ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สัญญาร้าย...กลายรัก (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 (สมมติว่า 100%)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.05K
      1
      14 ก.ค. 51





    นัยน์ตาสีน้ำทะเลจับจ้องอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในมือสลับกับนาฬิกาเรือนโตที่ติดอยู่บนผนังห้องอย่างกระสับกระส่าย ดวงหน้างดงามเกินชายฉายแววกระวนกระวายใจด้วยคิดไม่ตกว่าจะติดต่อไปยังเจ้าของเบอร์โทรศัพท์ที่ตนกดค้างเอาไว้หรือไม่ ด้วยว่าตนเข้ามารอตั้งนานแล้วแต่เจ้าของห้องกลับไร้ซึ่งวี่แววว่าจะกลับมา

    ตอนแรกธีรพงษ์ยังหวั่นๆ ว่าคืนนี้จะถูกร่างสูงแกร่งนั้นกอดจนแทบไม่ได้นอนเสียอีก จนต้องยืนทำใจหน้าห้องอยู่นานกว่าจะรวบรวมความกล้ากดกริ่งเบาๆ หากแต่กลับไร้ซึ่งเสียงตอบรับจนต้องใช้คีย์การ์ดที่เอกวุฒิยัดเยียดให้ไว้เมื่อตอนบ่ายไขเข้าไป

    ความมืดภายในห้องทำให้ร่างบางที่เผลอกลั้นหายใจไปชั่วครู่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก นิ้วเรียวควานหาสวิตซ์ไฟอย่างทุลักทุเลด้วยไม่คุ้นชินกับสภาพของห้อง ถึงแม้จะเคยอยู่ในนี้ถึงสองวันแต่นอกจากเตียงนอนกับห้องน้ำแล้วเขาก็ไม่มีโอกาสได้เห็นห้องนี้เต็มๆ ตาเสียที จึงถือโอกาสที่เจ้าของห้องไม่อยู่ทำการสำรวจภายในห้องชุดอย่างละเอียด

    แต่จนแล้วจนรอดคนที่ทั้งข่มขู่ทั้งบังคับให้ใจเขาต้องเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ทั้งวันจนเป็นอันเรียนหนังสือไม่รู้เรื่องก็ไม่มาสักที ทำเอาธีรพงษ์ที่เดิมมีแต่ความหวาดหวั่นเริ่มรู้สึกหงุดหงิด เขามารอตั้งแต่สองทุ่มตามที่ได้นัดกันไว้ (ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าโดนเอกวุฒิบังคับเสียมากกว่า) แล้วนี่เข็มสั้นของนาฬิกาจะชี้ไปยังเลขสิบเอ็ดอยู่แล้วคนที่รอก็ยังไม่มาเสียที เขากะว่าถ้าหากโทรไปครั้งนี้แล้วเอกวุฒิไม่รับก็จะเบี่ยงหน้ากลับห้องพักของตนทันที

    ...............

    เสียงสัญญาณเรียกเข้าที่ดังมาจากโทรศัพท์มือถือทำให้ร่างสูงแกร่งที่กำลังเคลื่อนไหวร่างกายคลอเคลียกับหญิงสาวที่ตนเพิ่งคั่วมาได้เมื่อครู่ชักสีหน้าบึ้งตึง รู้สึกไม่สบอารมณ์ที่มีคนโทรมารบกวนขณะที่เขากำลังสนุกอยู่เช่นนี้ หากแต่เมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอก็แปรเปลี่ยนเป็นสงสัยทันที

    ธีรพงษ์โทรมาทำไมตอนนี้?

    ไม่รอให้อีกฝ่ายต้องรอนาน เอกวุฒิจึงตัดสินใจกดรับและกรอกเสียงถามสั้นๆ ตามอารมณ์ที่ขุ่นมัว

    “ว่าไง”

    เสียงเพลงที่ดังลอดมาตามสายทำให้อีกฝั่งนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนที่นัดตนเอาไว้จึงได้ไม่มาตามนัด ร่างบางกลืนก้อนที่แล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอกลับลงไปจากนั้นจึงฝืนเปล่งเสียงตอบอย่างยากลำบาก

    “ไม่มีอะไร แค่... อยากโทรมาเฉยๆ ”

    ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำเสียงแปลกๆ ที่ได้ยินหรือจับได้ถึงกระแสอารมณ์ที่ไม่ปรกติของอีกฝ่ายที่ทำให้เอกวุฒิรับรู้ถึงบางสิ่งบางอย่าง ชายหนุ่มเดินหลบเลี่ยงผู้คนออกมาหาความเงียบสงบที่หน้าผับเพื่อพูดคุยกับคนที่โทรมาอย่างจริงจัง

    “เป็นอะไรหรือเปล่า”

    เอกวุฒิถามอย่างแปลกใจ แต่กลับยิ่งทำให้ธีรพงษ์รู้สึกแย่ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น ร่างโปร่งบางกำลังจะเอ่ยตอบไปว่าไม่เป็นไรแต่เสียงอีกเสียงที่เล็ดลอดเข้ามาตามสายทำให้เสียงที่กำลังจะเปล่งออกมานั้นถูกกลืนกลับลงไป

    “เอกออกมาข้างนอกทำไมคะ?”

    ร่างแกร่งมองโทรศัพท์มือถือของตนอย่างไม่พอใจเมื่อธีรพงษ์กดสายทิ้งไปทันทีทั้งที่เป็นคนโทรมาหาเขาแท้ๆ แต่เมื่อมองเห็นเรือนร่างอวบอัดในชุดราตรีสีแดงเพลิงที่ทั้งรัดทั้งแหวกเสียจนไม่ต้องจินตนาการชายหนุ่มก็สะบัดเรื่องเมื่อครู่ออกไปจากหัว และหันไปยิ้มส่งให้คนที่กำลังเดินเข้ามาบดเบียดอยู่บนกายทันที

    ทำไมจะต้องไปสนใจธีรพงษ์ด้วยเล่า ในเมื่อเขาได้เหยื่อแล้วในคืนนี้

    ด้านฝ่ายคนที่กดวางสายเองกลับนั่งนิ่ง พยายามคิดว่าไม่เป็นไรทั้งที่ในใจรู้สึกปวดหนึบอย่างประหลาด ไม่เข้าใจว่าตนรู้สึกอย่างนี้ได้อย่างไร จะบอกว่าเขาหลงรักอีกฝ่ายหรือ? มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ เพราะระยะเวลาที่ได้รู้จักกันนั้นมันสั้นเหลือเกิน อีกทั้งยังมีข้อผูกมัดแปลกๆ นั่นอีก เพียงแค่นี้เอกวุฒิก็ไม่เหมาะสมกับความรักที่เขามีแล้ว

    แล้วมันเป็นเพราะอะไรกันล่ะ? ร่างบางพยายามหาคำตอบให้กับใจตัวเอง อาจเป็นเพราะเขาเริ่มมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเอกวุฒิกระมัง เนื่องจากช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นร่างสูงแกร่งช่างดูแลเอาใจใส่เขาเป็นอย่างดีถึงแม้นั่นจะต้องแลกมาด้วยเรือนร่างของตนเองก็ตาม แต่แค่นั้นธีรพงษ์ก็รู้สึกดีแล้ว เด็กไร้ญาติขาดมิตรที่ต้องอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตั้งแต่ยังจำความไม่ได้อย่างเขารู้ตัวเองดีว่าต้องการและไขว่คว้าหาความรักความเอาใจใส่จากคนอื่นมากมายเพียงใด ดังนั้นจึงไม่แปลกเลยที่เพียงแค่เอกวุฒิทำดีด้วยนิดๆ หน่อยๆ เขาจะหลงเข้าใจผิดไปเองว่าอีกฝ่ายมีความรู้สึกดีๆ ให้

    คิดมาถึงตรงนี้ดวงตาสีน้ำทะเลที่เคยส่องประกายเสมอก็พลันหม่นหมองลง ร่างบางตัดสินใจเดินไปรับลมที่ระเบียงเพื่อสลัดความรู้สึกหดหู่ทิ้ง เหม่อมองเมืองกรุงยามราตรีที่งดงามด้วยแสงสีจนแลดูคล้ายกับทะเลแห่งดวงดาว

    อุ้งมือเรียวบางเผลอเอื้อมลงไปลูบไล้จี้ห้อยคอที่ตนถอดใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ก่อนจะตัดสินใจหยิบมาออกมาพิจารณาด้วยความเศร้าหมองเพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ติดกายเขามาตั้งแต่ที่ถูกทอดทิ้งเอาไว้ยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ตัวสร้อยเป็นเส้นหนังสีดำที่ไม่มีราคาค่างวดมากนัก ส่วนจี้ที่ห้อยอยู่มีคริสตัลเล็กๆ ติดอยู่ตรงกลางวงแหวนสองวงซ้อนกันเปล่งประกายหยอกล้อกับแสงนีออน สำหรับคนอื่นมันอาจจะมีค่าเล็กน้อย แต่สำหรับเขา คนที่ไม่เคยมีใครต้องการอย่างจริงใจ เป็นเพียงสิ่งเดียวที่คอยยึดเหนี่ยวและค้ำจุนจิตใจในเวลาที่อ่อนแรง

    ธีรพงษ์สวมสร้อยเส้นนั้นอย่างแผ่วเบาราวกับกลัวว่ามันจะบุบสลาย พลันแรงใจมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาเหมือนกับทุกครั้งที่สวมจนมันทำให้เขารู้สึกว่ามีใครบางคนอยู่ข้างกาย ริมฝีปากเรียวเผยอแย้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเผลอนึกไปว่าอาจเป็นใครสักคนที่รักเขามากก็ได้ที่มอบกำลังใจให้เขาในวันที่ไม่มีใครเช่นวันนี้

    ไม่แน่ว่าคนที่คอยให้กำลังใจโดยที่เขามองไม่เห็นนี้อาจเป็นพ่อหรือแม่ที่เขาเคยโหยหามาตลอดก็ได้

    คิดได้ดังนั้นร่างโปร่งบางจึงผละจากห้องชุดใหญ่เพื่อกลับไปเผชิญกับความเงียบเหงาที่ต้องอยู่เพียงลำพังในห้องพักของตนด้วยความรู้สึกสบายใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    ...............

    รุ่งอรุณหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าสตางค์เพื่อจ่ายเป็นค่าแท็กซี่ที่จอดเทียบอยู่หน้าโรงพยาบาลและรีบออกจากรถด้วยความเร่งรีบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มจับจ้องนาฬิกาสลับกับมองทางข้างหน้าอย่างกระวนกระวายใจ วันนี้พนักงานเสิร์ฟกะเย็นที่ต้องมารับช่วงต่อจากเขาเข้ามาทำงานช้ามาก กว่าจะเคลียร์งานเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม ทำให้มาถึงช้าแบบนี้ และทั้งๆ ที่รู้ว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้วแต่เนื่องจากตนเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ จึงพอจะสนิทกับแพทย์และพยาบาลที่อยู่เฝ้าเวรอยู่บ้าง ดังนั้นขอแค่ทำหน้าตาน่าสงสารบวกกับท่าทางออดอ้อนอีกเล็กน้อยก็ทำให้สามารถเข้าไปเยี่ยมน้องสาวได้โดยง่าย

    “ว่าไงจ๊ะน้องรุ่ง วันนี้มาเสียดึกเลย”

    เสียงทักทายทางด้านข้างทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองและส่งยิ้มให้ด้วยความเคยชิน

    “พอดีวันนี้เลิกงานดึกน่ะครับพี่จิต” รุ่งอรุณตอบกลับเมื่อเห็นว่าคนที่ทักทายตนนั้นเป็นนางพยาบาลท่าทางมีอายุคนหนึ่งที่จำได้ว่าชื่อจิตรา เป็นนางพยาบาลที่ใจดีและเอ็นดูพวกเขาสองพี่น้องมาก ร่างโปร่งบางจึงแย้มยิ้มออกมาได้มากขึ้น

    “ยิ้มมาแต่ไกลแบบนี้แสดงว่าจะมาอ้อนขอเยี่ยมน้องอีกแล้วล่ะสิ” จิตราดุคนตรงหน้าอย่างไม่จริงจังนักเพราะรู้จักกันมานานพอสมควร ทำให้ได้รับรู้ถึงเรื่องราวของรุ่งอรุณและรุ้งตะวันมาบ้าง จึงรู้สึกรักและสงสารทั้งสองมาก ยิ่งเห็นใบหน้าคมเฉี่ยวกับดวงตากลมโตมองมาด้วยแววตาออดอ้อนก็ยิ่งทำให้จิตใจอ่อนยวบไปกว่าเดิม

    “แต่เสียใจด้วยนะจ๊ะน้องรุ่ง วันนี้น้องรุ้งหลับไปแล้ว” ทิพย์อาภรณ์ที่พึ่งกลับมาจากการเดินตรวจพอดีกล่าวขึ้น เธอเองก็เป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่คุ้นเคยกับรุ่งอรุณเช่นกันจึงสามารถบอกได้ทันทีโดยไม่ต้องเช็ค

    “ไหงงั้นล่ะพี่ทิพย์”

    ร่างสูงโปร่งถอนหายใจอย่างเสียดาย ใบหน้าเฉี่ยวงอง้ำลงเล็กน้อยด้วยความขัดใจ แม้จะอยากเข้าไปพบมากเพียงใดแต่ก็ไม่อยากเข้าไปรบกวนการนอนของรุ้งตะวันมากนัก เพราะรู้ดีว่าน้องสาวของตนเป็นคนนอนหลับยากแค่ไหน ดังนั้นสิ่งที่ทำจึงมีเพียงแค่การพูดคุยหยอกล้อกับสองสาวเท่านั้น

    “อุ๊ย!! ตายจริง... ดึกขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย”

    จิตราอุทานขึ้นเมื่อเหลือบไปมองนาฬิกาแล้วพบว่าตอนนี้เข็มสั้นอยู่ที่เลขสิบเอ็ดแล้ว หญิงสาวรีบกระวีกระวาดแต่งตัวให้เรียบร้อยโดยไม่ลืมสะกิดให้ทิพย์อาภรณ์ทำด้วยเช่นกัน

    “เอ่อ... พี่จิตครับ ทำไมถึงต้องทำให้เรียบร้อยขนาดนั้นด้วยล่ะครับ” รุ่งอรุณถามอย่างสงสัยเนื่องจากทุกครั้งที่มาเยี่ยมน้องสาวและแวะเข้ามาคุยด้วยก็หลายครั้ง ยังไม่เคยเห็นครั้งไหนที่พวกพยาบาลวิ่งกันวุ่นแบบนี้

    “อ๋อ... พอดีว่าวันนี้ลูกชายเจ้าของโรงพยาบาลจะเข้ามาเยี่ยมเพื่อนน่ะจ้ะ คนเป็นพ่อเลยให้ตรวจดูความเรียบร้อยของโรงพยาบาลด้วยซะเลย” จิตราหันมาเฉลยข้อสงสัย แต่ยังคงสาละวนอยู่กับเสื้อผ้าหน้าผม “คงกะว่าจะให้ลูกฝึกดูแลไปด้วยในตัวล่ะมั้ง”

    ร่างโปร่งพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เมื่อเห็นว่าตอนนี้ก็ดึกมากแล้วแถมทั้งสองคนก็กำลังยุ่งๆ กันอยู่จึงขอตัวกลับ

    “งั้นผมกลับก่อนนะครับพี่จิต พี่ทิพย์” รุ่งอรุณกล่าวลาพร้อมส่งยิ้มให้ ทั้งสองสาวจึงหันมาส่งยิ้มกลับแทนคำลา

    ขณะที่กำลังจะหันหลังกลับนั้นเอง ร่างสูงโปร่งก็ชนเข้ากับบางอย่างจนแทบล้มลงไปกองกับพื้น ดีที่ว่ามีอุ้งมือแกร่งยื่นออกมาดึงร่างโปร่งเข้าไปซุกกับอกหนาไว้ได้ทันเสียก่อน

    “เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”

    เสียงทุ้มนุ่มที่กระซิบแผ่วเบาทำให้สมองที่กำลังเบลอๆ จากเหตุการณ์เมื่อครู่กลับมาทำหน้าที่ประมวลผลอีกครั้ง รุ่งอรุณเงยหน้ามองคนที่ประคองกอดตนเอาไว้ด้วยสายตางุนงง ก่อนที่ใบหน้าซีดเผือดเมื่อครู่จะขึ้นสีระเรื่อเมื่อรู้สึกถึงอุณหภูมิของเรือนร่างแกร่งในระยะใกล้ชิด ชนิดรับรู้ได้ถึงลมหายใจเป่าราดรดหน้าผากมน

    “ม... ไม่เป็นไรแล้วครับ” รุ่งอรุณขืนกายเล็กน้อยอย่างไม่น่าเกลียดเพื่อให้อีกฝ่ายคลายอ้อมกอด พอผละออกมาได้จึงก้มหน้าก้มตาพูดอุบอิบจนแทบไม่ได้ยิน “ขอบคุณที่ช่วยพยุงครับ”

    กล่าวจบร่างโปร่งก็รีบวิ่งออกจากที่เกิดเหตุด้วยอาการอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี ใบหน้าเนียนตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดลามไปถึงลำคอ วันนี้มีเรื่องให้ต้องได้อายถึงสองครั้ง และแต่ละครั้งก็เกิดจากคนที่มีรูปร่างใหญ่โตกว่าทั้งนั้น จนชักหวั่นๆ ว่าเดี๋ยวนี้ตัวเขาตัวเล็กลงหรือเปล่า แต่พอหวนคิดไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าก็ยิ่งทั้งอายทั้งโกรธเข้าไปอีก

    ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหนๆ ก็ขอให้อย่าได้เจอะเจอกับหมอนั่นอีกเลย...

    ...............

    “นั่นพยาบาลที่เพิ่งออกเวรเหรอครับพี่จิต” ร่างสูงใหญ่ที่รุ่งอรุณต่อว่าในใจเมื่อครู่ถามขึ้น ดวงตาสีมรกตจับจ้องร่างโปร่งที่ถึงจะสูงกว่าคนทั่วไปอยู่บ้างแต่ก็ยังคงเตี้ยกว่าเขาด้วยความสนใจ

    “อุ๊ย!! คุณวสุธา... ดูยังไงว่าเป็นนางพยาบาลคะ” จิตรากระเซ้าเสียงระรื่น นานๆ ทีว่าที่เจ้านายจะมีอาการหลุดออกมาให้เห็น ก่อนจะรีบอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าเหมือนไม่เชื่อของอีกฝ่าย “นั่นน่ะญาติผู้ป่วยค่ะ พอดีมาเยี่ยมบ่อยๆ เลยคุ้นเคยกัน แล้วถึงจะเห็นผอมๆ แบบนั้นก็ผู้ชายนะคะ”

    “เอ๋... แต่กลิ่นน้ำหอมไม่เหมือนของผู้ชายเลย”

    วสุธาพึมพำเบาๆ ทำให้สองสาวต้องเงี่ยหูฟัง แต่เมื่อเห็นชายหนุ่มส่งยิ้มเล็กๆ มาให้จึงต้องหดตัวกลับทั้งที่ยังสงสัยไม่คลาย

    “ว่าแต่วันนี้คุณวชิระไม่ตามมาด้วยเหรอคะ” ทิพย์อาภรณ์เป็นฝ่ายถามขึ้นบ้างหลังจากมองหาจนทั่วแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เงาของชายหนุ่มที่ตนแอบปลื้ม ปกติเวลามาวสุธามาเยี่ยมคู่หมั้นของตนทีไรก็จะขอตามมาด้วยทุกทีแท้ๆ ถ้าอย่างนั้นวันนี้เธอคงเสียเวลาแต่งหน้าแต่งตัวไปฟรีๆ

    “อ้อ... เจ้าวัชน่ะเหรอ ป่านนี้มันคงไปป้อสาวถึงไหนแล้วก็ไม่รู้” วสุธาบ่นไม่จริงจังนัก ดวงตาที่มีสีเดียวกันกับคนที่ถูกเอ่ยถึงเปล่งประกายแห่งความสุขเมื่อนึกถึงน้องชายคนเล็กของบ้าน “เห็นวันนี้ออกไปกับเจ้าเอกตั้งแต่หัวค่ำแล้ว คงกลับบ้านเช้ากันอีกตามเคย”

    ทิพย์อาภรณ์หน้าบึ้งตึงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบ ก่อนจะรีบเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มอย่างรวดเร็วจนไม่ทันมีใครสังเกต จากนั้นจึงเริ่มรายงาน

    “ผลการตรวจร่างกายของคุณอรอุมาวันนี้ดีขึ้นค่ะ กระดูกซี่โครงสมานตัวกันสมบูรณ์ บาดแผลภายนอกก็หายเป็นปกติ แต่ว่า...” หญิงสาวเว้นวรรคไว้ชั่วครู่ เสมองใบหน้าวสุธาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มยังคงมีท่าทีรับฟังอย่างสงบจึงกล่าวต่อ “สมองของคุณอรอุมาได้รับการกระทบกระเทือนมาก ทำให้จนถึงเดี๋ยวนี้ยังคงไม่มีสติฟื้นขึ้นมาค่ะ”

    วสุธาพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้เมื่อฟังรายงานจบ ดวงตาสีมรกตหม่นแสงลงเมื่อนึกถึงสภาพของเพื่อนหรืออีกนัยหนึ่งคืออดีตคู่หมั้นที่ตนยังคงรักและรอให้เธอฟื้นขึ้นมาแต่งงานกันอีกครั้ง

    พอนึกถึงคู่หมั้นก็ทำให้หวนประหวัดไปถึงใครบางคนที่เพิ่งจากไปเมื่อครู่ ด้วยรับรู้แล้วว่าเหตุอะไรที่ทำให้คิดว่าคนคนนั้นเป็นผู้หญิง ก็เพราะน้ำหอมที่ผู้ชายคนนั้นใส่มีกลิ่นเดียวกันกับที่อรอุมาใช้บ่อยๆ นั่นเอง

    เมื่อคิดได้ดังนั้นร่างแกร่งก็ยิ่งรู้สึกดีด้วยยิ่งขึ้น ทำให้อดอยากรู้ไม่ได้ว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นใคร

    “ผู้ชายที่เพิ่งออกไปนั่นชื่ออะไรเหรอครับ”

    จิตราและทิพย์อาภรณ์มองหน้ากันด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินคำถาม ก่อนจะหันไปมองเจ้าของเสียงที่ตั้งอกตั้งใจรอฟังคำตอบ ยิ่งทำให้สองสาวติดใจสงสัยยิ่งไปกว่าเดิม

    หวังว่าที่ถามนี่ไม่ใช่เพราะติดใจรุ่งอรุณหรอกนะ ไม่อย่างนั้นล่ะน่าเสียดายแย่ที่ต้องสูญเสียผู้ชายหน้าตาดีไปถึงสองคนในคราวเดียว

    “เด็กคนนั้นชื่อรุ่งอรุณค่ะ” จิตราตอบพลางสังเกตอาการของว่าที่เจ้านายว่าจะแสดงอาการสนใจออกมาหรือไม่ เมื่อเห็นว่าวสุธาเพียงแค่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้จึงแอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “เป็นญาติของคนไข้ที่มารักษาตัวอยู่ที่นี่ค่ะ ชื่อว่ารุ้งตะวัน คิดว่าคุณวสุธาคงได้ยินชื่อมาบ้าง”

    วสุธาส่งเสียงอืมในลำคอ ทำไมเขาจะไม่รู้จักล่ะเพราะรุ้งตะวันเล่นมาพักรักษาตัวอยู่ที่นี่เกือบสามปีแล้ว ด้วยความที่ถึงจะป่วยจนต้องใช้เวลาส่วนใหญ่บนเตียงแต่กลับเป็นคนร่าเริงแจ่มใส เข้ากับคนง่าย จึงทำให้พนักงานทุกคนที่นี่รู้จักและเอ็นดูเธอกันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เขาที่นานๆ ครั้งจะแวะเข้ามาดูแลโรงพยาบาลสักที

    ทั้งสามพูดคุยกันอีกพักใหญ่ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของรุ่งอรุณที่สองสาวเล่าให้วสุธาฟังเท่าที่รู้ ทำให้ก่อนกลับชายหนุ่มรู้สึกรักและเอ็นดูสองพี่น้องนั้นมากขึ้นเลยทีเดียว

    ...............

    เอกวุฒิลงจากรถด้วยท่าทางหัวเสียนิดๆ ทั้งที่ปกติควรจะมีความสุขกว่านี้ เพราะเมื่อคืนอุตส่าห์คั่วหญิงสาวที่นับได้ว่าสวยและร้อนแรงที่สุดเท่าที่ตนเคยผ่านมา แต่ขณะที่กำลังกอดรัดเรือนร่างอวบอิ่มนั้นเอาไว้กลับไม่รู้สึกถึงความอิ่มเอมเลยสักนิด ราวกับว่ามันขาดอะไรไปสักอย่างจนต้องยกเลิกลงกลางคัน ทำให้นอกจากจะต้องมานั่งหงุดหงิดทั้งคืนแล้วยังได้รับของขวัญเป็นรอยฝ่ามือบนแก้มซ้ายจากคนที่พามานอนด้วยเสียอีก ทำเอาเขาเซ็งไปทั้งคืน

    “ไงเอก เมื่อคืนหนักไปหน่อยเหรอเพื่อน ถึงได้โทรมขนาดนี้” วชิระทักเมื่อเห็นสภาพเหมือนคนไม่ได้นอนมาทั้งคืนของเพื่อนที่กำลังเดินมายังซุ้มที่ใช้เป็นที่นั่งพักประจำก่อนเข้าเรียน

    “เออ” เอกวุฒิรับคำเสียงเขียว นั่งลงอย่างกระแทกกระทั้นบ่งบอกอารมณ์ที่ไม่ค่อยจะปกติ ดวงตาคมหรี่มองวชิระด้วยความหงุดหงิดที่อีกฝ่ายมีความสุขดีทั้งที่เมื่อคืนก็หิ้วสาวไปด้วยแท้ๆ แต่กลับมีสภาพแตกต่างกับตนอย่างสิ้นเชิง

    “ไปกินรังแตนที่ไหนมาวะ” วชิระบ่นเบาๆ กับอาการปั้นปึ่งนั้น แต่คงจะพูดดังไปนิดจึงโดนร่างสูงแกร่งพอๆ กันหันขวับกลับมามองตาเขียว

    วชิระกำลังจะถามถึงสาเหตุที่ทำให้เพื่อนอารมณ์เสียแต่ดวงตาสีเขียวเข้มกลับมองเห็นคนสองคนที่กำลังจะเดินผ่านไปเสียก่อนจึงโบกไม้โบกมือให้พร้อมทั้งร้องเรียกเสียงดัง

    “ธี รุ่ง ทางนี้ๆ ”

    เจ้าของชื่อทั้งสอง (รวมทั้งคนอื่นๆ ที่อยู่ในละแวกใกล้เคียง) หันไปมองยังต้นเสียงด้วยความสงสัย จึงพบว่าเจ้าของเสียง (และคนตัวใหญ่ที่นั่งอยู่ด้วย) เป็นคนที่พวกตนกำลังจะหลบหน้าอยู่พอดี รุ่งอรุณหน้ามุ่ยลงเล็กน้อยขณะที่ใบหน้าของธีรพงษ์เริ่มจืดเจื่อนลง สองคนมองหน้ากันชั่วครู่จึงพากันเดินไปหาวชิระด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยยินดีนัก

    ทางด้านเอกวุฒิที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้วยิ่งจี๊ดขึ้นไปอีกเมื่อเห็นเรือนร่างผอมบางเดินเคียงคู่มากับใครบางคนที่ตนชักไม่ค่อยชอบหน้า ใบหน้าคมเข้มบึ้งตึงจนธีรพงษ์ชักหวั่นๆ ว่าร่างสูงใหญ่นั้นจะลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าๆ อย่างเมื่อวานอีก

    แต่พอนึกได้ว่าเมื่อวานคนตรงหน้าปล่อยให้ตนต้องนั่งรอในห้องตั้งหลายชั่วโมงอารมณ์กลัวเมื่อครู่ก็หายไปหมด หลงเหลือไว้เพียงแค่ความรู้สึกไม่พอใจนิดๆ ที่แสดงออกผ่านทางวงหน้านวลอย่างเห็นได้ชัด

    วชิระที่สังเกตอาการของคนทั้งสองมาแต่แรกมองซ้ายทีขวาทีสลับกันสองสามรอบก่อนที่สมองจะประมวลผลได้ว่าเมื่อคืนคงเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้แน่ๆ จึงลองปล่อยหมัดออกไปเบาๆ ทันที

    “ธี ทำไมเมื่อคืนไม่อยู่ห้องล่ะ วัชอุตส่าห์แวะไปหาเลยต้องไปคอยเก้อเลย”

    ธีรพงษ์เอียงศีรษะเล็กน้อยด้วยความสงสัยว่าวชิระแวะไปหาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนจะร้องอ๋อเมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายคงมาหาตอนที่ตนกำลังคอยเอกวุฒิอยู่แน่ๆ ร่างเล็กบางจึงรีบคว้าแขนคนพูดเอาไว้พร้อมกับถูศีรษะลงยังอกแกร่งเป็นการออดอ้อนทันที

    “ขอโทษนะ พอดีว่าติดธุระนิดหน่อยน่ะเลยกลับห้องดึก วัชไม่โกรธธีนะ” ธีรพงษ์ว่าเสียงหวานพลางช้อนดวงตาขึ้นเล็กน้อยทำให้คนที่แพ้อาการอ้อนต้องลูบหัวทุยนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว

    “ใครจะไปโกรธตัวเล็กได้ลงล่ะ” วชิระว่าพลางรวบร่างบางมาประชิดตัวพร้อมทั้งใช้มือยีหัวเล่นจนคนที่กำลังออดอ้อนออกอาการประท้วง จึงคลายอ้อมกอดลงให้เป็นอิสระ “งั้นวันนี้เลิกเรียนวัชจะมารับนะ เดี๋ยวจะพาไปที่บ้าน พี่วสุบ่นคิดถึงจะแย่แล้ว ธีไม่ยอมแวะไปหาพี่เขาสักที”

     

     

    เอ๊ะ! อะไร? ยังไง? ทำไม? ตกลงว่าธีรพงษ์มีความสัมพันธ์ยังไงกับสองพี่น้องตาเขียวกันแน่ แล้วเอกวุฒิที่กำลังนั่งอารมณ์เสียอยู่จะทำยังไงเมื่อได้ยินอย่างนี้ ติดตามอ่านตอนต่อไปอาทิตย์หน้านะเจ้าคะ

    ปลาน้อย (โหมดกำลังจะกลายเป็นปลาร้า)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×