ตอนที่ 14 : บท 14
“เห็นมั้ยล่ะ แบบนี้ใครจะฝากความหวังได้ เฮ้ย นั่นไง รถคุณน่านขับเข้ามาแล้ว สงสัยจะเพิ่งมา” ช่วงท้ายประโยค ไพศาลชี้ไปยังรถบีเอ็มดับบลิวสีน้ำเงินของน่านฟ้าที่เคลื่อนผ่านประตูหน้าบริษัท และกำลังแล่นมาจอดยังที่จอดรถของผู้บริหาร
แต่สารถีหนุ่มกดกระจกรถลง ชะลอรถ ขณะขับผ่านกลุ่มผู้ประท้วง และจ้องมองด้วยความสงสัย
“ผมไปร่วมกลุ่มม็อบก่อนนะเจ๊ ไม่อยากเจอคุณน่านตอนนี้ เดี๋ยวเขาแค้นฝังหุ่นผม”
“อือ ไปเหอะ” มัศยาพยักหน้าให้
“แล้วเจ๊ไม่ไปกันเหรอ”
“ขอดูสถานการณ์ก่อน”
“ตามใจเจ๊ แต่ผมขอเอาตัวรอด เอ๊ย ไปก่อนนะ” หนุ่มร่างสันทัดวิ่งกลับไปรวมกับกลุ่มม็อบอีกครั้ง
เมื่อรถส่วนตัวของน่านฟ้าจอดนิ่งอยู่ในที่จอดรถของผู้บริหาร เขาก็เปิดรถลงมา พร้อมกับหันมองมัศยาด้วยสายตาฉงน “พนักงานประท้วงกันตั้งแต่เมื่อไหร่เจ๊”
“ตั้งแต่เช้า เพิ่งตื่นล่ะสิท่านประธาน” มัศยาอดแดกดันไม่ได้ ยังโกรธไม่หายเรื่องที่เมื่อวานนี้เขาหนีหายไประหว่างไปเยี่ยมลูกค้า นึกๆ ไปก็สมน้ำหน้าแล้วที่โดนพนักงานประท้วงแบบนี้
“เห็นหน้ากันปุ๊บก็ประชดกันเลยนะ”
“แค่ประชดยังน้อยไป เป็นไงล่ะ ผลงานของคุณ พนักงานรวมตัวกันประท้วงบีบให้คุณออกจากการเป็นประธานบริษัทแล้ว รู้ตัวบ้างหรือยัง” มัศยายังคงประชดประชันต่อไป ด้วยความโกรธและคับแค้นใจในตัวชายหนุ่มที่ไร้สามัญสำนึก
“แล้วคุณล่ะ ทำไมไม่ไปร่วมประท้วงกับเขาล่ะ มายืนประชดผมทำไม”
“ฉันไปร่วมประท้วงแน่ เพราะขืนให้คุณขึ้นแท่นผู้บริหาร บริษัทก็คงจะมีแต่เจ๊ง” หล่อนสวนกลับอย่างเหลืออด บริษัทที่พ่อของเขาปลุกปั้นสร้างมากำลังจะตกอยู่ในมือของคนอื่น ยังไม่รู้สึกรู้สาอีก
“ถูกแฟนทิ้งมาหรือไง หงุดหงิดงุ่นง่านอะไรขนาดนั้น”
“ฉันหงุดหงิดก็เพราะคุณนั่นแหละ ทำตัวไม่เอาไหนจนได้เรื่อง สมน้ำหน้า ทีนี้คุณจะแก้ปัญหายังไงฉันอยากจะรู้นัก”
“ก็น้าสุกิจขึ้นเป็นประธานก็น่าจะดีกว่าไม่ใช่เหรอ แล้วคุณจะมาปรี๊ดแตกทำไม”
มัศยามองน่านฟ้าอย่างไม่เชื่อสายตา “คุณไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลยสักนิดหรือไง”
ชายหนุ่มยักไหล่ราวกับไม่ยี่หระ
ความผิดหวังฉายชัดในดวงตาโตที่แลดูเข้มงวดและเอาจริงเอาจังอยู่เป็นนิตย์ “ฉันไม่อยากจะเชื่อคุณเลย” พูดจบ หล่อนก็สะบัดหน้าพรึ่บไปจากตรงนั้น
“อ้าว เจ๊จะรีบไปไหน ทุกวันเอาแต่เกาะผมหนึบเป็นตีนตุ๊กแก วันนี้ทำไมหนีไปซะล่ะ” น่านฟ้าร้องตะโกนไล่หลัง แต่อีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะเหลียวหลังกลับมา
เสียงตะโกนประสานของกลุ่มผู้ประท้วง โดยมีนายภูริชเป็นแกนนำ ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องว่า “เราต้องการประธานสุกิจ...เราต้องการประธานสุกิจ...เราต้องการประธานสุกิจ...”
น่านฟ้าหันมองกลุ่มผู้ประท้วงอีกครั้ง ใบหน้ายียวนกวนประสาทเมื่อสักครู่แปรเปลี่ยนเป็นครุ่นคิดอย่างยากจะบ่งชัดได้ว่าเจ้าตัวรู้สึกอย่างไรกับภาพตรงหน้า
“แกทำแบบนี้ได้ยังไง สุกิจ” นางวิภาแผดเสียงใส่น้องชายบุญธรรมขณะอยู่ในห้องทำงานกันตามลำพัง หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมกับหัวหน้าแผนกต่างๆ ของบริษัทมีโชค กับหุ้นส่วนคนอื่นๆ ที่มีทั้งญาติๆ ฝั่งของนายโชคและนางวิภา ด้วยในช่วงก่อตั้งบริษัทกับโรงงาน ทั้งสองต้องระดมเงินทุนมหาศาลจากหลายแหล่ง รวมทั้งจากคนเหล่านี้ และทุกคนพร้อมใจกันลงมติให้สุกิจดำรงตำแหน่งประธานบริษัทแทนน่านฟ้า
“ผมทำเพื่อบริษัทนะครับพี่วิ”
“ด้วยการเขี่ยนายน่าน แล้วผลักดันตัวเองขึ้นเป็นประธานบริษัทซะเองเนี่ยนะ” หญิงสูงวัยตอบเสียงสูง มองอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน
“ผมผลักดันตัวเองที่ไหน พี่ก็เห็นว่าหุ้นส่วน หัวหน้าแผนกต่างๆ และพนักงานทั้งหมด สนับสนุนให้ผมขึ้นแท่นผู้บริหาร ผมเปล่ายัดเยียดตัวเองให้พวกเขาสักหน่อย”
“อย่านึกว่าฉันไม่รู้ทันแกเลย ฉันเห็นแกมาหลายสิบปีแล้ว รู้จักตับไตไส้พุงแกหมดทุกขดแหละ”
บิดามารดาของนางวิภารับสุกิจมาเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมตั้งแต่เขาอายุได้สิบสองปี สุกิจกำพร้าบิดามาตั้งแต่เยาว์วัย มารดาที่เป็นเพื่อนของมารดานางเลี้ยงดูเขามาตามลำพัง แต่แล้วมารดาของเขาก็เสียชีวิตด้วยโรคร้ายเมื่อเขาอายุได้สิบสองปี แต่ก่อนตายมารดาของเขาก็ฝากฝังบุตรชายไว้กับมารดาของนางวิภา เพราะไม่เหลือญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว
บุพการีของนางจึงรับสุกิจมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมนับตั้งแต่นั้นมา และนี่คือเหตุผลที่นางไม่ยอมยกบริษัทมีโชคให้แก่นายสุกิจ เพราะเขาไม่มีสายเลือดของนางหรือนายโชคแม้แต่นิดเดียว ในขณะที่อย่างน้อยน่านฟ้าก็มีเลือดของสามีนางครึ่งหนึ่ง นี่ถ้าสุกิจเป็นน้องชายของนางแท้ๆ นางก็คงยกบริษัทนี้ให้แก่เขาได้อย่างสนิทใจมากกว่านี้ แม้ว่าเขาจะฉลาดแกมโกงเกินไปหน่อยก็เถอะ
“ถ้าพี่รู้จักผมดี ก็ต้องรู้สิว่าผมทำแบบนี้ก็เพื่อพี่วิ เพื่อพี่โชค และเพื่อบริษัทมีโชค ถ้าพี่ปล่อยให้บริษัทตกอยู่ในมือเด็กเมื่อวานซืนอย่างนายน่าน บริษัทนี้คงได้เจ๊งคามือมัน”
“ก็ฉันกำลังเตรียมพร้อมมันอยู่นี่ไงล่ะ ไม่ได้จะยัดเยียดงานบริหารของบริษัทให้นายน่านตอนนี้ซะที่ไหน”
“นี่ถ้าผมเป็นน้องแท้ๆ ของพี่ พี่คงจะไม่ลำบากใจที่จะยกตำแหน่งประธานให้ผมใช่มั้ย” นายสุกิจพูดราวกับอ่านใจนางวิภาออก
หญิงสูงวัยอึ้งไปครู่หนึ่ง “ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น บอกแล้วไงว่าฉันต้องทำตามคำขอสุดท้ายของคุณโชค”
“แต่ตอนนี้พี่คงทำไม่ได้แล้วแหละ ในเมื่อทุกคนสนับสนุนผม” ความท้าทายเจือในน้ำเสียงของคนพูด
นางวิภาเม้มริมฝีปากอย่างเดือดกรุ่นๆ “แต่ฉันอยากให้แกล้มเลิกความคิดของแกซะ”
“ผมไม่ยอมให้บริษัทพี่โชคล่มสลายในน้ำมือของเด็กเมื่อวานซืนอย่างนายน่านหรอก” สุกิจยืนกรานเสียงแข็ง ไม่ยอมอ่อนข้อให้หญิงสูงวัยเหมือนทุกครั้ง
“สุกิจ! ” นางวิภาแผดเสียงใส่อีกครั้ง
“ถ้าผมเป็นพี่ ผมจะสนับสนุนน้องชายตัวเองที่มีความสามารถพอจะบริหารงานที่นี่ ไม่ใช่ลูกนอกคอกไม่เอาถ่านของพี่โชค ที่พี่สุดจะเหม็นขี้หน้ามันเด็ดขาด”
“แกคิดจะหักหลังฉันใช่มั้ย” นางวิภาเค้นเสียงลอดไรฟัน
“ผมจะช่วยกอบกู้บริษัทมีโชคให้พี่ต่างหาก” นายสุกิจประสานสายตากับพี่สาวบุญธรรมอย่างไม่เกรงกลัวกันอีกต่อไป
“แกมันร้ายกาจกว่าที่ฉันคิด”
“แต่ตอนนี้ทุกคนสนับสนุนผม แล้วพี่จะทัดทานเสียงส่วนใหญ่ยังไง”
นางวิภาอึ้งไป นี่คือปัญหาที่นางจนปัญญาจะแก้ไข มติของผู้เข้าร่วมประชุมพร้อมใจกันสนับสนุนสุกิจ และไหนจะกลุ่มผู้ประท้วงที่รวมตัวกันอยู่ด้านหน้าบริษัทมาตั้งแต่เช้า
สถานการณ์กำลังอยู่เหนือการควบคุม อย่างที่หญิงสูงวัยจนปัญญาจะแก้ไข สุกิจกำลังถือแต้มต่อนางอย่างเห็นได้ชัด
“แล้วถ้าฉันขอร้องให้แกเห็นแก่ฉันล่ะ” หญิงสูงวัยลองใช้ไม้อ่อน
“เพราะผมเห็นแก่พี่ ผมถึงทำแบบนี้ไง พี่น่าจะรู้ว่าผมทำทุกอย่างก็เพื่อพี่และข้าวเกรียบมีโชค”
นายสุกิจออกไปจากห้องแล้ว นางวิภาทรุดลงนั่งที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวเขื่องด้วยความเจ็บใจระคนอ่อนล้า ขณะครุ่นคิดหนักหน่วงเพื่อแก้ไขสถานการณ์วิกฤติในขณะนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ถ้าบริษัทมีโชคตกอยู่ในมือของสุกิจ นางจะมีหน้าไปพบสามีในปรโลกได้อย่างไร
คิดแล้วก็อยากสับน่านฟ้าเป็นชิ้นๆ ถ้าไอ้คนเสเพลนั่นเอาไหนและมีสำนึกกว่านี้ เหตุการณ์ก็คงไม่เป็นเช่นนี้
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
