ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โพยมยอดรัก

    ลำดับตอนที่ #7 : ถ่านไฟเก่าไม่มีวันคุ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 214
      0
      22 ก.ค. 56

                    งานของฟริกกาที่เซเลโน่มอบหมายให้ เป็นงานประมูลวัตถุโบราณที่มาจากประเทศไทย เขาอธิบายในเอกสารแล้วว่าต้องการรวบรวมสมบัติของชาติมาเก็บรวบรวมกันให้ได้มากที่สุดก่อนจะส่งกลับคืนยังถิ่นฐานเดิม คืนนี้ก็เช่นกัน

                    เธอไม่ได้แต่งตัวพิถีพิถันอะไร แต่เตรียมตัวรอรถมารับไปยังงานประมูล เมื่อถึงเวลารถตู้ของบริษัทก็มารับหญิงสาวถึงหน้าคอนโดมิเนียม

                    “เอ๊ะ ทางนี้ไม่ใช่ทางไปโรงแรมที่มีงานประมูลนี่คะ”

                    “ใช่ครับ คุณเซโลโน่มีคำสั่งให้มารับคุณฟริกกาไปพบท่านก่อนครับ”

                    ฟริกกาเลือกที่จะไม่ถามแม้สงสัย เพราะถามไปคนของเขาก็ไม่มีวันตอบอยู่ดี เอาเป็นว่าไม่พาเธอไปทำมิดีมิร้ายก็พอ

                    หญิงสาวก้าวลงจากรถเมื่อมาถึง ตรงหน้าเป็นบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งอยู่ภายในรั้วรอบขอบชิดซึ้งมีอาณาบริเวณกว้างขวางพอควร

                    “เชิญครับคุณฟริกกา มีคนรอคุณอยู่หลายคนเลยครับ”

                    หญิงสาวพยักหน้าเดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย ก้าวผ่านบานประตูสูงเข้าไปข้างในอย่างงุนงง  สาวใช้คนหนึ่งมารอรับเธออยู่ข้างในแล้ว เธอเป็นคนรับช่วงต่อจากคนขับรถพาฟริกกาเข้าไปห้องๆหนึ่ง

                    ภายในห้องมีผู้หญิงวัยใกล้เคียงกับเธอสี่ถึงห้าคน หนึ่งในนั้นเชื้อเชิญให้เธอนั่งหน้ากระจก

                    “เดี๋ยวพวกเราจะแต่งหน้าทำผมให้ก่อนนะคะ จากนั้นค่อยไปเปลี่ยนชุด”

                    “แต่งหน้าทำผม เดี๋ยวนะคะ ต้องลงทุนถึงขนาดนี้เลยหรือคะ แค่งานประมูล”

                    “เป็นคำสั่งของคุณท่านค่ะ คุณผู้หญิงนั่งนิ่งๆ นะคะ ให้ฉันได้ดูรูปหน้าคุณก่อนจะได้รู้ว่าผมทรงไหนเหมะกับคุณ”

                    ผู้หญิงคนนั้นบอกเป็นคำสั่งของเจ้านาย ซึ่งเธอต้องเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อสงสัยด้วยใช่ไหม

                    กว่าจะแต่งหน้าทำผมเสร็จใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง ฟริกกามองตัวเองในกระจกเงา ยกมือขึ้นแตะแก้มเป็นพวงชมพูอมแดง ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงในกระจกเงาคือตัวเธอเอง

                    “สวยมากเลยนะคะคุณฟริกกา คุณเป็นคนผมยาวสลวย รูปหน้าเรียวเป็นรูปไข่อยู่แล้ว เหมาะกับทรงผมเปิดหน้าผากและวางลอนไว้ด้านข้าง ผิวคุณขาวผ่องเนียนเชียว เติมเครื่องสำอางนิดเดียวก็น่ารักแล้วค่ะ”

                    ช่างแต่งหน้ายิ้มปลาบปลื้มด้วยความภาคภูมิใจ ฟริกกายิ้มเฝื่อนๆ เธอควรจะดีใจหรือทีได้เป็นดอกไม้แต่อยู่ในแจกันที่ไม่มีทางออกมาได้จนกว่าจะเหี่ยวเฉาไปเอง

                    “แต่งหน้าเสร็จแล้ว เดี๋ยวคุณฟริกกาไปแต่งตัวก่อนนะคะ ”

                    กล่องใส่ชุดหรูถูกเปิดออกมา ฟริกกามองชุดราตรียาวสีแดงเพลิงที่ช่างแต่งหน้านำมาวางพาดบนโซฟาตัวยาว ต้องเป็นชุดที่ถูกออกแบบมาโดยดีไซน์เนอร์มืออาชีพอย่างแน่นอน เพราะทั้งสวยและดีไซน์ได้แปลกตาดี  และเมื่อเธอสวมใส่เข้ากับรูปร่างได้พอดิบพอดี ราวกับว่าถูกตัดเย็บมาเพื่อเธอโดยเฉพาะ

                     งานนี้ต้องสำคัญมากทีเดียว เขาถึงกล้าลงทุนทำให้เธอขนาดนี้

                     ช่างแต่งหน้าและช่างทำผมออกไปจากห้องไปแล้วเมื่อทำหน้าที่เสร็จ ปล่อยให้หญิงสาวได้สำรวจตัวเองอยู่หน้ากระจกตามลำพัง

                    คืนนี้ฟริกกายอมรับว่าเธอได้เปลี่ยงแปลงตัวเองเสียจำแทบไม่ได้ ชุดราตรียาวสีสดช่วยขับผิวขาวให้งามผ่อง ใบหน้าสวยจัดจ้านด้วยฝีมือช่างแต่งหน้าที่ดึงเอาจุดเด่นบนใบหน้าเธอออกมาได้หมด ไม่ว่าจะเป็นคิ้วหนาโค้งมนกับดวงตาคมเข้ม ริมฝีปากบางแดงระเรื่อกลมกลืนกับพวงแก้มอมชมพู เรือนผมยาวสยายลงปะบ่าข้างหนึ่ง  เธอเหมือนนางฟ้าที่เดินลงมาจากสวรรค์ตามจินตนาการของนักแต่งนิยาย

                    ร่างบางสะดุ้งนิดเมื่อเห็นเงาสะท้อนของเซเลโน่โผล่มาข้างหลัง  พอจะเหลียวหลังไกลับปมองชายหนุ่ม เจ้าของร่างสูงก็เดินมาอยู่ข้างหลังเธอแล้ว

                    “รู้ตัวไหมว่าคุณเป็นคนสวยมากคนหนึ่ง” เขาก้มหน้ามากระซิบข้างหู  สองมือแตะที่ไหล่กลมกลึง ถ้าเป็นก่อนหน้านั้นเธอคงปัดมือเดินหนี แต่ว่าวันนี้เธอกลับยืนนิ่งไม่ว่าอะไรเขาสักคำ

                    ฟริกกาหลับตาพริ้มปล่อยให้เซเลโน่เลื่อนปลายจมูกจากติ่งหูเลยไปยังแก้มนวล เขาจูบแก้มเธอเบาๆดอมดมเอาความหอมละมุนของกลิ่นน้ำหอมผสมกลิ่นกายสาว หล่อนสวยเหลือเกิน

                    “หยุดแค่นี้เถอะค่ะ อย่าทำให้ฉันรู้สึกเสียศักดิ์ศรีไปมากกว่านี้เลย”  หญิงสาวร้องห้ามเมื่อรู้สึกถึงริมฝีปากหนากดลงเนื้อนุ่มซอกคอ หล่อนกำลังเคลิบเคลิ้มแต่ยังมีสติยับยั้งตัวเองได้

                    เซเลโน่ชะงัก เขาคงลืมตัวไปแล้วจริงๆ

                    “ผมขอโทษ” ชายหนุ่มรีบปล่อยมือออกจากหัวไหล่เธอพร้อมหันหน้าไปทางอื่นกลบเกลื่อน  ไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะกล้าทำแบบนี้ ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะห้ามใจไม่ได้ เธอเป็นผู้หญิงของพ่อ เขาควรจะจดจำไว้จนวันตายว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์ แม้หล่อนจะน่าหลงใหลแค่ไหนก็ตาม

                    “คุณดูดีมาก ขอชม” น้ำเสียงแผ่วเบาอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นกระด้างขึ้นมาทันที “งานคืนนี้ผมต้องใช้คุณเพราะคุณเป็นผู้หญิง ถ้าผมลงมือประมูลเอง คู่แข่งของผมคงสู้ราคาเต็มที่เพื่อจะเอาชนะให้ได้ แต่ถ้าคุณออกหน้า ความสวยของคุณจะทำให้บรรดาคนพวกนั้นยอมอ่อนข้อให้”

                    “แปลว่าฉันต้องเอารูปร่างหน้าตาเข้าแลกยังงั้นหรือคะ”

                    “ก็คงทำนองนั้น” เซเลโน่เหมือนได้ยินถอนลมหายใจอยู่ข้างหลัง ดูเธอจะไม่พอใจเขา

                    “ฉันจะทำให้เต็มที่ค่ะ ให้สมกับราคาค่างวดที่ซื้อฉันมา” ฟริกกาว่ากระทบเขา หันหลังกลับเชิดหน้าขึ้นจะเดินผ่านหน้าชายหนุ่มออกไป

                    “เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่ง ผมมีบางอย่างจะให้คุณด้วย”

                    ฟริกกาหยุดก้าวเท้าหันใบหน้าสวยกลับมามอง เซเลโน่หยิบสิ่งของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ สิ่งนั้นส่องประกายวาววับระยิบระยับตา

                    “สร้อยเพชรเส้นนี้จะนำโชคดีมาให้คุณ นำชัยชนะมาให้พวกเรา” เจ้าของร่างสูงก้าวไปอยู่ข้างหลังหญิงสาวอีกครั้ง ลงมือสวมสร้อยเพชรให้เธอ ความเงางามของอัญมณีทำให้ฟริกกาดูสวยมากยิ่งขึ้นสมกับเครื่องเพชรราคาแสนแพงลิบ

                    “ขอบคุณค่ะ ฉันจะนำมาคืนให้หลังงานเลี้ยงเลิก”

                    “ไม่ต้องหรอกผมยกให้คุณ”

                    ฟริกกาอยากบอกปัดไม่รับ แต่อ้าปากช้ากว่าอีกคนไปเสี้ยวนาที “ผมจะให้คุณไว้ใช้ในงานหน้า”

                    “แน่ใจหรือคะว่าฉันไว้ใจได้ เกิดฉันเอาเพชรไปขายแล้วขึ้นเครื่องหนีกลับไทยจะว่าไง”

                    “ไม่ต้องเป็นห่วงแทนผมหรอกครับ เพราะก่อนผมจะหาทางซื้อตัวคุณมา ผมได้ซื้อคนของคุณทุกที่ไว้หมดแล้วไม่ว่าจะเป็นไทยหรือประเทศนี้ ถ้าคุณกลับไปพวกเขาต้องบอกให้คุณกลับมาหาผมอีกหรือไม่ก็รีบแจ้งผมทันที เชื่อเถอะว่าคุณไม่มีทางไปไหนเพราะคุณห่วงครอบครัว”

                    “ฉันไม่คิดว่าคุณจะร้ายกาจขนาดนี้ เอาคนที่ฉันรักเป็นตัวประกัน” ฟริกกากัดริมฝีปากด้วยความเจ็บใจที่เสียรู้ไม่ทันเล่ห์ชายหนุ่ม

                    “เป็นเรื่องจำเป็นที่พ่อค้าทุกคนต้องทำเพื่อไม่ให้เสียเปรียบทางการค้ากับใคร ต้องเข้าใจหน่อยนะครับว่าคือธุรกิจ”

                    “ฉันจะพยายามเข้าใจจะ คงต้องใช้ความพยายามอย่างมากทีเดียว ว่าแต่ฉันไปได้ยังคะ”

                    “เชิญครับ” เซเลโน่ยื่นแขนให้หล่อนจับ แต่ฟริกกากลับเดินผ่านเขาไปหน้าตาเฉย

                    ถึงจะหนีไปไหนก็ไม่พ้น เธอกับเขาต้องนั่งรถคันเดียวกัน ไปในงานเดียวกัน

                    งานประมูลสมบัติโบราณล้ำค่าถูกจัดในห้องโถงของโรงแรมหรูใจกลางเมืองใหญ่ ผู้คนพากันทยอยเข้าไปในงาน นั่งคอยเวลาสำคัญมาถึง ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้าของธุรกิจระดับพันล้านหรือไม่ก็เป็นคหบดีที่มีชื่อเสียง

                    “เฮ้ย คุณดูสิ ผู้หญิงคนนั้นเป็นตัวแทนจากที่ไหน สวยเหลือเกิน”

                    เศรษฐีหนุ่มน้อยใหญ่พากันหันไปมองทางประตูเข้าออก ฟริกกาก้าวผ่านผู้คนด้วยท่วงท่าสง่างาม เชิดหน้าขึ้นอย่างมั่นใจ ทั้งที่จริงรู้สึกประหม่าไม่ใช่น้อยที่มีสายตากว่าร้อยคู่เฝ้าจับตามองเธออยู่

                    เก้าอี้ของเธอที่เซเลโน่จองไว้ให้อยู่ด้านหน้าสุด ฟริกกาหันไปย่อตัวลงเล็กน้อย พร้อมส่งยิ้มหวานให้กับแขกในงานก่อนจะนั่งลง

                    การประมูลเริ่มต้นในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ฟริกกาทำตามคำสั่งของเซเลโน่ทุกอย่าง ยกมือประมูลจนถึงราคาที่เขาตั้งไว้ซึ่งไม่มีใครสามารถสู้ได้ และเธอก็ได้สมบัติทุกชิ้นไปตามที่เจ้านายหนุ่มต้องการ

                    หลังเสร็จสิ้นการประมูล มีผู้ชายหลายคนอยากทำความรู้จักกับเธอกันมากมาย ต่างพากันมาแนะนำตัวพร้อมทั้งแลกนามบัตร

                    “ขอโทษนะคะ ฉันต้องไปแล้วค่ะ” เธอเอ่ยลาอย่างมีมารยาท เดินออกไปจากงานไปยังด้านหลังซึ่งเป็นลานจอดรถ ใครคนหนึ่งเดินเข้ามาขวางทางเธอไว้ก่อน ใครที่ทำให้หญิงสาวจ้องมองเขาอย่างตะลึง

                    “ฟริกกา ผมดีใจที่ได้พบคุณอีกครั้ง ”

                     “พอล” เสียงเธอสั่นๆ รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจราวกับถูกเข็มนับพันทิ่มแทง การพบกันอีกครั้งหลังจากเขาทิ้งเธอไปเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย

                    “คุณสบายดีไหม ผมขอโทษนะที่ผมไม่ได้ติดต่อกับคุณเพราะมีเรื่องยุ่งๆ” พอลจับมือหญิงสาวมาบีบเขย่าเบาๆ ฟริกกาก้มมองมือเธอที่อยู่ในอุ้งมือเขา ปลดออกอย่างนุ่มนวล แต่ทว่าสายตาเย็นชา

                    “คุณไม่น่าจะถามคำถามนี้นะคะว่าฉันสบายดีไหม คงไม่มีใครไม่เสียใจที่ถูกหลอก”

                    พอลหน้าซีดเผือด หล่อนโกรธเขามากที่เขาทำแบบนี้

                    “ฟริกกา ผมมีคำอธิบายนะ ฟังผมก่อน” เขาพยายามจะง้ออดีตคนรัก

                    “ฉันไม่ขอฟังอะไรอีกแล้วค่ะ เอาเป็นว่าที่ผ่านมาฉันยกโทษให้คุณ ฉันเข้าใจคุณดีค่ะว่าคุณจำเป็นมาก แต่เราอย่าเจอกันอีกเลย” ฟริกกาเลี่ยงจะเดินหนี พอลไม่ยอมหยุดแค่นี้จะเดินตามตื๊อเธอให้ได้ โชคดีที่รอสซึ่งเข้ามารับหญิงสาวตามคำสั่งเจ้านายก้าวฉับเข้ามาขวางหน้าได้ทัน

                    “กลับไปเสียเถอะค่ะ จากนี้ไปเราสองคนไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก ลาก่อนนะคะ”

                    ฟริกกาพูดตัดเยื่อใยเด็ดขาด หล่อนรู้สึกแสบร้อนที่ดวงตา ใช้ความพยายามอยากมากที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ล้นออกมาต่อหน้าใคร เธอไม่มีวันอ่อนแอให้ใครเห็น

                    เซเลโน่ไม่ได้เข้าไปในงานด้วยเพราะเขามอบหมายหน้าที่นี้ให้ฟริกกาแล้ว และเธอก็ทำหน้าที่ได้ดีเสียด้วย ชายหนุ่มเฝ้ารออยู่ที่ร้านกาแฟเล็กๆ ด้านนอกอาคารคอยรับฟังข่าว จนรอสรายงานว่าเห็น อดีตคนรักของฟริกกากับโอมาร์เข้ามาในงานเขาจึงสั่งให้รอสไปช่วยคุ้มกันเธอออกมา

                    โอมาร์เฝ้ามองฟริกกาอยู่ไม่ไกล เขาเห็นเธอตั้งแต่เธอเดินเข้ามาในงานแล้วแต่ไม่ได้เข้าไปทักทายเหมือนครั้งก่อนที่พบกัน เพราะไม่อยากให้เธอตื่นตกใจเกินไป เหยื่อสาวคนนี้ใช้การจู่โจมโดยตรงไม่ได้ ต้องตะล่อมเข้าใกล้ทีละนิดและคว้าตัวมาเป็นของเขา

                    “สวยควรค่ากับฉันไม่ใช่แกเซเลโน่ ฉันต้องได้ดอกฟ้าดอกนั้นมาเป็นของฉันให้ได้”

                    เศรษฐีอาหรับพูดกับตัวเอง ก่อนจะหันไปสั่งให้คนของตนช่วยต่อโทรศัพท์ไปถึงคนของโทโรคอมมิวนิเคชั่นด่วนเพื่อติดต่อในฐานะลูกค้า

                    เซโลโน่ชำเลืองผู้ร่วมทางสาวที่นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จาเอาแต่ซึมเศร้าหันหน้าออกไปอีกทาง  คอยยกมือเช็ดใบหน้าไม่ให้คราบน้ำตาไหลเปื้อนแก้มเนียน

                    “ผ้าเช็ดหน้าครับ” เขาปล่อยมือออกจากพวงมาลัยข้างหนึ่ง หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ายื่นให้หญิงสาว ฟริกกาได้แต่ก้มมองพิจารณาแต่ไม่ยอมรับ

                    “รับไปสิ ผมขับรถมือเดียว เดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุนะ”

                    ฟริกกากล่าวขอบคุณ จำใจรับผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาเบาๆ แต่ยังไม่หันมาทางชายหนุ่มอยู่ดี เซเลโน่ถอนใจเสียงดัง ไม่รู้จะปลอบใจหญิงสาวอย่างไร  คืนนี้เขาให้รอสหาทางกลับบ้านเองไม่ต้องมาขับรถให้เขา เพราะไม่อยากให้เธออับอายที่ต้องมีน้ำตาต่อหน้าคนอื่นอีก

                    รถคันงามแล่นมาได้สักระยะหนึ่ง ฟริกกาถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าเส้นทางนี้ไม่ใช่ทางกลับไปยังที่พัก

                    “คุณเซเลโน่ จะพาฉันไปไหนคะ”

                    “คุณไม่สบายใจอย่าอยู่คนเดียวเลย ผมจะพาคุณไปที่หนึ่งแล้วกัน”

                    “ไม่ค่ะ ฉันอยากกลับบ้าน  กรุณาไปส่งฉันที่บ้านดีกว่านะคะ”

                    เขาชอบมอบความเงียบให้เธอเสมอ และเป็นนิสัยเสียอย่างหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวอดโมโหไม่ได้สักที

                    “คุณเซเลโน่ จอดรถเดี๋ยวนี้นะ ถ้าไม่พาฉันกลับบ้านก็กรุณาจอดรถ ฉันจะกลับของฉันเอง คุณเซเลโน่”

                    เธอตะโกนเสียแก้วหูเขาแทบแตก

                    “ผมได้ยินแล้ว หยุดโวยวายเสียทีได้ไหม หนวกหู ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากให้อยู่คนเดียว เกิดคุณคิดมากฆ่าตัวตายผมก็เสียเงินเปล่าสิ ไม่เอาผมไม่อยากขาดทุน”

                    “ฉันเป็นคนนะ ไม่ใช่ผักปลา แล้วไม่คิดสั้นขนาดทำร้ายตัวเองหรอกวางใจได้ ได้ยินแบบนี้แล้วก็พาฉันกลับบ้านไม่งั้นก็จอดตรงนี้เลย”

                    “เอี๊ยด!

                    จู่รถก็จอดกะทันหัน  ฟริกกาไม่ทันนั่งตัวตรง จึงคะมำไปข้างหน้า ศีรษะเกือบโขกกับตัวรถถ้าไม่มีเข็ดขัดนิรภัยช่วย ไว้เซเลโน่ลงจากรถได้ก็เดินอ้อมไปข้างหลัง เปิดหลังรถหยิบเอาเชือกเส้นหนึ่งออกมา แล้วเดินไปเปิดประตูรถข้างหญิงสาว

                    “จะทำอะไรฉันน่ะ ปล่อยนะคุณเซเลโน่”

                    ฟริกกาปัดป้องตัวเองไม่ให้เขาแตะต้องตัว แต่เจ้านายหนุ่มของเธอเรี่ยวแรงมากกว่า รวบข้อมือสองข้างจับมัดไว้ด้วยกันด้านหน้า  มัดมือยังไม่พอมัดปากอีกต่างหาก

                    “ค่อยยังช่วยหน่อยจะได้มีสมาธิขับรถ”

                    ฟริกการ้องอื้อๆ พยายามหาทางแก้เชือกที่ผูกข้อมือออกให้ได้แต่ต้องเหนื่อยเปล่าเพราะเขามัดไว้แน่นหนามา หล่อนส่งสายตาโกรธๆไปที่ชายหนุ่ม  ดูเขาจะมีความสุขมากที่ได้แกล้งเธออยู่แบบนี้

                    เซเลโน่ไม่สนใจว่าหล่อนจะเกลียดเขาแค่ไหน เขาไม่อยากทำแบบนี้กับเธอนักหรอกถ้าเธอไม่ดื้อเหมือนเด็กที่เข้าใจอะไรยากเย็น  

                    เขาพาเธอออกนอกเมืองมาไกล ผ่านหน้าศูนย์สรรพสินค้าแห่งหนึ่งก็แวะจอดรถซื้อของ

                    “รออยู่นี่นะ สุดสวย ผมจะไปซื้อของให้แล้วจะพาคุณไปพักผ่อนเสียที อยู่นิ่งๆ เฉยๆ เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”

                    ฟริกกากัดผ้ามัดปาก อึดอัดอยากระบายออกมาเต็มที ตอนนี้ได้แต่สะบัดหน้าส่งสายตาค้อนขวับไปให้แทน ชายหนุ่มใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงในการจับจ่ายซื้อของที่เขาคิดว่าจำเป็นสำหรับคืนนี้และพรุ่งนี้

                    “เดี๋ยวไปหาที่พักกัน ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว สถานที่แห่งนั้นคงไม่มีใครอยากลุกมาต้อนรับเราหรอกนะ”

                    ฟริกกาฟังไปกัดฟันไป จากนั้นเมินหน้าหนีไปทางอื่นต่อเหมือนเดิม หล่อนโกรธที่ถูกบังคับให้ต้องร่วมทางมาด้วย

                    รถมาจอดหน้าโรงแรมห่างจากศูนย์สรรพสินค้าไม่ไกลกัน เป็นโรงแรมขนาดเล็กๆ แต่ภายนอกสภาพใหม่เหมือนเพิ่งเปิดได้ไม่นาน เซเลโน่ปลดผ้าปิดปากเธอออกและแก้มัดเชือกให้ พอเธอเป็นอิสระก็ตั้งท่าอ้าปากจะด่าเขาก่อนทันทีโ

                    “ไอ้..

                    “เบาหน่อยคุณ เสียงดังทำคนอื่นตกใจตื่นไม่ใช่มารยาทที่ดีนักนะ” เซเลโน่ยกนิ้วแตะปากเธอพร้อมยิ้มทะเล้น        
    หล่อนไม่รู้สึกสนุกด้วย มองเขาตาเขียวปั๊ด พอเผลอก็อ้าปากงับนิ้วเสีย


                    “โอ้ย ! เจ็บ!” เซเลโน่นรีบกระชากดึงมือออกมาก่อนที่เธอจะออกแรงงับนิ้วเขาขาด

                    “ออกไป !” ฟริกกาผลักร่างสูงหลีกไกลให้พ้นตัว เดินลิ่วเข้าไปในโรงแรม ปล่อยให้หน้าที่แบกสารพัดสิ่งของเป็นของเจ้านายหนุ่ม  ในเมื่อเจ้ากี้เจ้าการดีนัก เธอจะให้เขาทำทุกอย่างให้เข็ด

                    ห้องพักในโรงแรมคืนนี้เหลือเพียงห้องเดียว ฟริกกาอยากจะขอย้ายไปโรงแรมอื่น แต่เซเลโน่อ้างว่าโรงแรมอื่นอาจปิดหมดแล้ว ถ้าย้อนกลับมาทีหลังอาจไม่มีห้องเหลือซึ่งทางเลือกสุดท้ายก็ต้องนอนในรถ

                    หญิงสาวมองเตียงคู่แล้วอดใจหายไม่ได้ คืนนี้เธอต้องนอนห้องเดียวกับเขาจริงหรือ

                    “สบายใจได้ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอกเพราะคุณไม่ใช่สเปกผม เอ้านี่ชุดนอนและของใช้ผู้หญิงผมซื้อมาให้ ไม่รู้ว่าขนาดพอดีกับรูปร่างคุณไหม”

                    เหมือนชายหนุ่มจะอ่านใจหล่อนออกจึงรีบพูดดักคอไว้ก่อน เขาถือชุดนอนพับเรียบร้อยมาให้ พร้อมอุปกรณ์อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายครบครัน

                    “ขอบคุณค่ะ ฉันขออาบน้ำนอนก่อนนะคะ ทั้งง่วงทั้งเหนื่อย  เฮ้อ อยู่ดีไม่ว่าดีต้องมานั่งรถเล่นอย่างไม่เต็มใจ” หล่อนบ่นพึมพำทำหน้ากระเง้ากระงอด เซเลโน่อมยิ้มขำ เวลาเธองอนชวนให้น่าเย้าแหย่เสียจริง

                    เซเลโน่เข้าห้องน้ำหลังเธอ ชำระร่างกายตัวเองจนเรียบร้อยพออออกมาก็เห็นหญิงสาวนอนหลับสนิทอยู่บนเตียง คงเหนื่อยกับการสู้รบปรบมือกับเขาจริง

                    ร่างสูงเดินเข้าไปข้างเตียง ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ใบหน้าเขาจึงเสมอใบหน้าเธอ พิศมองทุกอณูบนใบหน้าหญิงสาว เห็นขนตายาวเป็นแพงอนน่ารัก ริมฝีปากรูปกระจับอมชมพูอวบอิ่ม พวงแก้มเนียนใสชมพูระเรื่อน่าแตะต้อง คิ้วโค้งมนย่นเล็กน้อยเหมือนนอนหลับไม่สนิทนัก

                    เซเลโน่ค่อยเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้อย่างอดใจไม่อยู่ พอปลายจมูกแตะที่หน้าผาก ภาพของบิดาบุญธรรมที่นอนป่วยอยู่ทำให้หยุดค้างไว้ตรงนั้น ลุกขึ้นยืนมาใช้มือตบใบหน้าตัวเองอย่างแรง เรียกสติกลับคืน

                    “จำไว้นะเซเลโน่ อย่ายุ่งกับผู้หญิงของพ่อ”
                    หัวใจด้านซ้ายวาบหวิวขึ้นมาเมื่อนึกถึงความจริง ความจริงที่ว่าเขาไม่มีสิทธิ์ในตัวเธอ เป็นได้แค่บอดี้การ์ดจำเป็นเท่านั้น


                    ร่างสูงกลับมานอนเตียงฝั่งตรงข้าม หันไปมองหญิงสาวแล้วระบายลมหายใจยาวเหยียดออกมา เขาทำอะไรอยู่ตอนนี้รู้ตัวไหม แค่เธอเจอเรื่องเศร้าใจจนมีน้ำตาออกมาแล้วจะต้องไปสนใจด้วยหรือ ในเมื่อเธอไม่ได้มีความสำคัญกับเขาเลยสักนิด ตรงกันข้ามถ้าเขากันเธอออกไปจากชีวิตพ่อเขาได้ น่าจะดีกว่านี้ แต่ถ้าเขาทำแบบนั้นเท่ากับเป็นลูกอกตัญญู

                    “บ้าชะมัด เลิกฟุ้งซ่านเสียที นอนได้แล้วเซเลโน่เอ๋ย” ถ้าจะต้องเห็นเธออยู่แบบนี้ คงไม่ได้หลับนอนกันพอดี หันพลิกตัวไปอีกข้างเสีย อย่ามองกันเลยดีกว่าจะได้ไม่คิดกับเธอในทางไม่ดี

                    เซเลโน่หลับตาลง ปล่อยให้ความเงียบงันเข้ามาขับกล่อมจนสมองว่างเปล่าหลับสนิทในอีกไม่กี่นาทีต่อมา            

                    เช้าวันใหม่มาถึงคนที่ตื่นก่อนคนแรกคือคนที่หลับก่อนตนแรก

                    ฟริกกานั่งมองชายหนุ่ม เขาใส่เสื้อกล้ามตัวเดียวนอนขดตัวหันหลังให้เธอ  ได้ยินเสียงกรนเบาๆ คลอไปกับเสียงเครื่องปรับอากาศดังกระหึ่ม

                    “นอนไม่ห่มผ้า แอร์ก็เย็น เดี๋ยวไม่สบายพอดีหรอก” ฟริกกาเดินไปหยิบผ้าห่มที่พับกองปลายเท้าออกมาคลี่คลุมร่างหนาที่นอนหลับไม่รับรู้อะไร ถ้าเขาตื่นมาตอนนี้พอดีเขาจะพบว่ามีแววตาคู่หนึ่งมองเขาอย่างห่วงใยอยู่ มีรอยยิ้มอ่อนโยนที่เขาไม่เคยได้เห็นในยามตื่น

                    เซเลโน่ซื้อของใช้มาให้เธอครบทุกอย่าง ฟริกกาไม่รู้ว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าเธอชอบครีมอาบน้ำแบบไหน น้ำหอมกลิ่นอะไร กระทั่งเสื้อผ้ายังใส่ได้พอดีตัว

                    ดูเขาจะใส่ใจรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเธอเสียหมด คงเป็นวิธีตรวจสอบสินค้ามีชีวิตของเขาสินะ

                    ฟริกกาเดินเข้าไปในห้องน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาอีกทีก็เห็นชายหนุ่มตื่นมาพอดี

                    “อรุณสวัสดิ์ครับ คุณผู้หญิง”

                    หล่อนมองเขาตาค้าง สายตาจับจ้องไปยังกล้ามเนื้อแน่นเป็นก้อนตรงหน้าท้องไล่ถึงแผงอกล่ำปึก จนถึงใบหน้าคมเข้มที่ส่งยิ้มละลายใจให้ เวลาไม่อยู่ในคราบนักธุรกิจเขาก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง

                    “อะ.. อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ฟริกกาอ้ำอึงพูดจาตะกุกตะกัก

                    “เมื่อคืนหลับสบายดีไหมครับ แล้วตอนนี้หิวหรือยัง รอผมเดี๋ยวได้ไหม”

                    “เอ่อ ได้ค่ะ ฉันขอไปเก็บของก่อน แล้วจะไปรอตรงห้องอาหารของโรงแรมแล้วกันนะคะ” กว่าคำพูดจะหลุดออกมาแต่ละคำดูเหมือนเนิ่นนานเหลือเดิน ฟริกกาพยายามไม่มองท่อนบนเปลือยเปล่าของชายหนุ่ม หล่อนรู้สึกร้อนผะผ่าวไปทั้งใบหน้า แดงไปถึงใบหู

                    “ฟริกกา คุณเป็นอะไรไป ทำไมยืนนิ่งแบบนั้นครับ” เขาร้องเรียกชื่อหญิงสาวเมื่อเห็นเธอเหม่อลอย

                    “เปล่าคะ ไม่มีอะไร” หญิงสาวยิ้มเก้อเขิน ก้มหน้าอมชมพูหลบสายตา

                    “ถ้างั้นเราเจอกันอีกสิบห้านาทีข้างล่างนะครับ”

                    อาหารเช้าแบบง่ายๆ หมดจานในเวลารวดเร็ว เมื่อคืนฟริกกาแทบไม่แตะอาหารในงานเลี้ยงประมูลเลยเช้านี้เธอจึงรู้สึกหิวมากกว่าปกติ ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอย่างเงียบเชียบไม่พูดไม่จา

                    “ค่อยๆเดี๋ยวติดคอหรอก” เซเลโน่ยิ้มขำหญิงสาว ขนมปังบนโต๊ะทุกแผ่นเธอหยิบมาทานเกือบหมด

                    “ขอโทษทีค่ะเจ้านาย ก็ฉันหิวนี่”

                    “ไม่ได้ว่าอะไรหิวก็กินซะ อยากสั่งอะไรเพิ่มอีกไหม ซุปสักถ้วยไหมที่รัก”

                    ฟริกกาแทบสำลักกาแฟ ทำตาเขียวใส่คนตรงหน้า เซเลโน่เขยิบเข้าใกล้หญิงสาวพูดเบาๆ ใกล้เธอ

                    “เล่นละครเป็นคู่สามีภรรยากันหน่อยสิคุณ ผมไม่อยากให้คนสงสัยว่าเราสองคนมาทำไมกัน ผมพวกศัตรูเยอะต้องปิดบังตัวเองหน่อย”

                    ข้ออ้างของเขาไม่สมเหตุสมผลเท่าไร ดูตั้งใจจะยั่วเธอให้หมั่นไส้มากกว่า แต่เมื่อพูดออกไปต่อหน้าคนอื่นแล้วจะแก้ไขอะไรก็ไม่ได้ ต้องปล่อยเลยตามเลย

                    ฟริกกานึกสงสัยไม่หายว่าทำไมเขาถึงพาเธอออกจากงานประมูลมาตั้งไกล แถมยังต้องมาหาโรงแรมพักอีกคืนต่างหาก  มาเข้าใจตอนที่ชายหนุ่มพาเธอมาถึงสถานที่สงบเงียบแห่งหนึ่ง

                    “วัดไทย..” เธออ่านป้ายชื่อหน้าวัด เซเลโน่พาเธอมาหาใครที่นี่ หรือเขามีญาติพี่น้องทำงานในวัดนี้อยู่

                    “ผมอยากให้คุณสบายใจ เลยพามาวัด ไปไหว้หลวงพ่อด้วยกันนะ ท่านเพิ่งเดินทางจากไทยมาได้สองสามวันแล้ว เป็นพระที่มีบุญคุณกับผมมาก”

                    เขาลงไปเปิดประตูรถให้เธอ แล้วอ้อมไปเปิดท้ายรถหยิบเอาเครื่องสังฆทานออกมา ฟริกกาไปช่วยชายหนุ่มถือ

                    “ฉันช่วยนะคะถือคนละถาดดีกว่าค่ะ”

                    เซเลโน่ยิ้มๆปล่อยของในมือให้เธอถือ เดินนำทางผ่านประตูใหญ่ด้านนอกเข้าไป

                    วัดแห่งนี้อยู่ไกลออกไปนอกชานเมือง คลอบคลุมพื้นที่หลายร้อยเอเคอร์ ตัวอาคารตั้งแต่โบสถ์ไปจนถึงกุฎิยังคงความเป็นวัฒนธรรมแบบชาวพุทธไม่เปลี่ยนแปลง ทุกแห่งบนดินแดนแห่งธรรมร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยที่ถูกปลูกเรียงรายรอบวัดรวมไปถึงลานปฏิบัติธรรมกว้างขวางข้างโบสถ์ที่เซเลโน่กำลังจะพาหญิงสาวเข้าไป

                    พระภิกษุชาวต่างชาติรูปหนึ่งนั่งสมาธิหลับตาอยู่ พอได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาใกล้ก็ลืมตาขึ้น เซเลโน่ลงไปนั่งคุกเข่ากราบลงไปกับพื้นก่อนจะสวดมนต์แล้วตามมาด้วยประเคนสิ่งของให้ ฟริกกามองเขาอย่างทึ่งๆ เขายังจำขนบธรรมเนียมแบบไทยได้ดีทีเดียว

                    “สบายดีไหมโยม ไม่ได้เจอกันนาน”

                    “ผมสบายดีครับหลวงลุง แล้วหลวงลุงล่ะครับ สบายดีไหม อาการอาพาธค่อยยังชั่วหรือยัง”

                    “สังขารไม่เที่ยงนะโยม สามวันดีสี่วันปกติ วันต่อไปอาจล้มเจ็บก็ได้เอาอะไรกับชีวิตเล่า แล้วนี่ตั้งใจมาหาอาตมาโดยเฉพาะเลยหรือ”

                    “ใช่ครับหลวงลุง ผมอยากมาคุยกับหลวงลุงเหลือเกินหลังจากเราไม่ได้เจอกันมานานมากแล้วเกือบสามปีใช่ไหมครับ”

                    “น่าจะราวๆนั้นล่ะโยม มีเรื่องอะไรอยากจะคุยกับหลวงลุงหรือ นอกจากถามสารทุกข์สุกดิบกัน แต่ก็ดีนะหลวงลุงก็อยากรู้เหมือนกันนะว่าเราน่ะเป็นอย่างไรบ้าง ยังเกเรเหมือนเดิมไหม อ้อลืมถามไป โยมผู้หญิงคนนี้แฟนโยมใช่ไหม”

                    พอถูกถามตรงๆ ต่างทำสีหน้ากระอักกระอ่วน

                    “ไม่ใช่ครับ เธอเป็นเพื่อนผมครับ มีเรื่องไม่สบายใจผมเลยพาเธอมาสงบจิตใจที่วัดครับ”

                    “อ๋อ อย่างงั้นเองหรือ ตามสบายนะโยม วัดนี้มีที่เดินเล่นอยู่หลายจุด ได้ชื่นชมธรรมชาติบ้างเผื่อใจจะสงบเยือกเย็นขึ้น”

                    “ขอบคุณค่ะ หลวงลุง” ฟริกกาเรียกหลวงลุงตามชายหนุ่ม ถ้างั้นฉันขออนุญาตเที่ยมชมวัดหน่อยนะคะ จากเมืองไทยมานานแล้ว ได้มาเห็นวัดไทยแบบนี้ทำให้คิดถึงบ้านมากเลยค่ะ”

                    ฟริกกาปล่อยให้เซเลโน่กับหลวงลุงได้สนทนากันตามลำพัง เธอรู้สึกประหลาดใจในตัวชายหนุ่มทีเดียว เขาเป็นคนที่มีความขัดแย้งในตัวเองหลายอย่าง เข้าใจยากและน่าค้นหา

                    แล้วเธอจะเสี่ยงเชื่อใจเขาได้แค่ไหนนะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×