คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : การเริ่มต้น
‘หลังจากค่ายเกมชื่อดังได้ปล่อยโฆษณาสิ่งประดิษฐ์ตัวใหม่ออกมาได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง เทคโนโลยีล้ำยุคชิ้นนี้ได้ถูกจับตามองจากประชาชนทั่วทุกมุมโลกทันทีและเป็นหัวข้อการสนทนาอย่างแพร่หลาย และคณะผู้ผลิตได้ประกาศว่าสิ่งๆนี้เป็นเทคโนโลยีที่จะทำให้เกิดโลกใบใหม่…เป็นอุปกรณ์ดิจิตอลที่ไฮเทคที่สุดเท่าที่มนุษย์จะเคยมีมา และพวกเขาเรียกมันว่า ‘อิลลูชั่น’
หนังสือพิมพ์ประจำวันเกือบทุกฉบับต่างพาดหัวข่าวเกี่ยวกับกระแสความดังของอุปกรณ์เทคโยโลยีล้ำยุคจากโฆษณาของบริษัทเกมดัง และรวมไปถึงนิตยสารหรือโลกไซเบอร์ต่างก็พูดถึงสิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ซึ่งมีชื่อว่า “อิลลูชั่น” ทุกคนต่างสงสัยว่ามันมีจริงไหม? และมันคืออะไรกันแน่?
จากโฆษณาที่ทางผู้ผลิตได้ปล่อยออกมาเนื้อหาโดยรวมแล้วสรุปใจความได้ว่าสิ่งประดิษฐ์ใหม่ของพวกเขานั้นเปรียบเสมือนการสร้างโลกอีกใบที่ไม่มีจริงขึ้นมาเป็นภาพดิจิตอลให้เราได้มองเห็นภาพผ่านเลนส์ใส คล้ายกับการนำตัวคุณเข้าไปอยู่ในโลกดิจิตอลที่มีหน้า UI และหน้าต่างเมนูลอยอยู่รอบตัวคุณ จะว่าไปแล้วมันก็ดูไม่ต่างจากเกมออนไลน์ที่มีเมนูคำสั่งบนหน้าจอคอมเท่าไรนัก แต่สิ่งเหล่านั้นมันจะปรากฏลอยขึ้นมาให้คุณได้เห็นและสัมผัสได้จริงๆนั่นเอง ซึ่งระบบและวิธีการทำงานอย่างระเอียดนั้นยังไม่มีใครทราบ แต่อีกไม่นานชาวโลกก็จะได้รู้ว่าเจ้าสิ่งประดิษฐ์อันนี้จะเป็นไปอย่างที่ได้โฆษณาเอาไว้หรือไม่ เพราะตามกำหนดการภายในสป็อตโฆษณาของทางผู้ผลิตระบุเอาไว้ว่าอีกเพียงสองวัน อุปกรณ์อิเลคทรอนิคสุดไฮเทคจะวางขายตามท้องตลาดด้วยราคาที่สูงลิบขนาดที่เรียกได้ว่าถ้าไม่ถูกคนอื่นเรียกว่า “ไอ้บ้านรวย” ก็ไม่มีทางซื้อได้แน่นอน นั่นทำให้ชาวเน็ตก็พูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าสิ่งที่เรียกว่า “อิลลูชั่น” นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดมาเพื่อคนไฮโซบ้านรวยอย่างแท้จริงเลยล่ะ แต่แม้ราคาของเจ้าฮาดแวร์ชิ้นนี้จะแพงมหาศาลก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปอย่างที่ลือกันเลยซะทีเดียว
ทางผู้พัฒนาได้ออกมาประกาศหลังปล่อยโฆษณาว่า ‘เราจะลดราคาลงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์สำหรับนักศึกษาปริญญาทุกท่านเพื่อให้ท่านได้นำอุปกรณ์เหล่านี้ไปใช้ในการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นโปรโมชั่นสำหรับสามวันแรกที่วางจำหน่ายเท่านั้น’ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างก็เฮและมียอดสั่งจองถล่มทลายขึ้นมาทันที จนตอนนี้ก็มียอดสั่งจองจากทั่วโลกมากกว่าสิบล้านเครื่องแล้ว และแน่นอนว่ามันจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีกหลังจากที่ได้เห็นสรรพคุณที่แท้จริงหลังจากวางจำหน่าย
ณ ห้องเรียนวิชาเคมี ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ภายในห้องเรียนแบบสโลบที่มีโต๊ะเลคเชอร์ตั้งเรียงรายเป็นคู่อยู่ทั้งหมดเกือบสองร้อยตัว เสียงเจื้อยแจ้วของอาจารย์วัยกลางคนใส่แว่นหนาเตอะกำลังร่ายสูตรเคมีฟังดูน่าปวดหัวพรางเขียนตัวหนังสือหยึกหยักลงไปบนกระดานไวท์บอร์ดด้วยความชำนาญ นักศึกษาในห้องทุกคนล้วนตั้งใจฟังพร้อมกับจดทุกอย่างที่เห็นลงในสมุดโน้ตด้วยความเร็วสูง เร็วจนไม่แน่ใจว่าตัวหนังสือเหล่านั้นจะอ่านออกได้จริงๆ
ทุกคนล้วนตั้งอกตั้งใจกับการเรียนอย่างเต็มที่ยกเว้นแต่เด็กหนุ่มหัวยุ่งผมกระเซิงที่กำลังแอบนั่งอ่านการ์ตูนอยู่อย่างเงียบๆพรางหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียวโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น นักศึกษาสาวที่นั่งข้างๆหันมามองเขาด้วยสายตาอาฆาตอยู่หลายครั้งแต่เขาก็ไม่ได้มีท่าทีสลดสักเท่าไร เด็กหนุ่มหัวเราะพรางกระทืบเท้าเบาๆอย่างสนุกสนาน
“รามิลลล…..!” หญิงสาวพยายามเปร่งเสียงออกมาให้เบาที่สุดแต่แฝงไปด้วยความดุดัน “อาจารย์เขากำลังเก็งข้อสอบอยู่นะ! ตั้งใจฟังหน่อยสิ!” เธอกัดฟันพูดเสียงดังในลำคอเพื่อไม่ให้มันดังไปกวนสมาธิชาวนักศึกษาคนอื่น – เด็กหนุ่มเจ้าของชื่อเรียกสะบัดผมยุ่งๆของตัวเองและเหลือบมองเธอที่นั่งอยู่ด้านขวาของเขาก่อนจะเริ่มพูด
“ขอจบเล่มนี้ก่อนละกันนะ” ว่าแล้วเขาก็หันกลับไปหัวเราะกับการ์ตูนนมือของเขาต่อ หญิงสาวคู่สนทนาถอนหายใจยาวๆใบหน้าเบื่อหน่ายเต็มที เธอหันกลับไปจดสิ่งที่อาจารย์เขียนบนกระดานอีกครั้งอย่างปลงตก
รามิลไท ชายหนุ่มเจ้าของผมยุ่งเหยิงสีน้ำตาลที่กำลังใจจดจ่อกับหนังสือการ์ตูนอยู่นี้ เป็นนักศึกษาสาขาเคมีปีสองวัยยี่สิบ เขาเป็นคนไม่ชอบเรื่องเครียดที่ทำให้ต้องปวดสมอง สิ่งไหนที่อยากทำก็ทำ ไม่อยากทำก็ปล่อยไป แต่บางครั้งบางอย่างอะไรที่จำเป็นมันก็อดไม่ได้ที่ต้องฝืนใจตัวเองนิดหน่อย และแน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขาในตอนนี้ก็ไม่ใช่สิ่งอื่นไกลนอกเสียจากหนังสือการ์ตูนที่อยู่ในมือ
ติ๊ด…
เสียงโทรศัพท์ในกระเป่าของรามิลไทร้องเตือนเบาๆหนึ่งครั้งจนเขาเกือบสะดุ้ง เขาเหลือบมองตามเสียงและเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยว่ามันร้องเตือนอะไร เขาวางหนังสือการ์ตูนลงบนโต๊ะและใช้นิ้วโป้งของเขาสะบัดหมุนควงโทรศัพท์ออกมาด้วยลีลาเกินจำเป็นและสไลด์ปลดล็อคก่อนจะเปิดหาต้นตอของแอพลิเคชั่นที่ร้องเตือนเมื่อสักครู่
‘มีพัสดุส่งมาถึงคุณที่หน้าหอพัก’ ระบบแจ้งเตือนการขนส่งพัสดุบอกเขาว่ามีบางอย่างส่งมาถึงแล้ว
‘อิลลูชั่น… มาแล้วสินะ’ รามิลไทคิดพรางยัดโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้านขวาด้วยลีลาเกินจำเป็นอีกครั้ง ตอนนี้เขาไม่สนใจหนังสือการ์ตูนบนโต๊ะอีกต่อไปแล้ว เพราะในใจเขามีแต่เพียงคำว่า “อิลลูชั่น” อย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากจบคาบเรียนรามิลไทขอยกเลิกมื้อเย็นที่นัดเพื่อนเอาไว้และแวะไปส่งงานที่ออฟฟิศของอาจารย์ก่อนจะวกกลับมาที่ห้องตัวเองด้วยความเร่งรีบเพื่อจะมาดูพัสดุที่เขาตั้งตารอ – ก่อนอื่นเขาต้องไปที่ออฟฟิศของเจ้าของหอเป็นอันดับแรก เพราะโดยปกติแล้วกล่องพัสดุนั้นหากเจ้าของห้องไม่ได้อยู่รับเจ้าของหอจะทำการเซ็นรับแทนและเก็บของไว้ที่ออฟฟิศประจำหอ
“พี่ครับ!” รามิลไทเคาะประตูออฟฟิศสองครั้งก่อนนจะเปิดผ่างเข้าไปอย่างเสียมารยาทโดยไม่รอคำอณุญาตใดๆทั้งสิ้น “มารับพัสดุครับ” เขากวาดตามองไปทั่วห้องทรงสี่เหลี่ยมไร้การตกแต่งแห่งนี้เพื่อหาสิ่งของที่ตัวเองกำลังตามหาแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของกล่องอะไรสักอย่าง มีเพียงพี่ผู้หญิงผมยาวอายุประมาณสามสิบกำลังนั่งกดโทรศัพท์หันหน้ามามองเขาอย่างงงๆ
“พัสดุ…” หญิงสาวเจ้าของหอละจากโทรศัพท์ในมือและทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “อ๋อ!” เธอพยักหน้าเบาๆ “อันนี้ๆ รามิลไทๆ” เธอหยิบกล่องกระดาษน้อยๆที่วางอยู่บนหลังตู้มาให้เขา ดูจากทรงแล้วขนาดกล่องของมันเล็กเกือบเท่ากล่องโทรศัพท์เท่านั้นเอง รามิลไทคิดในใจ ‘กล่องเล็กจังแฮะ’
ลักษณะโดยรวมของหอพักมีรูปร่างปกติทั่วไปคือเป็นอาคารสูงห้าชั้นเพียงตึกเดียวตั้งโดดๆและมีกำแพงล้อมรอบด้านล่าง มีส่วนของที่จอดรถซึ่งไม่กว้างมากแต่ก็พอดีกับจำนวนห้องที่เปิดให้เช่า ทางเข้าประตูหอพักมีเครื่องสแกนลายนิ้วมืออันเล็กแปะไว้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เมื่อเปิดเข้าไปก็จะพบออฟฟิศของเจ้าของหออยู่ทางซ้ายมือเป็นอันดับแรก และถัดจากนั้นก็เรียงรายไปด้วยห้องพักสองข้างเรียงตามเบอร์มีพื้นกำแพงเป็นสีขาวดูสะอาดตา สุดท้ายคือส่วนของบันไดและลิฟต์ที่อยู่สุดทางเดิน
เมื่อเขามาถึงที่หน้าห้องหมายเลขสี่ศูนย์เก้า เสียงแกร๊กบ่งบอกถึงการคลายพันธนาการจากกุญแจที่ล็อคห้องของเขาเอาไว้ รามิลไทเดินเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมขนาดมาตรฐานที่ค่อนข้างโล่ง ด้านซ้ายจากประตูห้องจะพบกับเตียงเหล็กขนาดใหญ่พร้อมผ้าปูเตียงสีเทาไร้ลวดลาย ถัดไปด้านบนจากเตียงนั้นจะเป็นโต๊ะคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก บนโต๊ะคอมฯเต็มไปด้วยกระดาษเอสี่กับโมเดลตัวการ์ตูนวางอยู่ระเกะระกะ – เขาวางกระเป๋าสะพายสีน้ำตาลลงกับพื้นพร้อมกับในมือยังคงถือกล่องพัสดุขนาดเล็กไว้อย่างหวงแหน รามิลไทเดินผ่านโทรทัศน์และตู้เย็นที่อยู่ทางด้านขวาไปหาโต๊ะคอมฯและหย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ก่อนจะนำกล่องพัสดุมาวางบนโต๊ะและทำการแกะอย่างช้าๆ ในใจของเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
เขาค่อยบรรจงแกะกล่องอย่างอย่างทะนุถนอม เผยอุปกรณ์ด้านในกล่องมีอยู่ไม่มากนัก – อย่างแรกหูฟังสีขาวคล้ายกับบลูธูทขนาดใหญ่หนึ่งข้างไม่มีลวดลายอะไรนอกจากตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่เขียนติดไว้ว่า “อิลลูชั่น” และเมื่อรามิลไทเปิดกล่องลงไปอีกชั้นก็จะพบกับกล่องพลาสติกอันเล็กสีขาวเช่นกันซึ่งดูเหมือนจะเป็นที่เก็บคอนแทคเลนส์ เมื่อเปิดฝากล่องนั่นออกเขาก็พบว่ามันเป็นคอนแทคเลนส์อย่างที่คิดไว้จริงๆ เขาวางมันลงไปข้างๆและเปิดลงไปในกล่องอีกชั้นซึ่งเป็นชั้นสุดท้าย ด้านในนั้นเป็นเหมือนกับสติกเกอร์สีเนื้อราวยี่สิบอันบรรจุอยู่ในถุงลักษณะโปร่งและใสปิดซิ๊บไว้อย่างดี
“อะไรกันล่ะเนี่ย” รามิลไทบ่นเบาๆเพราะไม่เข้าใจเกี่ยวกับอุปกรณ์พวกนี้สักเท่าไร ทันใดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นแผ่นพับขนาดเล็กถูกวางไว้ด้านล่างสุดของกล่อง “โอ้ะ!คู่มือ!” เขาร้องขึ้นและหยิบคู่มือกระดาษออกมาจากกล่องอย่างมีความหวัง แต่สิ่งที่เห็นนั้นกลับมีเพียงข้อความสั้นๆเท่านั้น
‘สวมหูฟังสีขาว’
“….”
เขานิ่งงันครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองหูฟังที่วางไว้ใกล้ๆและสวมมันตามที่คำแนะนำบอก และทันทีที่เขาสวมมันเข้าไปที่ใบหู เสียงเตือนเบาๆก็ดังขึ้นหนึ่งครั้ง – ปื๊บ! – ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีเสียงของหญิงสาวดังออกมาจากหูฟังอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
‘สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับเข้าสู่ อิลลูชั่น ซิสเต็ม ดิฉันเป็นผู้ช่วยในการใช้งานอุปกรณ์อิลลูชั่นประจำเครื่องค่ะ’
รามิลไทไม่รู้มาก่อนว่าอิลลูชั่นจะมีโอเปอเรเตอร์ช่วยให้คำแนะนำด้วยเสียงแบบนี้ เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วก็เล่นเอาเขาทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน เขาเปร่งเสียงอึกๆอักๆในลำคอเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เสียงของหญิงสาวในหูฟังก็ดังขึ้นขัดอีกครั้ง
‘อันดับแรกขอให้ท่านสวมวิชั่นเลนส์ที่อยู่ในกล่องสีขาวให้เรียบร้อยค่ะ จากนั้นเราจะแนะนำท่านสู่ขั้นตอนต่อไป’
เขาพยักหน้าเบาๆและเริ่มหยิบกล่องคอนแทคเลนส์อันนั้นขึ้นมาอย่างว่าง่าย รามิลไทเองก็ไม่เคยสวมใส่คอ
แทคเลนส์แบบปกติมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้จะดูเก้ๆกังๆไปบ้างแต่เขาก็สามารถสวมมันได้สำเร็จในที่สุด “โอเคเรียบร้อย” ชายหนุ่มร้องขึ้นพรางเงยหน้า
‘จากนั้นให้ท่านนำแผ่นดอทที่อยู่ในถุงซิ๊บออกมาติดตามร่างกายตามแบบในคู่มือค่ะ’ เสียงของโอเปอเรเตอร์ดังขึ้นอีกครั้งและแน่นอนว่ารามิลไทก็ทำตามอย่างว่าง่ายเช่นเดิม – เขาหยิบแผ่นสติกเกอร์สีเนื้อที่อยู่ในถุงออกมาจากกล่องและเริ่มเปิดซิ๊บออก ในขณะที่เขากำลังติดสติกเกอร์จำนวนยี่สิบกว่าแผ่นนี้ลงไปบนร่างกายในจุดต่างๆ เสียงของสาวในหูฟังก็เริ่มบรรยายต่อไป
‘วิชั่นเลนส์หรือคอนแทคเลนส์ที่ท่านได้ใส่เข้าไปเรียบร้อยแล้วเมื่อสักครู่นั้น เป็นอุปกรณ์การแสดงภาพอัจฉริยะที่จะดัดแปลงให้ท่านเห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงบนโลกนี้ได้ค่ะ เช่น หากอยากปรับเปลี่ยนการแสดงผลให้โลกที่ท่านอยู่กลายเป็นยุคดึกดำบรรพ์ หรือเปลี่ยนให้กลายเป็นโลกในอนาคต ซึ่งภายใต้การแสดงผลแบบอิลลูชั่นนี้จะประมวลผลจากสสารที่มีอยู่จริงบนโลกและดัดแปลงให้กลายเป็นสิ่งของในรูปแบบอื่นในโลกอิลลูชั่นค่ะ’
รามิลไทได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกว่าเอาเข้าจริงแล้วเครื่องมือที่มีชื่อว่าอิลลูชั่นนี่มันก็ไม่ต่างกับการสร้างภาพลวงตาเสียเท่าไร เหมือนกับทำให้เราอยู่ในฝันบนโลกแห่งความจริงอะไรทำนองนั้น แม้มันจะฟังดูเข้าใจยากแต่ก็คงจะไม่มีคำอธิบายอื่นที่จะเข้าใจได้ง่ายไปกว่านี้ เพราะถ้าให้เขาลองจินตนาการการทำงานของระบบอิลลูชั่นก็น่าจะเป็นการทำให้เตียงนอนไม้เก่าๆกลายเป็นที่นอนไฮโซสุดหรูหรืออะไรแบบนั้น ดัดแปลงประสาทการรับรู้ของตัวเราเองแต่ในสายตาของคนอื่นมันก็ยังเป็นที่นอนธรรมดาๆอยู่วันยังค่ำ และในขณะที่เขากำลังคิดอะไรอยู่เสียงของโอเปอเรเตอร์สาวก็ยังคงบรรยายต่อไปเรื่อยๆ
‘และอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกับสติกเกอร์ทั้งยี่สิบสองอันที่ท่านกำลังติดอยู่นั้นเป็นเสมือนสื่อเชื่อมต่อกับเส้นประสาททั้วร่างกายของท่าน เพื่อให้ท่านได้รับรู้ถึงมิติของอิลลูชั่นเวิลด์ได้เต็มรูปแบบค่ะ ท่านจะได้รับรู้ถึงกลิ่น สัมผัส รสชาติ และความเจ็บปวดทุกอย่างในมิติอิลลูชั่นเวิลด์’
‘โอ้!’ รามิลไทมองดูแผ่นใสๆเหล่านั้นที่เริ่มมีสีกลืนไปกับเนื้อหนังด้วยความทึ่ง เขาไม่คิดว่าอิลลูชั่นจะมีระบบการปรับประสาทการรับรู้อื่นๆนอกจากการมองเห็นด้วย ถ้าเป็นแบบนี้แล้วก็แสดงว่าไม่ได้เพียงแต่เปลี่ยนลักษณะรูปลักษณ์ของสิ่งของไปเท่านั้น แต่สัมผัสทางกายด้านอื่นๆก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
‘และขั้นตอนต่อไป…’ โอเปอเรเตอร์พูดขึ้น ‘อิลลูชั่นซิสเต็มจะเปิดทำงานเต็มรูปแบบขอให้ท่านได้เปิดใช้คำสั่ง ‘สวิทช์ออน’ เพื่อเป็นการยืนยันการเปิดระบบค่ะ’
สีหน้าของรามิลไทดูเหมือนยังประมวลผลข้อมูลเหล่านี้ไม่ทัน แต่เมื่อเธอสั่งให้ทำอะไรเขาก็คิดว่าทำตามๆที่เธอบอกไปเดี๋ยวมันก็ดีเองนั่นแหละ เช่นนั้นเขาจะเริ่มอ้าปากร้องคำสั่งตามที่โอเปอเรเตอร์แนะนำ
“สวิทช์…ออน”
และทันทีที่คำสั่งเสียงถูกเอ่ยขึ้น – วี๊ด!!! – เสียงแหลมสูงของอะไรบางอย่างดังขึ้นจนเขารู้สึกแสบแก้วหู รามิลไทคุกเข่าลงและเอามือทั้งสองขึ้นปิดป้องหูเอาไว้หมายจะไล่ให้เสียงวี๊ดนี้มันหายไปเสียทีด้วยความทรมาน – และในขณะเดียวกันนั้น ภาพพื้นห้องของเขาก็เกิดการกระตุกขึ้นหนึ่งครั้งอย่างแรงราวกับว่ากำลังดูหนังอยู่แล้วแผ่นสะดุดกึกอย่างกระทันหัน พื้นกระเบื้องสีชมพูอ่อนบิดเบี้ยวอย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ ความหนาวเย็นที่ฉาบเข้ามาที่ร่างกายเขาอย่างฉับพลันทำให้เขารู้สึกขนลุก
ผ่านไปชั่วครู่เสียงหวีดที่ดังอยู่ก็หายไป…
เขาพยายามลุกจากพื้นโดยการใช้แขนทั้งสองดันตัวขึ้นแต่ดูเหมือนสมองจะไม่ค่อยสั่งการเท่าไร รามิลไทค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างยากลำบากราวกับเปลือกตานั้นหนักเป็นร้อยกิโล แสงที่รอดเข้าไปในดวงตาค่อยเปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆและเขากลับมามองเห็นทุกอย่างเบื้องหน้าอีกครั้ง
บัดนี้เหล่าเฟอร์นิเจอร์ทั้งหลายภายในห้องที่กลายสภาพเป็นของหรูหราราคาแพงสไตล์โมเดิร์นอย่างน่าตกใจ จากเก้าอี้สแตนเลซอันเดิมที่วางไว้หน้าคอมฯแปรสภาพกลายเป็นโซฟาสุดหรูสีแดงขาวดูน่าพิสมัยเป็นที่สุด เขาลองใช้มือกดลงไปที่เบาะอันนั้นและความรู้สึกนุ่มนิ่มเหล่านั้นมันเป็นของจริง เขาแทบไม่เชื่อเลยว่าเจ้าสิ่งที่เรียกว่าอิลลูชั่นเวิลด์จะพลิกโฉมห้องแสนจะธรรมดาของเขาให้กลายเป็นห้องสูทสุดหรูแบบนี้ได้
‘ระบบอิลลูชั่นซิสเต็มจะดึงข้อมูลและสิ่งที่มีอยู่จริงในโลกแห่งความจริงมาดัดแปลง ปรับเปลี่ยน หรือแก้ไขให้กลายเป็นข้อมูลแบบอิลลูชั่น หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเห็นเช่น โซฟาสุดหรูตรงนั้นที่ท่านพึ่งลองสำผัสไปแท้จริงแล้วคือเก้าอี้สแตนเลซธรรมดาๆเท่านั้น’
“ความรู้สึกนุ่มนิ่มนี่ก็คือการดัดแปลงระบบประสาทของฉันให้รับรู้แบบนั้นสินะ” รามิลไทแตะลงไปที่โซฟาเบาๆอีกครั้ง
‘นั่นคือความพิเศษของระบบอิลลูชั่นซิสเต็มค่ะ – ปุ่มดอทที่ท่านติดลงไปบนร่างกายทุกจุดจะส่งผลให้ระบบประสาททุกส่วนในร่างกายได้รับความรู้สึกแตกต่างจากปกติ เช่นทำให้ความรู้สึกจากเก้าอี้สแตนเลซธรรมดากลายเป็นโซฟาสุดหรูได้โดยไม่จำเป็นต้องซื้อของจริงเป็นต้น’
รามิลไทลองเดินสำรวจเฟอร์นิเจอร์ต่างๆภายในห้องที่เปลี่ยนไปไม่ว่าจะเป็นหลอดไฟ หมอน ผ้าห่ม หรือของกินก็เช่นกัน ทุกสิ่งดูสมจริงและสามารถสัมผัสจับต้องได้อย่างไม่น่าเชื่อ… จากน้ำเปล่าธรรมดาที่เขามีตอนนี้มันได้กลายเป็นน้ำอัดลมไปเสียแล้ว และรสชาติของมันก็กลายเป็นน้ำอัดลมไปจริงๆซะด้วย
“รสชาติโคล่าของจริงเลยแฮะ…” รามิลไทวางขวดโค้กลงไปบนหลังตู้เย็นเบาๆ “เอ้ะแต่ว่าถ้าแบบนี้ก็หมายความว่า” เขามองขวดโค้กอันนั้นพรางคิดอะไรบางอย่าง “ความจริงแล้วโค้กขวดนี้คือน้ำเปล่า แต่พอมาอยู่อิลลูชั่นเวิลด์แล้วมันก็จะเปลี่ยนรูปลักษณ์กลายเป็นโค้กและรสชาติก็เหมือนโค้กจริงๆอย่างที่เธอว่า… ถ้าอย่างนั้นเรื่องคุณค่าทางโภชนาการของมันจะเป็นยังไงล่ะ?”
‘อิลลูชั่นซิสเต็มจะดัดแปลงเฉพาะประสาทการรับรู้เท่านั้น นั่นหมายความว่าในความเป็นจริงแล้วท่านก็แค่ดื่มน้ำเปล่าเข้าไปเท่านั้นเองค่ะ’ เธอตอบ
“อย่างนี้ถ้าฉันอยากจะทำให้ข้าวเปล่ากลายเป็นสเต๊กจานโตก็ได้น่ะสิ?”
‘ขึ้นอยู่กับทางระบบที่จะดัดแปลงโดยอัตโนมัติ ท่านไม่สามารถเลือกเองได้ค่ะ นั่นเพราะของบางอย่างมีความละเอียดอ่อนในเรื่องของมวลและค่าน้ำหนักหรือรูปทรง อาจมีปัญหาหากเปิดระบบให้ผู้ใช้สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้เองค่ะ’
“อ๋อ…” รามิลไทพยักหน้าสองสามครั้งก่อนจะนั่งลงบนโซฟาสุดหรูตัวเดิม “ซับซ้อนน่าดูเลยแฮะอิลลูชั่นเวิลด์เนี่ย” เขาบ่นเล็กน้อยแต่ดูเหมือนใบหน้าของเขาจะเริ่มตื่นเต้นขึ้นมาบ้างเล็กน้อย
‘และนอกจากการปรับเปลี่ยนแก้ไขสิ่งของบนโลกให้กลายเป็นสิ่งของแบบอิลลูชั่นเวิลด์แล้วเรายังมีระบบอื่นอีกมากมายค่ะ เราขอแนะนำให้ท่านค่อยๆศึกษาระบบของเราไปเรื่อยๆจะเป็นการดีที่สุดค่ะ’
ทันทีที่โอเปอเรเตอร์พูดจบก็มีหน้าต่างสีฟ้าใสลอยเด้งมาอยู่รอบตัวรามิลไทจนเขาตกใจ ปุ่มอินเตอเฟซคล้ายในเกมเหมือนกับในโฆษณาที่ทางผู้ผลิตอิลลูชั่นได้ปล่อยออกมาเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ มันเป็นเหมือนกล่องบอลลูนคำพูดสีฟ้าอร่ามที่เราสามารถจับต้องได้ด้วยมือของเราเอง เหมือนกับข้อมูลดิจิตอลในหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เราสามารถลากเลื่อนมันและย้ายมันไปมาได้ด้วยการสัมผัส ให้ความรู้สึกอิสระมากกว่าการใช้ทัชสกรีนของคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ในยุคปัจจุบันมากมายนัก
“อีแบบนี้ฉันคงจะไม่ได้นอนแล้วสินะ” น้ำเสียงของรามิลไทดูตื่นเต้นมากขึ้นไปมากกว่าเดิมอีกสองเท่า และในคำพูดของเขานั้นก็หมายความตามนั้นจริงๆ เพราะเขาเป็นมนุษย์อีกหนึ่งคนที่เสพติดเทคโนโลยีมากๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ไฮเทครุ่นใหม่ออกมาแม้จะแพงแค่ไหนเขาก็จะพยายามอดข้าวอดน้ำเก็บตังเพื่อหาซื้อมาอยู่ในครอบครองให้ได้ และเมื่อได้เจอกับวิวัฒนาการข้ามขั้นที่สุดแสนจะบรรเจิดแบบนี้ด้วยแล้วเขาคงจะไม่เลิกเห่อง่ายๆอย่างแน่นอน
“เมนูอะไรบ้างล่ะเนี่ย… อืม…” เขาเอานิ้วไล่ไปมาตามกล่องอินเตอเฟซรอบๆตัวทีละข้อด้วยความไม่รีบร้อน “ค่าสถานะ กระเป๋าสัมภาระ สกิล… เฮ้! นี่ฉันกำลังเล่นเกมอยู่หรือไงเนี่ย?” รามิลยกไหล่ถามด้วยความสงสัยแกมประชดประชัน
‘หากจะเรียกอย่างนั้นก็ไม่ผิดค่ะ เพราะเดิมทีระบบอิลลูชั่นซิสเต็มนั้นพัฒนาต่อยอดมาจากโปรเจคเกมในอดีตค่ะ และก็มีหลายสิ่งที่มีอยู่เฉพาะในอิลลูชั่นเวิลด์ค่ะ เช่น สกิล หรือ อุปกรณ์ต่างๆมากมาย รวมไปถึงมอนสเตอร์ด้วยค่ะ’
“หา!?” รามิลไทร้องเสียงหลง “มีมอนสเตอร์ด้วยงั้นหรอ?” เขาถามในขณะที่สายตามองเหลือบซ้ายแลขวามือไม้เริ่มตั้งการ์ดด้วยความระแวง
‘ใช่ค่ะ-อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่าอิลลูชั่นเวิลด์เป็รโปรเจคที่พัฒนามาจากเกม ดังนั้นจึงยังมีข้อมูลในส่วนของเกมหลงเหลืออยู่มากมายเลยค่ะ ซึ่งในส่วนนี้ทางเราไม่สามารถบอกรายละเอียดได้มากนักเพราะเป็นส่วนนึงที่ท่านต้องทำการปลดล็อคหรือหาข้อมูลด้วยตัวเองค่ะ’
เมื่อจบประโยคของโอเปอเรเตอร์ก็ทำเอารามิลไทหยุดชะงักค้างอยู่กลางอากาศไปกว่าห้าวินาที
“นี่มันโคตรจะเพอเฟคเลยแฮะเจ้าอิลลูชั่นซิสเต็มเนี่ย” รามิลไทพูดพรางจิ้มปุ่มอินเตอเฟซบนอากาศเล่นไปเรื่อย แต่ในขณะนั้นเองเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
กริ๊ง… กริ๊ง…
รามิลไทย่นคิ้วด้วยความสงสัยว่าใครกันนะโทรมาเอาป่านนี้ เขาโยนกล่องเครื่องมืออิลลูชั่นที่วางอยู่ไปให้พ้นทางเพื่อหาโทรศัพท์ของตัวเองในกองข้าวของที่รกอยู่ เขาไม่รู้ว่าโทรศัพท์เขาเข้าไปอยู่ในดงขยะของเขาตั้งแต่เมื่อไร และถ้าหากว่าเขาหามันไม่เจอภายในอีกห้าวินาทีต้นสายก็คงจะกดวางไปอย่างแน่นอน
‘ให้ฉันทำการเชื่อมต่อโทรศัพท์เข้ากับเอียริ่งเลยไหมคะ?’ เสียงโอเปอเรเตอร์สาวน้อยดังขึ้นในขณะที่เขากำลังตั้งใจคุ้ยกองข้าวของตรงหน้า
“เอียริ่งหมายถึงเจ้าหูฟังสีขาวที่ฉันกำลังใช้คุยกับเธอนี่ใช่ไหม? ทำแบบนั้นได้ด้วยหรอ?” รามิลไทถามด้วยความสงสัย และทันใดนั้นเองก็มีเสียงปิ๊บดังขึ้นหนึ่งครั้งเบาๆ
“ฮัลโหล!” จู่ๆเสียงของหญิงสาวที่เขาคุ้นเคยก็ดังแทรกเข้ามาในหูฟังอิลลูชั่นโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว มันเป็นเสียงของเพื่อนสาวที่นั่งเรียนเคมีห้องเดียวกับเขาเมื่อบ่ายวันนี้นั่นเอง นี่หมายความว่าสายโทรศัพท์ของเขาถูกโอนเข้ามาหาเอียริ่งของอิลลูชั่นที่เขากำลังสวมอยู่เรียบร้อยแล้วใช่ไหมเนี่ย…
“เอ่อๆ ฮัลโหลๆ ว่าไง” รามิลไทขานรับแต่ในใจเขายังคงตะลึงอยู่กับการโอนสายของระบบอิลลูชั่นซิสเต็มอยู่เลย แถมเหนือหัวด้านหน้าของเขายังมีหน้าต่างอินเตอเฟซสีฟ้าเป็นบอลลูนข้อความที่เขียนว่า
กำลังสนทนา…
ริน
00:03
‘เจ๋งไปเลยแฮะ’ รามิลไทมองตัวเลขที่กำลังนับเพิ่มวินาทีไปเรื่อยๆด้วยความสนใจ แต่เสียงของปลายสายที่โทรมาก็ต้องทำให้เขาหลุดออกจากห้วงความคิดด้วยน้ำเสียงดุดันของเธอ
“สรุปนายได้ทวนหนังสือของวิชาเคมีที่อาจารย์ติวให้วันนี้บ้างหรือเปล่าห๊ะ?” หญิงสาวที่มีชื่อว่ารินกล่าวถามด้วยน้ำเสียงต่อว่า “พอจบคาบก็เห็นรีบแจ้นกลับหอไปเลย – ฉันแคปรูปโน้ตวันนี้ไว้ให้แล้ว เดี๋ยวจะส่งไปให้โอเคไหม?” เธอถาม แต่ดูเหมือนรามิลไทจะไม่ค่อยมีสมาธิฟังซะเท่าไร
“เดี๋ยวใกล้จะสอบค่อยติวกันอีกทีก็ได้ พูดมากน่ารำคาญจริงแฮะเธอเนี่ย” รามิลไทตอบกลับท่าทีไม่หยี่ระ
“สบายใจซะจริงนะคะพ่อคุณ คะแนนสอบออกมาห่วยอย่าหาว่าไม่เตือนก็แล้วกัน แค่นี้ล่ะ!!!– ตื๊ด…” สายถูกตัดไปกะทันหันจนรามิลไทแอบสะดุ้งเล็กน้อย อินเตอเฟซสีฟ้าที่กำลังแสดงสถานะการโทรแปรเปลี่ยนกลายเป็นสีแดงเรืองแสงและมีตัวอักษรเด้งขึ้นมาว่า ‘จบการสนทนา’
เขามองอินเตอเฟซสีฟ้าเหล่านี้แต่ในหัวก็เริ่มมีเรื่องเกี่ยวกับการสอนวิชาเคมีแทรกเข้ามาไม่หยุดหย่อน ดูเหมือนการโทรเตือนของเพื่อนสาวจะได้ผล เพราะในตอนนี้รามิลไทเริ่มรู้สึกว่าเขาสมควรจะเริ่มเตรียมการสอบที่จะมีขึ้นในอีกสามวันข้างหน้าได้แล้ว เมื่อเริ่มมีความคิดแบบนั้นดูเหมือนร่างกายก็เริ่มจะไม่อยากจะทำอะไรต่อไปเลย การเตรียมสอบเป็นอะไรที่น่ารำคาญที่สุดสำหรับรามิลไท ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากจะเรียนไปเรื่อยๆแบบไม่มีสอบคงจะดีไม่น้อย แต่เขาก็ได้แต่คิดเล่นๆเท่านั้น
รามิลไทลุกขึ้นจากโซฟาด้วยท่าทีเบื่อหน่ายและย้ายตัวโยนลงไปบนเตียงอย่างหมดแรง “ยัยรินทำหมดอารมณ์เลยแฮะ” เขาพูดพรางหันมองไปทางหนังสือเคมีพร้อมกับเสียงมือถือของเขาที่ส่งเสียงเตือนอะไรบางอย่าง
‘ไฟล์ที่คุณรินส่งมาได้รับเรียบร้อยแล้วค่ะ กำลังทำการดาวน์โหลดเข้าสู่รูปแบบข้อมูลอิลลูชั่นซิสเต็ม’ เสียงของโอเปอเรเตอร์พูดขึ้น รามิลไทเลิกคิ้วขึ้นพรางคิดว่า ‘อิลลูชั่นซิสเต็มนี่สารพัดประโยชน์จริงๆ ทำได้ทุกอย่างตั้งแต่สากเบือยันเรือรบเลยมั้งเนี่ย’ ว่าแล้วเขาก็เปิดไฟล์รูปภาพเหล่านั้นออกมากลายเป็นกระดาษดิจิตอลลอยอยู่บนอากาศคล้ายโฮโลแกรมที่จับต้องได้ เขาเลื่อนมันไปมาและอ่านคร่าวๆอย่างนั้นอยู่สักพัก
ผ่านไปหลายนาทีร่างกายของเขาเริ่มรู้สึกล้าจนอยากจะนอนหลับไปซะให้รู้แล้วรู้รอด เพราะจนถึงตอนนี้เขาก็ไม่ได้นอนมาเป็นเวลาสองวันแล้ว เนื่องจากวันก่อนหน้านี้เขาก็ต้องเตรียมตัวสอบกลางภาคอยู่หลายวิชา ครั้นจะปล่อยผ่านไปก็คงจะเป็นการไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ซึ่งเขาคิดว่าคงจะให้เป็นแบบนั้นไม่ได้
ชายหนุ่มนอนแผ่หลาอยู่ที่เตียงนอนพรางหลับตาพริ้มพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ แสงอาทิตย์จากโลกภายนอกในขณะนี้หายลับไปพร้อมกับความมืดเริ่มเข้าครอบงำ เสียงเข็มนาฬิกาภายในห้องพักดังเป็นจังหวะแสดงถึงความเงียบงันที่กำลังเกิดขึ้น โอเปอเรเตอร์ที่ก่อนหน้านี้พูดเจื้อยแจ้วก็เงียบสงบราวกับทุกอย่างกำลังเป็นใจให้รามิลไทพักผ่อนเสียที มือขวาของเขาค่อยยกเอื้อมขึ้นมาบนหัวและทำท่าทีเหมือนคลำหาหูฟังที่มันควรจะมีอยู่แต่ทว่าตอนนี้มันหายไป
“เอ๊ะ!” รามิลไทร้องขึ้นด้วยความฉงน ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่เบิกโพลงขึ้นและลำตัวก็ดีดขึ้นมาอยู่ในท่านั่งอย่างอัติโนมัติ ‘หูฟังอิลลูชั่นหายไป’
“เฮ้! เมื่อกี้มันอยู่ข้างๆหูอยู่เลยนี่นา” รามิลไทบ่นกับตัวเองพร้อมกับใช้มือควานหาไปทั่วเตียง ซึ่งล่าสุดตอนที่เขานอนลงมาบนเตียงมันก็ยังถูกสวมใส่อยู่ที่หูด้านขวาของเขา เขาจำไม่ได้เลยสักนิดว่าตัวเองไปถอดมันออกตั้งแต่ตอนไหน แต่แล้วก็มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นสะกดการค้นหาของรามิลไท
‘กำลังหาอะไรอยู่หรอคะ?’ จู่ๆเสียงที่เขาไม่น่าจะได้ยินก็ดังขึ้น เสียงของโอเปอเรเตอร์สาวสวยดังก้องกังวานอยู่ในหูเขาอีกครั้ง แต่นั่นมันไม่มีทางเป็นไปได้เลยเพราะข้างๆหูเขาตอนนี้หูฟังอิลลูชั่นสีขาวอันนั้นมันได้หายไปแล้ว รามิลไทใช้มือสองข้างแตะลงไปที่หูของตัวเองและลูบคลำไปทั่วใบหน้าก็ไม่พบอะไรทั้งสิ้น ไม่มีหูฟังหรืออะไรติดอยู่เลยแม้แต่น้อย แล้วเสียงของโอเปอเรเตอร์นั่นดังขึ้นได้ยังไงกันล่ะ?
“เดี๋ยวสิ… ทำไมฉันได้ยินเสียงของเธอล่ะ! ก็หูฟังมันไม่ได้อยู่แล้วนี่!?” รามิลไทเอ่ยถามเสียงร้อนรน
‘ระบบกำลังทำการประมวลผลคำถามของท่าน กรุณารอสักครู่ค่ะ...’
สิ้นประโยคโอเปอเรเตอร์ก็นิ่งเงียบไป เงียบไปนานกว่าปกติจนรามิลไทเริ่มสงสัย เขาได้แต่นิ่งมองนาฬิกาดิจิตอลที่ลอยอยู่ด้านล่างใกล้ๆหัวเข่าว่านี่มันก็นานเกินหนึ่งนาทีแล้ว คำถามมันอยากขนาดนั้นเชียวหรือ? และแล้วเสียงราบเรียงของโอเปอร์เรเตอร์ก็เริ่มดังขึ้น
‘จาก…การ…ประมวลผล…ขณะนี้กำลังเกิดการขัด…ขัดข้อง…’ เสียงของเธอฟังดูติดๆขัดๆเล็กน้อยจนฟังได้ไม่ถนัด รามิลไทพยายามนั่งลงตั้งใจฟังสิ่งที่เธอพูดให้ได้ความที่สุดแต่มันก็ยากซะเหลือเกิน
วี๊ด!...
ทันใดนั้นเสียงของเธอก็ขาดหายไปพร้อมกับเสียงซ่าคล้ายกับโทรทัศน์สัญญาณหายดังขึ้นแทน รามิลไทยกมือขึ้นปิดหูทันทีด้วยความตกใจเพราะเสียงมันดังมากเสียจนแทบจะทนนั่งต่อไปไม่ไหว ‘มาอีกแล้วหรอไอ้บ้าเอ๊ย!’ รามิลไทสบถในใจด้วยสีหน้าเหยเก ดวงตาเขาหลับลงและมือทั้งสองข้างก็ปิดป้องใบหูทั้งสองข้างเอาไว้ร่างกายล้มลงไปนอนบนเตียงโดยไม่รู้ตัว เสียงนั่นดังได้อยู่ไม่นานนักมันก็เงียบสงบลงไปซะเฉยๆ – รามิลไทพยายามลุกขึ้นจากที่นอนอย่างช้าๆ เขามองซ้ายมองขวาและพบว่าอินเตอเฟซสีฟ้าเรืองรองยังคงสว่างสดใสอยู่รอบๆตัวเขาเช่นเดิมมิได้หายไปไหน
“โอเปอเรเตอร์! เกิดอะไรขึ้น!?” รามิลไทตะโกนร้องเรียกหาหญิงสาวที่อยู่ในหูฟังต้องการคำตอบ แต่ดูเหมือนเสียงของหญิงสาวคนนั้นจะไม่ขานตอบ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรผิดปกติกับอิลลูชั่นซิสเต็มหรือเปล่า ไม่แน่ว่าอาจมีอาการบัคเกิดขึ้นก็เป็นได้ เพราะจะว่าไปนี่ก็เป็นวันแรกที่เปิดให้บริการเสียด้วย แล้วอย่างงี้ร่างกายเขาจะได้รับผลประทบไปด้วยหรือเปล่าเขาเองก็ไม่รู้ ไม่แน่ว่าสมองเขาอาจจะเริ่มเสื่อมหรือเริ่มเพี้ยนแล้วก็ได้ บ้าน่า! คงไม่เป็นแบบนั้นนะ! รามิลไทพยายามไล่ความคิดแปลกๆออกไปจากหัวให้เร็วที่สุด
ปิ๊บ!
จู่ๆเบื้องหน้าของรามิลไทก็มีภาพสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่คล้ายจอโทรทัศน์ปรากฏขึ้นมา มันลอยอยู่ด้านหน้าเขาด้วยภาพระบบเอชดีที่เรียกได้ว่าคมชัดสุดๆ ราวกับว่าเขาไปยืนอยู่ในสถานที่ๆกล้องกำลังถ่ายทำอยู่เลยก็ว่าได้
ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าเป็นเหมือนกับช่องรายการข่าวอะไรสักช่องหนึ่งแต่เขาไม่รู้จัก ดูจากภาษาอังกฤษที่ปรากฎอยู่อาจจะเป็นช่องสัญญาณจากต่างประเทศ เพราะรามิลไทเองก็ไม่ได้ใช้โทรทัศน์มานานมากแล้ว แม้แต่อ่านข่าวสารบ้านเมืองทั่วไปเขายังไม่แตะเสียด้วยซ้ำ
รามิลไทรู้สึกสงสัยว่าอยู่ดีๆทำไมอิลลูชั่นซิสเต็มถึงเปิดรายการข่าวให้เขาดูในตอนนี้ เกิดอะไรแปลกๆขึ้นหรือเปล่านะ? เขาเดินเข้าไปใกล้ๆกล่องภาพด้านหน้าที่ลอยอยู่ในอากาศใกล้ขึ้นด้วยความสนใจ ซึ่งเนื้อหาในรายการข่าวที่กำลังประกาศอยู่ตอนนี้นั่นก็คือ…
“รัฐบาลประกาศเตือนภัยจากสงครามอาวุธชีวภาพที่ทางประเทศเกาหลีเหนือกับอเมริกาในตอนนี้ได้เริ่มจู่โจมกันจนมีผลกระทบไปถึงประเทศระแวกใกล้เคียง ซึ่งอาวุธชีวภาพเหล่านั้นทำให้ประชาชนในประเทศทั้งสองมีอาการประหลาด คลุ้มคลั่ง เสียสติ และเริ่มทำร้ายคนสนิทใกล้ตัว – ในตอนนี้ผลกระทบจากอาวุธชีวภาพดังกล่าวเริ่มระบาดไปสู่ประเทศอื่นๆแล้ว รัฐบาลขอให้ประชาชนในจังหวัดต่อไปนี้อพยพออกจากพื้นที่ไปสู่ศูนย์กลางกองกำลังป้องกันภัยคุกคามในแต่ละเขตเพื่อความปลอดภัยเพราะโรคระบาดนั้นเริ่มกระจายไปทั่วโลก ขอให้ทุกท่านๆรีบอพยพด่วนค่ะ!”
สิ้นเสียงของผู้บรรยายข่าว ภาพภายในเมืองหลวงของจังหวัดหนึ่งในภาคเหนือของประเทศไทยที่กำลังสุมไปด้วยเปลวเพลิงและสิ่งก่อสร้างที่ทยอยกันหักพักลงมาทีละนิด ผู้คนนับร้อยนับพันรายกำลังวิ่งหนีตายกันภายในเมืองอย่างน่าเวทนา อาคารตามท้องถนนสองข้างทางเละเทะปะปนไปด้วยวความหายนะ ยานพาหนะถูกจอดทิ้งไว้บนถนน บ้างก็มีรอยของอะไรบางอย่างทุบทำให้เกิดความเสียหายจนไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นรถอีกต่อไป และสิ่งสุดท้ายที่ตากล้องได้ถ่ายไว้ได้คือ
ร่างของชายคนหนึ่งที่กำลังยืนท่าทางทรมานอยู่บนถนนกำลังบิดเบี้ยวคล้ายก้อนพลาสติกที่กำลังเดือดพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ กระดูกภายในร่างกายของชายคนนั้นทิ่มแทงทะลุเนื้ออกมาจนเลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นถนน ทั้งหัวหรือแขนและขาต่างก็หลุดห้อยออกมาจากลำตัวโดยไม่สามารถคงสภาพเป็นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ได้ เนื้อสีแดงเป็นมัดเผยออกมาและในตอนนี้ไม่มีผิวหนังหุ้มเอาไว้อีกต่อไป ใบหน้าเล็กๆที่งอกออกมาจากลำตัวเริ่มส่งเสียงร้องประหลาดออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“นี่มันไม่จริงใช่ไหม? เป็นภาพจากอิลลูชั่นซิสเต็มล่ะสิ? อีเวนท์หนึ่งในเกมใช่ไหมโอเปอเรเตอร์?” รามิลไทพยายามคิดว่าสิ่งที่เห็นมันเป็นเพียงภาพลวงตาที่อิลลูชั่นซิสเต็มสร้างขึ้นมาเพื่อตบตาเขา รามิลไทถอดอุปกรณ์อิลลูชั่นทุกอย่างออกและเปิดคอมฯที่วางตั้งไว้บนโต๊ะอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจสิ่งต่างๆที่เปลี่ยนสภาพกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วในตอนนี้ ทั้งหน้าต่างอินเตอเฟซสีฟ้าและเฟอร์นิเจอร์หายลับไปเรียบร้อยพร้อมกับการถอดอุปกรณ์อิลลูชั่น
“ไม่จริง…” รามิลไทครางเบาๆสายตายังคงจับจ้องสิ่งที่เขากำลังอ่าน
เรื่องทั้งหมดในข่าวเมื่อสักครู่เป็นความจริงไม่ผิดเพี้ยน สงครามอาวุธชีวภาพได้เป็นบ่อเกิดทำให้การทำลายล้างเกิดขึ้นและกระทบมาถึงประเทศของเขาเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าประเทศเพื่อนบ้านเองก็โดนเช่นกัน ไม่ต้องพูดถึงสองประเทศอย่างอเมริกาและประเทศเกาหลีเหนือที่เต็มไปด้วยตัวประหลาดหน้าตาอัปลักษณ์เดินพร่านกันเต็มเมือง
วันโลกาวินาศที่เหล่าผู้คนมักจะพูดถึงกันกำลังเริ่มขึ้นแล้ว ภาพของผู้คนที่กลายร่างกลายเป็นสัตว์ประหลาดว่อนกระจายไปทั่วอินเตอร์เน็ต พวกมันทำลายล้างและฆ่าฟันมนุษย์เป็นผักปลาโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้น พละกำลังและความแข็งแกร่งของมันเหนือกว่าอาวุธสงครามที่มีอยู่บนโลกทุกชนิด พวกมันแพร่กระจายได้เร็วมากจนยากที่จะหยุดยั้ง ตามหัวเมืองต่างๆพยายามปิดกั้นประชาชนแต่ละเขตออกจากกัน และดูเหมือนรัฐบาลภายในแต่ละประเทศเริ่มจะไม่มีอำนาจควบคุมอะไรได้อีกต่อไป
ตอนนี้ภายในมหาวิทยาลัยและโรงเรียนหรือสถานที่ทำงานต่างก็ไม่นิ่งนอนใจสั่งหยุดงานหยุดเรียนกันถ้วนหน้า แม้ในตอนนี้การประกาศข่าวทั้งหลายจะบอกว่ามีเพียงจังหวัดชายแดนของประเทศเท่านั้นที่ได้รับเชื้อไวรัสและยังไม่แพร่กระจายเข้ามาถึงจังหวัดภายใน แต่ก็ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ว่าสัตว์ประหลาดพวกนั้นจะทะลวงปราการของเหล่าทหารเข้ามาได้เมื่อไร
รามิลไทโชคดีที่ในตอนนี้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงของประเทศซึ่งมีที่ตั้งอยู่ในใจกลางของประเทศพอดี แน่นอนว่าผลกระทบจากอาวุธชีวภาพที่ค่อยๆเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้านนั้นก็เข้ามาได้ยากกว่าจังหวัดรอบนอก
“แม่ครับ! ที่ญี่ปุ่นเป็นยังไงบ้างครับ!?” รามิลไทถือโทรศัพท์ของตัวเองและร้องถามด้วยเสียงกระวนกระวาย
“ใจเย็นลูก พ่อกับแม่ปลอดภัยดี ดูเหมือนที่ญี่ปุ่นจะปิดประเทศได้ทันเวลา เลยยังไม่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสอะไรนั่น แล้วลูกล่ะเป็นยังไงบ้าง ปลอดภัยดีใช่ไหมลูก!? แม่ได้ข่าวว่าตัวประหลาดพวกนั้นเริ่มรุกรานเข้าไปในจังหวัดชายแดนทางเหนือแล้ว” น้ำเสียงของแม่ดูเป็นห่วงลูกชายไม่แพ้กัน
“ครับ แต่ว่าที่กรุงเทพยังปลอดภัยดีอยู่ครับ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ แม่ก็รู้ว่าผมเอาตัวรอดเก่ง” เสียงของเขาดูมั่นอกมั่นใจเป็นพิเศษ “อย่างน้อยผมก็ดูหนังซอมบี้มาเยอะ เคยจินตนาการเรื่องแบบนี้เอาไว้บ้างแล้วเหมือนกัน ไม่มีปัญหาหรอกครับ” เขาตอบพรางหัวเราะฮะๆทีเล่นทีจริง
“รามิล!!! นี่มันโลกความจริงนะลูก!!!” ผู้เป็นแม่เริ่มส่งเสียงดังขึ้นจนรามิลไทผวา
“คร้าบแม่ แต่ผมไม่เป็นไรจริงๆ ไว้ผมจะติดต่อไปเรื่อยๆนะครับ เท่านี้ก่อนนะครับแม่”
เมื่อสิ้นเสียงของรามิลไทสายก็ถูกตัดทันที…
ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเริ่มทำอะไรก่อนดี สะสมเสบียง? กบดานที่ชั้นใต้ดิน? หรือว่าออกไปล่าสัตว์ประหลาด? นี่เขากำลังอยู่ในโลกแบบไหนเขาเองก็จินตนาการไม่ออกจริงๆ ปราการของเหล่าทหารประจำหัวเมืองจะต้านทานสัตว์ประหลาดเหล่านั้นได้นานขนาดไหน และเขาจะมีชีวิตรอดไปได้อีกนานเท่าไรเขาเองก็ไม่รู้ แต่สิ่งที่เขามั่นใจมากในที่สุดในตอนนี้นั่นก็คือ
โลกได้เปลี่ยนไปแล้ว…
ความคิดเห็น