คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : คืนแรกที่อยุธยา
กรองแก้วกินมื้อค่ำกับเพื่อนที่โต๊ะหน้าทีวี ไปเดินตลาดกันแค่ไม่นานเพราะดุจดาวเจอผู้ปกครองที่เคยมาขอคำปรึกษาเรื่องหลาน ซึ่งการเป็นครูประจำชั้นทำให้ไม่อาจละเลย ทำไปทำมาจึงสนิทและรู้สึกดีต่อกันแล้วหลังจากนั้นก็มีกระดาษปริศนามาแปะรถดุจดาวว่า‘หน้าด้าน’
กรองแก้วพอจะรู้เรื่องเพราะเพื่อนเคยเล่า แต่ไม่รู้รายละเอียด เธอรู้แค่เมื่อค่ำที่เจอกับผู้ปกครองอย่าง 'เอกภพ' ดุจดาวก็หลบหลีกอีกฝ่ายที่น่าจะมีเจ้าของแล้วถึงมีป้ายมาแปะรถดุจดาวคราวนั้น แต่…ชายหนุ่มกลับดูเหมือนไม่รู้เรื่อง ยังทำทีจะสานสัมพันธ์กับดุจดาวต่อ
ครูสาวเลยรีบชวนเธอกลับบ้านก่อน
ความเป็นคนหน้าตาดี เป็นอดีตดาวจิตรกรรมทำให้ดุจดาวหนีไม่พ้นปัญหาหัวใจมาตั้งแต่สมัยเรียน ขณะที่กรองแก้วยังครองโสดมาถึงวันนี้ซึ่งอายุย่างยี่สิบห้าแล้ว แต่เธอก็ยังไม่เคยคิดคบใครจริงจังว่าไปก็ใจร้ายกับหลายคนที่ได้มาขายขนมจีบ
“เออ แกเจอใครที่ตลาดรึเปล่า ฉันเห็นไปทำยืนชะเง้อชะแง้?” ดุจดาวเพิ่งนึกได้จึงถามเสียเลย
กรองแก้วชะงัก เธอกำลังคิดอยู่ว่าตนเองหมกมุ่นไปหรือเปล่าถึงได้ตาฝาด เมื่อค่ำเหมือนเห็นคนหน้าคล้ายๆ ชายในฝันมาเดินตลาด ที่น่าเสียดาย เธอตามไปไม่ทันเลยไม่รู้ว่าคนหรือผี
“ไม่มีอะไรหรอก นึกว่าเจอคนรู้จัก…” ความไม่แน่ใจทำให้เธอเลือกจะโกหกเพราะไม่อยากถูกมองบ้า ยอมรับว่ากลัวผี แต่ว่าความอยากรู้มีมากกว่า ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่คิดเดินตามไป
แต่ดุจดาวก็มาเรียกเอาไว้ก่อน
สงสัยตาฝาดจริงๆ หรือไม่ก็โดนผีหลอกแล้วมั้ง
“คนรู้จัก หรือแกมองผู้ชายเอาดีๆ” ดุจดาวดักทาง อีกนัยคือป้องกันไม่ให้ตนเองถูกถามถึงผู้ปกครองหนุ่ม ที่ปากบอกไม่สนใจไม่ได้คิดอะไรกับคุณเอกภพ แต่เอาเข้าจริงครูสาวก็นั่งเขี่ยข้าว ใจลอยพอๆ กับกรองแก้วที่เหม่อด้วยคน
“ใช่ มองผู้ชาย หล่อมาก…”
สองเพื่อนรักนั่งกินมื้อค่ำโดยไม่คุยอะไรกันอีก มีแค่เสียงละครหลังข่าวที่ช่วยให้บ้านไม่เงียบ กระทั่งสี่ทุ่มครึ่งถึงแยกย้ายกันอาบน้ำโดยกรองแก้วรับสิทธิ์ ‘แขก’ อาบก่อน เสร็จแล้วจึงเดินตรวจประตูหน้าต่างให้เพื่อนว่าลงกลอนหมดหรือยังเพราะดุจดาวใจไม่อยู่กับตัว กรองแก้วเลยได้เห็นดอกแก้วซึ่งยังวางอยู่โต๊ะหินอ่อน
‘ต่อให้ทางข้างหน้า มีดอกไม้ที่งามกว่านี้อีกเพียงใด พี่สัญญาว่าจะมิเด็ดกลับมาด้วยให้ดอกแก้วมันช้ำใจ อยู่ทางนี้ฝากระแวดระไว อย่าให้ผู้ใดมาเด็ดดอกไม้ของพี่ไปเสียเล่า…'
“ก็แค่บังเอิญที่มาอยุธยาปุ๊บเจอต้นแก้วปั๊บ” กรองแก้วคุยกับตนเองเพื่อไม่ให้คิดมาก แต่เธอก็เผลอนึกถึงฝันจนต้องส่ายหน้าไปมาไล่ความคิดแล้วปิดม่าน ละความสนใจจากดอกไม้เจ้าปัญหามาเข้าห้องซึ่งดุจดาวอาบน้ำเสร็จก็นอนทันที
คงไม่อยากคิดฟุ้งซ่านเรื่อง ‘ผู้ชาย’ อีก ปล่อยให้คนนอนข้างๆ ต้องขยับพลิกตัวไปมาอย่างต่างที่ต่างถิ่นจึงนอนไม่หลับ
ในที่สุดเวลาก็เดินมาถึงเที่ยงคืนจนได้
และแล้วก็มีเสียงหายใจสม่ำเสมอ และเสียงละเมอที่ดังค่อยๆ จนคนหลับก่อนได้ตื่นมาเงี่ยหูคอยฟัง
“พี่อยู่ไหนพี่สิง…”
“…!”
แก้วปวดหัว เจียนจะราก(อาเจียน) กับกลิ่นเลือดที่คละคลุ้งอยู่ทั่ว กระนั้นเธอก็ยังกวาดตาดูผู้คนเจ็บนอนเกลื่อนกลาด ฟังการพูดจาสั่งเสียกันก่อนจากไกลและบ้างสิ้นใจมิทันไป แต่ก็ตายตาหลับที่ได้กลับมาสู่อ้อมกอดของลูกเมีย พูดจาสั่งเสียกันจบค่อยอำลา…
เป็นภาพที่ทำให้เธอยืนน้ำตาไหลอยู่ท่ามกลางผู้คน เพราะไม่รู้ว่าชายรักเป็นตายร้ายดีอย่างไร ไปนอนเจ็บอยู่แห่งหนไหน หรือจะกลับมาถึงล่าช้ากว่าคนอื่นจึงหาเท่าใดก็ไม่พบไม่เจอ
“เจ็บกันถึงเพียงนี้เทียวรึวะ!” หญิงชราส่งเสียงดังลั่น
“ข้าศึกมันยกมาสองทางทั้งเหนือแลใต้ น่ากลัวว่าจะเป็นอย่างหลายปีก่อน!” ชายกลางคนตอบ จนผู้ได้ยินพลอยตกอกตกใจไปด้วย อดไม่ได้ที่จะเข้ามาถามว่าตะหารกลับมาหมดแล้วหรือยัง เธอหาเขาจนทั่วแล้ว ถึงได้ไม่เห็นแม้แต่เงา
“เอ็งหาพี่ หาพ่อ รึหาผัวล่ะวะ ประเดี๋ยวพวกข้าช่วยหาจะได้เจอไวๆ ว่าแต่หน้าตารูปร่างมันเป็นอย่างใด”
แก้วยิ้มเกลื่อนให้ชายรุ่นพ่อกับหญิงชราผู้มีน้ำใจ
“ฉันหาพี่สิงที่เป็นนักมวยค่ายพ่อครูน่ะจ้ะ คนที่รูปงามๆ ตัวกำยำล่ำสัน สูงประมาณนี้ เห็นหรือไม่จ๊ะ” เธอละล่ำละลักบอก ทำมือไม้ประกอบด้วยว่าเขาสูงกว่าเธอสักครึ่งแขนได้
“รูปงาม? มันมิมีผู้ใดรูปงามแล้ว กระมอมกระแมมกันหมดเอ็งมิเห็นรึว่าอย่างไร” หญิงมีอายุบอกแล้วพามองรอบๆ ที่ชายกลางคนเองได้ยินดังนั้นก็ส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจด้วย ว่าคงช่วยหาไม่ได้เพราะไม่เห็นจะมีใครเป็นอย่างที่เธอว่าสักคนเดียว
“ไม่เป็นไรจ้ะ ขอบน้ำใจ” แก้วไม่อ้อนวอนรอให้ช่วย ตัดสินใจเดินหาชายรักด้วยตนเองต่อ คนมีฝีมือทั้งดาบ มวย อย่างเขาต้องกลับมาแล้ว จะไม่กลับได้อย่างไร เธอไม่เชื่อ
“พี่ชายจ๊ะ เห็นพี่สิงนักมวยค่ายครูแสงบ้างรึไม่”
“ไอ้สิงลูกชายตามั่นน่ะรึเห็นๆ”
คำตอบจากชายผู้โตกว่าทำให้แก้วมีความหวัง
“เห็นพี่สิงอยู่ที่ใดจ๊ะ บอกฉันที ฉันหาจนทั่วแล้วมิเจอเลยจ้ะ”
“พี่เห็นมันก่อนหน้าจะมาถึงที่นี่น่ะ”
“…” แก้วยิ้มค้าง พูดไม่ออก ไม่อยากตีความไปไกล ก็พอดีมีเสียงเอะอะมะเทิ่งดังจากอีกฟากให้พากันหัน พี่ชายตรงหน้าจึงว่าให้เธอไปดูทางนั้น แก้วจึงรีบขอบอกขอบใจ แล้วจ้ำมาทันทีจนได้พบกับตะหารอีกหลายนายนั่งๆ นอนๆ อยู่ลานวัด
เธอใจเต้นกระหน่ำเมื่อเห็นชายผู้หนึ่งเพิ่งถูกหามลงเกวียนมาวางบนดินโดยแขนแกร่งมีผ้าประเจียดม้วนรัด เสื้อที่ใส่ขาดวิ่นแหว่ง เห็นไปถึงกายกำยำข้างในซึ่งมีแต่รอยฟกช้ำดำเขียวจนเธอต้องมองให้แน่ใจก่อน ค่อยเข้ามาออกแรงจับร่างชายหนุ่มผู้หันคว่ำให้พลิกหงาย เลยเห็นอกที่มีคราบเลือดแห้งกรัง และยังมีผ้าที่เธอคุ้นตาพันเหน็บเก็บกับบั้นเอวไว้อย่างดี เธอเลยทรุดนั่งทันที
ทรุดนั่งเพื่อเข้าประคองร่างตะหารผู้นี้ให้ได้มานอนหนุนที่ตักของเธอแทนดินแข็งๆ ตามด้วยจับชายสไบมาเช็ดคราบไคลที่ไหลเปื้อนหน้าคมคร้ามให้ เช็ดสันจมูกกับปากที่แห้งแตกระแหง เช็ดมายันเปลือกตาที่หากลืมขึ้นก็จะได้สบกับตาคู่คม
เช็ดแก้มสากที่ตอบลงไปมาก
เธอมือสั่นเมื่อเห็นแผลลึกที่อกแน่น น้ำตาพลันไหลอย่างนึกเจ็บแทน ยิ่งเห็นผ้ากระดำกระด่างที่พันเหน็บเก็บ เธอยิ่งมีก้อนสะอื้นแล่นขึ้นตันเต็มคอ นึกถึงปีก่อนตอนเขานำสไบมาให้และบอกว่าเป็นของรักของหวงของแม่ แต่เขามอบให้เธอเก็บไว้…
เป็นเหตุให้เธอลอบพ่อกับแม่มาส่งเขาไปทัพเมื่อปีกลาย ซึ่งนอกจากเสบียงกรังแล้ว แก้วยังกลั้นอายปลดผ้าคลุมไหล่ให้ด้วยแทนความนัยเพราะความเป็นหญิงทำให้เธอมิอาจพูดบางคำ
ทำได้เพียงให้ของแทนใจแก่คนจะไป
มิคิดเลยว่าจะยังเก็บมันไว้ นึกว่าจะโยนทิ้ง นึกว่าจะพาหญิงใดกลับมาด้วย นึกว่ามีลูกมีเมียอยู่รายทางแล้วเสียอีก
โธ่เอ๋ย ตลอดเพลาที่ห่างไกล เธอทั้งห่วง ทั้งกลัวใจชายอย่างเขาที่ยังหนุ่มยังแน่น ย่อมเป็นธรรมดาหากจะเปล่าเปลี่ยวแล้วพบเจอหญิงใดระหว่างทางจนอาจลืมถ้อยคำที่ให้ไว้กับเธอก็เป็นได้
คิดแล้วแก้วน้ำตาไหลที่เธอมองผิดไป บัดนี้จึงได้แต่แตะหน้าคนเจ็บอย่างไม่สนว่าจะเปรอะเปื้อนไปด้วย ไม่สนใจสิ่งใดอีก อยากรู้เพียงเหตุใดเขายังนอนนิ่งมิหือมิอือ มิลืมตามาเสียที
“เจ็บหรือไม่จ๊ะ” เธอถามเมื่อลูบแก้มให้รู้สึกตัว “พี่มิอยู่หลายเดือนที่นี่มีกระไรเกิดขึ้นตั้งมาก ฉันมีเรื่องอยากเล่าสู่พี่ฟัง เยอะทีเดียว ฉันมาดูแลต้นแก้วที่พี่รักไว้ด้วยนะพี่สิง”
“พี่ได้ยินหรือไม่จ๊ะ ช่วยตอบฉันทีเถิด”
หากดั้นด้นกลับมาถึงที่นี่แล้วก็ช่วยขยับเนื้อตัว ให้เธอหายห่วงสักนิดมิได้หรือไร อย่านิ่งอย่างนี้เพราะเธอชักใจคอไม่ดี
“อยากรู้มิใช่รึว่าฉันรัก ฉันห่วงพี่หรือไม่ ตื่นมาฟังเสียสิพี่สิง” แก้วเอ่ยเมื่อคิดได้ว่าเธอไม่ควรปากหนักอีกเมื่อเห็นสภาพของชายรัก “ฉันรักพี่นะพี่สิง รักมาเนิ่นนานเต็มที รักพี่มาตลอด…”
เป็นการเอ่ยทั้งน้ำตาเมื่อคำรักจากปากเธอดูเหมือนจะไม่มีผลต่อคนนอนบนตัก หลับไหลไม่มีทีท่าจะตื่นง่าย
“กลับเรือนหาข้าวปลากินกันเถิดจ้ะ…”
“เหนื่อยหรือไร ไปนอนที่เรือนดีกว่านะจ๊ะ…” แก้วบอกอย่างกลัวคนหลับลืมไป ว่าที่นี่นอนไม่สบายเท่าเรือนไผ่ของเขา ฉะนั้นตื่นก่อนเถิด กลับมาเหนื่อยๆ เขาจะนอนจนหมดวันหมดคืนก็ไม่มีใครว่า
“ฉันจะได้ไปหุงหา ทำต้มสายบัว ของโปรดของพี่อย่างไรจ๊ะ ป่านนี้พ่อพี่คงคอยท่าแล้วกระมัง…”
ความเงียบที่ได้รับกลับมาทำให้คนพูดคนเดียวใจหายนักแล้ว
“พี่อย่าใจร้ายกับฉันนักเลย ฉันบอกให้ตื่นอย่างไรเล่า ตื่นได้แล้วพี่สิง ตื่นลืมตาขึ้นประเดี๋ยวนี้ อย่าทำเหมือนไม่ได้ยินฉันได้หรือไม่ ฉันบอกให้พี่ตื่นอย่างไรเล่า ได้ยินฉันหรือไม่พี่สิง…”
“…”
ความคิดเห็น