ตอนที่ 9 : ตอนที่8
ตอนที่แปด
พออวี้จือเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นก็เห็นริมฝีปากที่เผยอขึ้นจนเป็นรูปดอกหล่าปาประกบเข้ามาหาตน ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจว่าหลิงเซี่ยคิดจะทำอันใดกันแน่ แต่เขาพลันเกิดอาการสันหลังเสียววาบ ทันใดนั้นกำปั้นก็พุ่งออกไปก่อนที่ประสาทของเขาจะสั่งการเสียอีก
แขนขวาอันผอมบางผนึกกำลังซัดออกไป ไม่น่าเชื่อว่าพลังระเบิดในชั่วพริบตานี้น่าตื่นตระหนกยิ่ง หมัดของอวี้จือเจวี๋ยต่อยโดนแก้มขวาของหลิงเซี่ยเข้าอย่างจัง อัดอีกฝ่ายจนลอยห่างออกไปไกลราวหนึ่งจั้งทั้งที่ยังอยู่ใต้น้ำ
ตราบจนอวี้จือเจวี๋ยได้สติกลับคืน หลิงเซี่ยก็แทบจะกลายร่างเป็นศพขึ้นอืดลอยเท้งเต้งอยู่ในน้ำ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวเลยสักนิด คงจะถูกเขาต่อยจนสลบเหมือดไปแล้ว
“...” เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง อวี้จือเจวี๋ยก็รีบว่ายเข้าไปฉุดคอเสื้อของหลิงเซี่ยให้ลอยเข้าหาฝั่งอย่างรวดเร็ว
ชั่วขณะที่หลิงเซี่ยทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกอย่างฉับพลันอยู่นั้น จู่ ๆ ในร่างกายก็พลันฟื้นคืนเรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ รู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง ประหนึ่งว่าในน้ำมีกระแสพลังเล็กละเอียดที่มองไม่เห็นจำนวนมหาศาลไหลมารวมกันอยู่ในร่างของเขาอย่างไม่ขาดสาย
ครั้นลอยขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำแล้ว อวี้จือเจวี๋ยยังคงหอบหายใจอย่างถี่กระชั้น เขาตีขาลอยตัวในน้ำพลางออกแรงตบหน้าของหลิงเซี่ย “เฮ้ย! ตื่นสิ! ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ!”
หลิงเซี่ยลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือ พลันรู้สึกปวดแปลบแสบร้อนบริเวณแก้มทั้งสองข้าง เขายังรู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าไม่นานก็ระลึกได้ถึงสภาพของตน ก่อนจะรีบรวมรวมกำลังว่ายตามอวี้จือเจวี๋ยเข้าหาฝั่งบ้าง
อวี้จือเจวี๋ยเองก็เข้ามาช่วยพยุงเขาเป็นระยะ หลิงเซี่ยพยายามกัดฟันทนว่ายไปข้างหน้า และในที่สุดก็ดิ้นรนตะเกียกตะกายมาเกยตื้นจนได้ ทั้งสองต่างนอนแผ่หลาอยู่บนฝั่งอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า เรี่ยวแรงสักนิดก็ไม่มีเหลือ
หลิงเซี่ยลูบคลำใบหน้าของตน คิดว่าต้องบวมเป็นหัวหมูแหง ๆ! เขาหวนระลึกถึงฉากอันล่อแหลมตอนอยู่ในน้ำเมื่อครู่นี้ ทันใดนั้นพลันรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อครู่นี้เขาเองก็ลนลานจนสมองพร่าเบลอ โชคยังดีที่ยังมิได้ประกบปาก! หากประกบโดนริมฝีปากของอีกฝ่ายล่ะก็ เกรงว่าคงจะไม่ใช่แค่หน้าบวมเหมือนหัวหมูเป็นแน่!
เขาเหลือบมองอวี้จือเจวี๋ยอย่างระแวดระวัง มวยผมของจอมมารน้อยที่ตามปกติมักจะถูกเกล้าขึ้นไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยกลับคลี่สยายออกมาตอนอยู่ในน้ำ เส้นผมสีหมึกดำยาวสลวยอันเปียกชุ่ม ห้อยลงมาระอยู่บนบ่าทั้งสองข้างอย่างยุ่งเหยิงเล็กน้อย ช่วยขับผิวพรรณอันขาวผุดผาดดั่งหยกเนื้อละเอียดและเรียวปากสีแดงสดที่เม้มอยู่ให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น บวกกับนัยน์ตาวิหคเพลิงอันวาวโรจน์ และไฝแดงฉานดั่งหยาดโลหิตบริเวณร่องน้ำตาเม็ดนั้น ถึงแม้จะอายุยังน้อยนัก ทว่ากลับเปล่งบารมีอย่างผู้อยู่เหนือใต้หล้าให้เห็นอยู่รำไร
แต่แล้วอวี้จือเจวี๋ยก็หันมามองเขา หลิงเซี่ยพลันหลุบนัยน์ตาลงต่ำ บรรดาเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรมของพวกเขาเหล่านั้นต่างขึ้นฝั่งกันมาตั้งนานแล้ว เวลานี้ยังคงพักเหนื่อยตรงบริเวณนั้นกันอยู่ แต่ละคนต่างก่นด่าสาปแช่งอย่างไม่หยุดหย่อน
คนเรือที่อยู่ในกลุ่มนั้นด้วยก็วิ่งเข้ามาชี้หน้าด่าทอหลิงเซี่ย “ไอ้เด็กเวรตะไล! ข้าจำเจ้าได้! คืนเรือมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
หลิงเซี่ยสำลักน้ำออกมาหลายอึก ก่อนจะกล่าวขอโทษขอโพยอีกยกใหญ่ ทั้งยังล้วงเหรียญเงินที่เหลือติดตัวอยู่ไม่กี่เหรียญออกมาให้ ทว่าคนเรือนั่นก็ยังค้นตามเสื้อผ้าของเขาอย่างไม่ปรานีปราศรัยพอมั่นใจแล้วว่าในตัวของเขาไม่เหลือเงินเลยสักแดงเดียวจึงยอมรามือ
คนเรือสองคนนั้นคิดจะค้นตัวอวี้จือเจวี๋ยต่อ ทว่าเมื่อเห็นอวี้จือเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นจ้องด้วยท่าทีเย็นชา หมัดทั้งสองกำแน่นอย่างควบคุมไม่อยู่ และในดวงตาฉายแววอำมหิต สองคนนั้นก็รู้สึกครั่นคร้ามอยู่ในใจ มัวแต่หันรีหันขวางไม่กล้าลงมือเสียที
ครั้นพอหลิงเซี่ยเห็นรังสีอำมหิตในแววตาที่เหมือนหมาป่าล่าเหยื่อของอวี้จือเจวี๋ยแล้วก็รู้สึกตระหนกเช่นกัน เขารีบรั้งอีกฝ่ายมาไว้ด้านหลังของตน เขาไม่สงสัยเลยสักนิด ว่าถ้าหากคนเรือคนนั้นผลีผลามเดินเข้าไปล่ะก็ อวี้จือเจวี๋ยย่อมต้องลงมือในทันทีเป็นแน่!
เขาเองก็เพิ่งจะเคยเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน ได้แต่กล่าวขอโทษขอโพย สัญญิงสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พูดจนลำคอแห้งผาก จนสุดท้ายก็จบลงด้วยการลงลายมือชื่อของตนในสัญญารับสภาพหนี้ฉบับหนึ่ง คนเรือนั่นถึงได้ยอมปล่อยให้พวกเขาจากไป
เพราะถ้าหากพวกเขาจะเดินทางออกนอกเมือง อย่างไรเสียก็ต้องนั่งเรือข้ามฟากอยู่ดี หนีไม่รอดอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นหากสามารถสอบบรรจุเข้าเป็นศิษย์ของพรรคเส้าหยางได้จริง ๆ ล่ะก็ คนเรือก็ไม่ต้องกลัวเลยว่าอีกฝ่ายจะไม่มีปัญญาใช้หนี้ ดังนั้นจึงไม่ได้บีบคั้นมากเกินไป
กว่าที่พวกเขาจะได้เข้ามาในเมืองฉงหมิง หลิงเซี่ยก็เหน็ดเหนื่อยไปทั้งกายและใจแล้ว ความรู้สึกตื่นเต้นอันตรธานหายไปโดยไม่เหลือเลยสักนิด
เขาพะวงถึงแต่ซ่งเสี่ยวหู่ เลยรีบกวาดสายตามองหาหอสุราที่ดีที่สุดในเมืองฉงหมิงว่าอยู่ที่ใด พลางจูงอวี้จือเจวี๋ยให้เร่งรุดไปตามหาอย่างรีบร้อน
ระหว่างทางมีผู้คนจำนวนไม่น้อยหันมามองหน้าหลิงเซี่ยอย่างหวาดผวา ทว่าตัวเขาเองกลับไม่รู้สึกตัว ถึงแม้ผิวพรรณของเขาในตอนนี้จะมิได้ขาวนวลดั่งหยกเนื้องามหรือเครื่องกระเบื้องล้ำค่าเหมือนกับอวี้จือเจวี๋ย แต่ก็ยังขาวผ่องกว่าคนทั่วไปอยู่อักโข ดังนั้นรอยนิ้วมือที่บวมเป่งอยู่บนใบหน้าจึงดูเด่นชัดเป็นอย่างยิ่ง
และแล้วอวี้จือเจวี๋ยก็ยอมเอ่ยปากขึ้นอย่างหงุดหงิด เพียงแต่น้ำเสียงฟังดูคาดคั้นระคนคลางแคลงอยู่ในที “เมื่อครู่ตอนอยู่ในน้ำ เจ้าคิดจะทำอันใด”
จังหวะฝีก้าวอันรีบเร่งของหลิงเซี่ยพลันชะลอลงในทันที หัวใจที่ได้รับความตื่นตระหนกเร่งระดับความเร็วในการบีบตัวขึ้นจนส่งเสียงโครมคราม
จะบอกอย่างไรดี? บอกว่าตัวเองคิดจะครอบครองริมฝีปากอันสูงส่งของท่านจอมมารเพื่อรักษาชีวิตตนเอาไว้หรอกหรือ หากบอกไปเช่นนั้นจะยังได้เห็นดวงอาทิตย์ในวันพรุ่งนี้ไหมหนอ...
เรื่องที่ไม่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชนเช่นนี้ จะบอกให้สหายน้อยจอมมารรู้มิได้เป็นอันขาด! ไหนจะต้องมาอธิบายเรื่องที่ตนรู้ได้อย่างไรว่าในร่างของอวี้จือเจวี๋ยมีพลังธาตุน้ำอีก
เขาจึงตอบอย่างเคร่งขรึม “ปลาตัวหนึ่งมันว่ายเข้าไปในปากของข้า ข้าแค่จะคายมันออกมา”
“...” อวี้จือเจวี๋ยจินตนาการอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นพลันย่นหัวคิ้วเข้าหากันด้วยความรู้สึกขยะแขยง ก่อนจะเว้นระยะห่างกับหลิงเซี่ยให้มากขึ้นทันที
เมืองฉงหมิงกว้างใหญ่ยิ่งนัก หอสุราที่เลื่องชื่อที่สุดในเมืองนี้คือหอวั่งอวิ๋น (หอทัศนาเมฆิน) ครั้นพอหลิงเซี่ยเห็นหอสุราที่มีเมฆหมอกปกคลุมไปทั่วราวกับสร้างอยู่บนหมู่เมฆเช่นนั้น ก็อดตะลึงพรึงเพริดไม่ได้ ช่างงดงามสมคำร่ำลือจริง ๆ! ทว่าผู้ที่แวะเวียนเข้าออกหอสุราแห่งนั้น หากมิใช่ลูกผู้ดีมีชาติตระกูล ก็เป็นยอดฝีมือรุ่นใหม่ที่สังกัดค่ายพรรคมีชื่อทั้งหลาย หลิงเซี่ยและอวี้จือเจวี๋ยยังมิทันได้ก้าวพ้นประตูเข้าไปก็ถูกคนขวางไว้ด้านนอกแล้ว
หลิงเซี่ยรีบโปรยยิ้มอย่างน่าคบหาตามแบบฉบับเดิม “พี่ชาย ไม่ทราบว่ามีแม่นางน้อยที่ขี่จั๋วหม่าแวะเข้ามาในหอสุราแห่งนี้บ้างหรือเปล่า”
เสี่ยวเอ้อร์ที่ทำงานอยู่ในหอวั่งอวิ๋นแห่งนี้ล้วนแต่มีวิทยายุทธติดตัวอยู่บ้าง พอเห็นการแต่งเนื้อแต่งตัวของหลิงเซี่ยและอวี้จือเจวี๋ยก็รู้ในทันทีเลยว่าทั้งสองเป็นเด็กยากจนที่มาสมัครเข้าพรรคเส้าหยาง ยิ่งเขาเห็นสภาพรอยนิ้วมือที่ประทับอยู่บนใบหน้าของหลิงเซี่ย ก็แสดงอาการดูหมิ่นเหยียดหยามในทันที ก่อนจะกล่าวตอบอย่างเฉื่อยชา
“มีแม่นางน้อยคนหนึ่งขี่จั๋วหม่ามาที่นี่ แต่เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนได้เดินทางจากไปแล้ว”
หลิงเซี่ยพลันชะงักอึ้ง ก่อนจะกล่าวขอบคุณอย่างมีสัมมาคารวะ เสี่ยวเอ้อร์เดินจากไปโดยแม้แต่หางตาก็ไม่หันมาเหลือบแลพวกเขาอีก ส่วนหลิงเซี่ยกำลังคาดเดาอยู่ว่า คณะผู้เดินทางจากเมืองอวิ๋นเซียวต้องเดินทางมาถึงที่นี่กันแล้วแน่ ๆ
ถึงแม้ชุ่ยอวี่จะมีนิสัยเกกมะเหรกเกเร แต่ก็คงกลัวถูกบิดาของตนลงโทษเหมือนกัน นางคงจะถูกศิษย์พี่ของตนบังคับให้เดินทางไปพร้อมกันแล้วเป็นแน่ และในเมื่อพวกเขาเดินทางมาเพื่อร่วมสมทบกับพรรคเส้าหยาง งั้นคงได้แต่ต้องไปตามหาที่พรรคเส้าหยางที่เดียวแล้วล่ะ
ขณะที่เขากำลังจมอยู่ในห้วงความคิดเหล่านี้ จู่ ๆ อวี้จือเจวี๋ยก็พลันเอ่ยปากขึ้นมา น้ำเสียงฟังดูฉงนสนเท่ห์อย่างชัดเจน “คนพวกนั้นปฏิบัติต่อเจ้าเช่นนี้ เหตุใดเจ้ายังยิ้มให้พวกมันอยู่ได้”
หลิงเซี่ยเอ่ยถามลอย ๆ โดยไม่คิด “เจ้าหมายถึงใครหรือ”
“ก็พวกคนเรือสองคนก่อนหน้านี้อย่างไรเล่า” อวี้จือเจวี๋ยทอดสายตามองสีหน้าอาการของเขาอย่างพินิจพิเคราะห์พลางถามต่อ “ไหนจะเสี่ยวเอ้อร์เมื่อครู่นี้อีก”
แถมเมื่อครู่ก่อนเขายังตบหน้าหลิงเซี่ยไปตั้งหลายฉาด อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกโกรธเลยสักนิด
เมื่อเห็นท่านจอมมารหรี่ตาลงเล็กน้อยแถมยังรอคำตอบด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง หลิงเซี่ยจึงรวบรวมความคิดแล้วกล่าวตอบอย่างเนิบช้า
“สาเหตุที่ทำให้เรือนั่นจมลงไป เราเองก็มีส่วนผิดอยู่เหมือนกัน เรือนั่นน่ะเป็นเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยากของคนเรือพวกนั้นเชียวนะ จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไรกันล่ะ เขายอมปล่อยให้พวกเราจากมาได้ก็ต้องสำนึกขอบคุณแล้ว ส่วนเสี่ยวเอ้อร์คนนั้นมิใช่ว่าเขาบอกข่าวแก่พวกเราหรอกหรือ เขาเองก็ต้องปฏิบัติตามกฎของร้านเหมือนกัน...”
เขามองแววตาที่ยังงุนงงสงสัยของท่านจอมมาร ครู่เดียวก็รีบส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเอาใจพลางกล่าวต่อ
“ต่อให้คนอื่นทำไม่ดีกับเจ้าอย่างไร เจ้าก็ต้องยิ้มสู้เข้าไว้ หากยืนหยัดเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ สักวันก็ต้องมีคนส่งมอบรอยยิ้มคืนให้แก่เจ้าเช่นเดียวกัน! ถึงแม้จะมีเรื่องราวมากมายใต้หล้าที่ไม่ค่อยจะยุติธรรมเสียเท่าไร แต่โดยส่วนใหญ่ ผู้คนและเรื่องราวบนโลกใบนี้ก็ยังคงงดงามเสมอ...”
หลิงเซี่ยหวนนึกถึงปรัชญาชีวิตที่เคยอ่านเจอในนิตยสารอี้หลิน จะว่าไปเนื้อเสียงของร่างนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว เขาพยายามกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนราวกับเทศนาธรรม
——จอมมารตัวน้อยของข้า เจ้าจงโลดแล่นภายใต้แสงตะวันไปพร้อมกับพระเอกเถิด! นี่ต่างหากถึงจะเป็นเส้นทางแห่งแสงสว่างของมวลมนุษยชาติ ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ! !
หลิงเซี่ยยิ่งพล่ามยิ่งซาบซึ้งใจ รู้สึกสะเทือนอารมณ์จนแทบน้ำตาหลั่งริน
แต่หลังจากที่เขาพูดจนคอแหบคอแห้ง ครั้นพอเบือนสายตาแห่งความหวังไปทางท่านจอมมารน้อยอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยว สีหน้าที่อุตส่าห์ปั้นขึ้นมาเสียดิบดีก็พลันแตกดังเพล้งทันที
อวี้จือเจวี๋ยแสดงสีหน้าดูถูกเหยียดหยามอย่างเต็มประดา พลางทอดสายตามองเขาเหมือนมองตัวโง่งมอย่างไรอย่างนั้น
“นึกไม่ถึงเลยจริง ๆ อายุเจ้าก็ไม่น้อยแล้ว แต่ความคิดความอ่านในหัวสมองของเจ้ายังดูงี่เง่ากว่าเจ้าซ่งเสี่ยวหู่เสียอีก!”
“คนอื่นทำไม่ดีกับข้า ข้าแค่สนองคืนกลับไปร้อยเท่าพันทวีก็จบ ส่วนเรื่องที่ว่าใครจะยิ้มหรือไม่ยิ้มให้ข้า ดีไม่ดีอย่างไร จำเป็นต่อข้าด้วยหรือ”
“...” หลิงเซี่ยเผลอลูบคลำรอยนิ้วมือที่ชวนปวดแสบปวดร้อนบนใบหน้าอย่างลืมตัว เบื้องหน้าราวกับฉายภาพจำของถ้อยคำอมตะประโยคนั้นขึ้นมาอีกครั้ง——
โลกอันฟอนเฟะนี่...ทำลายมันให้สิ้น...
เจ็บ——ปวด——ใจ——เหลือ——เกิน!
*ดอกหล่าปา (ดอกว่านผักบุ้ง)
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จริงๆที่พี่หลิงสอนก็ถูกนะ แต่ที่จอมมารคิดมันก็ถูกเหมือนกันแหละ ต้องดูสถานการณ์ด้วยว่าจะใช้ไม้อ่อนไม้แข็ง อย่างกรณีเสี่ยวเอ้อร์นี่ไปเอาความมีแต่จะทำให้เรื่องมันยุ่งยาก สู้ยกยิ้มแล้วช่างมันดีกว่า หลักการพี่หลิงมันเป็นประเภทไม่อยากเจออะไรวุ่นวาย เลี่ยงได้เลี่ยง ในขณะที่อาเจวี๋ยตอนนี้มันเป็นประเภทตาต่อตาฟันต่อฟัน พุ่งชนเป็นกระทิงแดงไปเร๊ย 55555555555
สนุกมากกกกก พรีแล้วเช่นกันแต่มาอ่านตัวอย่างทีหลังคะ 55555
เพิ่งเคยอ่านนิยายแนววาย แปลกดี ดูโรแมนติกแต่ก็ตลกๆ ออกรูปเล่มไวๆนะ อยากอ่านฉบับเต็ม
เจ็บ-ปวด-หัว-ใจ!!!!
สอนอะไรโลกสวยเกินไป
ท่านจอมมารรับมิได้ 5555555555