว่าสภาพแวดล้อมรอบๆได้เปลี่ยนไปแล้ว
ตอนนี้ไม่ว่ารามิลไทจะมองไปทางไหนก็พบแต่สีขาวโพลนสว่างจ้าดูไม่มีจุดสิ้นสุด ทั้งเหนือหัวหรือทางด้านซ้ายขวาและแม้กระทั่งพื้นที่เขากำลังเหยียบอยู่ก็เป็นสีขาวสว่างใสราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่ในอวกาศรูปแบบใหม่
ไม่มีแม้แต่เสียงหรือสายลม ทุกอย่างดูว่างเปล่า…
“ตอนนี้เจ้ากำลังอยู่ภายในจิตใจตัวเอง” อยู่ๆเสียงของชายชราก็ดังขึ้นจนรามิลไทสะดุ้ง เขาหันมองกลับมาด้านหลังและพบว่ายาจกชราคนนั้นโผล่มาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขาก้มมองชายแก่คนนั้นซึ่งมีความสูงไม่น่าเกินหนึ่งร้อยห้าสิบเซนติเมตรโดยประมาณ
“ผมกำลังอยู่ในจิตใจตัวเองงั้นหรอ?” รามิลไททวนคำพูดนั้น
“ใช่… เอาล่ะ” ชายแก่คนนั้นกระแอมเบาๆก่อนจะเริ่มพูด “การเพิ่มทักษะของผู้ใช้อิลลูชั่นมีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบใหญ่ๆ นั่นคือทักษะทาง ‘จิต’ และทักษะทาง ‘กาย’ ซึ่งภายในอิลลูชั่นโซนแห่งนี้ เจ้าจะสามารถเพิ่มทักษะได้รูปแบบเดียวเท่านั้นคือทาง ‘จิต’” เสียงของชายคนนั้นกังวานใสโดยไร้เสียงใดเจือปน
“อ้าวแล้วทางกายล่ะ? ผมจะสามารถเพิ่มทักษะทางกายได้ที่ไหนกัน?” รามิลไทเอ่ยถาม
“ในประเทศโลกที่สามโดยปกติแล้วทางบริษัทอิลลูชั่นจะทำการเปิดอิลลูชั่นโซนเพียงสองจุด โดยทั้งสองจุดนั้นจะมีความแตกต่างกันอยู่ การแบ่งประเภทการเพิ่มทักษะเองก็เป็นหนึ่งในความต่างอันนั้น – และคำตอบคือเจ้าจะสามารถเพิ่มทักษะทางกายได้ที่อิลลูชั่นโซนอีกที่หนึ่ง แต่เป็นที่ไหนข้าไม่สามารถบอกได้ เพราะนั่นเป็นหนึ่งในเนื้อหาภารกิจหลักของระบบอิลลูชั่น”
“โอเคผมไม่ค่อยมีเวลามาก เอาที่ได้ก่อนก็แล้วกัน – ในตอนนี้เพิ่มทักษะทางจิตนี่ผมจะเพิ่มอะไรได้บ้าง?” รามิลไทมีท่าทีร้อนรนขึ้นเล็กน้อยเมื่อมองไปที่อินเตอเฟซนาฬิกาและพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบจะหกโมงเช้าแล้ว แม้จิตใจเขาจะยังไม่อยากนอนเลยแต่ร่างกายก็เริ่มจะร้องตะโกนว่ามันไม่ไหวแล้ว
“ข้าต้องบอกก่อนเลยว่าการเพิ่มทักษะในระบบอิลลูชั่นไม่เหมือนกันกับในเกมอื่นๆ เพราะการเพิ่มทักษะของเราจำเป็นต้องมีการฝึกฝนในสิ่งๆนั้นมาก่อนถึงจะทำการเพิ่มระดับทักษะให้มากขึ้นได้ เช่น หากเจ้าอยากจะเพิ่มสกิลการกระโดดให้ลอยสูงมากขึ้น เจ้าก็ต้องมีกล้ามเนื้อขาและพละกำลังที่แข็งแรงในระดับที่สมควรเสียก่อน ระบบอิลลูชั่นจึงจะสามารถเพิ่มระดับทักษะให้กับเจ้าได้ เพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดการบาดเจ็บทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาดหากจะฝืนเพิ่มระดับทักษะโดยไม่คำนึงถึงร่างกายตัวเอง” รามิลไทพยักหน้าเบาๆและเข้าใจโดยง่ายเพราะพอจะได้ยินจากเอไอสาวประจำตัวเขามาบ้างแล้ว
“ดังนั้นแล้วทักษะทาง ‘จิต’ ที่เจ้าสามารถเรียนรู้ หรือ เพิ่มระดับได้ทั้งหมดในตอนนี้มีเพียงสองทักษะเท่านั้น”
“หา!? สองเองหรอ?” รามิลไทร้องถามน้ำเสียงตกใจ แต่ดูเหมือนยาจกชราจะไม่สนใจอาการตกใจของเขาเลยแม้แต่นิด เขายังคงเดินวนไปรอบๆตัวรามิลไทและพูดบรรยายต่อไปอย่างมีสมาธิ
“ทักษะแรกที่เจ้าสามารถเพิ่มระดับได้คือ ‘การโต้ตอบฉับพลัน’ ซึ่งเจ้ามีติดตัวอยู่แล้วในขั้นที่หนึ่ง และในตอนนี้เจ้าสามารถเพิ่มระดับได้ถึงขั้นที่สาม และในทักษะระดับที่สามเจ้าจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่ไวมากขึ้นกว่าเดิมสองเท่าตัว หรือเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับระดับแชมป์นักมวยอาชีพหรืออาจมากกว่า” รามิลไทยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมากอดอกศรีษะก้มต่ำใบหน้าครุ่นคิด
“ทักษะที่สองเป็นทักษะใหม่มีชื่อว่า ‘ซิกเซนส์’ ทักษะนี้จะทำให้เจ้าสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตรอบๆตัวเจ้าได้ในระยะสิบเมตรในขั้นที่หนึ่ง”
“จัดมาตามนั้น” รามิลไทพูดตอบขึ้นมาด้วยความรวดเร็วจนยาจกชราตกใจ “ผมมีสกิลพอยท์ทั้งหมดสิบเอ็ด และตอนนี้ดูเหมือนผมจะสามารถเพิ่มทักษะได้เพียงสามสกิลพอยท์คือ การโต้ตอบฉับพลันสองพอยท์และซิกเซนส์อีกหนึ่งพอยท์ – ยืนยันคำสั่ง จัดมาเลย” รามิลไทพูดจบก็เริ่มหลับตาเหมือนกับรู้ว่าสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นข้างหน้าคงจะต้องมีแสงวูบวาบแสบตาอีกแน่ๆ ชายชราร่างเล็กฉีกยิ้มก่อนจะเริ่มเดินเข้ามาใกล้รามิลไทและใช้มือขวาแตะไปที่หน้าผากของเขาเบาๆอีกครั้ง
วิ้ง!..
เป็นไปอย่างที่รามิลไทคิดเอาไว้ แสงสีเขียวสว่างจ้าออกมาจากปลายนิ้วมือของชายแก่คนนั้นและครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ ความรู้สึกร้อนวาบกลับมาหาเขาอีกครั้งและสิ่งต่างๆรอบกายก็กลับมามีสภาพเป็นปกติเช่นเดิมแล้ว
“เรียบร้อยพ่อหนุ่ม” ยาจกเฒ่าถอนมือออกจากหน้าผากของรามิลไทพรางยิ้มให้ด้วยใบหน้าสดใสขึ้นมาก เขามองไปรอบๆตัวและพบว่าตอนนี้เขากลับมาอยู่ภายในห้องสูทสุดหรูที่เต็มไปด้วยเคาท์เตอร์ร้านค้าเรียบร้อยแล้ว
“ขอบคุณมากลุง ไว้โอกาสหน้าจะมาใช้บริการใหม่” รามิลไทรีบลุกขึ้นยืนและดูเหมือนเขาจะมีอาการหน้ามืดเล็กน้อยด้วยสาเหตุอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มพยายามสะบัดความรู้สึกเหล่านั้นออกไปและเขาก็มองเห็นแสงไฟที่หน้าอินเตอเฟซรอบตัวกำลังกระพริบอยู่ เมนูอินเตอเฟซที่กำลังกระพริบมีหัวข้อว่า “สกิล” ซึ่งแน่นอนว่ามันคงจะแจ้งเกี่ยวกับสกิลใหม่ที่เขาพึ่งเรียนมา ไม่รอช้าเขาทำการยื่นมือไปกดปุ่มอินเตอเฟซสีฟ้าที่กำลังกระพริบอยู่ทันที
‘การโต้ตอบฉับพลัน ระดับ 3 – สกิลติดตัว
ซิกเซนส์ ระดับ 1 – สกิลใช้งาน’
รามิลไทกำลังทำความเข้าใจว่าข้อความที่กำกับไว้ว่า ‘สกิลติดตัว’ นั้นคงจะหมายถึงสกิลที่ไม่จำเป็นต้องกดเรียกใช้ เป็นสกิลที่จะแสดงผลอยู่ตลอดเวลา – แต่สำหรับ ‘สกิลใช้งาน’ ก็หมายถึงต้องการคำสั่งเปิดใช้เป็นครั้งเป็นคราว
“นั่น…อะไรน่ะ” รามิลไทพึ่งสังเกตเห็นปุ่มกดท่าทางแปลกๆในหน้าต่างสกิล มันถูกเขียนเอาไว้ว่า โอเวอร์คล็อก และดูรามิลไทจะไม่เข้าใจเท่าไรว่ามันคืออะไร เขาลองอ่านเกี่ยวกับคำอธิบายของมันด้วยความสงสัย
แม้มันจะเป็นคำสั่งที่อยู่ในหน้าต่างสกิล แต่ดูเหมือนว่าโอเวอร์คล็อกจะไม่ใช่สกิลปกติที่มนุษย์จะใช้กัน เพราะมันคือการเร่งปฏิกิริยาเคมีและระบบประสาทต่างๆภายในร่างกายให้ทำงานได้เร็วมากขึ้นกว่าเดิมเกือบสิบเท่า เมื่อเปิดใช้คำสั่งนี้จะทำให้มนุษย์ธรรมดากลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ได้โดยการจะทำให้คุณมีพละกำลัง ความรวดเร็ว และประสาทที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ปัจฉิมลิขิตที่ระบุเอาไว้ท้ายประโยคบอกว่า
‘ใช้แล้วอาจตายได้’
เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็ไม่คงคิดจะไม่ยุ่งกับเจ้าระบบแปลกๆนี้เท่าไร ถึงมันจะทำให้เราเป็นยอดมนุษย์ได้ แต่ถ้าต้องแลกกับความตายมันก็คงจะไม่ต่างอะไรกับการเอาชีวิตไปทิ้ง
รามิลไทหันกลับมาอ่านสกิล ‘ซิกเซนส์’ ซึ่งระบุเอาไว้ว่า ทำให้ผู้ใช้สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่รอบๆตัวในระยะสิบเมตรสำหรับสกิลขั้นที่หนึ่ง เป็นสกิลประเภทใช้งาน และดูเหมือนว่าจะมีเรื่องของสตามิน่าเข้ามาเกี่ยวข้อง สีหน้าของเขาดูเหมือนจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับระบบสตามิน่าเท่าไรนัก
“โอเปอเรเตอร์! ยังสบายดีอยู่นะ?” รามิลไทเคาะไปที่หูฟังสองทีคล้ายกำลังสะกิดเธอให้ตื่น เพราะดูเหมือนเธอจะเงียบหายไปนานพอสมควร
‘ระบบยังทำงานปกติดีค่ะ’ เสียงของเอไอสาวยังคงราบเรียบไม่ต่างจากเดิม
“โอเคถ้างั้นช่วยอธิบายระบบสตามิน่าที”
‘ได้ค่ะ’ เธอทำการประมวลอยู่ครึ่งวินาทีและเริ่มสาธยาย ‘ระบบสตามิน่าเปรียบเหมือนเป็นพลังงานของจิตใจของผู้ใช้ค่ะ เป็นพลังงานจริงที่อยู่ภายในร่างกาย และหากสตามิน่าหมดคุณก็จะหมดแรง ต้องทำการพักฟื้นด้วยการนั่งหรือนอนเท่านั้น และทางระบบอิลลูชั่นจะไม่มีไอเทมฟื้นฟูสตามิน่าเพราะไม่สามารถทำได้ในโลกความเป็นจริงค่ะ ยกเว้นแต่การดื่มยาหรือสิ่งเสพติดเกี่ยวกับระบบประสาทอาจทำให้สตามิน่าเพิ่มขึ้นได้ แต่เราก็ไม่แนะนำวิธีการนั้นเป็นอย่างยิ่งค่ะ’
รามิลไทพยักหน้าและเริ่มทำการติดตั้งคำสั่งเรียกใช้สกิล ‘ซิกเซนส์’ เรียบร้อย จากคำบรรยายได้ระบุเอาไว้ว่าสกิลซิกเซนส์จำเป็นต้องใช้สตามิน่าของผู้ใช้จำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ต่อครั้ง นั่นหมายความว่าเขาไม่สามารถใช้สกิลนี้ได้บ่อยนัก
“ใช้ถี่มากไม่ได้สินะ” รามิลไทถอนใจพรางยกมือขึ้นมาเกาหัวรู้สึกรำคาญใจอยู่เล็กน้อย “ไหนๆก็ไหนๆลองใช้สักครั้งนึงคงไม่เป็นไรมั้ง” เขาปัดหน้าอินเตอเฟซทั้งหลายที่ขวางทางอยู่ให้หายไปและเริ่มทดลองสกิลครั้งแรก
ซิกเซนส์!
เสียงหวึ่งดังขึ้นมาในหูของรามิลไทและดูเหมือนเขาจะมีสัมผัสพิเศษเพิ่มขึ้นมาชั่วขณะ ทั่วทุกทิศบริเวณรอบตัวรามิลไทสามารถรู้ถึงทุกการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตทุกขนาดไม่เว้นแม้กระทั่งมดที่เดินขบวนกันอยู่ด้านหลังกำแพง หรือแมลงสาปนับร้อยดูน่ารังเกียจที่แออัดกันอยู่ในรูระบายน้ำใกล้ๆ แต่สิ่งที่ต้องทำให้รามิลไทตกตะลึงมากกว่าสิ่งอื่นนั่นก็คือภาพเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ยืนจังก้าอยู่ด้านหลังกำแพงห่างจากเขาเพียงไม่กี่ฟุต
รามิลไทผงะไปในทิศทางตรงข้ามและย่อตัวต่ำและด้วยสัญชาติญาณทันที สัตว์กลายพันธุ์ตัวนั้นเหมือนกำลังยืนทำอะไรบางอย่างที่น่าสงสัยและรามิลไทก็ตัดสินใจที่จะเอาหูไปแนบกำแพงหวังว่าจะได้ยินอะไรสักอย่างที่มันกำลังทำอยู่
“เข้าใจแล้วครับ ศูนย์อพยพ” เสียงอันแหบต่ำของสัตว์ประหลาดพูดขึ้นอย่างชัดเจน “หน่วยอำพรางถูกส่งไปที่นั่นเมื่อห้านาทีที่แล้ว ไม่น่ามีปัญหาครับท่าน” น้ำเสียงอันนอบน้อมนั่นดูเหมือนกับลูกน้องที่กำลังคุยอยู่กับหัวหน้างานไม่มีผิด
เสียงของมันเงียบหายไปและดูเหมือนสกิลซิกเซนส์เองก็จะหยุดการแสดงผลไปเรียบร้อยแล้วด้วย รามิลไทกำลังคิดหวังว่า ‘ศูนย์อพยพ’ ที่พวกมันพูดถึงจะไม่ใช่มหาวิทยาลัยของเขา ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบใช้มือขวาปัดป่ายไปที่อินเตอเฟซสีฟ้าที่อยู่ด้านขวามีหัวข้อว่า ‘การโทร’และกดเลขหมายของรินทันที
แม้จะผ่านไปเพียงชั่ววินาทีแต่รามิลไทรู้สึกว่ามันนานราวกับเป็นชั่วโมง เสียงรอสายที่กำลังดังตื๊ดๆทำให้รามิลไทรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น ทำไมรินถึงยังไม่รับโทรศัพท์เขาเสียที ในใจของเขาที่กำลังว้าวุ่นเริ่มจินตนาการภาพอันโหดร้ายที่ไม่อยากจะให้เกิดขึ้น เขาไม่อยากจะเห็นมหาวิทยาลัยของเขาแปรสภาพกลายเป็นสุสานทะเลเลือดเหมือนกับสวนสนุกแห่งนี้เลย
“ฮัลโหล” เสียงจากปลายสายดังขึ้นทำให้รามิลไทรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกไปแปดลูก
“ริน!!!เธอโอเคใช่ไหม!!??” รามิลไทลืมตัวและเผลอตะโกนใส่ปลายสายทันทีด้วยความร้อนใจ
“โอ้ยรามิล! พูดเบาๆก็ได้! สบายดีย่ะ!” เสียงตอบของเพื่อนสาวทำให้รามิลไทรู้สึกสบายใจขึ้นมาก อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ยังปลอดภัยดีอยู่ แต่เขาเองก็จะชะล้าใจไม่ได้
“ริน! ฉันได้ยินพวกตัวประหลาดพวกนั้นมันคุยกันว่ามันจะบุกถล่มศูนย์อพยพ ไม่รู้ว่าศูนย์อพยพที่ไหนแต่พวกเธอต้องระวังเอาไว้เข้าใจไหม!? ฉันจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด แค่นี้ก่อนนะ!” ว่าแล้วรามิลไทก็วางสายและรีบรุดหน้ากลับไปที่มอเตอไซค์ที่จอดอยู่ตรงหน้าทางเข้าอย่างไม่รอช้า
เขากระโดดข้ามผ่านซากศพนับร้อยที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นหินอ่อนไปด้วยความรวดเร็วโดยไม่สนใจรอยเลือดที่แห้งกรังจะเปรอะเปื้อนรองเท้า และทันทีที่เขาก้าวข้ามผ่าวเขตประตูสวนสนุก เสียงของอะไรบางอย่างก็ดังขึ้น…
“อรุณสวัสดิ์นักศึกษา”
เสียงแหบต่ำอันนั้นดังแว่วมาจากด้านหลังของรามิลไทในระยะใกล้มาก เขารับรู้ได้ถึงอุณหภูมิอันเย็นเฉียบของมันได้เป็นอย่างดี ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหลบไปด้านซ้ายมือเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ตัวเองมองไม่เห็นด้วยสัญชาตญาณ เขารู้สึกได้ว่าเหมือนมีของมีคมขนาดใหญ่พุ่งทะลวงผ่านหน้าเขาไปอย่างเฉียดฉิว
“โอเปอเรเตอร์!!! ฉันมองไม่เห็นมัน!!!” รามิลไทกระโดดถอยกรูดไปด้านหลังเพื่อตั้งหลักและมองซ้ายมองขวาอย่างล่อกแล่กเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังถูกตัวอะไรโจมตีอยู่ สัตว์ประหลาดร่างยักษ์เหล่านั้นกำลังอยู่ในโหมดล่องหนทำให้เขากำลังตกที่นั่งลำบาก
‘กำลังทำการประมวลผลเพื่อปรับสภาพวิชั่นเลนส์ให้สร้างแบบจำลองของสิ่งมีชีวิตที่สามารถพรางตัวได้อย่างสมบูรณ์’ เสียงของเอไอสาวประกาศขึ้น
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงกรงเล็บอีกคู่หนึ่งวาดฟันเข้ามาจากทิศทางตรงกันข้ามแต่ดูเหมือนมันจะช้ากว่าคราวที่แล้ว รามิลไทสามารถกระโดดหลบได้อย่างทุลักทุเลอีกครั้งก่อนที่จะกระโดดถอยหลังไปอีกก้าว การโจมตีจากสองทิศทางแบบนี้นั่นหมายความว่าจะต้องมีสัตว์ประหลาดสองตัวแน่ๆ
ปิ๊บ!
เสียงจากเครื่องอิลลูชั่นดังขึ้นเบาๆหนึ่งครั้งและดูเหมือนสภาพแวดล้อมจะถูกปรับเปลี่ยนเล็กน้อยให้กลายเป็นโลกจริงที่มีองค์ประกอบตามธรรมชาติทุกประการ แสงอาทิตย์ในยามเช้าที่กำลังสาดส่องลงมาบนโลกเผยให้เห็นบริเวณโดยรอบอย่างชัดเจน
ตอนนี้พวกมันถูกเผยตัวออกมาให้เขาได้เห็นแล้ว…แต่ทว่าภาพตรงที่ปรากฎขึ้นทำให้รามิลไทพูดอะไรไม่ออก
สัตว์ประหลาดกลายพันธุ์รูปร่างแปลกตามีขนาดสูงเกือบสี่เมตรยืนกำลังยืนล้อมรามิลไทอยู่นับสิบตัว นัยน์ตาสีแดงฉานของพวกมันจ้องเขม็งมาที่ร่างขนาดจิ๋วที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความกระหายและพร้อมจะทำลายมันให้สิ้นซากภายในชั่วพริบตา
ความคิดเห็น