ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทาสหัวใจเชลยทราย

    ลำดับตอนที่ #3 : เพชรเลอค่า

    • อัปเดตล่าสุด 13 ส.ค. 53


               เสียงดนตรีเป็นจังหวะดังกึกก้องไปทั้งห้องฮอลล์ใหญ่ของศูนย์ประชุมที่หรูหราที่สุดกลางนครพรีส  เมืองหลวงของอเลสติเนีย แสงไฟหลากสีแข่งขันกันส่องสว่างกระทบกับอัญมณีและเครื่องเพชรเลอค่าบนตัวนางแบบที่เดินกรีดกรายอยู่บนแคทวอค เรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมที่กำลังเฝ้าดูเครื่องเพชรเหล่านั้นด้วยความสนใจในความงามของเหลี่ยมกะรัตและมูลค่าที่กะประมาณไว้ในใจ 
                    ตรงหน้าแคทวอคที่ยื่นออกไป เป็นที่นั่งโซฟาอย่างดีส่วนตัวซึ่งถูกจัดไว้สำหรับประธานพิธีของงานโดยเฉพาะ จึงไม่มีใครมานั่งบังหรือว่ากล้าบังอาจที่จะเข้าใกล้มากนัก เจ้าชายคาสปา พระอนุชาและโอรสองค์ที่สองของอดีตกษัตริย์อเลสติเนียทอดพระเนตรดูทั้งนางแบบและเครื่องเพชรด้วยความชื่นชมตามนิสัยชอบของสวยงามมีราคา
                      "เพชรพวกนี้ ไม่ได้ครึ่งหนึ่งของแซนฮาร์ทไดมอล หรอกนะ   ถึงน้ำจะงามแต่ก็ไม่มีประวัติยิ่งใหญ่เท่าเพชรงามเม็ดนั้น"  คาสปาหันไปคุยกับเจ้าของงานครั้งนี้ น้ำเสียงเหมือนจะเยาะนิดๆก่อนจะหันกลับมาถามความเห็นกับบาฮัทคนสนิท
    ของตน "เจ้าว่าไง เราจะไปเมืองไทยกันเดือนหน้า พร้อมใช่ไหม"
                    "พะย่ะค่ะ เจ้าชาย ทางคนของเราติดต่อเขาผู้นั้นไว้แล้ว อีกไม่นานก็คงสมพระทัยพระองค์" บาฮัทส่งสายตามายังนายของตนเป็นประกายวิบวับ   คาสปาล่วงรู้ความหมายในคำพูดนั้นดี แต่ก็ยังอดเจ็บใจไม่ได้
                    "ฉันไม่น่าประมาทเลยนะ อุตส่าห์หาช่างเจียรนัยเพชรฝีมือดีมาได้สักคนเพื่อสร้างเพชรเทียมตบตา ก็ยังไม่สามารถอำพรางสายตาของใครบางคน จนพวกเขาจับได้แล้วว่า แซนฮาร์ทไดมอล  ถูกสับเปลี่ยนมือไป  "เจ็บใจจริงๆ ฉันควรได้ไปนำเพชรมาเก็บไว้เองนานแล้ว ถ้าไม่ติดตรงนี้ หากเมื่อสองสามเดือนก่อนออกเดินทางคงเป็นที่น่าสงสัยแน่"
    ประโยคนี้ คาสปาพูดกระซิบกับบาฮัทเบาๆ แค่สองคน เสียงดนตรีที่ดังลั่นทำไม่มีใครมาได้ยินหรือจะพูดได้ว่าไม่มีใครกล้ามาข้องแวะเลยด้วยซ้ำไป   ซึ่งถ้าเผลอทำให้ใครสักคนล่วงรู้ความลับเข้าล่ะก็ คงเกิดเรื่องอื้อฉาวให้ต้องอับอายไปแน่ พระอนุชาคาสปา วางแผนปล้นเพชรประจำราชวงศ์ของตนเองไปอย่างแยบยลเมื่อวันที่อัญมณีล้ำค่าเริ่มออกเดินทางไปนอกอเลสติเนียสู่หลายประเทศและจบลงที่ไทย  นั่นเป็นเพราะความเชื่อเดิมที่มีอยู่นานแล้วว่า หากใครได้ครอบครองเพชรงามเม็ดนี้จะได้เป็นผู้ปกครองที่คุมอำนาจเหนือกษัตริย์แดนอื่นอีกชั่วกาลทีเดียว เสียงปรบมือที่ดังกว่าปกติ ทำให้พระอนุชาละความสนใจเรื่องที่กำลังคุยอยู่กับคนสนิทของตน หันมามองไปยังเบื้องหน้าด้วยความตะลึงในความงามของเธอ เธอที่ปรากฏกายยืนเด่นอยู่ตอนนี้คือสตรีผู้ที่มีร่างบางระหงได้สัดส่วนในชุดสีแดงเพลิง หล่อนตั้งท่าโชว์อวดชุดเครื่องเพชรเม็ดโต น้ำงามซึ่งขับกับสีผิวขาวผ่อง
    ของคนที่มาสวมใส่ได้อย่างไร้ที่ติ
                    "เธอคือใครบาฮัท"  ดูเหมือนว่าคาสปาจะสนใจนางแบบมากกว่าเครื่องเพชร
                    "เธอชื่อ นานา หรือนาตุลยาพะย่ะค่ะ เธอเป็นบุตรสาวของลูกน้องคนสนิทของคนที่เรากำลังจะไปพบในอีกไม่นาน"
                    "ว่าไงนะ เจ้าพูดจริงหรือ'  คาสปาหันมามองตาเชื่อมพร้อมย้ำถามให้แน่ใจอีกครั้ง เมื่อคนสนิทของตนพยักหน้ายืนยัน ก็หันกลับไปมองยังเธอที่กำลังหมุนตัวเดินกลับไปยังด้านหลังอีกครั้ง
                    "สวย สวยสมใจฉันเหลือเกิน บาฮัท ส่งคนไปรับเธอที ฉันอยากเชิญเธอดินเนอร์ด้วยกันเสียหน่อย คงไม่ดึกไปนะ" เจ้าชายปาสคารับสั่งกับข้ารับใช้สนิทของตน แววตาของเจ้าชายหนุ่มมองยังร่างในชุดราตรีเปิดไหล่ด้วยความมุ่งมาดปรารถนา 
     
                    มุมหนึ่งของงานแสดงเครื่องเพชร ในขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนอกสนใจกับอยู่บนแคทวอค แต่ชายหนุ่มคมเข้มในชุดสูทหรูหราคนหนึ่งซึ่งตอนนี้กำลังยืนผิงผนังกอดอกอยู่ เขาเฝ้าจับตามองทุกคนทุกอย่างในสถานที่แห่งนี้ ราวกับจะเก็บรายละเอียดให้หมด และเมื่อดาเลียสสังเกตเห็นบาฮัทเดินออกไปข้างนอกเพียงคนเดียว เขาก็รีบติดตามไปทันที 
       
                    "โอ้ยเหนื่อยจังเลย ไม่เคยต้องแบกอะไรหนักแบบนี้" นาตุลยาบ่นอุบขณะกำลังยืนนิ่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยกันถอดเอาเครื่องเพชรออกจากตัวเธอ ต่อให้เพชรจะน้ำงามระดับไหน หากน้ำหนักมากขนาดทำ ให้ต้องเชิดคอแข็งจนเมื่อยไปหมด ยอมที่จะให้คอว่างไร้อะไรมาประดับเสียดีกว่า
     
                    "แหมนี่ ยัยนานา ฉันสิอยากจะบ่นมากกว่า อุตส่าห์คิดว่าน่าจะเป็นฉันได้เดินแบบเครื่องเพชรชิ้นสุดท้ายเสียอีก หรือไม่ก็นางแบบชื่อดังกว่านี้หน่อย แต่ดันกลายเป็นหน้าใหม่อย่างเธอไปได้ นี่แหละเขาเรียกว่า เกิดมาเป็นนางแบบตั้งแต่ยังลอยตุ๊บป่องอยู่ในท้องแม่อยู่"
                    "พูดไปได้ นนนี่ บังเอิญมากกว่าที่ฉันเป็นสาวเอเชียคนเดียวในที่แห่งนี้ และเขากำลังต้องการพอดี เลยฟลุก ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อย ฉันก็แค่มือสมัครเล่นเอง'  นาตุลยายี้จมูกของเธอย่นเข้าหากันเป็นเชิงหยอกล้อ และเมื่อมีชายแปลกหน้าเดินพรวดเข้ามาห้องแต่งตัว บรรดานางแบบสาวๆ ต่างก็พากันตกอกตกใจ จนเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้หญิงต้องเป็นฝ่ายไปกันเอาไว้ นาตุลยาเห็นทั้งสองคนคุยอะไรกันสักพัก เจ้าหน้าที่สาวคนนั้นก็เดินมาหาเธอ
                    "คุณนาตุลยาใช่ไหมคะ"
                    "ค่ะ"   เธอพยักหน้ารับ
    "มีคนฝากข้อความมาให้คุณค่ะ"  เธอยื่นเอากระดาษเล็ก เขียนด้วยปากกาสีน้ำเงินแกมหวัดมาให้ นาตุลยาแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าใคร แต่ก็รับมาอ่าน   นนนี่แอบมองเพื่อนก้มหน้าตาอ่านอย่างใคร่รู้ สักพักก็เห็นเธอเงยหน้าขึ้นมาถอนใจเฮือกใหญ่  
                    "มีอะไรหรือ ใครเป็นคนส่งจดหมายนี่มาให้เธอ" นนนี่ถามอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นสีหน้าของนาตุลยาเหมือนไม่สู้สบายใจนัก หล่อนส่งข้อความให้เขาดู 
     
                "ผมจะให้คนรถของผมไปรับคุณมาดินเนอร์ด้วยกันได้ไหมครับ ผมสนใจคุณมากทีเดียว เมื่อรู้ว่าคุณเป็นลูกสาวของท่านรองวิชาญเพื่อนรักของผม"
                                        ปาสคา อเลติน
     
                    "ปาสคา อเลติน ตายแล้วนี่มัน"  นนนี่มีน้ำเสียงสูงขึ้นมาทันที "เจ้าชายแห่งอเลสติเนียนี่นา คงจะสนเธอเข้าแล้วสิถึงได้มีจดหมายมาเชิญ  แบบนี้ไม่ธรรมดาแล้วล่ะ ยัยนา แล้วยังไง ทรงบอกว่ารู้จักพ่อของเธอด้วย จริงหรือ"
                    นาตุลยาโคลงศีรษะ "ฉันก็ไม่แน่ใจนัก แต่ใครๆก็หาข้ออ้างได้หมด ไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายก็เถอะ ฉันไม่ไปดีกว่า ไม่ใช่ที่"           "ได้ไงยัยนา อย่าลืมนะว่าเราอยู่ในประเทศเขา และทรงก็เป็นพระอนุชาของประมุขเจ้าของประเทศนี้เสียด้วย" นนนี่ทักท้วงไม่เห็นด้วยที่นาตุลยาจะขัดรับสั่ง แต่ก็ถูกตอกหน้าหงายกลับ
                    "ถึงเป็นเจ้าของประเทศฉันก็ไม่สน ไม่ใช่เจ้าของชีวิตฉันนี่ พอเถอะ บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปไง รีบเปลี่ยนชุดซะ แล้วเราจะได้กลับกัน ใครจะมารับก็ช่างเราก็กลับรถโรงแรมเหมือนเดิม"
                    เมื่อเห็นเพื่อนสาวยืนยันมาแบบนี้ นนนี่ก็ไม่กล้าโต้แย้งต่อ ได้แต่ทำตาม สองสาวเดินตามนางแบบคนอื่นมาที่รถตู้ของโรงแรม ขณะกำลังเดินต่อแถวจะขึ้นรถ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งสวมหมวกปิดหน้าเดินมาที่เธอ โค้งตัวให้พร้อมจะรับกระเป๋าจาก
    มือเธอ  นาตุลยาไม่ส่งให้แถมว่ากลับอีกต่างหาก
                    "ไปบอกเจ้านายคุณด้วย ว่าฉันไม่ไป"
                    "ต้องขอโทษขอรับ เห็นจะไม่ได้ เจ้าชายรับสั่งให้ผมมารับพวกคุณสองคนไปให้ได้ อย่าให้ใครต้องลำบากเลยครับ ถึงอย่างไร คุณก็ต้องไปกับพวกเราอยู่ดี เพราะว่ารถตู้คันนี้ คงไม่กล้ารับพวกคุณกลับไปด้วย ใครจะกล้าตัดหน้าเจ้าชายได้เล่า"
                    "เอ๊ะ" นาตุลยาชักเริ่มไม่พอใจขึ้นเสียงใส่ ให้ตายเถอะ นี่มันจะมาบังคับอะไรกันอีก เจ้าชายคนนี้ช่างบ้าอำนาจสิ้นดี "จะมาขู่กันหรือไงไม่ทราบ'
                    "ผมเปล่าขู่ครับ แต่ทรงเอาจริงเสียเอาจังแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทำตามรับสั่งเถอะครับ ถ้าขัดรับสั่ง นอกจากพวกคุณจะเดือดร้อนแล้ว กองนางแบบก็อาจจะไม่ได้กลับออกนอกประเทศ"
                    นาตุลยามองผู้ชายที่มารับเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความหงุดหงิดใจ  อีตานี่ตัวออกสูงลิบน่าจะไปปีนตึกเช็ดกระจกมากกว่ามาขับรถแล้วก็มาพูดจากวนประสาทแบบนี้  สงสัยจริงว่าทำไมต้องปิดหน้าตาด้วย
                    "ยัยนา ไปเถอะนะ ฉันล่ะกลัวพระทัยของเจ้าชายจริง อีกอย่างไม่ได้ยินหรือว่ามารับเรา ก็หมายถึงฉันกับเธอไง ไปสองคนจะกลัวอะไร" นนนี่สะกิดบอกเพื่อนสาว นาตุลยาถอนใจอีกรอบอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี นอกจากไปตามน้ำไปก่อน
                    "ได้ตกลง เอาสิ รถอยู่ตรงไหนละ เจอเจ้าชายหน่อยก็ดี จะได้พูดกันให้รู้เรื่องไปเลย"
                    หญิงสาวสองคนเดินตามคนขับรถที่อ้างว่ามาจากเจ้าชายคาสปาไปที่รถลิมูซีนกันกระสุนสีดำ เมื่อพนักงานโรงแรมเปิดประตูรถให้เธอ นาตุลยาก็ถอนใจหน่ายก่อนจะยอมเข้าไปในรถแต่โดยดี 
                    "แหม สวยๆ อย่างเธอนี่โชคดีชะมัดเลย มีราชรถมาเกยถึงที่" นนนี่อดที่จะแซวเพื่อนไม่ได้ แต่เพื่อนสาวของเธอกลับหน้าตาบูดบึ้ง
                    "อับโชคสิไม่ว่า แทนที่จะได้พักผ่อน กลับต้องไปเอ่อ เดี๋ยวนะเรากำลังจะไปไหนนะ "  นาตุลยาลืมสังเกตสองข้างทางเพราะมัวแต่โมโห จนไม่รู้ว่าถึงไหนแล้ว เช่นเดียวกับนนนี่
                    "นั่นสิ นี่ คุณคนขับรถ จะพาพวกเราไปไหนจ๊ะ"
                    "ไปไหน อ่อ ก็พาไปพระราชวังหลวงของอเลสติเนียไง" อีกฝ่ายตอบพวกเธอกลับโดยไม่หันมามอง แต่ชำเลืองผ่านกระจกมองหลังแทน
                    "เดี๋ยวนะ แต่เอ๊ะ นี่มันทางออกไปนอกเมืองนี่ แล้ววังหลวงไม่ได้ไปทางนี้ แน่ใจนะคะ ว่าเราไม่ได้มาผิดทาง" นนนี่ถามด้วยความสงสัย ยังไงกันนะ คนขับรถของบ้านนี้เมืองนี้เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่หรือยังไง
                    "ทางนี้ถูกต้องแล้วขอรับ" คนขับรถของวังยังคงยืนยันคำเดิม แต่นนนี่มั่นใจว่าเธอรู้จักถนนหนทางในเมืองหลวงของอเลสติเนียได้หมด เมืองเล็กๆแบบนี้มาเพียงไม่กี่ครั้งก็จำได้ขึ้นใจ
                    "แต่ฉันว่าไม่ใช่ จะพาพวกเราไปไหนหยุดก่อนสิ"
                    "ทางนี้แหละขอรับ ผมจำได้อย่างแน่นอน'
                    "ไม่ใช่ เอ๊ะ ฉันไม่ได้โง่นะ บอกให้หยุดก็หยุดสิ หยุดเดี๋ยวนี้" นนนี่ตวาดเสียงดังลั่น ดูท่าการโต้เถียงระหว่างคนขับรถกับนนนี่ กำลังจะลามจนจะเป็นการวิวาทไปแล้ว จนนาตุลยาต้องเข้ามาขัดก่อน  
                    "คุณคะ ช่วยหยุดรถให้พวกเราเถอะนะคะ หาคนแถวนี้ถามทางให้แน่ใจก่อนดีกว่าไหม"
                    เสียงหวานของนาตุลยาที่ขอร้องคนขับรถท่าทางไม่น่าไว้ใจได้ผล รถสีดำที่พวกเธอนั่งมาค่อยชะลอตัวช้าลงและจอดสนิทตรงข้างทาง   นาตุลยาถอนใจโล่งอก อย่างน้อยการพูดจาภาษาดอกไม้อาจเป็นการช่วยเหลือพวกเธอได้ทางหนึ่ง หากว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล นาตุลยาเห็นว่าข้างทางมีบ้านคนปลูกเรียงรายติดกันอยู่ แม้ว่าหลายหลังจะปิดไฟกันหมดแล้ว แต่ก็มีหน้าบ้านหลังหนึ่งมีกลุ่มคนกำลังนั่งล้อมวงทำบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน
                    "ขอโทษนะคะ ทางไปวังอเลสติเนียไปทางไหน" นาตุลยาทำใจกล้าเดินไปถามพวกเขาตรงๆ ได้แต่หวังว่าชนพื้นเมืองที่นี่จะฟังสำเนียงอังกฤษออก   นนนี่เป็นห่วงเพื่อนก็เลยเดินตามไปด้วยกัน  พวกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นเป็นชายล้วนทั้งหมดหกคน หันมามองที่นาตุลยาและนนนี่เป็นตาเดียวกัน
                    "เอ่อ ไม่รบกวนแล้วกันค่ะ ฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร" นาตุลยาคิดว่า หากขืนอยู่ตรงนี้ คงจะไม่น่าปลอดภัย ดูสายตาแต่ละคนที่มองพวกเธอสิ ราวกับกำลังจะมองให้ทะลุผ่านเสื้อผ้าของพวกเธอไปเลยก็ว่าได้ ขณะกำลังเดินกลับไปยังรถที่จอดรออยู่ พวกเขาเหล่านั้นก็ลุกขึ้นเดินมาล้อมหน้าล้อมหลัง
                    "ว้าย อะไรกันนี่ ตายแล้ว นี่พวกคุณจะทำอะไรพวกเรา" นนนี่ร้องออกมาด้วยความตกใจ นาตุลยาพยายามจะตั้งสติให้มั่นทั้งที่ตกใจมากไม่แพ้กัน
                    "พวกคุณจะเอาอะไรคะ เงินใช่ไหม หรือทอง เอ้านี่ เอาไปเลยค่ะ แล้วหลีกทางให้พวกเรานะคะ เรามีธุระสำคัญ" นาตุลยาไม่รู้ว่าพวกเขาจะฟังออกไหม แต่ท่ายื่นกระเป๋าเงินและแหวนในมือ ก็คงพอจะทำให้พวกเขาเข้าใจได้ไม่ยาก แต่ดูเหมือนสิ่งที่เธอใช้แลกกับการเอาตัวให้รอดคงจะใช้ไม่ได้ เมื่อพวกนั้นพากันเดินล้อมแคบเข้ามา
                    "อย่านะ ฉันมีคนมาด้วยนะ คุณคนขับรถคะ ช่วยโทรแจ้งความให้ที มีคนกำลังจะทำร้ายฉันและเพื่อน"   
       
                    คนขับรถที่นาตุลยาตะโกนร้องเรียกยังไม่ยอมออกมาสักที หล่อนคิดอยู่แล้วว่า สงสัยคงเอาตัวรอดทิ้งพวกเธอไปแล้ว แต่สักพักเขาก็ยอมออกมาจากรถ ถอดหมวกและแว่นดำออกมา เมื่อเดินเข้ามาใกล้ในระยะที่แสงไฟส่องสว่างถึง นาตุลยาถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
                    "นี่คุณ !"   ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนได้กลิ่นฉุนเหม็นที่จมูก แล้วสติสัมปชัญญะสุดท้ายก็ดับวูบไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×