ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คลื่นรักสวาทลวง

    ลำดับตอนที่ #1 : คลุมถุงชน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 114
      0
      3 ธ.ค. 56

                    ท้องนภาเบื้องบนปรากฏกลุ่มเมฆก้อนใหญ่ลอยเด่นอยู่บนแผ่นฟ้า ตัดกับผืนน้ำสีเขียวมรกตกว้างสุดลูกหูลูกตา สายลมแรงพัดพาเกลียวคลื่นหมุนตัวเข้าหาฝั่งเป็นระลอก นกทะเลโผผินบินโฉบเฉี่ยวผิวน้ำเสาะแสวงหาอาหารมาประทังชีวิตน้อยๆของมัน ไม่มีอะไรดีกว่าหยุดชื่นชมธรรมชาติงดงาม


                    แต่ทว่าภาพชวนมองเหล่านั้นกลับไม่ทำให้หญิงสาวร่างเล็กที่อยู่ภายในรถหรูสไตล์ยุโรปรู้สึกสบายใจขึ้นเลยสักนิด หล่อนไม่ใยดีทิวทัศน์น่ามองสองข้างทางเท่าไรนัก เพราะในใจคิดแต่เรื่องที่กำลังจะเผชิญในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า

                    “คลุมถุงชน”

                    ธาราวตีทวนคำนี้ด้วยความรู้สึกหมองเศร้า ประเพณีคร่ำครึมีไว้บังคับลูกหลานให้ต้องฝืนใจแต่งงานกับคนที่ไม่รักแค่เห็นว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง โดยไม่ฟังคำทัดทานว่า ถ้าคนสองคนไม่ได้รักกันจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไร

                    “แต่งๆกันไปเดี๋ยวก็รักกันเองน่า”

                    “ไม่จริง” ธาราวตีเถียงค้านหัวชนฝา ก่อนเดินทางมาที่จันทบุรีเธอทะเลาะกับบุพการีแทบตัดขาดความเป็นพ่อแม่ลูก แต่สุดท้ายเธอก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จำใจต้องเดินทางมาพบว่าที่เจ้าบ่าวอยู่ดี เพราะไม่ต้องการถูกตราหน้าว่าเป็นลูกอกตัญญู

                    “ไปทำความรู้จักกันก่อนดีกว่านะลูกน้ำ ดีไม่ดีค่อยว่ากันทีหลัง อย่าให้พ่อเขาโกรธเลย”

                    แม่แก้วพยายามพูดจาโน้มน้าวใจลูกสาวด้วยคำพูดนุ่มนวลที่สุดแต่ฟังออกว่าบังคับ มีหรือธาราวตีจะกล้าขัดคำสั่ง

                    หญิงสาวถอนใจหลายตลบ กระทั่งคนของพ่อสองคนที่ถูกสั่งให้ตามมาดูแลหรือเรียกว่ามาควบคุมตัวน่าจะถูกต้องกว่าต้องหันหลังกลับมามองเป็นระยะด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าเธอจะคิดทำอะไรบ้าๆอย่างเช่นทำร้ายตัวเอง แต่คนอย่างธาราวตีไม่มีวันคิดสั้นแบบนั้นเด็ดขาด


                    “คุณหนูอยากซื้อของไหมครับ ผมจะแวะให้”

                    หญิงสาวเบนหน้าออกจากหน้าต่างรถ ดวงตาใสแจ๋วแต่มีแววสลดมองเห็นแผ่นป้ายแสดงชื่อมินิซุปเปอร์มาร์เก็ตตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าตัวเอง

                    “ก็ดีเหมือนกัน ฉันอยากได้กาแฟสักแก้ว”

                    “ครับคุณหนู”

                    รถแล่นมาจอดสนิทหน้าร้าน ธาราวตีก้าวลงจากรถจะเดินเข้าไปข้างใน คนของพ่อจะตามมาด้วย ธาราวตีรู้สึกรำคาญความไม่เป็นตัวของตัวเอง เธอจึงหันไปออกคำสั่งสียงแข็งใส่

                    “รอที่รถได้ไหม อยากได้อะไรเดี๋ยวฉันซื้อให้ ฉันไม่ใช่นักโทษ ไม่ต้องตามติดขนาดนั้น แต่ถ้าไม่ไว้ใจก็ช่วยหากุญแจมาล็อกข้อมือไว้เลยก็ได้นะ”

                    น้ำเสียงเฉียบขาดเช่นนี้ ใครจะกล้าตามไป เป็นครั้งแรกที่ธาราวตีได้เป็นอิสระนับจากก้าวเท้าออกจากบ้าน

                    ร่างบางเดินตัวปลิวตรงไปที่ตู้เครื่องดื่ม เลือกน้ำส้มมาสองขวด กาแฟสำหรับคนขับรถและผู้ติดตาม หันไปหยิบของขบเคี้ยวเล่น พลันมือเล็กๆก็คว้าแย่งไปจากมือเธอไปดื้อๆ

                    “ผมจะเอาอันนี้” เด็กน้อยอายุประมาณหกถึงเจ็ดขวบยืนกอดถุงขนมราวกับของรักของหวง

                    “เอก อันนี้พี่เขาหยิบมาก่อนนะลูก หนูไม่ควรไปแย่งเขานะ” ผู้เป็นแม่พยายามดึงห่อขนมกลับมาคืนธาราวตี พร้อมกับดุลูกชายไปด้วย เด็กน้อยร้องไห้โยเยทำท่าจะไม่ยอมให้

                    “ไม่เอา หนูจะเอานี่ ทำไมแม่ต้องบังคับหนูด้วย หนูจะเอาห่อนี้”

                    “ไม่ดีลูก พี่เขาเลือกก่อน หนูจะไปเอาของพี่เขาไม่ได้เสียมารยาท”

                    “แต่หนูจะเอานี่
    !

                    เมื่อเห็นว่าหนูน้อยอยากได้จริง ทำท่างอแงไม่ยอม เธอเลยตัดปัญหายกให้ไป

                    “ให้น้องเขาไปเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันไปเลือกขนมอื่นได้ค่ะ  ไม่เป็นไรค่ะ” ธาราวตียิ้มด้วยมิตรไมตรี มือบางเรียงจับที่ศรีษะพ่อหนูน้อย โยกเบาๆ  “พี่ให้หนูแล้วนะคะ ไม่ต้องร้องน้า”

                    “ขอบคุณฮับ” เด็กน้อยกล่าวขอบคุณพร้อมยิ้มร่า ส่วนคนเป็นแม่ก็ขอบอกขอบใจเธอเป็นการใหญ่ จูงมือลูกชายไปที่เคาน์เตอร์คิดเงิน

                    ธาราวตีมองตามสองแม่ลูกด้วยแววตาสะท้อนใจ ขนาดเด็กเล็กยังไม่ยอมให้ถูกบังคับทั้งที่ทำในสิ่งไม่ควร แล้วเธอเล่า ทำไมต้องยอมให้ตัวเองถูกขีดเส้นทางโดยพ่อแแม่ด้วยทั้งที่โตพอจะรู้ประสา จริงอยู่ว่าเธอควรต้องเป็นลูกกตัญญูแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสุขทั้งชีวิตซึ่งพ่อแม่ไม่สามารถตามไปดูแลเธอได้ตลอดรอดฝั่ง

                    “ถ้าขืนแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ขออยู่เป็นโสดจนแก่ตายดีกว่า เรื่องอะไรจะต้องไปดูตัวด้วย ไม่เจอกันก็ดีงานแต่งล้างหนี้จะได้ล้มเลิกไปซะ”

                    ธาราวตีมองออกไปนอกร้าน เห็นผู้ติดตามเธอทั้งสองยังอยู่ที่รถ คนหนึ่งออกมายืนสูบบุหรี่ข้างนอก อีกคนนั่งเอนหลังอยู่เบาะหน้า

                    “เราต้องหนี แล้วจะหนีไปทางไหนได้ เฝ้าอยู่แบบนั้น”

                    เธอยังไม่สิ้นหวังเสียทีเดียว พยายามตั้งสติใหม มองหาลู่ทางที่จะหลบหนีออกไป หันซ้ายเหลียวขวาคิดหาคนช่วย พลันเห็นพนักงานเดินออกมาจากประตูหลังร้านจึงอาศัยจังหวะที่ลูกค้าเข้ามาในร้านเป็นกลุ่มใหญ่เดินตามพนักงานอีกคนเข้าไปทางด้านหลังทันที

                    โชคดีที่มีประตูอีกชั้นเปิดออกสู่ภายนอก ธาราวตีจึงหลุดรอดสายตาผู้คุมมาได้ด้วยความช่วยเหลือของพนักงานสาวคนหนึ่ง

                    หญิงสาวเดินสะเปะสะปะไปเรื่อยเปื่อย เธอมีเงินติดตัวมาไม่กี่พันบาท แต่พอจะเป็นค่ารถพากลับกรุงเทพได้ ธาราวตีคิดแผนในใจว่าจะไปอาศัยอยู่กับเพื่อนชั่วคราวสักระยะก่อนแล้วค่อยติดต่อกลับทางบ้าน
                    “ชะอุ้ย” หล่อนใจหายวาบเมื่อบังเอิญไปเห็นคนของพ่อเดินผ่านหน้า พวกเขาคงไหวตัวทันจึงพากันออกตามหา เหมือนโชคเข้าข้างเธออีกครั้ง ผู้ชายคนนั้นดันหันหน้าไปทางอื่นพอดี เธอจึงมีเวลาพอที่จะพาตัวเองหลบหลังกำแพง

                    “ทำไงดี พวกนั้นจะเดินมาทางนี้ไหม” หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ถ้าถูกจับได้คราวนี้จะหมดโอกาสหนีอีกต่อไป ธาราวตีลองนั่งลงพร้อมยื่นหน้าไปแอบดูนิดหนึ่งแล้วรีบหลุบหน้าซ่อนเหมือนเดิม  แน่ใจว่าเห็นเขากำลังเดินมาทางนี้อย่างที่เธอกลัวไว้จริง

                    “ตายแล้ว ซวยละสิ” หล่อนลุกลี้ลุกลน รีบหันหลังเดินกลับทางเดิม ด้วยเข้าใจว่าไม่มีใครอยู่ที่รถ แต่เธอคิดผิด คนขับรถของเธอดันเฝ้าอยู่ที่รถเสียด้วยสิ ยังกับอ่านใจเธอออก “โอ้ยตาย ถ้าโผล่ไปแวบเดียวพวกนั้นต้องเห็นเราแน่ๆ จะเสี่ยงดีไหม”

                    ธาราวตีรู้จักคนของพ่อดีว่าหูตาไวยังกับสับปะรด ต่อให้เธอทำเนียนเดินรวมไปกับกลุ่มคน พวกเขาก็จำเธอได้อยู่ดี ก็แม่แก้วเล่นจับลูกสาวมาแต่งตัวครบเครื่องยังกับนางแบบหลุดมาจากแคทวอล์ก ต่อให้ยืนอยู่บนตึกสี่ชั้นก็แยกออก

                    พลันสายตามองเห็นท่าเรืออยู่ตรงหน้า  ธาราวตีเห็นเรือประมงหลายลำจอดสลับกับเรือชนิดอื่นๆ เรียงรายเทียบท่าเป็นแถวไปจนจรดความยาวของสะพานปลา ความคิดเอาตัวรอดแวบหนึ่งก็แล่นผ่านเข้ามาในสมอง

                    “ไปหลบอยู่ตรงนั้นก่อนไหม พวกเขาคงไม่คิดว่าเราจะกล้าหลบในเรือ”

                    ธาราวตีกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปตามสะพาน มองหาเรือลำที่ดูน่าจะปลอดภัยที่สุด เหลียวหลังกลับด้วยเผื่อคนของพ่ออาจจะตามมาทัน

                    “ลำนี้แหละ ช้าไม่ได้แล้ว” เลือกได้แล้วก็กระโดดลงทันที ธาราวตีเลือกเรือโดยสารขนาดกลางลำหนึ่งทางซ้ายมือติดกับเรือประมงเก่าๆ นอกจากสะอาดสะอ้านแล้วยังมั่นใจว่าเจ้าของเรือไม่น่าจะมาในเวลานี้เพราะดูจากสภาพใหม่เอี่ยมคงแทบไม่มีการใช้งาน

                    ธาราวตีปีนขึ้นไปหลบอยู่บนชั้นสองของเรืออาศัยตัวเรือกำบังร่างบาง คอยโผล่หน้าขึ้นมาสังเกตการณ์เป็นระยะๆ เห็นผู้ติดตามสองคนกำลังวิ่งวุ่นไปทั่ว ที่สำคัญมีพรรคพวกเพิ่มขึ้นอีก แสดงว่าพ่อของเธอต้องรู้แล้วจึงสั่งให้ลูกน้องที่อาศัยอยู่ไม่ไกลแถวนั้นออกมาช่วยตามหา

                    “ฉันไม่ต้องรอจนค่ำเลยหรือเนี่ย”

                    นึกแล้วก็ท้อใจ ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นเรือ ทั้งหิวทั้งตื่นกลัว แต่ยังดีกว่าต้องถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก

                    ความอ่อนเพลียจากการเดินทางมาเกือบทั้งวัน ทำให้หญิงสาวเผลอนอนขดตัวหลับสนิทอยู่ตรงนั้น

                    ธาราวตีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อรู้สึกร่างกายโคลงเคลงไปมาพร้อมกับได้ยินเสียงคล้ายเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม

                    “เกิดอะไรขึ้น ยังกับเรือมันวิ่งได้”  ร่างบางรีบลุกขึ้นนั่งคุกเข่าหันหน้าออกทางหน้าต่าง ตะลึงอ้าปากค้างเมื่อพบว่าเธอเห็นแต่แผ่นน้ำสีเขียวเข้มอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่อาคารบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ชายฝั่ง

                    “ตายแล้ว เรือออกมากลางทะเลได้ไง” ธาราวตีอุทานเสียงหลงด้วยความตกใจ ผุดลุกขึ้นเดินเซไปที่ประตูผลักออกไปด้านนอก เรือลำน้อยกำลังลอยคว้างกลางนาวากว้างสุดลูกหูลูกตา มองไปทางไหนก็เห็นแต่ผืนน้ำ ไม่เห็นแผ่นดินเลยสักนิด แสดงว่าออกมาไกลพอควร

                    “ใครขับเรือออกมาทำไมฉันไม่รู้ตัวเลย” ธาราวตีรีบปีนลงมาชั้นล่าง  เดินไปทางห้องควบคุมเรือซึ่งคนขับเรือน่าจะอยู่ที่นั่น แต่ทว่าไปถึงกลับไม่เห็นใครเลย “ไม่มีใคร   ฉันถูกเอามาปล่อยกลางทะเลเหมือนโดนลอยอังคารหรือนี่”

                    ธาราวตีเริ่มใจเสีย เธออยู่คนเดียวบนเรือนี้จริงหรือและจะต้องตายอยู่อย่างเดียวดายใช่หรือไม่ แค่คิดก็หวาดกลัวขนลุกแล้ว

                    เสียงผิวปากที่แว่วมาจากข้างหลังทำหล่อนสะดุ้งตัว

                    “มีคนอยู่ในเรือด้วยนี่” ธาราวตีใจชื้นเมื่อรู้ว่าไม่ได้อยู่ลำพัง ทันทีที่หันหลังกลับ เธอปะทะกับใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มคนหนึ่งเข้าอย่างจัง แววตาโตลึกคู่นั้นจ้องเธอเขม็งราวกับเธอเป็นตัวประหลาด

                    “กรี๊ด
    !

                    “เฮ้ย
    ! ผู้หญิงที่ไหน..

                    “พลั่ก
    !

                     ธาราวตีไม่ทันตั้งตัวร้องดังลั่น เช่นเดียวกับเสียงตะโกนอีกฝ่าย ยังพูดไม่ทันจบประโยค เท้าเล็กก็ดันเข้าไปที่หน้าของชายหนุ่มจนเสียหลักหงายเอาก้นลงไปกระแทกพื้น

                    “ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วยมีโจรจะมาทำมิดีมิร้ายฉัน” ถ้าธาราวตีตั้งสติใหม่ให้ดีกว่านี้ต้องรู้ตัวเองแล้วว่าบ้าไปแล้วแน่ๆที่เรียกหาความช่วยเหลือกลางทะเล

                    “ยัยบ้า เอ้ย” เขาคนนั้นโมโหที่ถูกทำร้ายร่างกายโดยที่ตัวเองยังไม่รู้เรื่องอะไร วิ่งไล่หญิงสาวแปลกหน้าที่พยายามจะวิ่งหนีไปทั่วเรือ แล้วมาจนมุมอยู่ที่ท้ายเรือ

                    “ขอร้องอย่าทำอะไรฉันเลยนะ ฉันไหว้แหละ ทรัพย์สินฉันไม่มีอะไรมาก มีแต่ทองเส้นเดียว อ้อแหวนก็มีนะ กำไรด้วย เอ้านี่เอาไปเลย” เธอถอดทุกอย่างในตัวให้เขา


                    สิขรวัชร์มองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความพิศวง  หล่อนมาอยู่บนเรือเขาตอนไหนและมาได้อย่างไร

                    “ผมไม่ใช่โจร คุณต่างหากน่าจะเป็นหัวขโมย มาหลบในเรือผมคิดจะขโมยของใช่ไหม พอถึงฝั่งก็รีบหนี”

                    “จะบ้าหรือไง หน้าอย่างฉันนี่นะจะเป็นโจร นายนั่นแหละ นี่แอบขโมยเรือคนอื่นมาใช่ไหม”

                    “ใครบอกว่าเรือลำนี้เป็นของคนอื่น เรือผมชัดๆ ผมมีหลักฐานความเป็นเจ้าของเรือชัดเจน ผมต้องถามคุณมากกว่าคุณเป็นใคร ถ้าบอกไม่ใช่โจรแล้วมาอยู่บนเรือผมทำไม ตั้งแต่เมื่อไร”

                    “นายนะหรือเจ้าของเรือ” น้ำเสียงของหล่อนแผ่วเบาลงไป ใบหน้าสวยซีดเผือดด้วยเข้าใจแล้วว่าตัวเองต่างหากที่เป็นฝ่ายบุกรุกสถานที่ส่วนตัวคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต

                    “ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจคือว่า”
                    “หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเดินถอยหลังอีก
    !

                    “ว้าย
    !

                    เขาร้องห้ามไม่ทันแล้ว ธาราวตีกำลังขวัญหนีดีฝ่อจึงไม่ทันได้ระวังตัว กว่าจะรู้ว่าด้านหลังของเธอเป็นที่โล่งไม่มีขอบเรือหรือราวกั้นไว้ ร่างบางก็หงายผงะไปข้างหลังซึ่งมีแต่ความว่างเปล่าและผืนน้ำรองรับเธออยู่

                     สิขรวัชร์ถลาเข้าหาร่างนั้นอย่างรวดเร็ว คว้าตัวไว้ไม่ทันแต่โชคดีที่จับปลายขาไว้ได้

                    “ช่วยฉันที กรี๊ด ฉันกลัว” ธาราวตีดิ้นรนกรีดร้องเสียงหลงทั้งที่อยู่ในท่าห้อยศีรษะลงน้ำ เท้าชี้ฟ้า

                    “ก็ช่วยจับอยู่นี่ไง เลิกแหกปากก่อนได้ไหม อยู่นิ่งๆ ผมจะได้ดึงตัวขึ้นมา รู้มั้ยคุณตัวหนักมาก”

                    ธาราวตีนิ่งฟัง เลือดที่ไหลย้อนลงหัวทำให้รู้สึกหน้ามืด ทำท่าจะเป็นลม 

                    “ถ้ากลัวคุณก็หลับตาซะ”

                    เมื่อกลัวตายก็ว่านอนสอนง่ายขึ้นมาทันที สิขรวัชร์ค่อยๆ ดึงร่างหญิงสาวทีละนิดจนพ้นขอบเรือ พอเท้าแตะพื้นได้ ถึงกับเข่าอ่อนล้มกองลงกับพื้น

                    สิขรวัชร์ให้เวลาเธอได้
    คลายความตกใจด้วยการกลับเข้าไปข้างในเรือ ปล่อยให้หญิงสาวนั่งอยู่ที่เดิม ใบหน้านวลขาวผ่องซีดเซียว ดูยังงุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

                    ชายหนุ่มเดินกลับมาอีกครั้งพร้อมกระป๋องเครื่องดื่ม เขายื่นให้ตรงหน้าเธอ

                    “เอ้า น้ำ ดื่มซะจะได้ใจเย็น แล้วเรามาคุยกันดีๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น”

                    หล่อนแหงนหน้ามองเขาสลับกับมองกระป๋องน้ำอัดลม เม้มริมฝีปากบาง ก่อนจะเมินหน้าไปอีกทาง
    สิขรวัชร์ชักรำคาญกิริยาเชิดหยิ่งของเธอ

                    “จะเอาไม่เอา ไม่เอาผมจะได้เอาเข้าไปเก็บ”

                    เขาทำท่าชักมือกลับ ธาราวตีรีบคว้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว พอแย่งมาได้ไม่พูดไม่จา ดึงฝากระป๋องกระดกดื่มอย่างหิวกระหาย สิขรวัชร์อมยิ้มขำ นึกว่าจะผยองไปได้นานแค่ไหนกัน

                    “เอาล่ะ” เขาลงนั่งตรงหน้าเธอ ทิ้งระยะห่างไว้ไม่ให้ดูใกล้จนเธอกลัว “บอกได้หรือยังทำไมคุณมาอยู่บนเรือผม”

                    ธาราวตีเงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างชั่งใจ เขาคือคนแปลกหน้าสำหรับเธอ และเธอคือคนแปลกหน้าสำหรับเขา ต่างคนต่างไม่กล้าไว้ใจกัน แต่การที่เขาช่วยเธอให้รอดตายมาได้ นับว่ายังไม่ใช่คนใจจืดใจดำนัก

                    “ฉันหนีใครบางคนมาหลบในเรือคุณ แล้วเผลอหลับไป”

                    “หนีคนมาลงเรือผมนี่นะ หนีใคร หรือตำรวจ อ๋อ คุณทำอะไรผิดมาใช่ไหม หรือเป็นพวกหลบหนีเข้าเมือง”

                    “จะบ้าหรือไงคุณ พูดชัดแบบนี้จะเป็นต่างด้าวได้ไง”

                    ธาราวตีชักหงุดหงิด อีตานี่จะมองโลกในแง่ดีกับเขาไม่เป็นบ้างหรือไงนะ

                    “อ้าวแล้วไงต่อ หรือหนีพวกแมงดา อยู่ซ่องไหนล่ะ ยายป้อมเปล่า”

                    “ไอ้ ไอ้ ไอ้
    ” ดูถูกกันขนาดนี้ เล่นเอาสาวเจ้าเต้นเร่าๆ ลุกพรวดกระทืบเท้าส่งเสียงแหลมออกมา “ไอ้ผู้ชายบ้า  ไอ้คนปากปีจอ ฉันไม่ใช่อีตัวบอกไว้เลย นายที่มันทุเรศที่สุด”

                    “อ้าวๆ แม่คุณ ไหงมาด่ากันแบบนี้” สิขรวัชร์ลุกตามบ้าง ยืนประจันหน้ากัน “มาอาศัยเรือผมแล้วยังจะด่าผมอีก”

                    “นายมาดูถูกฉันก่อนทำไมเล่า”

                    “ผมดูถูกที่ไหน ผมก็เดาตามน้ำ ผู้หญิงตัวคนเดียวจะหนีใครได้ ถ้าไม่ใช่ตำรวจก็ผู้ชาย แล้วว่าไง ตกลงคุณหนีใครมา”
                    “แล้วถ้าฉันบอกคุณจะเชื่อฉันหรือ”

                    “ก็บอกมาก่อนเสะ แล้วผมจะตัดสินใจเองว่าควรเชื่อไหม”

                    “เฮ้อ” หล่อนถอนใจแรง ทรุดตัวนั่งลงอย่างเก่า ค่อยเปิดปากเสียงเบากว่าเมื่อสักครู่ “ฉันหนีคนทางบ้านมา ฉันไม่อยากแต่งงาน”

                    “หนีการแต่งงาน
    !”  สิขรวัชร์ระเบิดเสียงหัวเราะลั่นราวกับประโยคไม่กี่คำเป็นฉากตลกของหนังสักเรื่อง

                    “มันน่าขำขนาดนั้นเชียวหรือ” ธาราวตีค้อนจนลูกตาดำแทบหลุบเข้าไปข้างใน  “บอกแล้วไงว่าคุณต้องไม่เชื่อฉัน ฉันหนีว่าที่เจ้าบ่าว ใครเล่าอยากถูกจับแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก”

                    สิขรวัชร์หยุดหัวเราะเสียงดังแต่ยังมีเสียงคำรามในลำคอลอดมาแทน “ผมก็ขำสิ เรื่องแบบนี้มีแต่ในนิยายเท่านั้น จะแต่งเรื่องหลอกผมก็ให้มันเนียนกว่านี้หน่อย”

                    ธาราวตีอ้าปากค้าง นึกหาคำพูดตอกกลับไม่ทันเพราะความโมโหที่พุ่งจุกอกจนถึงลำคอ หล่อนสะบัดเสียงใส่

                    “ฉันไม่ได้ให้คุณมาเชื่อฉันหมด เพราะมันไม่ใช่เรื่องของคุณ แต่ตอนนี้ฉันต้องการกลับฝั่ง พาฉันกลับได้ไหม”

                    “คุณนี่ท่าจะเพี้ยนหนักแล้ว”

                    “นายหาว่าบ้าหรือไง หา”

                    “ไม่บ้าคงไม่มาหลบในเรือชาวบ้านหรอก ผมออกมาจากฝั่งตั้งไกล เรื่องอะไรจะย้อนกลับไปให้เสียเวลา”

                    “แต่ฉันจะอยู่แบบนี้ไม่ได้นะ ครอบครัวฉันกำลังตามหาฉันอยู่”

                    “เมื่อกี้บอกหยกๆว่าหนีการแต่งงานมาไม่ใช่หรือ”

                    ธาราวตีลืมเสียสนิทว่าหลุดปากพูดอะไรออกไปก่อนหน้านี้ “ก็ใช่ ถึงครอบครัวไม่ตามหาฉัน เพื่อนๆก็ตามหาฉัน ฉันโทรติดต่อเพื่อนเอาไว้ว่าจะไปอาศัยอยู่ด้วย ป่านนี้พวกเขาคงรอฉันอยู่”

                    “งั้นก็โทรไปบอกสิว่าเธออยู่ไหน จำเป็นอย่างไรที่ต้องไปตามนัดช้า”

                    “เออ ใช่ๆ ขอบใจ ทำไมฉันโง่แบบนี้นะ”

                    สิขรวัชร์ส่ายหน้าระอาขณะมองหญิงสาวพยายามโทรหาเพื่อนสาวของเธอ แต่เท่าไรก็ไม่สำเร็จ

                    “ทำไมเหมือนสายไม่ว่างล่ะ”

                    “ผมถึงบอกไงว่าคุณคงประสาทไปแล้ว หรือไม่คุณก็เป็นคนบ้า หนีออกจากโรงพยาบาลโรคจิต”

                    “โอ้ย ชักไม่ไหวแล้วนะ คำก็บ้า สองคำบ้า สติฉันเต็มร้อย เอางี้ตกลงจะพาฉันกลับฝั่งตอนนี้ได้ไหม เสียเวลามากน้อยแค่ไหนว่ามา ฉันยินดีจ่าย”

                    หล่อนใช้เงินฟาดหัวเขาเพื่อให้เขาทำตามในสิ่งที่เธอต้องการ สิขรวัชร์ฉุนจนไม่อยากจะต่อปากต่อคำกับหญิงสาวต่อ เขาเลือกจะเดินหนีหาที่สงบระงับอารมณ์ตัวเอง

                    “เฮ้ย นี่ตกลงว่าไงเล่า เอาเท่าไรก็ว่ามาสิ”

                    ธาราวตีเดินตามชายหนุ่มไปติดๆ คว้ามือได้ก็ออกแรงดึงแขนชายหนุ่มให้หยุดฟังเธอ

                    “อะไรของคุณอีก คุณผู้หญิง”

                    “จะอะไรอีกเล่า เรายังคุยกันไม่รู้เรื่องเลย ตกลงว่าไง ฉันต้องจ่ายค่าเสียเวลาคุณเท่าไรในการพาฉันกลับ”

                    สายตาขุ่นที่จ้องหน้าเธอเขม็งสลับกับมองไปที่มือเรียวของหญิงสาวไม่ได้ทำให้ธาราวตีรู้สึกสะทกสะท้านเลยสักนิด ตรงข้าม เธอกลับเซ้าซี้หนักกว่าเก่า

                    “อย่าเงียบสิคุณ เอาไงก็ว่ามา ฉันเสียเวลานะ”

                    เขาไม่ตอบทันที ปัดมือเธอออก

                    “ผมไม่กลับ เสียใจด้วย”

                    “ว่าไงนะ เดี๋ยวก่อนคุณไม่กลับไม่ได้ บอกแล้วไงว่าฉันจำเป็น”

                    “ก็นั่นมันเรื่องของคุณนี่”

                    “อีตาบ้า” โดนปฏิเสธเสียงแข็งแบบนี้ธาราวตีทั้งโกรธทั้งโมโห ตรงเข้าหาใช้สองมือทุบเข้าที่ต้นแขน “พาฉันกลับไปเดี๋ยวนี้นะ พาฉันมาทำไม ฉันไม่อยากติดอยู่บนนี้เสียหน่อย”

                    “โอ้ย อะไรนักหนา ผมเจ็บนะ” สิขรวัชร์ปัดป้องตัวเอง จับข้อมือหล่อนได้ก็บีบกำเสียแน่นจนหญิงสาวร้องเจ็บออกมา

                    “ไอ้ผีทะเล นายรังแกผู้หญิงหรือ” สองมือถูกพันธนาการทำอะไรไม่ได้ แต่สองเท้าก็ยังอยู่  ธาราวตียกเท้าขึ้นสูงกระทืบลงบนปลายเท้าอีกฝ่าย

                    “เฮ้ย
    ! พอเจ็บความโกรธก็ยิ่งมากเข้า ลืมตัวเผลออกแรงผละร่างบางกระเด็นไปกองกับพื้น

                    “ฮือๆ ฉันโดนผู้ชายใจยักษ์ใจมารรังแก ใครก็ได้ช่วยลูกน้ำที ลูกน้ำกลัวจะโดนฆ่า”

                    หล่อนแหกปากร้องโวยวายลั่นเหมือนเด็ก นอกจากสร้างความรำคาญน่าหนวกหูแล้ว ยังทำให้ตนรู้สึกปวดหัวอีก
    สิขรวัชร์เดินหนีเข้าไปในตัวเรือเพื่อหายาบรรเทาอาการปวดศีรษะ ขืนอยู่ตรงนี้ต่อมีหวังโรคประสาทรับประทาน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×