ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่1 (อัพลงได้นิด)
รถโดยสารปรับอากาศคันเก่าวิ่งแล่นมุ่งสู่กรุงเทพเมืองอันศิวิไลซ์ที่บรรดาผู้คนต่างเดินทางเข้าเพื่อไปหาเงินทอง ภายในรถมีผู้โดยสารนั่งประปรายเพราะไม่ใช่ช่วงเทศกาล ผู้คนมักจะไม่นิยมเดินทาง แสงไฟที่มืดสนิทแต่กลับมีเสียของเครื่องเล่นดีวีดีที่ฉายภาพยนต์แนวตลกให้กับผู้โดยสารทียังไม่มีทีท่าว่าจะหลับ
ร่างชายหนุ่มนั่งติดริมหน้าต่าง มีผ้าบางๆคลุมร่างกายป้องความหนาวเย็นตลอดคืนจนจะถึงปลายทางก็ร่วมๆ5-6 ชั่วโมง ดวงตากลมโตจ้องมองดูจอโทรทัศน์ หัวเราะเบาๆกับมุกชวนขบขัน ก่อนจะหยุดละสายตาจากจอทีวีเมื่อโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าดังขึ้น
" ฮัลโหล" ชายหนุ่มเห็นเบอร์โทรเข้ารีบรับสายทันที
"ถึงไหนละ ไอ้ภาม" ปลายสายชิงถามคำถามตัดหน้าเสียก่อน
"อยู่บนรถแล้วว่ะ รถออกมาได้สักพักแล้ว"
"ก็เกือบๆสว่างแล้วคงจะถึง พอดีข้าก็คงเลิกงานพอดี เดี๋ยวข้าไปคอยรับเองที่หมอชิตแล้วกัน ไงโทรมาหาข้าอีกที่นะไอ้ภาม"
"เออ"
"ไงเดี๋ยวข้าทำงานก่อนแล้วกันเพื่อน" สิ้นเสียงปลายสายเท่านั้นเขาก็นั่งดูทีวีอย่างตั้งใจต่อ
ภามร หรือภาม เดินทางเข้าเมืองกรุงตามคำชักชวนของเพื่อนอย่างโรมรันที่สนิทสนมกันตั้งแต่เด็กจนมัธยมปลาย ทั้งคู่เคยที่จะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วยกันแต่ต้องมีภามก็มีเหตุที่ต้องเสียโอการสเพราะไม่มีทุนทรัพย์ การเรียนต่อมหาลัยในกรุงเทพจะต้องเสียเงินมากมาย ซึ่งทางบ้างของภามกับอาชีพชานนาไม่มีเงินพอที่จะส่งได้
เมื่อ2เดือนที่แล้ว ภามได้พบเจอกับโรมรันเมื่อครั้งที่โรมรันกลับไปเยี่ยมบ้าน โรมรันจึงชวนภามเข้ากรุงเทพแล้วจะหางานให้ทำแต่ภามกลับปฏิเสธเพราะต้องช่วยที่บ้านทำนา ทั้งคู่เลยแลกเบอร์โทรศัพท์ไว้เผื่อติดต่อพูดคุยกัน
"พ่อครับหลับหรือยังครับ" ภามต่อสายโทรศัพท์ถึงบิดาเพราะความหวั่นใจที่ต้องห่างบิดามารดาจึงมีความคิดถึงถึงห่างกันแค่ไม่กี่ชั่วโมง
"พ่อยังเลยลูก แม่แกด้วย เป็นห่วงแกเลยนอนไม่หลับ"
"ไม่ต้องเป็นห่วงผมนะพ่อ โรมรันโทรมาหาผมแล้วครับ" ภามนิ่งเงียบสักครู่
"ผมสัญญาครับพ่อ ว่าจะรีบเก็บเงินมาให้ทันช่วงฤดูหว่านข้าวครับพ่อ"
เพราะต้องหาเงินมาเป็นทุนในการซื้อเมล็ดพันธ์ข้าวใหม่ที่ถูกโกงไปเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคงบ้านนอกที่คิดว่าขายเมล็ดพันธ์ให้กับเถ้าแก่ที่รับซื้อเมล็ดพันธ์ถึงที่บ้านจะให้ราคาดีกว่ากับขายส่งโรงสีใหญ่ แต่แล้วก็ต้องถูกเถ้าแก่พูดจาหว่านล้อมฉกเงินราคาข้าวถึงกลับขาดทุนย่อยยับก็ต้องทำใจเพราะไม่อาจสามารถต่อกรอะไรได้เพราะไม่มีหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรท่จะเอาผิดได้
ภามคิดอย่างเดียวว่าต้องมีเงินมีทองให้เยอะที่สุด เพราะเห็นความลำบากของคนเบี้ยน้อยแล้วถูกเอารัดเอาเปรียบเสียเยอะ
"จำไว้นะภาม อย่าลืมคำที่พ่อสอนเองมาตั้งแต่เด็กๆนะ คำสามคำ"
"ครับพ่อ ขอบคุณ สวัสดี ขอโทษ ต้องพุดให้เป็นไปไหนจะได้ไม่ลำบาก" ภามตอบกลับอย่างทันควัน
หลังจากที่นั่งครุ่นคิดของคำที่พ่อเคยสอน ภามก็เผลอหลับไปพักใหญ่ๆ สะดุ้งตื่นอีกทีเสียงเอะอะของผู้โดยสารที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของภามดังขึ้น พนักงานขับรถรีบเปิดไฟสว่างทั่วทั้งคันเหล่าผู้โดยสารต่างจ้องไปยังจุดต้นตอของเสียง
"เป็นอะไรค่ะคุณ" พนักงานตอนรับเดินตรงไปยังสตรีวัยกลางคนที่ส่งเสียงเอะอะ
"เมื่อกี้มีคนลงสถานีที่ผ่านมาหรือเปล่า" สตรีวัยกลางคนพูดด้วยท่าทางตกใจมือไม้สั่นควานหาของมีค่ารอบตัว
"คือกระเป๋าเงินฉันหายฉันเผลอหลับไปตื่นมาก็หาไม่เจอ" เสียงสตรีสั่นเล็กน้อยน้ำตาคลอเบ้า
ภามนึกขึ้นได้ระหว่างทางบริเวณท้องนาได้มีสองหนุ่มสาวกวักเรียกรถให้จอดแล้วยกมือไหว้ขอความช่วยเหลือพนักงานขับรถเห็นว่าต้องเข้าเมืองในตัวจังหวัดจึงอนุญาติให้ขึ้นมา ถ้ามีขโมยจริงสองคนนั้นต้องตกเป็นจำเลยอยู่แล้วแต่คงช่วยไม่ได้เพราะวิ่งรถมาไกลหลายกิโล
"ของใครหายอีกไหมค่ะ" เสียงพนักงานตะโกนดังทั่งทั้งคันรถ
ภามรีบควานหาของมีค่าทันทีโชคดีที่กระเป๋าเงินยังอยู่ดี แต่โทรศัพท์มือถือของ่ภามภามพยายามหาทุกซอกทุกมุมของกระเป๋ายังไม่เจอสักทีในใจคิดถ้าหายจริงโจรขโมยคงจะรีบเอามาคืนให้ทันเพราะเครื่องเก่าแสนเก่าเชยแสนเชยฝากหรือจำนำก็คงจะได้ไม่ถึง100-200บาท แต่ที่ภามเสียดายก็เบอร์โทรศัพท์ที่บันทึกไว้นั้นเอง
ภามนั่งวิตกกังวลตลอดทางใจจริงถ้าไม่พบเจอเพื่อนภามก็อาจจะเดินทางกลับบ้านก็ได้แต่สัญชาตญาณของเด้กหนุ่มที่ทำงานสู้ชีวิตมาตั้งแต่เยาว์วัยมีความคิดที่ยังต้องเสี่ยงเอาดาบหน้า
รถโดยสารจอดเทียบชานชาลาที่หมอชิต ภามลงจากรถด้วยสภาพร่างกายอิดโรยทั้งกายและใจ สายตาหันรีหันขวาเดินหน้าถอยหลังลังเลไม่รู้จะไปจุดไหนมุมไหน เขาเลยตัดสินใจเดินตามผู้โดยสารที่เดินมุ่งหน้าพากันเดินตามป้ายลูกศรชี้บอกทาง ตลอดทางที่เดินเขาได้แต่ภาวนาให้บังเอิญเจอกับเพื่อนสนิท สถานีขนส่งหมอชิตกว้างใหญ่ ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างคนต่างเดินไม่พูดจาทักทายเหมือนกับคนชนบท ภามไม่รู้จะไปถามใครผู้ใดเห็นผู้อื่นนั่งรอก็เลยหย่อนกายนั่งลงบ้าง อาการง่วงของเขาก็เพิ่มทวีคูณขึ้นๆเรื่อยๆจนเขาเผลอหลับไป
ภามสะดุ้งตื่นเมื่อมีมือขนาดใหญ่มาจับเขย่าบริเวณแขน เขาลืมตาขึ้นอย่างสลึมสลือ เขาหลับลงไปนานเท่าไหร่ไม่รู้แต่ที่รู้ตอนหย่อนกายแสงของตะวันยังไม่อาจทำให้ดวงตาของชายหนุ่มหรีลง เขารีบหันหาเจ้าของมือที่เขย่าร่างต้องตกใจรีบก้มมองเหลือบดูนาฬิกาที่ข้อมือ
"รอใครเหรอพ่อหนุ่ม" ชายวัยกลางคนเริ่มต้นบทสนทนากับภามขึ้น
"ผมรอเพื่อนครับ" ภามพูดพร้อมซ้ายหันขวาชะเง้อมองหาเพื่อนสนิท
"ลุงเห็นพ่อหนุ่นนอนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ยังไม่สว่าง"
"ครับผม" สีหน้าความกังวลของภามเริ่มออกเห้นได้ชัด
"พ่อหนุ่มมาจากไหนละ"
"มาจากต่างจังหวัดครับ" การพูดการจาของภามดูยิ้มแย้มไม่ถือตัวมีหางเสียงทุกคำ ขนาดยังไม่รู้จักกับคู่สนทนาใครต่อใครก็ประทับใจในความไพเราะและท่าทาง
"แล้วนี้ไม่หิวข้าวหรือพ่อหนุ่ม "
"ยังไม่หิวครับ" แต่อาการกับต่างจากคำพุดเมื่อเขาเอามือลูบท้อง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น