คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
บทนำ
เพราะมนุษย์มีความปรารถนา ปรารถนาที่จะมี จะได้…ปรารถนาในชัยชนะ แม้กระทั่ง ปรารถนาที่จะมีชีวิตดั่งใจต้องการ เมื่อได้สิ่งหนึ่งก็ยังต้องการอีกสิ่งหนึ่งเพราะมนุษย์นั้นไม่เคยรู้จักพอ “ความปรารถนา”จึงเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงที่ไม่มีวันหมด เป็นล้อที่คอยขับเคลื่อนการเดินทางของชีวิตไม่ให้หยุดลง…
โลกใบนี้เคลื่อนไหวตามความต้องการของก็อด(God) ทุกสรรพสิ่งดำเนินและเป็นไปตามกฎของพระเจ้า ในขณะที่ก็อด(God)ยังคงไม่หยุดอยู่ที่ดาวเคราะห์ธรรมดาๆเพียงดวงเดียวและยังคงตามหาสิ่งน่าสนใจใหม่ๆเสมอ ชะตาชีวิตของสิ่งมีชีวิตเล็กๆและเรื่องราวของโลกจึงถูกถ่ายโอนให้กับคานอำนาจทั้งสาม ชีวิต วิญญาณ และกาลเวลา… พวกเราเรียกทั้งสามรวมกันว่า ‘โชคชะตา..’
‘เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน….’
---------------------------------------------------------------------
...ประเทศไทย พุทธศักราช 2555 กรุงเทพมหานคร...
พายุหลงฤดูไม่เคยสร้างความประทับใจให้กับใคร สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ขณะที่การจราจรเหมือนจะชะงักไปชั่วคราว ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ลอยขึ้นไปเหนือตึกระฟ้าจนเหมือนจะไปรวมกับเมฆฝนก้อนใหญ่ที่ลอยนิ่งอยู่เหนือเมือง เวลานี้ทางด่วนจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจทางหนึ่ง
บนทางด่วนดูเหมือนเป็นคนละโลกกับถนนหนทางทั้งหลายแหล่ รถยนต์ส่วนตัวจนกระทั่งรถบรรทุกที่หลีกเลี่ยงเส้นทางที่ติดขัดได้ต่างพากันเหยียบมิดไมล์บนทางด่วนอย่างไม่สนใจว่าถนนจะลื่นจากฝนที่ตกลงมาอย่างไร รถครอบครัวเล็กๆคันหนึ่งบีบแตรเสียงดังเมื่อมีรถกระบะไร้มารยาทขับแซงไปกะทันหัน ถ้ามองผ่านฟิล์มเข้าไปในรถจะเห็นครอบครัวเล็กๆครอบครัวหนึ่งที่กำลังใจหายใจคว่ำกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“ชิส์!มันรีบขับรถจะไปตายที่ไหนของมันวะ” ชายวัยกลางคนซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัวสบถเสียงดัง เขาเพิ่งอารมณ์เสียจากที่ทำงานมาแล้วยังมาเจอคนขับรถแย่ๆ ทำให้เส้นอารมณ์ที่อดทนตั้งแต่อยู่ต่อหน้าหัวหน้าของเขาขาดผึง มืออวบหนายังคงกระแทกแตรรถอีกเป็นครั้งที่สอง
“คุณคะ ใจเย็นหน่อย นี่บนทางด่วนนะ”ภรรยาซึ่งนั่งข้างๆอดทนต่อการกระทำของสามีไม่ไหวจนต้องพูดขึ้นเพื่อห้ามปราม
“จะให้ผมใจเย็นยังไงไหว คุณก็เห็นอยู่ว่าฝั่งนั้นมันผิด!” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายขัดขึ้น ทำให้เสียงเขาชักสีหน้าอย่างไม่พอใจแล้วกระชากเสียงดังขึ้นจนเป็นการตะคอก
“นี่คุณ! ฉันพูดดีๆกับคุณนะทำไมต้องมาตะคอกกันด้วย!” ฝ่ายภรรยาเมื่อโดนลงอารมณ์ใส่ก็โมโหขึ้นหน้า แล้วการอารมณ์เสียจากคนขับรถไร้มารยาทก็เปลี่ยนมาเริ่มมีปากเสียงด้วยคำพูดที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆแทน โดยที่มีอีกหนึ่งชีวิตเล็กๆขดกลัวอยู่ที่เบาะด้านหลัง
“เอออยากจะเลิกนักใช่ไหม! ผมเองก็เบื่อเหมือนกันพรุ่งนี้ไปที่ว่าการกันเลยดีกว่า!” อารมณ์ที่กำลังระเบิดเต็มที่ทำให้เขาหันหน้าไประเบิดอารมณ์… โดยไม่ทันได้ดูว่ารถบรรทุกที่เบียดมาด้านข้างกำลังเสียหลักจากถนนที่ลื่นเพราะน้ำฝน และเหวี่ยงมาอย่างไม่อาจหยุด
“คุณ!! ระวัง!!! กรี๊ดดดดดดดดดดด”
ตู้มม!!
ร่างหนึ่งยืนมองภาพรถทั้งสองคันปะทะกันอย่างรุนแรงจนเกิดแรงระเบิด ขณะที่รถคันหลังที่ตามมาด้วยความเร็วต่างพากันเหยียบเบรกตัวโก่งจนได้กลิ่นไหม้ แต่ก็ไม่ทันการ พุ่งเข้าไปปะทะด้วยและชนขอบทางด่วนอีกหลายต่อหลายคัน ‘เขา’มองภาพอุบัติเหตุครั้งใหญ่ข้างหน้าอย่างเรียบเฉย เส้นผมสีเงินยาวถูกมัดรวบต่ำอยู่ด้านหลัง จนกระทั่งรถพลเมืองดีมาจอดปิดถนนแล้วโทรเรียกตำรวจและหน่วยกู้ภัยเหตุการณ์ถึงสงบลง…เขาก้าวออกไป
ชายหนุ่มในชุดสีขาวเดินมาหยุดอยู่กลางทางด่วนขณะที่รถกู้ภัยหลายคันวิ่งผ่านทะลุร่างเขาไปเหมือนธาตุอากาศ แล้ววาดมือออกไปข้างหน้า แสงสีขาวสว่างวาบตามจุดต่างๆก่อนจะมารวมตัวกันอยู่เหนือมือของชายหนุ่ม มุมปากยกขึ้นอย่างปิดความพอใจไม่มิด แต่...ก่อนที่เขาจะทันทำอะไร แสงสว่างนั้นกลับกระจายตัวออกและลอยออกไปจากมือเขาอย่างรวดเร็วเหมือนโดนอะไรบางอย่างปัด เขาชักสีหน้าทันที
!
“นายไม่มีสิทธิ์ทำอะไรกับ ‘ชีวิต’ และฉันแน่ใจว่านายไม่ได้กำลังปฏิบัติดีๆตามหน้าที่ต่อ ‘วิญญาณ’ เหล่านี้ “ เสียงเย็นเยียบของผู้หญิงดังขึ้นอยู่ข้างหูของชายหนุ่ม หมอกบางๆก่อตัวขึ้นอย่างไม่มีใครสังเกตเห็นพร้อมกับร่างที่ก้าวออกมา ผมสีบลอนด์อ่อนดูหม่นแสงเมื่ออยู่กลางสายฝนล้อมกรอบดวงหน้างดงามเสมือนภาพวาดนิ่งเฉยเช่นเดียวกับดวงตาสีอำพันที่เย็นเฉียบเสมือนไร้ความรู้สึก
“เธอเองก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้อง ‘วิญญาณ’ ของฉันวิซ ” เขาหันหน้าไปเผชิญกับเจ้าของเสียงนิ่งๆ อย่างไม่พอใจดวงตาสีเงินเรืองแสงสีม่วงออกมาชั่วขณะ
เกลียด…เขาเกลียดการมีคนมาขัดจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อเขาต่อต้านไม่ได้ด้วยอำนาจหน้าที่ เกลียดใบหน้านั่นที่เหมือนคนที่เขาไม่เคยอยากให้มีชีวิต เกลียดสายตาดูถูกและเส้นผมสีบลอนด์ ตัวแทนของแสงตะวัน…แตกต่างจากผมสีเงินของเขา ทั้งที่พวกเขาทั้งสามคนเป็นคนที่ได้รับความรักจากก็อด (God) เหมือนกันแท้ๆ แต่เขากลับเป็นได้แค่แสงจันทร์ที่ต้องคอยแต่พึ่งดวงอาทิตย์! ...และพ่ายแพ้ทุกครั้งให้แก่ท้องฟ้าดำมืดที่เขาไม่เคยเอาชนะได้
“เพราะเท่าที่ฉันเห็น…นายกำลังเริ่มก้าวก่ายงานของฉันแองเจ!”อุณหภูมิรอบข้างเย็นลงทันทีเมื่อเสียงหวานเย็นเยียบขึ้นมา
“มนุษย์เขาเรียกกันว่าอะไรนะ...ก็แค่อุบัติเหตุ เธอจะสนใจอะไร ถึงที่ตายของเจ้าพวกนี้เองต่างหาก” เจ้าของชื่อยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“ไม่มีชีวิตไหนที่สมควรจะไร้วิญญาณก่อนที่จะได้ลองพยายามมีชีวิต แต่นายพรากชีวิตและวิญญาณจากพวกเขาทั้งที่ยังไม่มีกำหนดการ นายรับปากไทม์ —”
“อย่าพูดชื่อนั้นให้ฉันได้ยิน!!” ปีกสีขาวขนาดใหญ่กางออกอย่างต้องการแสดงอำนาจ ผมสีเงินที่รวบต่ำไว้ปลิวทั้งที่ไม่มีลม ใบหน้าหล่อเหล่าบิดเบี้ยวด้วยโทสะ ตาต่อตา ความเงียบครอบงำสภาพบริเวณนั้นขณะที่เสียงดังโหวกเหวกของหน่วยกู้ภัยที่พยายามช่วยกู้ชีวิตที่อาจมีชีวิตรอดถูกตัดออก เม็ดฝนที่ตกกระทบตัวหญิงสาวเริ่มกลายเป็นหมอกด้วยไอความร้อนจากตัว กังวล…ความกังวลบางอย่างแล่นขึ้นมาในความคิด ที่แย่ที่สุดคือ ลางสังหรณ์ของเธอไม่เคยผิด สิ่งที่กำลังรบเร้าเธอจากข้างในทำให้เธอตัดสินใจพูดขึ้นมาทำลายความเงียบ
“ฉันดูออกว่านายกำลังคิดจะทำอะไร นายไม่ควรทำ ผลมันแย่กว่าที่นายคิด มาก” เพียงแวบเดียวที่วิซเผยสีหน้าไม่สบายใจ หวังว่าสิ่งที่เธอคิดจะไม่เป็นจริง...
รอยยิ้มถือตัวค่อยๆเผยออกช้าๆเมื่อค่อยสงบอารมณ์ได้ ปีกสีขาวกระจายกลายเป็นขนนกก่อนจะหายไปในอากาศ
“นั่นสินะ แต่ถ้าฉันจะทำจริงมันจะเกิดอะไรขึ้น บางที อาจเป็นเกมที่น่าสนุกอีกกระดาน ฮ่าๆๆ!!” แองเจหัวเราะอย่างสะใจก่อนจะก้าวหายไปในสายฝน เสียงหัวเราะเมื่อครู่ยังคงดังก้องอยู่อีกพักใหญ่ถึงจะเงียบลง
วิซมองตามภาพนั้นด้วยความรู้สึกแปลกๆเธอหลับตารวบรวมสมาธิเพื่อเช็คให้แน่ใจ...จนคิ้วเรียวคลายออกอย่างโล่งอก’อย่างน้อยวิญญาณก็อยู่ในที่ที่ควรอยู่แล้ว’ เธอคิดพลางพิจารณาภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ขณะที่เธอกำลังจะกลับไปก็พลันได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงสะอื้นที่มีเพียงเธอที่ได้ยินก็ทำให้ขาทั้งสองพาตัวเธอออกไปจนถึงซากรถ แสงสีขาวลอยอยู่อย่างติดๆดับๆ ดวงวิญญาณสีขาวเล็กๆที่สะอื้นอยู่ท่ามกลางซากรถ เสียงนั้นเรียกหาเพียงพ่อแม่ที่คงไม่ได้ยินเธออีกแล้ว ไอความเสียใจจากดวงวิญญาณถูกถ่ายทอดเมื่อเธอพยายามมองดู …เธอยังเด็กเกินไปที่จะโดนพรากชีวิตไปแบบนี้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วย่อมสายเกินที่จะแก้ไข... หญิงสาวนั่งลงให้อยู่ในระดับสายตาไปหาแล้วยิ้มให้บางๆ
“เด็กน้อย มานั่งคนเดียวทำไมตรงนี้ ไม่ต้องกลัวนะ...” พลังจางๆถูกถ่ายทอดให้จนแสงสว่างค่อยๆกลายเป็นเด็กหญิงร่างโปรงแสง เด็กน้อยค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา น้ำตายังหยดแหมะอยู่ไม่เลิก
“ม...แม่จ๋า พ่อจ๋า อยู่ไหน”ริมฝีปากเล็กเบะเตรียมร้องไห้อีกรอบ แต่ก็หยุดลงเมื่อมืออุ่นๆของคนตรงหน้ากลับยื่นเข้าหาเธออย่างอ่อนโยน
“พี่เห็นนะ พ่อแม่ของเธอ เดี๋ยวพี่จะพาไปหา มานี่สิ”รอยยิ้มที่ส่งมาให้ทำให้เด็กหญิงลดความกลัวเธอไม่มีทางเลือกและคนตรงหน้าก็มีบางอย่างที่ทำให้เธอคิดจะเชื่อใจ มือเล็กค่อยๆเอื้อมไปจับมือหญิงสาวไว้อย่างกล้าๆกลัวๆ
วิซโอบร่างสาวน้อยในอ้อมแขนหมอกค่อยๆก่อขึ้นรอบตัวเด็กหญิงที่มองอย่างงุนงง มวลอากาศด้านรอบดูเปลี่ยนไปกะทันหันจนทำให้ต้องกอดหลักยึดมีชีวิตที่อุ้มตนไว้แน่น ก่อนคนตัวเล็กจะอ้าปากกว้าง ดวงตาเป็นประกาย เมื่อหมอกจางลงสิ่งที่เธอเห็นคือสถานที่ที่สวยงาม และไม่นึกไม่ฝันว่าจะพบ สถานที่ที่ได้ยินเพียงในนิทาน สีขาวละลานตารายล้อมด้วยปุยเมฆเหมือนสายไหม สัมผัสนุ่มเมื่อเธอถูกวางตัวลงทำให้เธอยิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ในที่ที่เรียกว่า ‘สวรรค์’ จริงๆ
เด็กหญิงจับมือพี่สาวคนสวยที่พาเธอมา ขาเล็กๆพาเธอเดินไปบนปุยนุ่มๆจนมาถึงประตูสีทองแกะสลักอย่างวิจิตรงดงามประดับพลอยหลากสี ริมประตูมีตัวอักษรประหลาดแกะสลักจนครบรอบ แสงออโรร่าหลากสีลอยอยู่เหนือบานประตูทิ้งตัวลงมาจากท้องฟ้าสีขาว
“ว้าว”ตัวเล็กอุทานอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ไปสิ ด้านหลังประบานนั้น พ่อกับแม่ของเธอรออยู่”วิซปล่อยมือเล็กๆลงช้าๆ ในตอนแรกเด็กน้อยทำท่าจะวิ่งเข้าไป แต่แล้วเธอก็ทำท่าจะนึกอะไรได้จึงวกกลับมา ความพยายามในการยืดตัวขึ้นเพื่อเงยมองให้เห็นทำให้หญิงสาวเลิกคิ้วแล้วย่อตัวเพื่อรอคุยด้วย
“พี่สาว พี่สาวเป็นใคร หนูจะได้ไปบอกพ่อจ๋าแม่จ๋า”คนตัวเล็กกว่ายิ้มกว้างโชว์เขี้ยวเล็กๆ คำถามนั้นทำให้เธอชะงักไปแล้วตัดสินใจตอบตามความจริง
“พี่เป็น...’แม่มด’ น่ะ” คำตอบที่ได้รับทำให้คิ้วเรียวเล็กขมวดผูกโบว์อย่างครุ่นคิด แล้วทำหน้าขัดใจ ในหัวของเธอกำลังนึกย้อนไปถึงคำนี้ที่เคยได้ยินจากเรื่องเล่าที่พ่อกับแม่ชอบเล่าให้ฟังก่อนนอน
“ไม่ใช่”
“คะ?” เป็นฝ่ายวิซบ้างที่ต้องเลิกคิ้วอย่างงุนงง
“พี่สาวไม่ใช่แม่มด แม่มดหน้าตาน่ากลัว ใจร้าย ชอบกินเด็ก”ภาพตนในสายตาของมนุษย์ทำให้เธออดยิ้มจางๆไม่ได้ เธอไม่
แปลกใจหรอก ในเมื่อเธอเป็นคนพรากชีวิตของพวกเขาจริง
“แต่พี่สาวสวย ใจดี หนูเรียกว่านางฟ้า” วิซชะงักแล้วมองสบดวงตาโตที่จ้องกลับมา เธอรู้สึกแปลกใจ… ไม่เคย ไม่สิ...เธอไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะมีใครที่มองแบบนั้น แต่สาวน้อยตรงหน้ากลับพูดในสิ่งที่ไม่เคยมีใครใช้เรียกเธอมาก่อน ในตอนที่มนุษย์เห็นเธอในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมักคิดว่าเธอคือคนที่ทำให้เขาต้องตาย คำเรียกต่างๆนาๆ ปีศาจ แม่มด จนกระทั่งวันนี้
“สาวน้อย... ฉันสามารถทำให้ความปรารถนาของมนุษย์เป็นจริงได้ เธอเป็นเด็กดี ดังนั้นจะให้พรเธอหนึ่งข้อ”
“พรเหรอคะ หนูชอบพร”ดวงตาใสๆเป็นประกายพร้อมจ้องมองอย่างคาดหวัง
“เวลาใกล้หมดแล้ว เพราะอย่างนั้น...ฉันขอให้เธอมีความสุข ทั้งในชีวิตหลังความตายและการเกิดในครั้งหน้า”วิซก้มลงจูบหน้าผากเด็กน้อยเบาๆ เส้นใยสีทองเป็นประกายถูกส่งผ่านตัวเธอหายไปในตัว เด็กน้อย
“หนูไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่...ขอบคุณมากค่ะ แล้วไว้เจอกันใหม่นะคะ พี่นางฟ้า” เด็กหญิงยิ้มหวานแล้ววิ่งไปที่ประตูก่อนโบกมือลาครั้งสุดท้าย
“แล้วเจอกัน...”เธอโบกมือลากลับเบาๆ...รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆจางลง …เพราะเมื่อถึงเวลาที่เจอกันครั้งต่อไป เธอก็จะไม่อยู่ในความทรงจำของใครทั้งนั้น
“ยังใจดีเหมือนเดิมเลยนะ”
ร่างหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังประตู วิซรีบหันมองต้นเสียงก่อนจะยิ้มน้อยๆรับ เขายังคงดูดีเหมือนวันแรกที่เธอได้เจอ วันแรกที่เธอได้รับชีวิต ชายหนุ่มผมสีดำสนิทขับใบหน้าคมหล่อเหลาให้ดูเข้มยิ่งขึ้น เขามักอยู่ในเสื้อสีดำ สีประจำตัว ทำงานอยู่ตลอดเวลา มีความรับผิดชอบและเป็นคนที่เธอเคารพและนับถือเหมือนพี่ชายแท้ๆมากที่สุด
“เด็กคือสิ่งที่บริสุทธิ์ ไทม์...ทำหน้าเครียดอีกแล้วนะ” คำทักนั้นทำให้ไทม์ยิ้มรับหน่อยๆแล้วเดินมาหา
“นี่ ฉันรู้เรื่องวันนี้แล้วนะ...บางทีฉันควรทำอะไรสักอย่าง”ชายหนุ่มพูดเรียบๆด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมลงกว่าเดิม …ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเธอว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น หญิงสาวได้แต่ใช้สายตาตั้งคำถาม หวังให้เขาพูดอะไรออกมา อะไรที่มันจะเป็นไปในทางที่ดี
“ถึงฉันไม่อยู่ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะยังคงดำเนินต่อไป ได้มั้ยวิซ” วิซชะงัก และได้แต่เงียบ โดยมีอีกฝ่ายที่มองมาด้วยสายตาเรียบเฉยที่ไม่เคยคาดเดาได้ กำลังมองอย่างรอคำตอบที่คาดว่าจะได้ยิน
ติ๊ก ติ๊ก...
เสียงนาฬิกาดังขึ้นภายในความเงียบทำให้ไทเมอร์ชะงัก นาฬิกาพกสีทองถูกหยิบขึ้นมาดู
“ได้เวลาแล้ว ฉันไปนะ” ชายหนุ่มเอ่ยเรียบๆแล้วหันหลังเดินกลับ
“ค่ะ...ฉันสัญญา”เสียงตอบรับเบาๆทำให้ไทเมอร์ยิ้มออกมาอย่างพอใจ รอยยิ้มที่หาได้ยาก ก่อนจะก้าวเข้าไปในประตูสีทองที่
เบื้องหลังเป็นสถานที่ทำงานของเขา ที่ซึ่งวิญญาณคนตายไม่อาจเดินย้อนกลับและคนเป็นไม่อาจได้เห็น
I see you in my dreams and I remember
ฉันพบเธอในความฝันของฉัน และฉันจำมันได้
all the good times we had together
ทุกช่วงเวลาดีๆที่เรามีร่วมกัน
It does not matter how near or far we are
มันไม่สำคัญว่าจะอยู่ใกล้หรือไกล
you are always in my heart
คุณจะอยู่ในหัวใจฉันเสมอ
เสียงเปียโนในยามค่ำคืนยังคงดำเนินต่อ ชายหนุ่มในชุดยาวสีขาวนั่งอยู่หน้าแกรนด์เปียโนสีดำเครื่องใหญ่ กลางคืนเป็นเสมือน
ตัวตนของเขา และเป็นเพียงไม่กี่เวลาที่เขาจะปล่อยให้อารมณ์ที่เขาไม่เข้าใจเป็นฝ่ายควบคุมตนเองและปล่อยมันออกมา เขาไม่ชอบความอ่อนแอของตัวเองอย่างนี้เลย แองเจปล่อยให้แต่ละนิ้วที่กรีดลงไปบนคีย์ถ่ายทอดอารมณ์แทนคำพูด เสียงเพลงที่ไร้คำร้อง เพลงที่บรรเลงไปอย่างไร้ตอนจบ…เพราะในตอนนี้ คนเดียวที่เขายอมให้ร้องเพลงนี้ได้ไม่อยู่อีกแล้ว หรืออยู่ก็ไม่ใช่คนที่เขารู้จักอีกต่อไป
Across the distance and spaces between us
ข้ามผ่านระยะทางและช่องว่างระหว่างเรา
the moon, the stars are shining for us
ดวงจันทร์และดวงดาวต่างกำลังส่องแสงเพื่อเรา
wheresoever I go, I go with all my heart
ไม่ว่าที่ไหนฉันไป ฉันไปกับหัวใจของฉัน
truth is that you are always in my heart
ความจริงก็คือคุณอยู่เสมอในหัวใจของฉัน
*The unfinished stories : by Isisip
“กำลังรำลึกความหลังอยู่งั้นเหรอ”
“ฉันจำได้ว่าฉันไม่อนุญาตให้ใครเข้ามาในนี้”แองเจลุกขึ้นจากเปียโนแล้วหันมองไทม์ที่ยืนพิงกำแพงซึ่งมองกลับมาเช่นกัน ชุดสีดำ กับหน้าตายโสที่มองมาเหมือนดูถูกเขาตลอดเวลากำลังมองสบตาเขาอย่างนิ่งงันจนสุดท้ายตัวเขาเองต้องเป็นฝ่ายหันหลังให้…เกลียด…ถ้าเพียงเขาชนะ.
“ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นายเข้ามาทำลายกำหนดการของพวกมนุษย์แบบวันนี้” ไทม์มองอีกฝ่ายที่หันหลังให้อย่างพิจารณา ก่อนเดินเข้าไปในห้อง
“ฉันเตือนแล้วนะว่า อย่า เข้ามา” เหมือนสัญญาณบางอย่างดังขึ้น ไทม์ยกยิ้มมุมปาก อีกฝ่ายชะงักแต่ก็สายไปแล้ว เมื่อไฟในห้องทั้งหมดดับลง
พรึ่บ
--------------------------------------------------
ภาพ ‘เขา’ ที่กลายเป็นสีดำโดยที่ เธอ เป็นคนทำยังคงชัดเจนอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา เหมือนเป็นบทลงโทษที่คอยตอกย้ำความผิด เธอมองที่ๆเคยมีร่างของเขาอยู่อย่างไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ในตอนนั้นหางตายังคงมองไปเห็นรอยยิ้มที่อยู่ในความมืดด้านหลัง อีกคนที่อยู่ในห้องนี้
ปึง!!
เสียงทุบโต๊ะเรียกสติของวิซให้กลับคืนมาจากภาพเหตุการณ์วันนั้น ดวงตาว่างเปล่ามองไปยังบุคคลในชุดคลุมสีเทาที่เรียงรายเหนือแท่นที่รายล้อมรอบตัวเธอราวกับภายในศาล มือทั้งสองข้างถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน ในขณะที่ข้างๆเธอ มีแองเจยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าของผู้เหนือกว่า
“ช่วยตอบคำถามด้วย พยานรู้เห็นกล่าวว่าคุณคือบุคคลที่ ฆ่า ผู้ควบคุมเวลา[ ไทเมอร์]” คำถามที่ย้ำขึ้นมาอีกครั้งทำให้เธอตัดสินใจที่จะเลิกเงียบ ดวงตาสีอำพันมองสบกลับอย่างนิ่งเฉย
“ใช่…ฉันยอมรับ”
“แต่ฉันไม่ยอมรับว่าสิ่งทีที่ทำนั้นผิด”
คำตอบที่เธอตอบกลับไปทำให้เสียงฮือฮาดังขึ้นมาจากรอบๆตัวเธอ แองเจขมวดคิ้วมองอย่างไม่คาดคิด สายตาเช่นเดียวกันมองมาจากแท่นสูงเหนือศีรษะบ้างก็ประณาม บ้างก็พยายามพูดอย่างไม่เห็นด้วย
“เงียบ!!” เสียงตะโกนที่เอ่ยราวกับมีอำนาจที่มองไม่เห็นสะกดให้ทุกอย่างเงียบสงบ น้ำเสียงเรียบเหมือนสายน้ำที่ไหลอย่างนิ่งๆแต่เยือกเย็น เสียงนั้นดังก้องในที่ประชุม ความสนใจทั้งหมดรวมไปอยู่ที่บคคลที่ไม่คาดคิด แองเจในฐานะพยานรู้เห็นกราดสายตาเย็นเยียบใส่พร้อมมวลอากาศเย็นวูบที่จู่โจมเข้าใส่สายตาไม่พอใจที่มองมาจนต้องก้มหน้าหลบ ชายหนุ่มทำเหมือนไม่เห็นสายตาไม่เข้าใจอีกคู่ที่มองมาจากวิซ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเรียบคงที่ แต่เอาจริง
“ในที่นี่ พวกฉัน มีอำนาจสูงสุดในฐานะโชคชะตาทั้งสาม เรื่องราวนี้ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิมาตัดสินทั้งนั้น นอกจาก ก็อด (God)” เสียงอื้ออึงดังขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะมีบุคคลใจกล้าตัดสินใจลุกขึ้นถาม
“แล้วพวกท่านจะทำยังไง ก็อด(God)ไม่ได้กลับมาที่นี่นานมากแล้ว ข้าเพียง…ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่สำคัญ เราควรตัดสินความผิดก่อนในเมื่อตอนนี้วงจรทั้งหมดปั่นป่วนไปแล้ว”
“ข้าเพิ่งจะบอกว่า พวกเจ้า ไม่ มี สิทธิ์!” เสียงที่ตอบกลับไปด้วยอารมเกรี้ยวกราดทำให้คนถามถึงกับสะอึกแล้วรีบโค้งก่อนกลับไปนั่งอย่างเดิม
“ฉันมั่นใจว่าเราจะยังควบคุมวงจรเหล่านั้นได้” วิซเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่เงียบมานาน ร่างบางยันตัวลุกขึ้นก่อนไอความร้อนจะหลอมโซ่ตรวนที่ข้อมือจนละลายหลุดออกไปเหมือนที่ผ่านมาโซ่เหล่านี้ทำได้แค่เพียงล็อคไว้เมื่อเจ้าตัวต้องการจะให้มันอยู่เท่านั้น ไม่ใช่การ
ควบคุมตัวอย่างที่สมควรจะเป็น หญิงสาวยืนขึ้นในระดับสายตาเดียวกับแองเจ เหมือนเล่นเกมจ้องตา ก่อนที่ทั้งสองจะหายไปจากที่ประชุมพร้อมกันในทันที
ตึก ตึก
เสียงฝีเท้าของทั้งสองคนดังก้องโถงทางเดินหลังจากหายตัวออกมาจากห้องประชุมที่มีแต่พวกงี่เง่าบ้าอำนาจมาได้
“นายพูดแบบนั้นขึ้นมาทำไม เจตนาของนายไม่ใช่การช่วยฉันแน่”หญิงสาวหรี่ตามองคนที่เดินนำหน้า แองเจชะงักเท้าแล้วหันมามองก่อนวาดมือออก ภาพรอบตัวบิดเบี้ยวจนเห็นเป็นเส้นก่อนทั้งหมดจะกลายเป็นเพียงสีดำสนิท ที่มีจุดเล็กๆของดวงดาวนับล้านเสมือนทางช้างเผือกคอยให้แสงสว่าง ห้องที่มีเพียงแต่โชคชะตาทั้งสามและก็อดเท่านั้นที่จะเข้ามาได้และจะเปลี่ยนไปตามที่มีเจ้าของห้องปรารถนา การดีดนิ้วครั้งต่อมาทำให้ปรากฏพื้นพรมพักเท้าขึ้นมา วิซชะงักแล้วมองแองเจที่นั่งลงบนโซฟาที่เรียกมาใหม่
“เพราะฉันก็ไม่เข้าใจเหตุผลของการกระทำเธอเหมือนกัน ในเมื่อฉันเองก็ยืนยันว่าตัวเองไม่มีความผิด”
“ทั้งที่ทำมันลงไปแล้วน่ะเหรอ…” วิซหรี่ตามองอีกฝ่ายก่อนจะกล่าวต่อ “ฉันไม่เคยคิดว่านายจะทำแบบนี้ นายทำลายกฎของโลก ทำร้ายเขาเพียงเพื่อพลัง”
“พลังที่มากพอที่จะไม่ต้องเฝ้ามองการวนเวียนสูญเสียซ้ำซากไปชั่วนิรันดร์น่ะเหรอ เธอไม่มีวันเข้าใจ—”
“ทำไมฉันจะไม่เข้าใจ ” แองเจชะงักแล้วหันมองคนที่พูดขัดขึ้นมา ตาสีอำพันของหญิงสาวตรงหน้าเรืองแสงสีม่วง สิ่งที่จะออกมาเฉพาะเวลาขาดการควบคุมตัวเอง เทพไม่ควรมีอารมณ์ความรู้สึกเพื่อความเป็นกลางที่สุด แต่เหมือนสี่พันล้านกว่าปีที่ผ่านมาจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป และแสงสีม่วงนั้นเป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าพวกเขาคือ ลูกรัก ของก็อด สีที่ไม่ได้มาจากธรรมชาติ เขายิ้ม…ทั้งที่มันควรจะเป็นภัยคุกคาม แต่เขารู้สึกได้ เรื่องนี้มันจะน่าสนุก
“เข้าใจ?…เธอเข้าใจอะไร มีเรื่องอะไรที่ฉันสมควรรู้รึเปล่า” คำพูดลอยๆที่ถูกทิ้งไว้เหมือนประโยคคำถามทำให้วิซกัดปากแน่น และเลือกหลบตาเพื่อจะไม่ตอบ
เป็นไปตามที่คาด…
แองเจเหยียดยิ้มก่อนจะดีดนิ้วอีกครั้ง ทันใดนั้นพื้นพรมว่างเปล่าก็ปรากฏกระดานหมากรุกขนาดใหญ่ขึ้น กระดานสีขาวสลับดำขนาดช่องนึงพอให้คนไปยืนได้เสมือนหมากรุกมนุษย์ทำให้อีกฝ่ายถอยห่างอย่างไม่ไว้ใจ
“ไม่ใช่กับดัก เอาล่ะ ถ้าเธอยืนยันว่าการ ฆ่า ที่เธอว่ามันถูกนักหนาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง งั้นเราคงจะต้องหาวิธีอื่นที่มีประโยชน์มากกว่าพวกในห้องนั้นมาตัดสิน เพื่อความเท่าเทียม”
“นายต้องการอะไร”เสียงหวานถูกกดให้เรียบเย็นดวงตาระวังภัยมองไปยังคนตรงหน้า
“ต้องการตัดสินไง โดยให้ก็อด(God) เป็นคนตัดสินลูกๆของพวกเขาเอง ไม่ได้ด้วยเล่” ห์ต้องเอาด้วยกล มนุษย์ชอบพูดไว้อย่างนั้นรอยยิ้มอย่างมีชัยปรากฏขึ้น ภายในหัวของเขากำลังแล่นไปด้วยแผนการที่เขาแน่ใจที่สุดว่ามันจะทำให้เขาได้ในสิ่งที่ต้องการ และทำให้ ‘คนๆนั้น’ ยอมมุดหัวออกมาสักที
“! นายจะทำยังไง นี่มันนาน…มากแล้วที่เขาหายไปจากดาวดวงนี้ หายไปจากพวกเรา”
“สิ่งที่มากพอที่จะทำให้เขาสนใจได้… ‘เกม’ ที่เรากำลังจะเล่นกันไง”แองเจมองนิ่งไปยังภาพตรงหน้า ใช่…เหมือนกับสมัยก่อน
ตึก
‘รุกฆาต’ เสียงทุ้มต่ำพูดอย่างอารมณ์ดี เด็กชายตัวเล็กผมสีเงินขมวดคิ้วมองภาพนั้นอย่างขัดใจ เขาเสียหมากไปตั้งมากมาย อีกฝ่ายก็เสียทั้งบิชอปและเบี้ยอีกหลายตัว ด้วยคติตาต่อตา เขายอมเสียบางตัวที่ไม่สำคัญเพื่อที่จะได้หมากสำคัญคืนมา แต่คนตรงหน้ากลับเอาชนะเขาได้ด้วยม้าเพียงตัวเดียว
‘คุณโกง ผมไม่ยอม ครั้งหน้าผมไม่แพ้แน่’เด็กชายกอดอกสะบัดหน้าอย่างไม่ยอมรับ ท่าทางนั้นเรียกเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
‘เธอเป็นคนตั้งใจดี แองเจ มุ่งมั่น และพุ่งตรงไปที่เป้าหมายโดยตรง แต่…เธอเสียมากเกินไป ตรงนี้…’ ชายคนนั้นชี้ไปที่จุดซึ่งควีน ที่เหลือรองจากคิงซึ่งเป็นหมากตัวสุดท้ายของเขาเคยตั้งอยู่ แล้วลากนิ้วไปชี้ตำแหน่งข้างๆ
‘จะได้ไหมว่าตรงนี้เคยเป็นอะไร…ถ้าเพียงแต่เธอไม่เสียสละเรือ ตัวนี้เธอก็จะกันทางไม่ให้ฉันกินควีนของเธอได้ หรือตรงนี้’เขาหยิบเอาตัวเบี้ยขึ้นมาก่อนจะวางลงตำแหน่งที่เขาเลือกจะออกเดินไปอย่างไม่คิดในตอนเริ่มเกม แล้วขยับไปข้างหน้าหนึ่งช่องตามทางเดินของเบี้ย
‘จุดนี้เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่อยู่มุมกระดาน ถ้าเธอชิงมันมาได้ เธอจะเลือกได้ว่ากันไม่ให้ใครผ่าน หรือ ให้เธอเป็นฝ่ายโดนต้อนจนมุมเอง’ พูดจบเด็กชายคิดตามก่อนจะสะบัดหัวอย่างอารมณ์เสีย
‘ทำไมผมจะต้องสนใจหมากไร้ประโยชน์พวกนี้ด้วย ถ้าคุณเดินมาตรงที่ผมวางไว้ผมก็จะชนะแล้วแท้ๆ’ รอยยิ้มบางๆฉาบขึ้นบนใบหน้าของคนสูงวัยกว่า
‘ถึงจะเป็นเกมในกระดานก็คงไม่มีใครก้าวเข้ามาในกับดักง่ายๆหรอก ยกเว้นแต่เธอจะซ่อนมันและทำเหมือนเป็นปกติได้มากพอ ยิ่งโดยเฉพาะถ้ากระดานนี่คือชีวิตจริง ไร้กฎกติกา สุดท้ายเธออาจเป็นฝ่ายตกกับดักเอง’ เสียงนั้นเรียบขึ้นเมื่อพูดถึงตอบจบก่อนจะค่อยๆวางแก้วชาลง
‘เข้าใจยากจะตาย ผมไม่เอาด้วยแล้ว’ แองเจน้อยปิดหูส่ายหน้าก่อนจะวิ่งไปฟ้องเด็กรุ่นราวคราวเดียวกันอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามา
‘สวัสดีตอนเช้า ไทม์’
เฮือก
ชื่อที่ออกมาจากปากอีกฝ่ายฉุดเขาให้ขึ้นจากอดีตเก่า เขาสบถกับตัวเองเบาๆ นี่ยังไม่เลิกตามมาหลอกหลอนเขาอีกใช่ไหม แองเจลุกขึ้นเต็มความสูงก่อนเดินตรงไปหาวิซที่ยังคงจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ฉันรู้ว่าเธอไม่ทางเลือกมากนัก ในเมื่อเธอสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างยังดำเนินต่อไป ใช่มั้ย วิซ…เด็กดีจังนะ หึๆ”หญิงสาวยืนนิ่งก่อนปัดมือที่ยื่นเข้ามาออกออก
“อะไรคือสิ่งที่ฉันจะต้องเสียจากเกมนี้”
“อะไรกัน แค่เริ่มก็มีลางแพ้แล้วรึไง…ฉันคิดว่า ความลับ ของแม่มดเป็นอะไรที่มีค่าเหมาะสมจะแลกนะ”
“ได้ ฉันตกลง”
“ต้องอย่างนั้นสิ”แองเจยิ้มอย่างพอใจก่อนสะบัดมือออก แสงสีเงินปรากฏอยู่ที่ฝ่ามือ วิซมองเงียบๆแล้วแบมือออกลำแสงสีทองแบบเดียวกันปรากฏออกจากฝ่ามือ มือทั้งสองข้างเคลื่อนเข้าหากันพร้อมกับแสงที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสัมผัสแสงสว่างก็ระเบิดออกครอบคลุมไปทั้งห้องแห่งกาลอวกาศนี้
“ข้อตกลง…สมบูรณ์”
-----------------------------------------------------------
สวรรค์ เป็นสถานที่ที่ก็อดหรือพระเจ้าสร้างขึ้น เพื่อเป็นออฟฟิศหรือที่ทำงานสำหรับการดูแลสอดส่องทั่วระบบสุริยะจักรวาล ถึงแม้ส่วนมากตัวเขาจะไม่ค่อยได้อยู่ประจำการเท่าไหร่เพราะกำลังมองหาวิธีการเพาะสิ่งมีชีวิตในดาวดวงอื่น หรือแม้กระทั่งจิบชาเพื่อหาแนวทางการสร้างชีวิตกับก็อดจากอีกกาแล็กซี่ ซึ่งเขายืนยันว่าเป็นเพียงการพูดคุยหาทางแก้ปัญหา หาใช่การอู้งานไม่ ทำให้คนที่เหลืออยู่ประจำการทั้งหมดคือผู้สังเกตการณ์สิบสองตำแหน่งโดยคอยเฝ้ามองการดำเนินงานของผู้ควบคุมกฎ หรือโชคชะตาทั้งสาม ผู้ควบคุมชีวิต ผู้ควบคุมวิญญาณ และผู้ควบคุมการเวลา
สวรรค์ไม่ได้อยู่เหนือชั้นเมฆหรืออยู่ใต้ชั้นบรรยากาศโ,ลกอย่างที่มนุษย์หรือใครๆเข้าใจ แต่เป็นอีกมิติหนึ่งที่อยู่ภายในห้วงอวกาศของกาแล็กซี่ทางช้างเผือกซึ่งเพียงประดับตกแต่งตามรสนิยมของก็อดที่มีนโยบายเพื่อความสบายใจสูงสุดของผู้ใช้บริการ
ในขณะนี้ที่เกิดภาวะวิกฤตเมื่อผู้ควบคุมกาลเวลาหายไป อีกทั้งมีกระแสว่าอาจจะโดนหนึ่งในสองคนที่เหลือเป็นคนทำ ทำให้ไม่มีใครคอยกำหนดเวลาเกิดและตายที่สมควรของมนุษย์ และยากเกินที่จะไว้ใจให้ผู้ต้องสงสัยทั้งสองดำเนินงานต่อ ถึงได้ต้องรีบหาข้อเท็จจริงซึ่งดูจะยิ่งแก้ยิ่งแย่ และไร้วี่แววว่าก็อดจะปรากฏตัวออกมา
-ภาวะวิกฤตระดับรุนแรง-
เสียงเอะอะโวยวายดังเอะอะขึ้นทั้งสวรรค์เมื่อหนึ่งในผู้เฝ้าสังเกตการณ์ที่ถูกสั่งให้คอยจับตาดูผู้ควบคุมชีวิตซึ่งอยู่ในระหว่างการเป็นผู้ต้องสงสัยได้วิ่งโร่เข้ามาแจ้งว่า ผู้ต้องสงสัยของพวกเขานั้นหายไปแล้ว ทำให้สภาผู้สังเกตการณ์ทั้งสิบสองต่างต้องวิ่งวุ่นกันตั้งแต่เช้าเพื่อที่จะสืบหาว่าคนที่หายไปนั้นไปอยู่ไหน
รวมทั้งไอ้หนุ่มใจกล้าที่หาญยกมือขึ้นตั้งคำถามกับผู้ควบคุมวิญญาณ แองเจ เมื่อวานด้วย
“อาทิตย์นี้มันอะไรของมันวะ” ชายหนุ่มบ่นอุบเมื่อตนต้องมาโดนปลุกแต่เช้าเพื่อที่มาค้นหาอะไรอย่างไร้จุดหมายแบบนี้ เขาขยับฮู้ดสีเทาขึ้นก่อนจะมองเพื่อนร่วมงานที่พากันอยู่ไม่เป็นสุขแล้วไปนั่งประจำที่ รายชื่อสถานที่ที่เป็นไปได้มากมายกระจายกองอยู่บนในเมื่อสำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าจะดาวเคราะห์ดวงไหนก็สามารถไปได้ทั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงผู้คุมกฎเลย รายชื่อดาวฤกษ์และดาวเคราะห์น้อยอื่นๆที่เรียงแถวยาวโดนเขี่ยไปขอบโต๊ะแล้วใบรายชื่อดาวเคราะห์ในระบบสุริยะที่สั้นที่สุดออกมาอ่าน
อืม…พลูโต ไกลไป โดนตัดไปตั้งนานแล้วใครมันอู้ไม่ยอมลบรายชื่อออกไปสักทีละเนี่ย เนปจูน ยูเรนัส กำลังประสบปัญหาด้านสภาพอากาศ ซึ่งมันน่าลำบากถ้าจะให้เขาติดต่อไปประสานงาน จูปิเตอร์นี่ตัดไป ดูเหมือนก็อดจะยังเล่นสนุกจนลืมไปเก็บเจ้ายักษ์แดงบนนั้นให้เรียบร้อย ที่เหลือก็แซทเทิร์นที่น่าสนว่าผู้คุมชีวิตอาจจะไปเดินเล่นอยู่บนเส้นรอบวงของดาวเสาร์ก็เป็นได้
“ท่านคะ มีรายงานมาว่าผู้ควบคุมวิญญาณเองก็หายไปเหมือนกันค่ะ”
บัดซบ…
สายตาของชายหนุ่มทิ้งอาการทีเล่นทีจริงแล้วไล่มองรายการข้างหน้าอีกครั้งก่อนจะสะดุดกับชื่อ โลก
ที่จริงในวินาทแรกที่ได้ยินว่าทั้งสองคนหายไปส่วนมากจะคิดกันว่าผู้ต้องสงสัยทั้งสองจะต้องหนีไปกบดานอยู่ที่ดาวดวงอื่น มากกว่าที่จะมาวนเวียนอยู่แถวศูนย์กลางการดูแลอย่างโลก แต่บางทีคราวนี้เขาควรคิดให้มันง่ายกว่าเดิม ในเมื่อทางที่มันเป็นไปได้มากที่สุดมันมีแค่ทางนี้
ผู้สังเกตการณ์มองสภาพความวุ่นวายรอบๆก่อนจะตัดสินใจหยิบกระดาษรายชื่อของโลกแล้วเดินออกไปจากประตู
“ปล่อยให้เขาวุ่นวายไปสักพัก แล้วเราไปทำหน้าที่สังเกตการณ์จริงๆสักทีดีกว่า” ฮู้ดสีเทาถูกถอดออกก่อนเจ้าตัวจะยิ้มอย่างสบายใจแล้วตรงไปยังประตู…
ความคิดเห็น