ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เสน่ห์หาตราตรึงใจ

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่1 (อัพลงได้นิด)

    • อัปเดตล่าสุด 3 ก.ค. 55


           
               รถโดยสารปรับอากาศคันเก่าวิ่งแล่นมุ่งสู่กรุงเทพเมืองอันศิวิไลซ์ที่บรรดาผู้คนต่างเดินทางเข้าเพื่อไปหาเงินทอง ภายในรถมีผู้โดยสารนั่งประปรายเพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาล ผู้คนมักจะไม่นิยมเดินทาง แสงไฟที่มืดสนิทแต่กลับมีเสียของเครื่องเล่นดีวีดีที่ฉายภาพยนต์แนวตลกให้กับผู้โดยสารทียังไม่มีทีท่าว่าจะหลับ
              ร่างชายหนุ่มนั่งติดริมหน้าต่าง มีผ้าบางๆคลุมร่างกายป้องความหนาวเย็นตลอดคืนจนจะถึงปลายทางก็ร่วมๆ5-6 ชั่วโมง ดวงตากลมโตจ้องมองดูจอโทรทัศน์ หัวเราะเบาๆกับมุกชวนขบขัน ก่อนจะหยุดละสายตาจากจอทีวีเมื่อโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าดังขึ้น

               " ฮัลโหล"   ชายหนุ่มเห็นเบอร์โทรเข้ารีบรับสายทันที
               "ถึงไหนละ ไอ้ภาม"  ปลายสายชิงถามคำถามตัดหน้าเสียก่อน
               "อยู่บนรถแล้วว่ะ รถออกมาได้สักพักแล้ว"
               "ก็เกือบๆสว่างแล้วคงจะถึง พอดีข้าก็คงเลิกงานพอดี เดี๋ยวข้าไปคอยรับเองที่หมอชิตแล้วกัน ไงโทรมาหาข้าอีกที่นะไอ้ภาม"
               "เออ"
               "ไงเดี๋ยวข้าทำงานก่อนแล้วกันเพื่อน" สิ้นเสียงปลายสายเท่านั้นเขาก็นั่งดูทีวีอย่างตั้งใจต่อ

               ภามร หรือภาม เดินทางเข้าเมืองกรุงตามคำชักชวนของเพื่อนอย่างโรมรันที่สนิทสนมกันตั้งแต่เด็กจนมัธยมปลาย ทั้งคู่เคยที่จะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วยกันแต่ต้องมีภามก็มีเหตุที่ต้องเสียโอการสเพราะไม่มีทุนทรัพย์ การเรียนต่อมหาลัยในกรุงเทพจะต้องเสียเงินมากมาย ซึ่งทางบ้างของภามกับอาชีพชานนาไม่มีเงินพอที่จะส่งได้

              เมื่อ2เดือนที่แล้ว ภามได้พบเจอกับโรมรันเมื่อครั้งที่โรมรันกลับไปเยี่ยมบ้าน โรมรันจึงชวนภามเข้ากรุงเทพแล้วจะหางานให้ทำแต่ภามกลับปฏิเสธเพราะต้องช่วยที่บ้านทำนา ทั้งคู่เลยแลกเบอร์โทรศัพท์ไว้เผื่อติดต่อพูดคุยกัน

               "พ่อครับหลับหรือยังครับ"  ภามต่อสายโทรศัพท์ถึงบิดาเพราะความหวั่นใจที่ต้องห่างบิดามารดาจึงมีความคิดถึงถึงห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง
               "พ่อยังเลยลูก แม่แกด้วย เป็นห่วงแกเลยนอนไม่หลับ"
               "ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะพ่อ โรมรันโทรมาหาผมแล้วครับ"  ภามนิ่งเงียบสักครู่
               "ผมสัญญาครับพ่อ ว่าจะรีบเก็บเงินมาให้ทันช่วงฤดูหว่านข้าวครับพ่อ" 
               
               เพราะต้องหาเงินมาเป็นทุนในการซื้อเมล็ดพันธ์ข้าวใหม่ที่ถูกโกงไปเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคงบ้านนอกที่คิดว่าขายเมล็ดพันธ์ให้กับเถ้าแก่ที่รับซื้อเมล็ดพันธ์ถึงที่บ้านจะให้ราคาดีกว่ากับขายส่งโรงสีใหญ่ แต่แล้วก็ต้องถูกเถ้าแก่พูดจาหว่านล้อมฉกเงินราคาข้าวถึงกลับขาดทุนย่อยยับก็ต้องทำใจเพราะไม่อาจสามารถต่อกรอะไรได้เพราะไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรท่จะเอาผิดได้
              
              ภามคิดอย่างเดียวว่าต้องมีเงินมีทองให้เยอะที่สุด เพราะเห็นความลำบากของคนเบี้ยน้อยแล้วถูกเอารัดเอาเปรียบเสียเยอะ

              "จำไว้นะภาม อย่าลืมคำที่พ่อสอนเองมาตั้งแต่เด็กๆนะ คำสามคำ"
              "ครับพ่อ ขอบคุณ สวัสดี ขอโทษ ต้องพุดให้เป็นไปไหนจะได้ไม่ลำบาก" ภามตอบกลับอย่างทันควัน

              หลังจากที่นั่งครุ่นคิดของคำที่พ่อเคยสอน ภามก็เผลอหลับไปพักใหญ่ๆ สะดุ้งตื่นอีกทีเสียงเอะอะของผู้โดยสารที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของภามดังขึ้น พนักงานขับรถรีบเปิดไฟสว่างทั่วทั้งคันเหล่าผู้โดยสารต่างจ้องไปยังจุดต้นตอของเสียง
             
              "เป็นอะไรค่ะคุณ"  พนักงานตอนรับเดินตรงไปยังสตรีวัยกลางคนที่ส่งเสียงเอะอะ
              "เมื่อกี้มีคนลงสถานีที่ผ่านมาหรือเปล่า"  สตรีวัยกลางคนพูดด้วยท่าทางตกใจมือไม้สั่นควานหาของมีค่ารอบตัว
              "คือกระเป๋าเงินฉันหายฉันเผลอหลับไปตื่นมาก็หาไม่เจอ"  เสียงสตรีสั่นเล็กน้อยน้ำตาคลอเบ้า

              ภามนึกขึ้นได้ระหว่างทางบริเวณท้องนาได้มีสองหนุ่มสาวกวักเรียกรถให้จอดแล้วยกมือไหว้ขอความช่วยเหลือพนักงานขับรถเห็นว่าต้องเข้าเมืองในตัวจังหวัดจึงอนุญาติให้ขึ้นมา ถ้ามีขโมยจริงสองคนนั้นต้องตกเป็นจำเลยอยู่แล้วแต่คงช่วยไม่ได้เพราะวิ่งรถมาไกลหลายกิโล
               
             "ของใครหายอีกไหมค่ะ"  เสียงพนักงานตะโกนดังทั่งทั้งคันรถ

             ภามรีบควานหาของมีค่าทันทีโชคดีที่กระเป๋าเงินยังอยู่ดี แต่โทรศัพท์มือถือของ่ภามภามพยายามหาทุกซอกทุกมุมของกระเป๋ายังไม่เจอสักทีในใจคิดถ้าหายจริงโจรขโมยคงจะรีบเอามาคืนให้ทันเพราะเครื่องเก่าแสนเก่าเชยแสนเชยฝากหรือจำนำก็คงจะได้ไม่ถึง100-200บาท แต่ที่ภามเสียดายก็เบอร์โทรศัพท์ที่บันทึกไว้นั้นเอง

            ภามนั่งวิตกกังวลตลอดทางใจจริงถ้าไม่พบเจอเพื่อนภามก็อาจจะเดินทางกลับบ้านก็ได้แต่สัญชาตญาณของเด้กหนุ่มที่ทำงานสู้ชีวิตมาตั้งแต่เยาว์วัยมีความคิดที่ยังต้องเสี่ยงเอาดาบหน้า

           รถโดยสารจอดเทียบชานชาลาที่หมอชิต ภามลงจากรถด้วยสภาพร่างกายอิดโรยทั้งกายและใจ สายตาหันรีหันขวาเดินหน้าถอยหลังลังเลไม่รู้จะไปจุดไหนมุมไหน เขาเลยตัดสินใจเดินตามผู้โดยสารที่เดินมุ่งหน้าพากันเดินตามป้ายลูกศรชี้บอกทาง ตลอดทางที่เดินเขาได้แต่ภาวนาให้บังเอิญเจอกับเพื่อนสนิท สถานีขนส่งหมอชิตกว้างใหญ่ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างคนต่างเดินไม่พูดจาทักทายเหมือนกับคนชนบท ภามไม่รู้จะไปถามใครผู้ใดเห็นผู้อื่นนั่งรอก็เลยหย่อนกายนั่งลงบ้าง อาการง่วงของเขาก็เพิ่มทวีคูณขึ้นๆเรื่อยๆจนเขาเผลอหลับไป
     
     
          ภามสะดุ้งตื่นเมื่อมีมือขนาดใหญ่มาจับเขย่าบริเวณแขน เขาลืมตาขึ้นอย่างสลึมสลือ เขาหลับลงไปนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่ที่รู้ตอนหย่อนกายแสงของตะวันยังไม่อาจทำให้ดวงตาของชายหนุ่มหรีลง เขารีบหันหาเจ้าของมือที่เขย่าร่างต้องตกใจรีบก้มมองเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือ
           "รอใครเหรอพ่อหนุ่ม"  ชายวัยกลางคนเริ่มต้นบทสนทนากับภามขึ้น
           "ผมรอเพื่อนครับ"    ภามพูดพร้อมซ้ายหันขวาชะเง้อมองหาเพื่อนสนิท
           "ลุงเห็นพ่อหนุ่นนอนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ยังไม่สว่าง"
           "ครับผม"  สีหน้าความกังวลของภามเริ่มออกเห้นได้ชัด
           "พ่อหนุ่มมาจากไหนละ"
           "มาจากต่างจังหวัดครับ"  การพูดการจาของภามดูยิ้มแย้มไม่ถือตัวมีหางเสียงทุกคำ ขนาดยังไม่รู้จักกับคู่สนทนาใครต่อใครก็ประทับใจในความไพเราะและท่าทาง
           "แล้วนี้ไม่หิวข้าวหรือพ่อหนุ่ม "
           "ยังไม่หิวครับ" แต่อาการกับต่างจากคำพุดเมื่อเขาเอามือลูบท้อง
          
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×