ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อารอน-เอลันดา (ฟิคชั่น แฮรี่ พอตเตอร์ภาคอนาคต)

    ลำดับตอนที่ #18 : นาดิเวีย

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 178
      0
      30 เม.ย. 50

    เอลันดากำลังฝัน  เป็นฝันที่มีความทรงจำวัยเด็กรวมอยู่ เขาเห็นตัวเขาเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของแม่   เด็กชายตัวเล็กๆวัยสามขวบกำลังยิ้มหัวเราะอย่างร่าเริงกับแม่ของเขา แม่ก็กำลังยิ้มและจ้องดูเขาด้วยความรักใคร่   เงาทะมึนหนึ่งคืบคลานปกคลุมสองแม่ลูก   แล้วแม่ของเขาก็ฟุบลงกับพื้น  แม่เพียงแต่หลับไปเท่านั้น นั่นคือความคิดของเด็กชายในฝัน   เขาเขย่าตัวแม่  ปากก็ร้องเรียกพร้อมทั้งร้องไห้โฮออกมา   เสียงเคาะประตูดังลั่น เอลันดาสะดุ้งตื่นทั้งน้ำตา ใจคอยังหวิวๆ สั่น  ไม่หาย เขาปาดน้ำตาก่อนลุกจากเตียงไปเปิดประตู

                  "เอลันดา นี่ยังไม่ตื่นอีกเหลอ ฉันเรียกเธอตั้งนาน  ตายละ ฉันให้เวลาเธอ 30 นาทีจัดการตัวเองให้เสร็จแล้วลงไปรับประทานอาหารเช้ากัน  เร็วด้วย  เราควรจะได้ออกเช้ากว่านี่นะ "  เซลิลีนสั่งเขา

                  "ไปไหน เราจะไปไหนกัน"

                  "ลืมแล้วหรือ เมื่อวาน อารอนบอกว่าจะพาเราไปเที่ยวรอบเมืองไง    เธอเป็นไรไป ไม่สบายหรือเปล่า"

                  "ปะ เปล่า เธอไปได้แล้วละ ฉันจะได้ไปอาบน้ำแต่งตัวเสียที"

                  เอลันดาสวมเสื้อยืดคอโปโล  กางกางผ้าสักหลาดสีดำ รองเท้าหนังหุ้มส้น ทั้งหมดเป็นเสื้อผ้าที่ทางนาดิเวียเตรียมไว้สำหรับเขา ดูเรียบร้อยเป็นผู้ใหญ่แต่ไม่เข้ากับตัวเขาเลย เขาลงมาห้องอาหารชั้นล่าง  เซลิลีนกำลังคุยออกรสกับเสนาบดีคริสตัล  โดยที่อารอนนั่งฟังอยู่เงียบๆ  และเมื่อเขาไปถึง  ทั้งหมดก็หันความสนใจมาที่ตัวเขา

                  "ขอโทษครับ ผมนอนเพลินไปหน่อยครับ"

                  "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ที่นี่อาจแปลกที่สำหรับเธอ นั่งสิ จะรับอะไรดี เบคอน ไข่ดาว แฮม  ขนมปัง หรือข้าวต้มโอ๊คดีละ" เสนาคริสตัลถาม

                  "ผมขอข้าวต้มแล้วกันครับ"

                  เสนาคริสตัลดีดนิ้วสองที   บริกรหนุ่มเข็นรถใส่ถาดอาหารเข้ามา  เขาตักข้าวโอ๊คใส่ชามที่วางตรงหน้าเอลันดาจนเกือบพูน

                  "เรากำลังคุยเกี่ยวกับประเทศนาดิเวียกัน  ฉันตื่นเต้นขนาดไหนที่ได้รู้   ฉันไม่เคยนึกมาก่อนมาก่อนเลยว่าจะเจอประเทศในฝันของฉัน  มีแต่พ่อมดแม่มดทั้งประเทศ มันเป็นชุมชนของผู้วิเศษขนาดใหญ่ทีเดียว แต่ก่อนฉันคิดว่ามีแต่หมู่บ้านฮอกมี๊ดที่เดียวเสียอีกที่มีแต่พ่อมดแม่มดทั้งหมู่บ้าน"   เซลิลีนเริ่มต้นโม้เรื่องที่ได้ยินมา     

            "ฉันเพิ่งรู้เนี่ยว่าพวกเราอยู่ใกล้รัสเซียแค่ไหน  นาดิเวียมีพรมแดนติดระหว่างรัสเซียกับยูเครน  เรามาตั้งไกลหลายพันไมล์เชียว ว่าแต่ เอ๊ะ  พวกมักเกิ้ลละคะ  มีมาตรการป้องกันเรื่องนี้ไว้หรือเปล่าคะ ถ้าพวกมักเกิ้ลหลงมาจะเป็นไงนะ ลองคิดดูสิ เอลันดา  เอลันดา"

                    "เอ่อ นั่นสินะ"เอลันดารู้สึกตัวเมื่อถูกเรียก เขานั่งใจลอยอยู่นานสองนาน ข้าวโอ๊คไม่ได้พร่องลงไปเลย

                     "เธอเป็นไรไป มีอะไรหรือเปล่า"    เซลิลีนถามอย่างห่วงๆ

                  "ไม่เป็นไร ฉันสบายดี เล่าต่อสิ แล้วถ้าบังเอิญมีคนเดินทางผ่านเข้ามาละครับ  เขาจะเป็นไง "

                  "เรื่องนี้ ทางนาดิเวียของเรา มีป้อมปราการประจำอยู่โดยรอบ มีผู้ตรวจการควบคุมอยู่  และมีเวทมนตร์กำกับทุกเส้นเขตแดน

    ถ้ามีมักเกิ้ลเข้ามาใกล้ พวกเขาจะถูกทำให้ออกไปนอกเส้นทางไปเอง อาจจำเป็นต้องใช้คาถาสะกดใจ บางทีถ้าเกิดมีการผิดพลาดมีมักเกิ้ลหลุดเข้ามาได้คนใดคนหนึ่ง เราจะลบความจำเขาก่อนปล่อยกลับ" เสนาคริสตันอธิบายยาวเหยียด   เอลันดาพยักหน้าเห็นด้วย    แต่ในใจเขากลับไปคิดถึงเรื่องเมื่อคืนที่ยังค้างคาอยู่ในใจ

                  เมื่อรับประทานอาหารเช้าจนเสร็จสิ้น เสนาคริสตัลพาเด็กทั้งสามเดินผ่านทางเดินไปที่ประตูบานใหญ่ที่นำสู่ทางออกของปราสาท   สโตนคอยพวกเขาอยู่พร้อมรถม้าคันหนึ่ง

     

                  "วันนี้สโตนจะพาพวกเธอไปทัศนาจรโดยรอบนะ ถึงแม้เจ้าชายจะสามารถเป็นไกด์พาเธอไปเที่ยวได้ แต่การมีผู้ใหญ่สักคนคงดีไม่น้อย ฉันขอตัวละเพราะมีงานที่ต้องทำ ขอให้เที่ยวให้สนุกนะ"  

                  เอลันดาปีนเข้าไปนั่งรถม้าตาม อารอนและเซลิลีน   สโตนขึ้นมาคนหลังสุด รถม้าถูกกระชากออกไป เอลันดารู้สึกว่าม้าที่ลากรถมันไม่เหมือนม้าเลยสักนิด   ตัวมันสีดำ ผอมๆ มันเหมือนกับเอาม้าหมุนตามสวนสนุกมาหุ้มผ้าสักหลาดสีดำ ต่างกันที่มันมีปีกด้วย ม้าตัวนี้คงเป็นพันธุ์ที่มีแต่ในนาดิเวียเท่านั้น เขาคิด  รถม้าพาพวกเขาไกลออกไปทิ้งตัวปราสาทพอร์โลเทียให้ดูเล็กลงราวกับใครจับเอาพระราชวังแวร์ซายมาวางอยู่กลางหุบเขาที่ล้อมรอบไปด้วยทะเลสาบ  

                  ไม่นานหลังจากผ่านถนนที่มีต้นไม้สูงขนาบอยู่สองข้างทาง  พวกเขาก็เห็นกลุ่มอาคารสีขาวอยู่ติดกัน มีผู้คนสัญจรไปมาด้วยรถม้าเช่นเดียวกัน    รถม้านำพวกเขาทั้งหมดไปหยุดกลางชุมชนที่มี  มีร้านรวงมากมายขายของแปลกๆที่เอลันดาไม่เคยเห็นมาก่อน  เต็นท์ถูกกางอยู่ทุกพื้นที่ว่าง  และมีของวางขายทั้งเครื่องประดับ โคมไฟ  หม้อใหญ่หลายหลายขนาด   มีร้านหนึ่งที่มีกรงวางซ้อนกัน ในกรงมีสัตว์ที่ไม่น่ามาขายได้อย่างพวกนกฮูก หนู หรือ คางคก   

                  "อย่างกับได้มาตรอกไดแอกอนนะ แต่ที่นี่กว้างกว่ามากเลย" เซลิลีนอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น

                  "แน่นอนอยู่แล้ว มาสิ ฉันจะพาไปดูร้านขายไม้กายสิทธิ์ที่ขึ้นชื่อ ร้านนี้ส่งออกไม้กายสิทธิ์ไปทั่วโลกเลย  ฉันว่าจะหาอันใหม่อยู่ทีเดียว"  อารอนชวนเพื่อนทั้งสอง

                  เด็กทั้งสามเพลินเพลินกับการเที่ยวชมเมืองโดยรอบ  เซลิลีนเหมาซื้อตำราคาถาที่หายาก  ไม้พันธ์แปลกกลับไปฝากคุณปู่

    อาเธอร์ และเครื่องครัวทำอาหารได้เองเพียงแค่บอกรายการอาหารไปฝากแม่เฮอร์ไมโอนี่ อารอนได้ไม้กายสิทธิ์อันใหม่เอี่ยม

                  "นายจะเอาไม้กายสิทธิ์บ้างไหม ฉันจะซื้อให้" อารอนถามเอลันดา เพราะเห็นว่าเขาได้แต่เดินตามมาอย่างเงียบโดยไม่มีอะไรติดไม้ติดมือ

                  "ไม่อะ ฉันคิดว่า ฉันยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้อะ"

                  "ไม่เป็นไร วันหนึ่งนายต้องได้ใช้มัน ฉันซื้อแบบของฉันให้นายแล้วกัน"

            เอลันดาไม่ได้คัดค้านอะไร ปล่อยให้อารอนซื้อไม้กายสิทธิ์เพิ่มอีกอัน  เขาไม่รู้จะซื้ออะไรดี เลยมีแต่ขนมหวานอย่างเดียว

    ทั้งเยลลีเม็ดทุกรส   กบการ์ดชอคโกแล็ตกล่องใหญ่  ขนมพายกรอบรสต่าง เค้กรูปร่างจำลอง

                  สโตนพาเด็กทั้งสามนั่งรถม้าต่อหลังจากหอบซื้อของเต็มคัน   รถม้าพาพวกเขาชมทิวทัศน์รอบประเทศ  มันวิ่งได้เร็วทันใจ สักประเดี๋ยว   เซลิลีนและเอลันดาถึงกับปิดปากร้องออกมา รถม้าพาเขาลอยขึ้นสูงจากพื้นดิน  ทั้งหมดกำลังบินอยู่กลางอากาศ มองเห็นเทือกเขาสีเขียวม่วงสลับไปมาสวยสดงดงาม สายลมพัดปะทะเข้ามาทำให้เอลันดาเกือบเคลิ้มหลับไป  แล้วเขาก็สะดุ้งเมื่อมันพาวิ่งดิ่งลงที่พื้นดิน

                  "พวกเรามาไกลถึงไหนกัน" เอลันดาถาม

                  "ที่นี่คือ  ทะเลสาบอะควอเทรสที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำซาร์กับทะเลสาบเล็กๆในเขตหุบเขา  มันเกือบสุดเขตชายแดนนาดิเวียครับ" สโตนช่วยตอบแทน

                  พวกเขาลงจากรถม้า  ไม่มีบ้านเรือนผู้คนอยู่เลย  มีแต่ต้นไม้สูงหนาแต่ไม่ถึงกับทึบมากนัก   เมื่อเดินผ่านแมกไม้จะเห็นแผ่นน้ำกว้างสีเขียวฟ้าสะท้อนแดดวิบวับ   เอลันดาสูดเอาความสดชื่นที่ลมพัดพามาจากทะเลสาบ มันกว้างสุดลูกหูลูกตา   เขารู้สึกเย็นสบาย   เพื่อนสองคนไปไหน เขามองหา  

                  เซลิลีนเดินไปริมฝั่งทะเลสาบ  เรือนผมหยิกบางของเธอปลิวไสวตามกระแสลม  เธอกอดอก มองข้ามเส้นขอบฟ้าที่อยู่สุดปลายอีกด้านหนึ่งของทะเลสาป อารอนเดินเข้ามาหาใกล้เธอ  เซลิลีนหันไปมอง  ดูเหมือนเขาซ่อนอะไรบางอย่างไว้ข้างหลัง และเมื่อเขานำมันออกมายื่นให้ทำให้เซลิลีนถึงกับอึ้ง   อารอนมอบกุหลาบแดงช่อใหญ่ให้เธอ

                  "ฉันขอโทษนะที่ต้องโกหกเธอ  แถมพูดจาไม่ดีกับเธออีก  และนี่คงทำให้เธอหายโกรธ เรามาดีกันนะ"

                  เซลิลีนกำลังงงงันอยู่ชั่วครู่   แล้วเธอก็ยิ้มกว้างออกมา  ก่อนเอื้อมมือไปรับช่อดอกไม้

                  "ได้ ถ้าเธอสัญญาว่าจะเลิกหลอกพวกเราและเลิกเจ้าอารมณ์ด้วย"

                    เอลันดามองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เขาโล่งใจที่เห็นเพื่อนรักเข้าใจกันได้ แต่ใจเขามันเจ็บแปลบอย่างบอกไม่ถูก เพราะอะไรเขาถึงรู้สึกเช่นนั้น

                  "อิจฉาเขาละสิ " เสียงหนึ่งแว่วเข้ามา  เขาหูแว่วไป หรือมันคือความคิดที่ดังออกมาจากสมองเขา

                  "เปล่านะ ฉันไม่ได้ ทำไมฉันจะต้องอิจฉาเขาด้วย พวกเขาเป็นเพื่อนฉันนะ " เขาตอบเสียงนั่น

                  "แม่หนูนั่นน่ารักออก  เธอก็ชอบเขาเหมือนกันใช่ไหม" เสียงนั้นถามกลับมาอีก

      

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×