ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วิมานปลาร้า

    ลำดับตอนที่ #1 : สาวน้อยบ้านนา

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 279
      0
      25 มี.ค. 56

                            พื้นที่สีเขียวกว้างสุดลูกหูลูกตาไปจนจรดเชิงเขาคือผืนนานับร้อยไร่ซึ่งเป็นของผู้ใหญ่อาคม ผู้ใหญ่บ้านประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่งในโกสุมพิสัย จังหวัดขอนแก่น  ซึ่งในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นาสีเขียวสะพรั่งทั้งหมดนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นสีทองเหลืองอร่าม พร้อมให้เจ้าของได้ทำลงมือเก็บเกี่ยว

                    หญิงสาวร่างเล็กจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับความกว้างของท้องนากำลังย่างก้าวเดินไปบนคันนาอย่างสบายอารมณ์ สักพักหยุดยืนอยู่ตรงกลาง ยกมือขึ้นเหนือศีรษะจับประสานกัน เอนกายไปข้างหลังเล็กน้อยพร้อมกับสูดเอาอากาศสดชื่นยามเช้าเข้าไปเต็มปอด ก่อนจะตะโกนเสียงดังก้องแข่งกับเสียงลมที่พัดพาเอาเสื้อผ้าปลิวแนบลู่ไปกับลำตัว    

           
                  
    “วู้ วู้ สนุกจังเลยวุ้ย”


                    ยิ่งตะโกนเสียงดังมากเท่าไร เจ้าหล่อนยิ่งชอบใจมากเท่านั้น นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้มาสัมผัสความรู้สึกปลอดโปร่งสบายแบบนี้ สี่ปีกับการใช้ชีวิตที่มีแต่ความรีบเร่งอยู่แต่ในเมืองใหญ่ มองไปทางไหนก็เจอแต่ตึกรามบ้านช่องหรือไม่ก็รถราวิ่งกันให้วุ่นทั้งวันทั้งคืน ถึงจะดูหรูหราแต่ไม่ได้ทำให้จิตใจของอัจฉรินสงบสุขได้เท่าบ้านเกิด



                    “พี่ปร้า”


                    เสียงตะโกนแหลมเล็กขัดความคิดเพลิดเพลิน อัจฉรินเหลียวกลับไปมองด้านหลัง เห็นเด็กชายตัวสูงผอมกวักมือเรียกเธออยู่ริมนาด้านนอกสุด

                    “มีอะไร บักจ่อย” หล่อนตะโกนถามกลับไปเสียงห้วนตามความเคยชินเมื่อได้มาอยู่กับสมุนเก่าอย่างหลานชายป้านอมคนงานในบ้าน เด็กชายไม่ตอบแต่กลับออกตัวสตาร์ทวิ่งมาราวกับกำลังวิ่งอยู่บนสนามแข่ง


                    “เฮ้ย อย่า”


                    เพราะที่นี่คือคันนาไม่ใช่สนามแข่ง เพราะฉะนั้น พอใกล้จะถึงเส้นชัย ร่างเล็กก็เปลี่ยนจากวิ่งเป็นลอยคว้างขนานกับพื้นเมื่อเท้าไปเตะเอากองดินที่เป็นเนินเข้า คนเป็นลูกพี่ตกใจรีบหลบด้านข้างอย่างไว ก่อนที่จะมาปะทะกับตนเอง ร่างเล็กแกร็นจึงลอยไปในนาแทน โดยเอาหน้าทั้งหน้าจุ่มปักลงน้ำโคลน


                    “บักจ่อย เป็นไงบ้าง” อัจฉรินรีบวิ่งเข้าไปดู เห็นสมุนของตนเงยหน้าขึ้นมาจากน้ำโคลน ทั้งตัวตลอดจนศีรษะเต็มไปด้วยโคลนสีดำและวัชพืช เด็กชายส่งยิ้มเผล่ยิงฟันขาวออกมา


                    “บ่เป็นหยัง ชิล ชิลหลาย” ไอ้จ่อยใช้คำทันสมัยตอบกลับไป

                    “บ้าชะมัด” หล่อนสบถเบาๆ ยื่นมือไปให้ช่วยดึงร่างเล็กที่เต็มไปด้วยน้ำโคลนขึ้นมา “แล้วทำไมต้องรีบวิ่งมาขนาดนั้น พี่ยังอยู่ยังไม่ตายนะโว้ย ไม่ต้องรีบ หรือว่าแม่เอ็งตาย”

                    “อีแม่คงบ่ตายรอบสองหรอกพี่ปร้า ป้าลิ้นจี่ให้ข้อยมาตามพี่บิ๊กบ้าน”

                    “บื๊กบ้าน มีอิหยัง กับข้าวพี่ก็หาซื้อให้เมิ๊ดแล้ว”

                    “ป้าลิ้นจี่บอกมีแขกมาเลยให้มาตามพี่ บอกด้วยว่าแขกคนสำคัญมาก”

                    อัจฉรินย่นคิ้วหรี่ตาลง พยายามนึกให้ออกว่าแขกคนสำคัญของแม่เป็นใครกัน และพอนึกออกได้หล่อนก็ทำหน้าเหมือนเหม็นก้อนอะไรสักอย่าง

                            อัจฉรินและสมุนมือขวาจอมป่วนใช้เวลาเดินกลับมาถึงบ้านไม่เกินสิบห้าที ทั้งที่ตลอดทางพยายามเดินให้ช้าเข้าไว้ ชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อยเพื่อถ่วงเวลาให้นานที่สุด แต่บักจ่อยกลัวจะถูกป้าลิ้นจี่ทำโทษ จำเป็นต้องฉุดมือลูกพี่เร่งฝีเท้าให้ถึงบ้านโดยเร็ว พอโผล่พ้นบันไดขั้นบนสุดก็ต้องพบกับคนที่อยากจะหนีหน้าไปให้ไกลแสนไกล

                      ผู้ชายผมตั้ง หน้าตี๋ผิวขาว ตาหยี ที่แยกเขี้ยวส่งยิ้มกว้างมาให้เธอคือ วิกรลูกชายเสี่ยเหวง นายทุนใหญ่ประจำหมู่บ้าน แขกคนพิเศษของลิ้นจี่มารดาของตนซึ่งตอนนี้นั่งหันหลังให้บันได ส่วนผู้ใหญ่อาคม ผู้เป็นบิดาบังเกิดเกล้า นั่งประจำอยู่ที่หัวโต๊ะ 

                    “อ้าว ปร้า แม่รอตั้งนาน เกือบจะให้คนงานไปตามลูกอีกคนแล้ว กลัวบักจ่อยมันไม่ได้เรื่อง” ลิ้นจี่หันหลังมาทักลูกสาว พร้อมกวักมือเรียกเข้ามานั่งกินข้าวเช้าด้วยกัน แขกคนพิเศษรีบยืนขึ้นกุลีกุจอเลื่อนเก้าอี้ข้างตัวเองเพื่อให้เธอนั่ง แต่อัจฉรินกลับดึงเก้าอี้มานั่งข้างพ่อแทน

                    “ขอบคุณค่ะพี่กร แต่ปร้าไม่ชอบนั่งหัวโต๊ะ ไม่อยากเป็นประธาน เพราะซองละพัน”

                    “อะไรครับ น้องปร้า ซองละพันพี่กรไม่เห็นเข้าใจเลย ค่าไรหรือครับ ค่ากับข้าวมื้อนี้หรือครับ” หนุ่มหน้าตี๋ทำคิ้วย่นถามตามประสาซื่อ จ่อยดันปากสว่างคุมอารมณ์ตื้นขำไม่ได้ ปล่อยเสียงหัวเราะพรวดออกมา

                    “โงแท่น้อ”

                    ไอ้จ่อยเผลอหลุดภาษาถิ่นออกมา แต่ไม่ทันขาดคำ ช้อนกลางตักแกงก็ลอยละลิ่วลงมาที่หัวเด็กชายด้วยฝีมือป้าลิ้นจี่“บักหล่าจ่อย บ่มีงานเฮ็ดบ่ ถึงได้วุ่นวายแท้ ไปเฮ็ดเวียกเฮ็ดงาน ก่อนเกิบป้าจะลอยไปยัดปากโต”


                    โชคดีที่วิกรฟังภาษาถิ่นไม่ออกเพราะเป็นลูกหลานชาวจีนมาตั้งหลักค้าขายเมื่อสิบปีก่อน จึงได้แต่ทำหน้านิ่ว งุนงงลิ้นจี่ไม่อยากให้บรรยากาศเสียเลยไล่เด็กจ่อยออกไป พร้อมทั้งรีบเปลี่ยนเรื่องพูด

                    “ซองละพันหมายถึงซองผ้าป่าทำบุญจ้า พ่อกร ถ้าใครเป็นประธานต้องใส่ซองพันหนึ่งขั้นต่ำ”

                    “อ๋อ แบบนี้นี่เอง” วิกรพยักหน้ารับรู้


                    “พี่กรไม่เคยทำบุญล่ะสิ ถึงไม่รู้” อัจฉรินค่อนขอดเข้าให้ ยังผลให้ลิ้นจี่หันขวับมาจ้องลูกสาวเขม็ง อัจฉรินไม่อยากเสียเวลามื้อเช้าอันแสนมีค่าของตัวเอง รีบหันไปคว้าจานมาตักข้าวมาวางตรงหน้า ลงมือตักกับข้าวรับประทานไม่สนต่อสายตาผู้เป็นแม่


                    “น้องปร้า พี่ซื้ออ่อมเนื้อมาฝาก เห็นน้องปร้าชอบมากครับ นี่ครับ” วิกรใช้ช้อนจะตักอ่อมหมูให้หญิงสาว แต่เธอกลับเลื่อนจานหนี

                    “ปร้าตักเองได้ ไม่ต้องบริการหรอกค่ะ ปร้ามือไม่ได้ด้วนหรือป่วยหนัก อีกอย่างช่วงนี้ถือศีลงดเนื้อ ขอไม่รับละกัน”

                    “อ้อ ครับน้องปร้า”วิกรหน้าแตกที่ถูกปฏิเสธ ลิ้นจี่เขยิบเข้าไปใกล้ลูกสาวอีกนิดสะกิดให้รู้ตัวทั้งที่ใจจริง นึกอยากหยิกเนื้อที่ต้นขาด้วยความหมั่นไส้ที่หล่อนเล่นตัวจนเกินงาม

                    “โห แม่ทำกับข้าวหลายอย่างจัง นี่เราจะกินกันหมดหรือแม่” อัจฉรินเพิ่งสังเกตเห็นเมื่อเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวแล้วเห็นว่ามีจานอาหารสารพัดนับสิบอย่างบนโต๊ะ

                    “พ่อก็ว่างั้น” ผู้ใหญ่อาคมซึ่งเป็นฝ่ายนั่งฟังอยู่นาน แม้จะอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วยอดออกความเห็นไม่ได้ “ไม่เป็นไรหรอกปร้า เดี๋ยวก็เสร็จไอ้จ่อยมัน”


                    “เยอะแยะอะไรกัน นี่ฉันว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ แหมแขกมาบ้านทั้งทีจะให้น้อยได้ไง น่าเกลียดจริงไหมพ่อกร แล้วอาหารถูกปากไหมละจ๊ะ ถ้าอยากทานอะไรเพิ่มก็บอกนะ ป้าจะได้ให้แม่นอมเขาทำให้” ลิ้นจี่ไม่อยากทะเลาะกับลูกผัว เลยหันไปเอาใจหนุ่มหน้าตี๋ที่หมายมั่นว่าจะให้ได้ตบแต่งกับลูกสาวตน


                    “ครับป้าลิ้นจี่ กับข้าวอร่อยมาก ผมไม่เคยกินข้าวบ้านไหนจะเจริญอาหารเท่านี้มา
    ก่อน เห็นทีผมต้องมาฝากท้องกินบ่อยๆ”



                    “มาได้ตลอดเลยค่ะพี่กร ถ้าไม่เกรงใจ”

                    มือกร้านของลิ้นจี่คว้าหมับไปที่ต้นขาของลูกสาวใต้โต๊ะ สองนิ้วออกแรงบิดหน้าขา เตือนให้ได้สำนึกว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด

                    “โอ้ย เจ็บ” คนถูกหยิกเนื้อเผลอร้องอุทานเสียงดัง

                    “เป็นอะไรครับน้องปร้า”

                    “ไม่เป็นไรค่ะ สงสัยตัวอะไรคงกัด” อัจฉรินยิ้มแหย หันไปมองหน้าแม่ พอเห็นหน้ายักษ์ฉีกยิ้ม หล่อนก็รู้ตัวแล้วว่าถ้าขืนอยู่ต่อขาคงได้เขียวทั้งขาแน่นอน “ปร้าอิ่มแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”

                    “จะรีบไปไหนปร้า ไม่เห็นหรือว่าแขกยังอยู่ เสียมารยาท” ลิ้นจี่ส่งเสียงแหวเอ็ดใส่ หัวเสียที่ลูกสาวไม่ได้ดั่งใจตน


                    “ฉันจะรีบไปกรอกน้ำปลาร้าใส่ไห พรุ่งนี้ลูกค้าจะมารับแล้ว”

                    “แล้วแกจะทำเองทำไม คนงานเราก็มีตั้งหลายคน ให้พวกเขาทำสิ มาอยู่เป็นเพื่อนพี่เขาก่อน เขาอุตส่าห์มา ดูสิซื้อของฝากมาให้เรา แถมยังพ่วงถึงพ่อกับแม่ด้วย”

                    อัจฉรินมองไปยังของฝากที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างบันได ทำสีหน้าเบื่อหน่าย ดอกไม้กับขนมอีกแล้วหรือนี่ ตานี่เห็นเธอเป็นผีเสื้อชอบดูดน้ำหวานหรือไง ถึงได้ขนดอกไม้มาให้ทุกครั้งที่มาหา  แล้วยังไอ้ขนมนั่นอีก ใจคอจะให้เธอกลายร่างเป็นฮิปโปเพราะของหวานที่เอามาปรนเปรอให้ใช่ไหมนี่

                            “เอ่อ ถ้าน้องปร้าไม่ว่าง ไม่เป็นไรครับ พี่กลับก่อนก็ได้”

                    “อู้ย พ่อกร ปร้าว่างเสมอล่ะจ้ะ ใช่ไหมปร้า”

                    “ไม่ว่างแม่ ฉันไปล่ะ” เหมือนหล่อนเป็นนกรู้ไม่รอช้า พอหันหลังได้ก็กระโดดลงบันได ไม่ทันฟังเสียงเรียกตามหลังหรือถ้าได้ยินก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินไปเสีย

                    “นังลูกบ้า มันน่าเอาปลาร้ายัดปากแต่เด็กจะได้ไม่ต้องมาทำให้ฉันกลุ้มใจแบบนี้ ใครนะ ช่างอุตริตั้งชื่อมันว่าปร้า ฉันว่าบ้ามากกว่า” ลิ้นจี่ลืมตัวบ่นเสียดังพร้อมมองค้อนไปที่สามร พอนึกได้ว่าแขกอยู่ก็รีบหุบปากตัวเอง ผู้ใหญ่อาคมหัวเราะหึหึนึกขำภรรยาคู่ชีวิต


                            “แล้วนี่จะไปไหนอีกคนล่ะ” ลิ้นจี่ทักเมื่อเห็นสามีลุกออกจากโต๊ะ

                    “มีนัดกับ อบต
    .จะไปทำเรื่องคลองส่งน้ำเสียหน่อย ตามสบายนะพ่อกร คิดเสียว่าเป็นบ้านของตนเอง เดี๋ยวลุงไปก่อนล่ะ” ผู้ใหญ่อาคมส่งยิ้มใจดีให้ก่อนจะเดินกลับไปเข้าไปข้างใน ลิ้นจี่ลอบถอนใจเบื่อหน่าย ทำไมนะไม่มีใครยอมตามใจเธอบ้าง ว่าที่ลูกเขยอุตส่าห์มาเยี่ยมทั้งที ทั้งลูกทั้งผัวไม่มีใครคิดจะให้ความสำคัญเลยสักนิด

                    “อ้าว อิ่มแล้วหรือพ่อกร” ลิ้นจี่ทักเมื่อเห็นชายหนุ่มรวบช้อนเรียบร้อย

                    “อิ่มแล้วครับ ป้าลิ้นจี่ ขอบคุณสำหรับอาหารเช้าที่แสนอร่อย” แม้ว่าจะผิดหวังสาวเจ้าที่ตนหลงรักหนีหน้าหายไป แต่ก็ต้องทำปากหวานประจบว่าที่แม่ยายต่อไป

                    “ยายปร้านะยายปร้า ทำแม่เสียหน้าหมด  พ่อกรเลยต้องเลยทานข้าวเหงาๆคน
    เดียว  ป้าขอโทษนะพ่อกร”

                    “ครับ ป้าลิ้นจี่ ว่าแต่น้องลิ้นจี่ไปกรอกปลา
    ..” วิกรกระดากปากที่จะพูดถึงอาหารอันแสนน่าประหลาดและน่ารังเกียจสำหรับตน “ปลาร้าที่ไหนครับ ผมอยากตามไปดูบ้าง สงสัยมานานแล้วว่ากิจการปลาร้าของป้าลิ้นจี่เขาทำยังไง ถึงได้ขายดีนัก เผื่อผมอยากร่วมทุนด้วย”

                    “จริงหรือจ๊ะ พ่อกร แหม ป้าดีใจมากเลยที่เรามาสนใจกิจการเล็กๆแบบนี้ ลำพังเงินถุงเงินถังที่พ่อกรมีอยู่ก็มากกว่าไอ้เงินขายปลาร้าของป้าเสียอีก”

                    “มีเงินเยอะก็จริงครับป้า แต่ถ้าไม่รู้จักทำให้งอกเงย สักวันคงต้องหมดไป สู้เรามาต่อยอดต่อทุนดีกว่า ว่าไหมครับ”

                    “นั่นสินะ ป้าล่ะชอบความคิดพ่อกรเสียจริง เป็นคนหนุ่มไฟแรงขยันขันแข็งแบบนี้รับรอง อนาคตไกลแน่นอน เสียดายลูกป้ามันตาถั่วเองที่มองข้ามพ่อกรไป”

                    “อย่าโทษน้องปร้าเลยครับ บางทีน้องเขาคงยังไม่คิดเรื่องนี้ ให้เวลาน้องเขาอีกหน่อยเถอะครับ”

                    “โถพ่อกร พ่อนี่ช่างจิตใจดีเสียเหลือเกิน” ลิ้นจี่กล่าวชื่นชมว่าที่ลูกเขยเสียจนเจ้าตัวแทบตัวลอย วิกรยิ้มเฝื่อน ลึกๆนึกน้อยใจเหมือนกัน อุตส่าห์เพียรตามจีบมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม แต่หล่อนก็ไม่ยอมหันมาตอบรับรักเขาเสียที

                    ลูกสาวผู้ใหญ่บ้านที่วิกรลงความเห็นว่าเธอใจแข็ง ไม่ยอมเปิดใจรับหนุ่มเข้ามาพิจารณาเพราะกำลังสนุกกับชีวิตโสด ตลอดเวลาสี่ปีที่เรียนอยู่กรุงเทพ เพื่อนสาวที่คบหาสนิทใจมีเพียงไม่กี่คน ส่วนเพื่อนชายก็มีแค่คนที่จำเป็นต้องเจอหน้าค่าตาทุกวันด้วยเรื่องงานหรือไม่ก็เรื่องเรียน พอเรียนจบรับปริญญาเสร็จก็รีบกลับมาอยู่บ้านทันที กะไว้ว่าจะขอใช้ชีวิตอยู่บ้านเกิดสักพักก่อนจะกลับไปหางานทำในกรุงเทพ

                    “เท่าไรแล้ว ได้ตามยอดออเดอร์ยัง” อัจฉรินเงยหน้าจากรายการสินค้าขึ้นมาถามคนงาน พอเห็นว่ายังขาดอีกหลายไหก็ลงมือมาช่วยกรอกปลาร้าใส่ไหด้วยตนเอง

                    “บักจ่อย รีบมาซ่อย
    (ช่วย) กรอกปลาร้าแหน่ มัวเล่นอยู่หนั่น” ป้านอม คนงานเก่าแก่ของมารดาตะโกนเรียกหลายชายที่กำลังสนุกกับการกลิ้งไหปลาร้าเล่นอยู่ท้ายโรงงาน พอถูกเรียกใช้งานก็รีบตั้งไหปลาร้า กระโดดเหย็งๆเข้ามาในกลุ่มคนงานที่กำลังช่วยกันทำงานอยู่

                    “แล่นมาค่อยๆ ช้าๆเดี๋ยวเองเตะไหแตกเมื่อไร จะเคาะหัวเด๊ะ” ป้านอมส่งเสียงเอ็ดหลานชายเสียงดังลั่น ขณะที่คนงานรวมทั้งอัจฉรินกำลังวุ่นวายกับออเดอร์ที่จะส่งด่วนเย็นนี้ วิกรก็โผล่เข้ามาดูเหตุการณ์บ้าง โดยมีลิ้นจี่นำทางมาให้

                    “โอ้โห กำลังสนุกกันใหญ่เลยครับ”

                    เสียงทักทายทำให้ทุกคนในที่แห่งนั้นหันมามองทางเดียวกัน ต่างทำหน้านิ่วด้วยความแปลกใจที่เห็นลูกชายเศรษฐีใหญ่เข้ามาภายในโรงงานปลาร้าอันมีกลิ่นแสนร้ายกาจสำหรับคนไม่คุ้นเคย

                    “พอดีพ่อกรเขาอยากมาดูพวกเราทำงานน่ะ เขาสนใจ แล้วปร้าล่ะไปไหน”

                    ลิ้นจี่ถามหาลูกสาว เพราะคนงานชายร่างใหญ่ยืนบังเธอเสียมิดจึงมองไม่เห็นในตอนแรก ต่อเมื่อหญิงสาวเหลียวหลังพร้อมยื่นหน้าออกมาจึงเห็นว่าเธอกำลังควักปลาร้าออกมาจากไหใหญ่ใส่ไหเล็ก

                    “ตายแล้วยายปร้า ไปทำเองทำไม ไหนว่าจะมาแค่คุมงานเท่านั้น มาล้างมือเลย จะได้พาพี่เขาไปดูโรงงาน พี่เขาอยากเห็นโรงงานปลาร้าของเราน่ะจ้ะ”

                    “ปร้าไม่ว่างจ้ะแม่ ต้องรีบบรรจุปลาร้าลงไหก่อน ลูกค้าจะเอาด่วน”

                    “เอ๊ะนังปร้า บอกให้ล้างมือก็ล้างมือสิ มาอ้างนั่นอ้างนี่อีก ก็เห็นอยู่ว่าคนงานเรามาช่วยกันตั้งเยอะ ทำไม่ทันให้รู้ไป หรือว่ามีใครทำงานช้าถ่วงเวลา จนต้องเดือดร้อนมาถึงลูกสาวฉัน”

                    ลิ้นจี่กวาดสายตามองไปที่คนงานชายหญิง ต่างรีบหันกลับไปทำงานของตัวเองต่อก่อนจะโดนหางเลข อัจฉรินไม่อยากให้ใครพลอยรับเคราะห์เพราะตัวเอง จึงถอดถุงมือออกเดินไปล้างมือในห้องน้ำ กลับออกมาอีกทีก็เห็นว่างานตรงหน้าเสร็จสมบูรณ์แล้ว และคนงานกำลังช่วยกันยกขึ้นรถ

                    “ว่าไงคะ พี่กร อยากจะเดินตรงไหนของโรงงานบ้าง แต่บอกก่อนนะ โรงงานปร้าไม่ได้ทันสมัยเท่าโรงสีของพี่ เพราะเราไม่มีเครื่องจักร ใช้แรงคนเป็นหลัก” เธอหันมาต้อนรับแขกคนสำคัญตามคำสั่ง

                    “นั่นแหละครับที่พี่อยากเห็น ปร้าเก่งนะครับ ช่วยผู้ใหญ่คุมคนทำงานได้ด้วยทั้งที่เป็นผู้หญิงแท้ๆ”

                    “เป็นผู้หญิงแล้วไงคะ หรือพี่กรคิดว่าผู้หญิงทำอย่างว่าเป็นอย่างเดียว”

                    “ปร้า
    ! ลิ้นจี่รีบปรามเมื่อรู้สึกว่าลูกสาวเริ่มพูดจาไม่เข้าหู “น้อยๆ หน่อยนะเรา”

                    “ฉันไม่ได้พูดอะไรผิดนี่แม่ ฉันหมายความว่าผู้หญิงไม่ได้อ่อนแอต้องพึ่งผู้ชาย
    เพียงอย่างเดียวทุกคน ว่ามั้ยคะพี่กร”

                    “จริงอย่างน้องปร้าว่าครับ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงทำงานเก่งเทียบเท่าผู้ชาย แต่ผู้หญิงเก่งๆอย่างน้องปร้าหายากนะครับ” วิกรพูดชมพร้อมทำตาเชื่อมยิ้มหวานให้หญิงสาว อีกฝ่ายรู้สึกอึดอัดแทนที่จะขัดเขิน ก้มหน้าหลบสายตาแล้วรีบเปลี่ยนเรื่องพูด

                    “มัวแต่ชมกันแบบนี้ จะได้เดินทัวร์โรงงานไหมคะพี่กร ตามปร้ามาดีๆนะคะ โรงงานปลาร้า ไม่ใช่สวนสาธารณะ ถึงจะได้ปูด้วยหินอ่อนชั้นดี มีแต่พื้นปูนดำๆกับข้าวของเกะกะไปหมด เดินไม่ดีอาจลื่นลงโอ่งหมักปลาร้าไม่รู้นะคะ”

                    “ขอบคุณมากครับพี่จะระวังไม่เดินไปเหยียบไหปลาร้า น้องปร้าเข้า”

                    วิกรเผยอยิ้มสู้ เพื่อเธอที่เฝ้าตามจีบมานาน อย่าว่าแต่เดินอยู่ท่ามกลางน้ำปลาร้าเป็นร้อยๆโอ่งเลย ต่อให้เดินลุยลงบ่อปลาร้าก็ยอม แต่อีกไม่นานเขาจะได้รู้ว่าตัวเองคิดผิดถนัด

                    ลิ้นจี่อยากให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพังเลยขอตัวออกไปข้างนอกโดยอ้างว่ามีเพื่อนโทรมา อัจฉรินจำต้องพาวิกรเดินชมโรงงานแค่สองคน โรงงานเล็กๆ ไม่ถึงชั่วโมงก็เดินทั่วแล้ว

                    “เป็นไงบ้างคะพี่กร โรงงานกระจอกๆของปร้า”

                    “โหน้องปร้า กระจอกตรงไหน พี่ว่าสะอาดและดูมีระเบียบเรียบร้อยจะตายไป จะยกเว้นก็แต่กลิ่นแรงไปนิด”

                    “โรงงานทำปลาร้านี่คะ ไม่ใช่โรงงานผลิตน้ำหอมจะได้หอม เอ๊ะ ใครโทรมานะ” อัจฉรินล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงซึ่งมือถือประจำตัวสั่นพร้อมร้องเสียงดังลั่นรอคนมากดรับอยู่

                     “อ้าว ป้านอมทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ ไหนว่านับครบแล้วไง ทำไมถึงขาดไปได้ล่ะ อ้าวแล้ววางอีท่าไหนถึงได้หล่นมาแตกหมด เสียหายหลายนะป้า”

                    ขณะที่หล่อนกำลังโทรศัพท์ วิกรแอบลอบมองหญิงสาวแล้วอมยิ้ม เขาชอบผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไรกันทั้งที่เธอไม่ใช่คนสวยหยาดเยิ้มและไม่ชอบแต่งตัว ออกจะห้าวไปทางผู้ชายด้วยซ้ำไป ปากคอก็เลาะร้ายอย่างที่พ่อว่าจริง แถมยังจีบยากอีกเพราะเจ้าหล่อนเล่นตัวเหลือเกิน

                    “สงสัยเราคงชอบของแปลกละมั้ง ยิ่งยากยิ่งดี อันที่จริงเธอก็น่ารักดีเหมือนกันนะ ดูธรรมชาติ ไม่น่าเบื่อดี” วิกรคิดในใจเพลินจนกระทั่งเธอวางสายและหันมาเห็นว่าเขากำลังเอาแต่จ้องมองเธออยู่

                    “บนหน้าปร้ามีอะไรติดหรือเปล่า ถึงได้มองจัง”

                    “เปล่า ไม่มีอะไรนี่ครับ พี่รู้สึกว่าเวลาพี่มองหน้าปร้าแล้วสบายใจดี ว่าแต่ป้านอมโทรมามีธุระด่วนหรือครับ เห็นหน้ายุ่งเชียว มีอะไรให้พี่ช่วยไหมครับ” วิกรเสนอหน้ารับอาสาโดยไม่รู้ว่าหล่อนจะให้ทำอะไร

                    “พี่กรทำได้แน่หรือคะ” อัจฉรินย้ำถามอีกครั้ง แอบอมยิ้มน้อยๆเหมือนนึกเรื่องสนุกบางอย่างออกมาได้

                    “เพื่อน้องปร้า พี่ทำได้ทุกอย่างครับ สั่งมาเลยครับ จะให้บุกน้ำลุยโคลนพี่ก็จะทำให้”

                    “แน่นะคะ” หล่อนย้ำอีกเป็นคำรบสอง

                    “แน่สิครับ โธ่น้องปร้า เห็นพี่เป็นพวกชอบผิดคำพูดไปได้”

                    “งั้นดีเลยค่ะ พอดีคนงานปร้าออกไปกินข้าวกันหมด เหลือแต่ไอ้จ่อยก็เด็กเกินไป  ไม่ต้องห่วงนะคะ งานที่ปร้าจะให้พี่ช่วยทำคงไม่ถึงกับบุกน้ำลุยโคลนหรอกค่ะ ก็แค่” หล่อนยิ้มมุมปากข้างหนึ่งเป็นการขู่ให้อีกฝ่ายใจคอไม่ดี “ช่วยปร้ากรอกปลาร้าลงไหทีค่ะ”

                    เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำตามคำพูดทั้งที่เป็นคนเกลียดกลิ่นปล้าร้าเป็นที่สุด วิกรจำต้องกลั้นลมหายใจ น้ำตาแทบเล็ดขณะใช้กระบวยพลาสติก ตักตัวปลาเล็กปลาน้อยที่ทับถมอยู่ในน้ำสีดำในโอ่งมังกรขนาดใหญ่ลงไปในไหข้างๆกัน กว่าจะได้แต่ละกระบวย ทำเขากระอักกระอ่วนแทบคายของเก่าเมื่อตอนเช้าออกมา

                    “ตายจริง พี่กรคงเหม็นน่าดูเพราะไม่เคยทำมาก่อน ถ้าไม่ไหวก็บอกนะคะ ปร้าจะให้พี่ไปรอในบ้านก่อน เดี๋ยวคนงานกินข้าวเสร็จคงมาช่วยปร้า ตรงนี้มีจ่อยอยู่ทั้งคน แค่สิบไหแป็บเดียวก็เสร็จ”

                    “ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พี่ทนได้ ” วิกรยิ้มแหย มองไปยังน้ำเหลวๆสีเขียวเข้มเกือบดำคลุกเคล้าผสมกับตัวปลาขนาดเท่าฝ่ามือเด็กในกระบวยหน้าตนแล้วอดกลืนน้ำลายด้วยความผะอืดผะอมอย่างเสียไม่ได้ อยากจะได้เธอมาเป็นแฟนก็ต้องอดทน

                    “พี่ปร้า มีคนจะมาซื้อปลาร้าเรา ” จ่อยตะโกนตั้งแต่หน้าโรงงาน วิ่งหน้าตาตื่นมาแต่ไกล

                    “เอาเท่าไรวะจ่อย ”

                    “สิบโลพี่ปร้า”

                    “เออๆ งั้นรอแปบหนึ่ง” อัจฉรินหันรีหันขวางมองหาถุงใบใหญ่ที่ใช้สำหรับขาย
    ปลีก เหลือบไปเห็นว่าอยู่ข้างหลังตนเอง พอดี จึงดึงมาตักน้ำปลาร้าในโอ่งใส่ ชั่งกิโลจนได้ปริมาณตามต้องการ

                     “เอานี่ มาเอาไป พี่กร ปร้าขอโทษนะ”

                    เธอกล่าวขอโทษเมื่อต้องยื่นถุงใส่ปลาร้าให้เด็กชายผ่านหน้าเขา ไอ้จ่อยเป็นเด็ก
    แข็งแรงก็จริง แต่ก็ตัวเล็กไม่สมอายุ จำต้องยกมือทั้งสองรับของจากผู้ใหญ่ที่สูงกว่า วิกรต้องรีบเอาหน้าหลบเมื่อถุงปลาร้ามาอยู่ใกล้ใบหน้าตัวเอง

                    “ถือดีๆล่ะ” ยังไม่ทันขาดคำ ทันทีที่อัจฉรินปล่อยถุงในมือเพื่อให้ไอ้จ่อยรับ เด็กชายมือเล็กเกินไป หรือเพราะถุงลื่น หรือตัวเองตั้งใจจะไม่รับของก็ไม่มีใครรู้ได้ พอจับพลาด ถุงปลาร้าทั้งถุงจึงลื่นหลุดมือแล้วตกแผละลงตรงหน้าตักชายหนุ่ม ถุงแตกทันทีที่กระทบกับหน้าขาเขา น้ำปลาร้าข้างในจึงไหลรั่วออกมาราดไปทั้งขา

                    “เฮ้ย อะไรกันวะ” วิกรเผลอสบถออกมา หัวเสียเมื่อกางเกงตัวโปรดต้องมาเลอะสิ่งที่เขาเกลียดที่สุด

                    “ตายแล้ว พี่กร ปร้าไม่ได้ตั้งใจ” อัจฉรินแกล้งทำส่งเสียงตกใจ รีบใช้มือที่สวมถุงมือทำงานปัดเอาเศษปลาเละออกจากตัวเขา แต่ยิ่งทำ รอยเปื้อนก็ยิ่งกินวงกว้าง

                    “ไม่ต้องหรอกครับปร้า พี่ว่าพี่ทำเองดีกว่า  อุบ” วิกรรีบยกมือขึ้นปิดปาก กลิ่นปลาร้าฉุนกึกลอยลอดรูจมูกไปจนถึงคอหอย แล้วของทุกอย่างที่ทานมาตั้งแต่เช้าก็เริ่มทะยอยจะพุ่งขึ้นมา “พี่ไม่ไหวแล้วน้องปร้า พี่ขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ”

                    วิกรปิดปากด้วยสองมือแน่น รีบแจ้นออกไปจากโรงงานปลาร้าแทบไม่ทัน ลูกพี่ลูกน้องสองคนพากันมองตามหลังจนร่างนั้นเลี้ยวหายไปตรงมุมเสา จากนั้นต่างก็หันมามองหน้ากันเองสักพัก ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น


                                                                                                   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×