ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    my soulmate.. เนื้อคู่ หรือคนรู้ใจ

    ลำดับตอนที่ #2 : chapter 2

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 54


       CHaPtER 2

    ลิฟต์เลื่อนลงมาจนถึงชั้นหนึ่ง ประตูเหล็กเปิดออกช้าๆ คนด้านในเดินออกมาสองคน ก้อยรอจนคนด้านในเดินออกมาจนหมดก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปยืนแทนที่

    “เดี๋ยวๆ รอฉันด้วยคน” เสียงที่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นของป้าวัยสูงอายุ และก็เป็นจริง สาวร่างท้วมฉีกยิ้ม ก่อนจะก้าวเข้ามาในลิฟต์ข้างๆก้อย

    “คุณป้าไปชั้นไหนคะ เดี๋ยวก้อยกดให้” ก้อยเอ่ยถาม

    “แม่หนูชื่อก้อยหรอ” สาวร่างท้วมเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ใบหน้าอวบก้มลงก่อนจะหลับตาพริ้ม ปากอิ่มยิ้มหวาน

    “ค่ะ คุณป้ามีอะไรรึเปล่าคะ”

    “แม่หนูช่างน่ารักเสียจริงๆ แม่หนูต้องเชื่อฉันนะ” ป้าร่างท้วมเอ่ย

    “คะ เชื่อ เชื่ออะไรหรอคะ”

    “แม่หนูจะได้พบเนื้อคู่เร็วๆนี้ เขาก็น่ารัก สูง ชื่อของเขามีสระสองตัวเท่านั้น ต้องเชื่อฉันนะ”

    “อะไรกันคะคุณป้า” สาวร่างท้วมเงยหน้าขึ้นกวาดสายตามองมาที่สาวก้อยที่ยืนทำหน้างงเป็นไก่ตาแตกอยู่ไม่ไกลนัก สาวใหญ่หุบยิ้มหวานลงก่อนจะพูดจาฟังไม่รู้เรื่อง อย่างกับบ่นคนเดียว ก่อนจะพูดจาฟังดูแปลกพิลึก

    “ป้าอยู่ชั้น 4 จ้ะ เอ ทำไมป้าไม่รู้จักหนูนะ พึ่งย้ายมาอยู่หรอจ๊ะ” น้ำเสียงสั่นเครือของสาวร่างท้วมแปรเปลี่ยนไป คล้ายกับเสียงยายแก่ธรรมดา

    “หนูอยู่ที่นี่มาปีกว่าแล้วค่ะ อยู่ชั้น 6” ก้อยตอบพลางเกาหัวแกรกๆ

    “อ้าวหรอ เออ สงสัยป้าจะเลอะเลือนแล้วล่ะ ฮ่าๆๆ”

    “ค่ะ หนูก็ไม่คุ้นหน้าคุณป้าเหมือนกัน”

    -ติ๊ง- ประตูลิฟต์เปิดออกช้าๆจนกว้าง เลขชั้นตรงข้ามกับลิฟต์คือเลข 4 ป้าแก่ที่ทำท่าจะเดินออกไปจากลิฟต์ ก็ทำสีหน้าปะหลาดใจ

    “เดี๋ยวก่อนแม่หนู ที่นี่ที่ไหนเนี่ย ฉันมาที่นี่ได้ยังไง นี่ไม่ใช่อาคารที่ฉันอยู่นี่นา” ป้าแก่หันมาทำหน้าตาตื่นตกใจ

    “อ้าว ก็นี่ หอพักไม้เอกไงคะ ป้าบอกหนูว่าป้าอยู่ชั้น 4”

    “ฮ่าๆ นี่ฉันเดินมาที่นี่ได้ยังไงกันนะ ป้าอยู่หอพักไม้ตรี เดินย้อนกลับไปอีกตั้งไกล ท่าทางว่าป้าจะเลอะเลือนจริงๆนะเนี่ย” สาวร่างท้วมยืนขำกับความหลงลืมของตน ก่อนจะกล่าวลาก้อย ที่ยังยืนนิ่งไม่พูดอะไร

    “เออ งั้นป้าไปกดลิฟต์ตัวนู้นดีกว่า ฮ่าๆๆ โชคดีนะหนู” ป้าแก่เดินจากไปพร้อมเสียงหัวเราะให้ได้ยินในโสตประสาท ไม่นานประตูลิฟต์ก็เปิดออก เลขหน้าลิฟต์เขียนเป็นเลข 6 ให้แน่ใจว่านี่คือชั้น 6 ก้อยยังอึ้งกับเรื่องที่เกิดขึ้น ป้าแก่ ที่อยู่หอไม้ตรี ในซอยนี้ หอไม้ตรีอยู่เป็นหอแรก มันเป็นไปได้ได้ยังไง ที่ป้าจะเดินเลยหอ และยังเดินเลยมาจนถึงหอเกือบสุดท้ายอย่างหอไม้เอก ถ้าถัดไปนี่ก็เป็นหอสามัญ ของคนรวยๆเขาซื้ออยู่กัน ดีไม่ดีดาราดังๆก็อยู่ด้วยอีกต่างหาก ทำไมป้าถึงพลัดมาอยู่หอนี้ แล้วอาการตอนป้าแกพูดเรื่องเนื้อคู่นี่ดูจะผิดปรกติเสียด้วย นอกจากจะหลับตาแล้ว ยังก้มหน้าก้มตาอีก ก้อยมารู้สึกตัวอีกทีก็เดินมาถึงหน้าห้องของตนเสียแล้ว ก้อยหยิบคีย์การ์ดมาเปิดประตูก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง

    “ทำไมไปนานจังแก ส่งกันถึงบ้านเลยรึไง เมื่อกี้ ไอ้ต้นมันโทรฯมา ฉันล่ะตกใจหมด” ก้อยเดินตรงดิ่งเข้าไปในห้องนอน เลือกจะอาบน้ำให้สบายตัว จะได้ไม่คิดมาก หลังอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก้อยก็นอนลงบนเตียงนุ่มทันที   

    “แกเป็นอะไรของแกเนี่ย ไม่พูดไม่จา”

    “ฮะ อ้าว แกไปไหนมาเนี่ย ฉันมาถึงห้องไม่เจอแกเลย”

    “แกนั่นแหละ ไม่ฟังฉัน เดินตรงดิ่งจะเข้าห้องนอนอย่างเดียวเลย”

    “หรอ ฉันเจอเรื่องแปลกๆมาแหละ แก” ก้อยตัดสินใจเล่าเรื่องที่เจอให้เพื่อนรักฟัง

    “ฮ่าๆๆๆๆๆ แกนี่ก็ จะบ้ารึไง จากที่ฟังแกเล่า ป้าคนนั้น อาจจะบ้าก็ได้” เพลงระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างดังจนน่าตกใจ

    “แก แต่...ถ้ามันเป็นจริงล่ะ”

    “แกเชื่อเรื่องเนื้อคู่อะไรนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่ฉันรู้จักแกมา แกแทบไม่เคยชอบใครเลยนะเว้ย แล้วนี่แก ... เชื่อ โอ้ พระเจ้า” เพลงกุมขมับตัวเอง ก่อนจะเดินออกไปหยิบแล็ปทอปสีขาวมาเปิดเพื่อเล่นแชทกับเพื่อนต่างโรงเรียน

    .

    .

    อากาศยามเช้าของวันหยุด เป็นอากาศที่สดชื่นที่สุดสำหรับคนที่เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานตลอดสัปดาห์

    “สวัสดีครับ ขอคุยกับวายุหน่อยได้ไหมครับ” เสียงนุ่มถูกกรอกใส่ลงไปในโทรศัพท์ เสียงจากอีกฝั่งหนึ่งตอบกลับมาทันที

    “พูดอยู่ ใครน่ะ” วายุ เป็นนักร้องของวงดนตรีชื่อดังของโรงเรียน ที่ไม่ว่าจะไปประกวดที่ไหน ก็มักจะชนะตลอด เสียงของเขาเพราะกังวานและทรงพลังมาก ใครๆก็เรียกเขาว่า Prince เพราะนอกจากจะเสียงดีแล้ว น่าตาของเขาก็ใช่ย่อย ถือว่าดีกว่าใครหลายๆคนได้เลย วายุเรียนอยู่ชั้น ม.5 เขามักจะมีผู้หญิงมากมายมาตามประกบ ใครจะรู้ว่าจริงๆแล้ว เขาเป็นผู้ชายที่น่ากลัวกว่าที่ใครจะกล้าพูด

    “ข้าเอง ต้น จำได้ไหม”  ต้นกับวายุเป็นเพื่อนเก่ากันมาตั้งแต่สมัยเรียนประถม แต่ทั้งสองแยกโรงเรียนกัน ต้นมีความเป็นผู้นำสูง ส่วนวายุ มีความเย็นยะเยือกสูง หากวายุไม่มีต้น วายุจะดูโหดมากกว่าตอนนี้เสียอีก

    “เออ มีไรวะ ข้ากำลังซ้อมดนตรีอยู่”

    “ที่ไหนวะ ข้าไปหาได้ไหม อยากเจอว่ะ” วายุบอกสถานที่ นัดแนะกับต้นเรียบร้อยก็วางสายไป ไม่นาน ต้นก็มาจนถึง

    “เฮ้ย วา เป็นไงบ้างวะ” วายุ ที่มือข้างหนึ่งยังถือไมโครโฟนอยู่ รีบเดินปรี่ลงมาหาเพื่อนเจ้าของเสียง

    “ไง ไอ้เพื่อนยาก” ทั้งสองกอดกันพอเป็นพิธี

    “เฮ้ย พวก นี่ต้น เพื่อนเก่าฉัน” วายุ ตบบ่าต้นเบาๆ

    “สวัสดี เราชื่อ นาย เล่นอิเล็กโทน คนนั้น ชื่ออิฐ เล่นเบส ข้างๆอิฐคือ มิว เล่นกีต้าร์ ส่วนคนที่ยืนกินน้ำตรงนั้น ชื่อ เก่ง มือกลอง” นาย เด็กผู้ชายที่ดูเป็นมิตรที่สุดในวง เดินมาทักทายพร้อมแนะนำตัวตัวเองกับเพื่อนๆ

    “เรา ต้น เป็นเพื่อนเก่าไอ้วามัน” ต้นเข้าใจแจ่มแจ้งว่าวายุอยู่ที่โรงเรียนใหม่ได้ยังไง ก็เพื่อนในวงแต่ละคน หน้าตาไม่มีการแปะเปื้อนรอยยิ้มกันเลย เว้นแต่นายเท่านั้น

    “มีอะไรวะ รอข้าซ้อมร้องเพลงก่อนได้ป่าว”

    “เออ ได้ดิ” ร่างของคนหน้าหล่อเดินกลับขึ้นเวทีซ้อมไปช้าๆ ก่อนจะหันมาทำหน้ากวนประสาทให้คนที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้านล่างเกลียดขี้หน้า ก่อนจะซ้อมร้องเพลง

    RRRRRRRR

    “ต้นพูดสายครับ นั่นใครเอ่ย”

    “เราเอง ก้อย ต้น เราไม่รู้จะไปหาครูสอนร้องเพลงที่ไหนมาสอนไอ้พวกรุ่นน้อง เราลองถามเพื่อนๆดู ไม่มีใครร้องเพลงดีเลย”

    “อ่าว ต้องใช้ครูด้วยหรอ”

    “เราจะสอนเขานะ ก็ต้องใช้ดิ”

    “เออ งั้น เดี๋ยวเราช่วยหานะ”

    “นี่แกอยู่ไหนเนี่ย ทำไมเสียงดังจังเลย ใครร้องเพลงอยู่น่ะ”

    “ฉันมาหาเพื่อนเก่า มีเรื่องมาปรึกษามันหน่อย”

    “หรอ”
    “ใช่ จริงด้วย ก้อย เดี๋ยวเราโทรฯหาใหม่นะ ตอนนี้เราไม่ค่อยสะดวก แล้วเราจะเอาครูไปให้ อย่าเครียดไปล่ะ เข้าใจไหม แค่นี้นะ บาย รักแก” ต้นจบบทการสนทนาไว้สั้นๆ วายุยกมือขึ้นขัด ทำเพื่อนที่เล่นๆกันอยู่หยุดลง

    “พวกเอ็งเล่นอะไรกันเนี่ย ไอ้นาย ฉันบอกว่าท่อนตะกี้ คอร์ดซีชาร์ปไม่มีไมเนอร์ ไอ้เก่ง อย่ารัวบ่อย ชักจะเมาแล้ว” นักร้องผู้ควบตำแหน่งหัวน้าวงเอ็ดเสียงดัง

    “เออๆ มิว ซีชาร์ปเล่นไง” นายที่ดูอารมณ์ดีแปรเปลี่ยนเป็นอีกคนได้เพียงแค่ขึ้นเวที การแสดงและท่าทางของเขาดูต่างจากตอนแรกมาก เขาดูขรึมขึ้นทันทีราวกับคนละคน

    “มานี่ ข้าทำให้ดู” หนุ่มร่างเล็กเดินถอยหลีกไปด้านหลัง ให้คนที่หน้าโหดกว่าเดินมาสอน

    “อ่อ นึกออกแล้ว งั้นเล่นต่อได้” เก่งควงไม้กลองเอาฤกษ์ก่อนจะฟาดไม้กลองกระทบกันเป็นสัญญาณให้เริ่ม อิฐเดินถอยหลังไปเพราะเขาไม่ได้ยินเสียงของคนอื่นเลย แอมป์ของเขาได้ยินแค่เสียงเบสชวนใจสั่น ไม่นาน วงนี้ก็เล่นจบเพลง ต้นเดินมาตบหลังเพื่อนชายเบาๆ

    “เท่ห์ดีนี่หว่า” ต้น ยิ้มระรื่น ในใจนึกแต่ว่า ไอ้นี่จะยอมไปเป็นครูฝึกสอนให้ได้ไหม

    “เออ ขอบใจ ชมไอ้มิวนู่น ตัวประสานงานดี ฮ่าๆๆ” อาจเป็นครั้งแรกที่ต้นเห็นว่าเพื่อนจอมขรึมของเขายิ้ม ทันทีที่เขาหัวเราะ เพื่อนทุกคนในวงก็ต่างพากันหัวเราะหน้าระรื่น

    “ว่าแต่เอ็งเหอะ ไอ้ต้น มีอะไรรึเปล่าวะ ช่วงนี้ข้าต้องซ้อมบ่อยหน่อย ข้าเตรียมไปแข่งบนเวที Peak load อีก 3 อาทิตย์” วายุ ยังไม่หุบยิ้ม ที่เผยให้เห็นเขี้ยวคม เวทีที่ว่านี่ถือเป็นเวทีที่วงดนตรีหลายวงสนใจกันมาก เพราะนักร้องที่ดังๆบางกลุ่มก็มาจากเวทีนี้

    “ถ้าข้าจะให้เอ็ง ไปช่วยเป็นครูสอนร้องเพลงให้รุ่นน้องในชมรมข้า ได้ป่าววะ” ต้น ยิ้มแหยๆ

    “ไม่เอาด้วยหรอก ข้าต้องซ้อมหนักนะเว้ย” รอยยิ้มเมื่อกี้หายไปทันตา เพื่อนในวงคนอื่นไปพักกินขนมนมเนย

    .

    .

    ทางด้านของก้อย ก็ยังมุ่งหน้าตามหาคนที่จะมาเป็นครูให้เธอ เธอรู้จักกับพีที่ทำงานอยู่ในสตูดิโอแห่งหนึ่ง วันนี้มีคนมาออดิชั่นเพื่อจะเป็นนักร้องจำนวนมาก เธอเดินไปทางด้านหลังสตูดิโอ แล้วตามหาพี่ที่รู้จัก

    “ขอโทษด้วยค่ะ หนูชื่อก้อย ที่มีนัดกับพี่กายน่ะค่ะ” Staff หน้าเข้มพยักหน้ารับ ก่อนจะเรียกเจ้าของชื่อที่ก้อยตามหาอยู่

    “พี่กายครับ มีรุ่นน้องมาขอพบครับ” กายกวักมือเรียกเป็นเชิงอนุญาตให้สาวก้อยเข้าไปหาได้

    “ขอโทษที่มากวนนะคะ”

    “ไม่เป็นไร น้องก้อยมีอะไรหรอครับ” กายและก้อยเป็นพี่น้องกันแต่คนละแม่ พี่กายเป็นลูกบุญธรรมเท่านั้น ก้อยจึงรู้สึกเกรงใจมาก เพราะไม่ใช่พี่แท้ๆ

    “ก้อยได้ยินมาว่า อีกไม่กี่อาทิตย์ พี่กายจะตั้งการประกวดวงดนตรี หานักร้องหรอคะ”

    “ใช่แล้ว ข่าวเร็วดีนะเนี่ย”

    “ค่ะ คือตอนนี้ก้อยเปิดชมรมร้องเพลงที่โรงเรียนน่ะค่ะพี่กาย แล้วก้อยยังหาครูที่จะมาสอนไม่ได้เลย ก้อยเลยอยากได้คนที่เสียงดีๆ ที่พี่อาจจะไม่เอาตอนออดิชั่น จะขอพาเขาไปเป็นครูสอนร้องเพลงให้หน่อย ได้ไหมคะ”

    “ชมรมร้องเพลงหรอ เอาสิ เดี๋ยวพี่ลองเพิ่มหมวดนี้ลงไปเลย เดี๋ยวพี่จ่ายเงินให้ก็ได้นะ”

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก้อยให้คนที่มาเรียนจ่ายคนละ 300 บาทค่ะ ตอนนี้คนที่ลงชื่อเอาไว้ตอนเตรียมยื่นเรื่อง มีเกือบยี่สิบคนแล้วน่ะค่ะ”

    “โห รายได้อื้อเลยนะ ฮ่าๆๆ” พี่น้องคุยกันเรื่องทั่วไปอยู่สักพัก

    “พี่กายครับ พี่แนทบอกว่า วงของน้องที่มาซ้อมร้องเพลงในห้องซ้อมตึก 2 ขอใบสมัครใหม่ฮะ เขาบังเอิญทำหายไป” กายลุกขึ้นทำหน้าตาไม่ค่อยพอใจเสียเท่าไหร่

    “ทำไมต้องโมโหด้วยคะ”

    “คือ ใบสมัครเวทีนี้ พี่มีให้เฉพาะคนที่ผ่านออดิชั่นน่ะจ้ะ ถ้าทำหายจริงๆแล้วต้องออดิชั่นใหม่เลยด้วยซ้ำ ดีไม่ดีโดนตัดสิทธิ์เลยนะ แต่ไอ้วงนี้มันโชคดี ที่มันยังอยู่ที่ห้องซ้อม ไม่งั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ไปต่อ” กายเซ็นลายเซ็นลงบนกระดาษสีขาว เพื่ออนุมัติให้ใช้ใบสมัครใหม่โดยไม่ต้องผ่านการออดิชั่น ที่กายโมโห ก็เพราะ หากคณะกรรมการหรือใครรู้เรื่องนี้ เขาจะหาว่าโกง ใช้เส้น เพราะว่าไม่ต้องออดิชั่น แต่ที่จริงก็แค่เพราะพวกเขาสะเพร่าเท่านั้นเอง

    “เดี๋ยวไปเอาใบสมัครมานะ ผมจะไปต่อว่าสักหน่อย” ลูกน้องพยักหน้ารับ ก่อนจะเลื่อนประตูปิด

    “ไปด้วยกันไหม เผื่ออยากจะดูหน้าดูเสียงไอ้นักร้องวงนี้” หญิงสาวพยักหน้ารับ ก้อยชอบการที่ได้เป็นคอมเม้นท์เตเตอร์ที่สุด

    ทั้งคู่เดินมาเรื่อยๆจนถึงตึก 4 ชั้นครึ่งตึกหนึ่ง หน้าตึกมีป้ายขนาดใหญ่เขียนด้วยน้ำหมึกสีน้ำเงินเข้มว่า ห้องซ้อม ชั้นแต่ละชั้น จะมีห้องซ้อมดนตรีประมาณ 4 ห้อง ล้วนแต่เป็นห้องเก็บเสียงเสียด้วย ว่าง่ายๆคือ สตูดิโอนี้ ตั้งอยู่บนที่ตั้งว่างๆโล่งๆ มีตึกเล็กๆ ที่ถูกออกแบบมาเป็นรูปวงกลม มี 2 ชั้น ชั้นบนเป็นที่สำหรับออดิชั่น ชั้นล่าง สำหรับผู้รอออดิชั่น ด้านหลังของตึกมีห้องทำงานไม่ใหญ่มาก แต่ดูดีสำหรับเจ้าของสตูดิโอ นั่นคือ กาย เมื่อเดินออกไปจากตัวตึกเล็กนี่ จะพบสนามกว้างๆ เป็นสำหรับการจัดเวทีแข่งขัน ซึ่งมีขึ้นทุกปี ถัดไปอีก เป็นตึก 4 ชั้นที่เรียกว่าตึกซ้อม นี่คือภาพรวมของบริษัทเล็กๆที่ชื่อว่า Peak Load

     

    “พวกเอ็งว่าเราจะเอาเพลงช้าเพลงไหนดีวะ” มิว เดินมาถามความคิดเห็นเพื่อน ทั้งที่ในมือก็ถือน้ำอัดลมอยู่

    “แล้วแต่เลย แต่เอาแบบสบายๆนะ” เก่ง พูดขึ้นพร้อมถอดเสื้อสีเข้ม ที่เต็มไปด้วยเหงื่อ

    “ไอ้นาย เอ็งน่าจะรู้จักเพลงแบบนี้เยอะนี่หว่า” มิวหันมาถาม

    “ผมว่า เรามาเปลี่ยนแนวเพลงกันดีไหมครับ”

    “เห้ย เบสมันเล่นหนักนะเว้ย” อิฐแย้ง

    “ก็นั่นล่ะครับ ถ้าคุณเก่งบอกว่าเอาแบบสบายๆ แล้วคุณอิฐแย้งว่า เบสมันหนัก งั้นเราก็ใช้เพลงเร็วมาเปลี่ยนไงครับ” วายุ ที่พึ่งคุยกับต้นเสร็จ ก็เดินมานั่งลงบนเก้าอี้หน้าเวที ก่อนจะเปิดประเด็นคุยกันจริงจัง

    -ก๊อก ก๊อก- เสียงเคาะประตูกระจกดังขึ้นมาจากด้านนอก ต้น เห็นว่าเพื่อนคนอื่นยังนั่งคุยกันอยู่ จึงเดินไปเปิดให้

    “น้องอยู่วงนี้รึเปล่า” กายเอ่ยถาม

    “เปล่าครับ ผมมาหาเพื่อนเก่าเฉยๆ ... อ้าว ก้อย มาทำอะไรที่นี่เนี่ย”  

    “อ้าว ไอ้ต้น แกมาทำอะไรที่นี่วะ” ก้อย พูดพร้อมยืนตกใจที่เห็นเพื่อนของตัวเองอยู่ตรงนี้

    “ฉันมาหาเพื่อนเก่า นั่นอ่ะ แกล่ะ”

    “นี่ พี่กาย พี่ชายฉัน” ก้อย ชี้นิ้วมาที่พี่ชายที่ยืนทำตัวสูงอยู่ข้างๆ

    “สวัสดีครับ พี่”

    “แล้วเพื่อนน้องล่ะ วงนี้น่ะ”

    “เดี๋ยวผมเรียกหัวหน้าวงให้ครับ”

    “ไอ้วา มีคนมาหา” วายุเดินอมยิ้มมาจากเพื่อนๆที่ยังยืนคุยกันอย่างสนุกสนานเรื่องของเพลงช้า

    “อ้าว พี่” วายุยุดเดินหันหน้ามามองคนสองคนที่อยู่ตรงหน้า ปรายสายตาคมไปยังชายร่างสูงที่ยืนหน้านิ่วอยู่ ก่อนจะยกมือไหว้

    “สวัสดีครับพี่”

    “เออ น้องใช่วงที่ทำใบสมัครหายป่ะ”

    “ครับ” วายุนิ่วหน้า กลับเข้าสู่โหมดเข้มตามหลัก

    “นี่กำลังทำอะไรอยู่ล่ะ” กายเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง

    “คิดเพลงช้าครับ” วายุเดินกลับเข้ามาเป็นเชิงเชื้อเชิญให้เข้ามาด้านในห้องซ้อม

    “ไหนลองเล่นเพลงที่ซ้อมให้ดูหน่อย” วายุพยักหน้าหลังสิ้นคำ เพื่อนในวงหุบยิ้มลงกะทันหัน นาย หนุ่มน้อยที่ดูอารมณ์ดีจากหน้าตา ก็กลับดูเครียดขึ้นมาเหมือนกัน วายุหันไปพูดกับเพื่อนในวงอยู่สักพัก ก่อนจะหันมาเตรียมตัว เสียงร้องนำมาก่อนเสียงดนตรี ซึ่งฟังดูแล้วก็หนักแน่นสมเป็นเพลงร็อก วงร็อก ไม่นานนัก เพลงเร็วที่ฟังดูชวนให้ออกรบก็จบลง ตัดอารมณ์ยายก้อยที่กำลังเคลิ้มให้ขาดสะบั้น

    “เป็นไงบ้างครับ” ก้อยหันไปมองหน้ากาย ทำหน้าเว้าวอนเหมือนขอตำหนิ

    “ก็ดีนะ ถือว่าพี่มาออดิชั่นให้ใหม่แล้วกัน เพราะพวกเราสะเพร่า ทำของสำคัญหาย เอ้า นี่ อย่าให้หายอีกนะ” กาย หยิบแฟ้มสีน้ำตาลส่งยื่นให้คนที่อยู่บนเวที ก่อนจะเดินล้วงกระเป๋าออกมาจากห้องซ้อม

    “แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงเนี่ย ก้อย” ต้น เดินมานั่งข้างๆเพื่อนที่ยังนั่งทำหน้าตาอึ้งๆอยู่

    “อ๋อ พี่กายเป็นเจ้าของที่นี่ ฉันมาลองถามหาคนที่อยากเป็นครูให้ชมรมเรา พี่กายเลยพามาที่นี่” ต้น พยักหน้าเชิงเข้าใจ

    “สวัสดีครับ ผมชื่อนายครับ คุณเป็นเพื่อนคุณต้นหรือครับ” นาย เดินลงมาจากบนเวที

    “ค่ะ เป็นน้องสาวเจ้าของบริษัทด้วย”

    “ยินดีอย่างยิ่งที่ได้รู้จักคุณนะครับ” นาย ก้มหัวเล็กๆ ก่อนจะฉีกยิ้มหวาน เดินหันหลังกลับขึ้นไปบนเวที

    “เอ่อ คุณคะ ฉันว่าพวกคุณเล่นกันได้ดีแล้วค่ะ แต่ฉันว่าหน้าตาคนร้องดูจืดๆไปนะคะ ลองยิ้มบ้างก็ได้นะ เมื่อกี้ก้อยเห็นคุณยิ้ม มีเสน่ห์จะตาย

    “...” คนที่ยืนอยู่บนเวทีไม่พูดอะไรออกมาทั้งสิ้น ทำหน้าเอือมระอากับคำที่ได้ยินมาอย่างคุ้นหู

    “ยิ้มน่ะค่ะ แค่ยิ้ม” ก้อย พยายามฉีกยิ้มให้ดูอย่างแหยๆ หน้าตาวายุกลับยังดูไม่สบอารมณ์เท่ำไหร่

    “ชีส” วายุ เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่เริ่มปรากฏบนใบหน้า เขาไม่ได้ตั้งใจยิ้มด้วยซ้ำ

    “นั่นแหละค่ะ ขอให้โชคดีค่ะ” ก้อย เดินจากไปจากห้องซ้อมช้าๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×