ตอนที่ 17 : บท 17
ด้านหน้าอาคารมีโชค การชุมนุมประท้วงของพนักงานเพื่อปลดน่านฟ้าจากประธานบริษัทและผลักดันให้นายสุกิจขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ยังคงดำเนินไปอย่างเข้มเข้น
เสียงประกาศจากแกนนำแต่ละคนผลัดกันดังผ่านโทรโข่ง ตามด้วยเสียงเฮและปรบมือของพนักงานด้านล่างเวที
ตรงบริเวณหน้าประตูทางเข้าอาคารมีโชค นางวิภากำลังจับตาเหล่าแกนนำบนเวทีและม็อบพนักงานเป็นระยะ คิ้วที่ผ่านการสักถาวรมาผูกกันเป็นปมสามปมซ้อน สีหน้าของนางเคร่งเครียดยิ่งกว่าครั้งไหน แววตาเหมือนกำลังเฝ้ารอคอยบางสิ่งบางอย่าง
“พวกเราต้องการให้คุณสุกิจมาเป็นประธานแทนคุณน่านใช่มั้ย” เสียงปลุกใจของนายภูริชดังก้องผ่านโทรโข่ง
“ใช่” กลุ่มม็อบพนักงานพร้อมใจกันตะโกนตอบ
“เราทุกคนต้องการคนมีความสามารถมาบริหารงาน”
“เย้” เสียงตะโกนตอบประสานกันดังลั่นสอดรับกับเสียงปรบมือรัว
แต่แล้วทุกคนในที่นั้นก็ต้องงุนงงและอึ้งงันไปเป็นทิวแถว เมื่อจู่ๆ น่านฟ้าก็โผล่มาจากไหนไม่ทราบ ก้าวอาดๆ ขึ้นเวทีที่มีแกนนำยืนรวมตัวกันอยู่สี่ห้าคน
เสียงเฮ เจี๊ยวจ๊าว และอื้ออึง เงียบกริบในทันควัน
น่านฟ้าที่วันนี้อยู่ในชุดทำงานเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางกางขายาวสีเข้ม ดูสุภาพแปลกตาไปกว่าทุกครั้ง ตรงเข้าไปดึงโทรโข่งมาจากแกนนำคนหนึ่งที่ไม่ทันตั้งตัวหรือไม่ก็ยังคงเกรงใจน่านฟ้าในฐานะบุตรชายของประธานโชคก็เลยปล่อยมือจากโทรโข่งอย่างไม่อิดออด
“สวัสดีครับทุกคน” น่านฟ้ากล่าวทักทายทุกคนผ่านโทรโข่ง แต่ทุกคนตอบกลับด้วยความเงียบกริบ และเขาก็คิดว่ายังดีที่คนเหล่านี้ไม่ได้ตอบเขากลับด้วยเสียงโห่ไล่ ปาขวดหรือกระป๋องเครื่องดื่มใส่เขา
ทั้งแกนนำ กลุ่มม็อบพนักงาน และนางวิภา ล้วนจดสายตาไปยังชายหนุ่มเป็นตาเดียว ไม่เว้นแม้แต่นายสุกิจที่ซุ่มสังเกตการณ์อยู่ตรงหน้าต่างห้องทำงานบนชั้นสามของตัวเองอยู่เกือบตลอดทั้งวัน
“คุณน่านคุณจะทำอะไรของคุณ” หลังจากตั้งตัวได้ ภูริชก็เอ่ยถาม
“ผมแค่อยากพูดอะไรกับพนักงานของผมนิดหน่อย”
“ไม่มีประโยชน์แล้ว คุณกำลังจะถูกปลดจากตำแหน่งประธาน” น้ำเสียงและแววตาของภูริชสื่อว่าความเกรงใจที่เคยมีแก่น่านฟ้าลดหายลงไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง
น่านฟ้าหรี่ตาน้อยๆ ขณะมองลูกน้องมือขวาของนายสุกิจ ประกายความแข็งกร้าวเด่นชัดในดวงตาของน่านฟ้า จนดูผิดแผกไปจากประธานมือใหม่แสนไม่เอาถ่านคนเดิม และสิ่งนี้ก็ทำให้นาย
ภูริชลดท่าทางอหังการลงเกือบครึ่ง
“คือ ผมคิดว่าคุณน่านคงจะเข้าใจสถานการณ์น่ะครับ” นายภูริชใช้น้ำเสียงที่น่าฟังกว่าตอนแรก
“ผมเข้าใจ แต่ผมก็แค่อยากจะขอเวลาไม่นานในการพูดคุยกับพนักงานพวกนี้ก็เท่านั้น หวังว่าคุณคงไม่ว่าอะไรนะ”
ภูริชมีสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าอย่างเห็นได้ชัดว่าฝืนใจ
น่านฟ้าหันมองพนักงานของบริษัทมีโชคร่วมสองร้อยกว่าชีวิตที่นั่งออกันอยู่ตรงหน้า “ผมอยากจะรบกวนเวลาของทุกคนเพียงไม่นาน เพราะผมมีอะไรบางอย่างจะพูดกับทุกคน ผมอยากจะขอโทษที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมอาจทำตัวไม่เหมาะสมกับการเป็นประธานบริษัท ทำให้ทุกคนผิดหวังในตัวผม ทั้งที่พ่อผมได้มอบหมายภารกิจสำคัญนี้ไว้ในมือผมด้วยความไว้วางใจ”
บรรยากาศในขณะนั้นยังคงเงียบกริบ เพราะกลุ่มม็อบทุกคนกำลังตั้งอกตั้งใจฟังน่านฟ้า
“ผมเข้าใจที่วันนี้ทุกคนมาร่วมตัวกันเพื่อปลดผมออกจากตำแหน่งประธานบริษัท และหนุนให้คุณสุกิจขึ้นมาเป็นประธานแทนผม ซึ่งผมรู้ว่าทุกคนทำแบบนี้เพราะทุกคนรักที่นี่ รักข้าวเกรียบมีโชค และรักประธานโชค แล้วถ้าจะมีคนผิด ก็คงเป็นผมเองที่ทำลายศรัทธาที่ทุกคนเคยมีให้พ่อผมและตัวผม ด้วยเหตุนี้วันนี้ผมเลยอยากจะขอโอกาสครั้งสุดท้าย”
“โอกาสของคุณหมดไปแล้ว คุณจะขอโอกาสอะไรของคุณอีก คุณน่าน” ผู้จัดการแผนกการตลาดพูดแทรกขึ้น
แต่น่านฟ้าไม่ได้หันไปตอบ เขายังคงจับจ้องกลุ่มพนักงานตรงหน้าไม่วางตา “ผมอยากจะขอให้ทุกคนให้โอกาสผมในการพิสูจน์ตัวเองอีกสักครั้ง”
“พิสูจน์ยังไงของคุณ” ภูริชถามด้วยน้ำเสียงปรามาส
“ถ้าผมสามารถกอบกู้สถานการณ์ที่ตกต่ำมาตลอดหลายปีของข้าวเกรียบมีโชค กระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ภายในเวลาสามเดือน ผมอยากให้ทุกคนยอมรับผมในฐานะผู้บริหารคนใหม่ของที่นี่”
สิ้นเสียงประกาศของน่านฟ้า เสียงอื้ออึงของพนักงานสองร้อยกว่าชีวิตก็ดังก้องขึ้น
“ฝันกลางวันเปล่าวะ” ภูริชหันไปมองเพื่อนร่วมงานคนอื่นบนเวทีพลางยิ้มเยาะไปด้วยกัน ก่อนจะหันไปถามเย้ยต่อว่า “อย่าทำให้ตัวเองต้องขายขี้หน้าเลยดีกว่า ตอนนี้กลับลำยังทันนะครับ”
“คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าใครจะขายขี้หน้ากันแน่” น่านฟ้าตอบท้าทายไม่แพ้กัน
ภูริชชักสีหน้า “แล้วถ้าคุณทำไม่ได้ตามที่ประกาศไว้ล่ะ”
“ผมก็จะยกตำแหน่งประธานให้กับน้าสุกิจอย่างไม่มีเงื่อนไข”
เสียงพูดเซ็งแซ่ของพนักงานดังก้องขึ้นอีกครั้ง
“ใช้เวลาสามเดือนพิสูจน์ตัวเอง กระตุ้นยอดขายห้าสิบเปอร์เซ็นต์ ปัญญาอ่อนชัดๆ ” ภูริชบ่นงึมงำ มองน่านฟ้าด้วยสายตาดูแคลน
“ผมหวังว่าทุกคนคงจะยอมให้โอกาสผมอีกสักครั้ง อย่างน้อยก็เพื่อเห็นแก่พ่อผม” น่านฟ้าพยายามขอโอกาสจากทุกคนอย่างสุดความสามารถ
พนักงานร่วมสองร้อยกว่าชีวิตหันมองหน้ากันอุตลุด สีหน้าแต่ละคนฟ้องถึงความลำบากใจในสถานการณ์ ซึ่งอย่างน้อยน่านฟ้าก็คิดว่านี่คือสัญญาณที่ไม่เลวร้ายนัก เพราะอย่างน้อยก็ยังไม่มีเสียงโห่
แต่แล้วน่านฟ้าก็อยากจะปาโทรโข่งใส่ศีรษะนายภูริช เพราะแอบเห็นหมอนั่นขยิบตาให้กับพนักงานคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในกลุ่มม็อบ แล้วไม่กี่วินาทีถัดมา พนักงานชายหนุ่มผิวคล้ำคนหนึ่ง ก็ชูมือขึ้น พร้อมกับตะโกนว่า
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
