ตอนที่ 28 : ตอนที่25
ตอนที่ยี่สิบห้า
สุ่ยเยว่ประสานมือคารวะแล้วกล่าวอำลาอย่างมีมารยาท หลิงเซี่ยยืนทอดสายตาส่งสองศรีพี่น้องจนลับตาไป การได้รับความยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญ ทำให้ในใจเขารู้สึกตื่นเต้นยินดียิ่งนัก จนถึงเวลาบ่ายคล้อย ในที่สุดวัตถุเวททั้งสองชิ้นนั้นก็ถูกจำหน่ายออกไปจนหมดเขาขายวัตถุเวทขั้นสองชิ้นนั้นไปในราคาสามร้อยเหรียญพลังถ้วนพอหักลบเงินที่เสียไปแล้ว ตอนนี้ก็มีเงินอยู่ในถุงเก็บของประมาณเกือบหกร้อยเหรียญพลังระดับต้น
พึงทราบว่า ทุกวันนี้ที่เขาทำงานอย่างตรากตรำลำบากในแต่ละเดือน เขาได้เบี้ยรายเดือนจากพรรคเพียงแค่แปดสิบเหรียญพลังเท่านั้น ก็เท่ากับแปดร้อยหยวนนั่นแหละ... หลิงเซี่ยลูบคลำถุงเก็บของ แล้วรู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย
ชายสวมหน้ากากบอกว่าสุราที่ตนชื่นชอบที่สุดราคาไหละสามพันเหรียญพลัง หลิงเซี่ยเองก็รู้ว่าเขาพูดเล่น ในโลกต่างมิติแห่งนี้ สุราเลิศรสที่สุดต้องกลั่นจากหญ้าเซียนผลไม้ทิพย์ ซึ่งมูลค่าของมันย่อมประมาณค่ามิได้
เขาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามหาที่ตั้งของโรงกลั่นสุราที่ดีที่สุดในเมืองนี้แล้วรีบเดินหาก่อนที่ฟ้าจะมืด เมื่อไปถึงที่นั่นเสี่ยวเอ้อร์แนะนำสุราแต่ละชนิดอย่างกระตือรือร้นยิ่ง หลิงเซี่ยเลือกดูอย่างพิถีพิถันอยู่นานสองนาน ท้ายที่สุดก็ได้สุราขาวดอกหลีสีใสไหเล็กที่มีรสชาติหอมหวานละมุนลิ้นมาหนึ่งไห ในราคาห้าร้อยเหรียญพลัง
แม้จะนับไม่ได้ว่าเป็นสุราที่ดีที่สุด แต่ก็ถือเป็นน้ำใจเล็กน้อยแทนคำขอบคุณสำหรับอาจารย์ผู้มีพระคุณของเขาก็แล้วกัน ขากลับเดินผ่านร้านขายไก่ย่าง เขาก็ซื้อไก่ห่อใบบัวไปฝากเจ้าเสวี่ยเหยียนอีกสองตัว
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้วหลิงเซี่ยวิ่งบ้างเดินบ้าง ในที่สุดก็กลับมาถึงหออิ๋งเซียนก่อนที่ฟ้าจะมืดสนิท
พอศิษย์ผู้เฝ้าประตูเห็นเขากลับมา ก็รีบตะโกนเรียกตั้งแต่ไกล "ศิษย์น้องหลิง วันนี้ตอนบ่ายอาจารย์ลุงเรียกพวกเราไปประชุมกันอย่างเร่งด่วน ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันจะมีแขกกิตติมศักดิ์เดินทางมาเยือน พวกเราได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ปัดกวาดทำความสะอาดและจัดห้องหับที่หลับที่นอนของแขกเหล่านั้น เจ้ารีบไปหาอาจารย์ลุงกว่างเถอะ"
เนื่องจากอวี้จือเจวี๋ยกับซ่งเสียวหู่ต่างทยอยแวะเวียนมาหาหลิงเซี่ยกันแล้วสองสามครั้ง เหล่าศิษย์ในหออิ๋งเซียนเห็นว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นศิษย์สายตรงของท่านประมุขดังนั้นต่อหน้าจึงต้องแสดงท่าทีเกรงอกเกรงใจหลิงเซี่ยเป็นพิเศษ ส่วนศิษย์ที่เคยกลอกตาใส่หลิงเซี่ยก่อนหน้านี้ ก็ยังรู้สึกว้าวุ่นไม่สบายใจอยู่แต่เมื่อภายหลังเห็นหลิงเซี่ยแสดงน้ำใจไมตรีต่อทุก ๆ คน ทั้งยังมิได้มีท่าทีหยิ่งผยองหรือเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแต่อย่างใด นานวันเข้าก็เลยวางใจ ตอนนี้ทุกคนในหออิ๋งเซียน ไม่ว่าในใจกำลังคิดอันใดอยู่ก็ตาม ดูภายนอกล้วนแต่มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับเขาทั้งสิ้น
หลิงเซี่ยยิ้มให้เขาเล็กน้อย "อื้ม ขอบคุณศิษย์พี่ที่เตือน ข้าจะไปเดี๋ยวนี้แหละ "
กว่างซวี่จื่อเห็นหลิงเซี่ยกลับมาถึงหอมืดค่ำก็มิได้ตำหนิแต่อย่างใด ทว่ากลับกล่าวด้วยสีหน้าเป็นมิตร "หลิงเซี่ย คราวนี้คงต้องลำบากเจ้าแล้วล่ะ เจ้ากับหยวนฮุยล้วนแต่มีพลังมังกรพยัคฆ์ งานสำคัญชิ้นนี้หากมอบหมายให้คนอื่นทำ ในระยะเวลากระชั้นชิดเยี่ยงนี้ เกรงว่าจะไม่ทันการณ์ แต่วางใจเถอะ เดือนนี้ข้าจะเพิ่มเบี้ยขยันให้เจ้ากับหยวนฮุยแน่นอน"
หลิงเซี่ยยกมุมปากเล็กน้อยพลางกล่าว "อาจารย์ลุงมิต้องเกรงใจไปหรอกขอรับ มีเรื่องอันใดก็สั่งการมาได้เลย"
แม้ว่าเขาจะเกลียดนิสัยตีสองหน้าของกว่างซวี่จื่อ แต่ในเมื่อตอนนี้ยังทำงานเป็นลูกน้องของอีกฝ่ายไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไว้หน้าผู้หลักผู้ใหญ่กันบ้าง
พอกว่างซวี่จื่อแจกแจงเนื้อหางานเสร็จ ที่แท้ก็คืองานจัดสถานที่รับรองแขกนั่นเอง เพราะมีแขกกิตติมศักดิ์มาเยือน จึงต้องนำสมุนไพรวิญญาณและพันธุ์ไม้แปลกตาที่หออิ๋งเซียนของพวกเขาเพาะปลูก ไปจัดแสดงไว้ที่โถงใหญ่จำนวนหนึ่ง เผอิญว่าในขณะนี้มีพันธุ์ไม้วิญญาณชนิดหนึ่งกำลังเข้าสู่ฤดูออกดอกพอดี แต่พันธุ์ไม้วิญญาณชนิดนี้มีเนื้อไม้ที่แข็งแกร่งทนทาน และมีความหนาแน่นมาก ประกอบกับตอนนี้กำลังคนไม่พอ จึงให้ศิษย์ที่มีพละกำลังมหาศาลอย่างพวกเขาไปจัดการไม้ยืนต้นชนิดนี้
หลิงเซี่ยพยักหน้าเบา ๆ "ขอรับ พรุ่งนี้ข้ากับศิษย์พี่หยวนจะไปด้วยกัน"
กว่างซวี่จื่อได้ยินเช่นนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก คราวก่อนเขาถูกอวี้จือเจวี๋ยข่มขวัญไปทีหนึ่ง หลังจากนั้นทุกคราที่เห็นหลิงเซี่ยทีไรก็จะนึกถึงผลึกน้ำแข็งคมปลาบน่าหวาดเสียวนั่นขึ้นมาทุกที ในใจจึงรู้สึกอึดอัดไม่เป็นธรรมชาติเสมอ หลังจากนั้นกว่างซวี่จื่อยังพูดปะเหลาะอีกหลายประโยค ตัวอย่างเช่น "หากมีการให้แนะนำศิษย์ในหอกับเหล่าผู้อาวุโสล่ะก็ ข้าจะพิจารณาเจ้าเป็นคนแรก" หรือบอกว่า"เจ้ามีอนาคตไกล หากมุ่งมั่นตั้งใจจะต้องได้เป็นศิษย์ชั้นสูงแน่นอน" และพวกคำพูดไร้แก่นสารอีกจิปาถะ
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีเรื่องอื่น ๆ อีก หลิงเซี่ยเลยวางใจแล้วไปหาชายสวมหน้ากาก สุราไหนั้นและก็ไก่ย่างล้วนแต่อยู่ในถุงเก็บของของเขา ไก่ย่างยังร้อนส่งกลิ่นหอมกรุ่นอยู่เลย
ครั้นพอชายสวมหน้ากากเห็นสุราก็ดีอกดีใจ ส่งเสียงหัวเราะดังลั่นแล้วยกขึ้นกรอกลงไปในลำคออึกหนึ่ง ก่อนจะดื่มอย่างโจ๋งครึ่มสุด ๆ แต่เพราะสวมหน้ากากอยู่จึงดื่มไม่สะดวก เขาเลยดันหน้ากากขึ้นไปเล็กน้อย เผยให้เห็นผิวเนื้อเนียนขาวราวกับหยกมันแพะและคางเรียวเป็นเส้นโค้งสวยงาม
หลิงเซี่ยลอบเพ่งสายตาดู ถึงแม้ชายสวมหน้ากากผู้นี้จะมีผมเผ้าสีขาวราวกับหิมะ แต่ก็พอมีเค้าให้เห็นว่าคงจะเป็นบุรุษรูปงามคนหนึ่งเลยทีเดียว
บัดซบจริง ๆ เลย ถึงจะเป็นตัวละครยอดฝีมือก็ไม่เห็นต้องสร้างให้ดูลับ ๆ ล่อ ๆ ราวกับต้องเพรียกพร้องร้องโห่ถึงโผล่มา ทั้งโอบพิณผีผาบังหน้าไว้ใส่หน้ากากบังอยู่นั่นแหละ ไม่กลัวผดผื่นขึ้นหน้าเลยหรือไง... ส่วนเจ้าตัวกินจุอย่างอาหลีก็ยังคงกินอย่างเอร็ดอร่อย กินอิ่มแล้วก็นอนพังพาบอยู่ด้านข้าง หมอบตัวนอนพริ้มตาอย่างพออกพอใจ
หลิงเซี่ยยิ้มพลางเอ่ยลา"ผู้อาวุโส งั้นข้าขอตัวไปหลอมยุทธภัณฑ์ต่อแล้วนะขอรับ"
ชายสวมหน้ากากนอนเอนกายพลางอุ้มไหสุราแนบอก โบกมือไล่อย่างไม่ใคร่จะใส่ใจนัก ปากก็พึมพำ ๆ ราวกับกำลังฮัมเพลงอะไรอยู่
เป้าหมายของหลิงเซี่ยในคืนนี้ก็คือ ต้องหลอมสร้างวัตถุเวทที่ดีที่สุดจากกว่าที่เคยหลอมมาทั้งหมดให้ได้ ไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพสูงสุดเท่านั้น แต่ต้องมีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามอีกด้วย!
เขานำวัตถุดิบต่าง ๆ ใส่ลงไปในเบ้าหลอมอย่างชำนาญ หลังจากนั้นก็นำท่อนไม้วิญญาณที่มีคุณสมบัติในการสนับสนุนการหลอมยุทธภัณฑ์จำนวนหนึ่งวางเป็นเชื้อเพลิงรองเอาไว้ด้านล่าง ตราบจนวัตถุดิบในเบ้าเริ่มหลอมละลายแล้วกึ่งหนึ่ง จึงค่อยเริ่มใช้พลังปราณแบ่งแยกวัตถุดิบออกจากกัน
จากที่อวี้จือเจวี๋ยมอบปิ่นหยกให้แก่ตนก็ดูออกแล้วว่า เขาชอบของสวย ๆ งาม ๆ ครั้นนึกถึงท่านจอมมารผู้งามสง่าน่าหลงใหลในเนื้อเรื่องตอนท้าย ๆ หลิงเซี่ยก็แสยะยิ้มตรงมุมปาก คนแต่งคงจะชอบตัวร้ายเอามาก ๆ ทุกครั้งที่ตัวร้ายออกโรง ก็จะต้องพรรณนาถึงรูปโฉมโนมพรรณอันงามพิลาส เครื่องถนิมพิมพาภรณ์อันวิจิตรวิลิศมาหรา รวมถึงกระบวนทัพอันเกริกเกียรติเกรียงไกรของเขาด้วยจำนวนตัวอักษรมากกว่าครึ่งบท...
ก่อนหลอมยุทธภัณฑ์ เขาคิดเอาไว้แล้วว่าจะหลอมวัตถุเวทชิ้นนี้ให้ออกมาอยู่ในรูปแบบของเครื่องประดับแขวนเอว เพื่อสะดวกต่อการพกพาติดตัว
วัตถุดิบต่าง ๆ ในเบ้าหลอมเริ่มรวมตัวกันแล้ว หลิงเซี่ยใช้ผัสสะควบคุมเอาไว้อย่างใจจดใจจ่อ ขจัดสิ่งปนเปื้อนออกทีละนิดอย่างใจเย็น และแล้วเครื่องประดับแขวนเอวก็ค่อย ๆ เริ่มเห็นเป็นเค้าโครงเล็กน้อยก่อนจะจับตัวรวมกันเป็นรูปเป็นร่างช้า ๆ
จนในที่สุดกระบวนการทั้งหมดก็เสร็จสิ้นลง หลิงเซี่ยเหงื่อชุ่มโชกไปทั่วทั้งร่าง เป็นเพราะสูญเสียพลังปราณไปมาก บริเวณขมับจึงยังปวดเกร็งไม่คลาย ทว่าเขามิได้สนใจจะเช็ดใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ กลับเลือกที่จะหยิบเครื่องประดับแขวนเอวชิ้นนั้นขึ้นมาจากเบ้าหลอมยุทธภัณฑ์ก่อน
เครื่องประดับแขวนเอวสลักเสลาได้งดงามเป็นอย่างยิ่ง ขนาดทั้งชิ้นใหญ่ประมาณครึ่งฝ่ามือ ส่องแสงเขียวใสดั่งมรกต คนบนโลกใบนี้ไม่มีปีนักษัตร หลิงเซี่ยจึงได้ออกแบบร่างผลึกมาจากรูปลักษณ์ของมังกร รูปแบบเรียบง่าย ทว่าลวดลายกลับประณีตบรรจงยิ่ง
จากนั้นเขาก็นำไปตรวจสอบคุณสมบัติ ผลปรากฏว่าเป็นขั้นสอง! ซึ่งก็เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง อีกทั้งนอกจากจะมีคุณสมบัติสนับสนุนแล้ว ยังมีคุณสมบัติป้องกันอีกด้วย ซึ่งสามารถป้องกันการโจมตีจากพลังธาตุของคู่ต่อสู้ได้ร้อยละยี่สิบ
ชายสวมหน้ากากผล็อยหลับไปแล้วงีบหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาเห็นใบหน้าของหลิงเซี่ยซีดเผือดก็ขมวดคิ้วพลางเปล่งวาจา "ไม่ว่าเรื่องใดที่ต้องใช้เรี่ยวแรง หากออกกำลังเกินพอดี จะกลายเป็นทำลายพลังภายในเอาได้"
หลิงเซี่ยยิ้มแหยอย่างรู้สึกผิด ก่อนจะยกเครื่องประดับแขวนเอวขึ้นพลางกล่าว "ผู้อาวุโส ท่านดูนี่สิ"
ชายสวมหน้ากากรับเครื่องประดับแขวนเอวไปชมดูอยู่ครู่หนึ่ง "ความกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันของหินพลังสูงมาก ประสิทธิภาพด้านการสนับสนุนก็ไม่เลว...อือ คงมิใช่ว่าทุ่มเทเพื่อจะเอาไปเกี้ยวสาวที่ไหนหรอกกระมัง ถึงได้ประดิดประดอยปานนี้"
ประโยคสุดท้ายแฝงน้ำเสียงกระเซ้าเย้าหยอกอยู่หลายส่วน
"...น้องชายต่างหากเล่า" หลิงเซี่ยอับจนคำพูด
เนื่องด้วยสูญเสียพลังปราณมากเกินไป ชายสวมหน้ากากจึงสั่งให้เขากลับไปพักผ่อนหนึ่งวันแล้วค่อยกลับมาหลอมใหม่ หลิงเซี่ยก็รับคำ ถัดไปอีกหนึ่งวันเมื่อเขามาหลอมวัตถุเวทอีกครั้งเขาก็หลอมสร้อยคอธาตุไฟเป็นโซ่ที่มีคุณสมบัติป้องกันเส้นหนึ่งให้แก่ซ่งเสียวหู่ได้สำเร็จ ซึ่งสามารถร้อยเข้ากับจี้ห้อยคอรูปสายฟ้าฟาดชิ้นนั้นของอีกฝ่ายได้พอดี ถึงแม้ชิ้นงานจะมิได้วิจิตรบรรจงเท่ากับเครื่องประดับแขวนเอวของอวี้จือเจวี๋ยชิ้นนั้น แต่ก็ดูดีไม่เลวเลยทีเดียว
ขณะเดียวกันเหล่าศิษย์หออิ๋งเซียนก็กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการจัดห้องโถงใหญ่และสวนบุปผชาติ หลิงเซี่ยหาได้สนใจไม่ว่าแขกกิตติมศักดิ์ที่กำลังจะมาเป็นผู้ใด สิ่งที่ทำให้เขาดีใจคือโถงใหญ่ต้อนรับอยู่ติดกับภูเขาคูมู่ ทำให้เขาสามารถไปหาเด็กสองคนนั้นได้อย่างสะดวกสบาย
หลิงเซี่ยแวะไปหาพวกเขาช่วงพักกลางวัน อวี้จือเจวี๋ยยังอยู่ในลานฝึกยุทธ ส่วนซ่งเสียวหู่ไม่อยู่ เนื่องจากออกไปปฏิบัติภารกิจกับเฟิงลั่ว
เมื่อไม่มีคนภายในออกมารับหลิงเซี่ยก็เข้าไปไม่ได้ เลยไหว้วานให้คนเข้าไปตามอวี้จือเจวี๋ยออกมาครู่เดียวอวี้จือเจวี๋ยก็ออกมาพร้อมกับหน้าผากที่มีเหงื่อผุดซึมชื้น ถึงแม้สีหน้าอาการจะดูเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าไม่น้อยแต่ก็ฉายแววดีใจที่หลิงเซี่ยมาหาตนอย่างเห็นได้ชัด
หลิงเซี่ยทอดสายตามองเจ้าตัวเปี๊ยกพลางหัวร่อริก ๆ ปากแดง ฟันขาว ผมดำราวย้อมหมึก น่ารักน่ามองจนอยากจะจูงกลับบ้านด้วย อวี้จือเจวี๋ยถูกเขาจ้องเอา ๆ จนประดักประเดิด จึงกล่าวอย่างมีโทสะ
"เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมีท่าทีพิลึกยิ่งนัก ไฉนถึงเอาแต่มองข้าอยู่ได้"
หลิงเซี่ยแบมือออก เผยให้เห็นเครื่องประดับแขวนเอวรูปมังกรชิ้นนั้น
"ข้าให้เจ้า"
นัยน์ตาของอวี้จือเจวี๋ยเป็นประกายอย่างเห็นได้ชัด ครู่ต่อมาใบหน้าก็พลันแดงระเรื่อ "ฮึ ข้ามิได้ขอให้เจ้าเอาของมาให้ข้าเสียหน่อย" แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เผลอแผล็บเดียว เขาก็นำเครื่องประดับแขวนเอวชิ้นนั้นมาผูกห้อยเข้ากับสายคาดเอว ท่วงท่าดูทะนุถนอมระมัดระวังอยู่หลายส่วน มองดูก็รู้ว่าปกปิดความรู้สึกดีอกดีใจเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
หลิงเซี่ยพลันยิ้มตาหยี "ของชิ้นนี้ข้าเป็นคนหลอมเอง อาเจวี๋ยชอบหรือไม่"
ครั้นอวี้จือเจวี๋ยได้ฟังดังนั้นก็พลันตกตะลึงเวลานี้เขาปลุกสำแดงธาตุพลังได้บ้างแล้ว จึงพอสัมผัสได้ว่าเครื่องประดับแขวนเอวนั่นมีปฏิกิริยาตอบสนอง เขาจึงมองหลิงเซี่ยอย่างเคลือบแคลงสงสัย "ไฉนเจ้าถึงหลอมยุทธภัณฑ์เป็น?"
หลิงเซี่ยพยักหน้าตอบ "ช่วงนี้ข้าไปร่ำเรียนการหลอมยุทธภัณฑ์กับผู้อาวุโสท่านหนึ่ง เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น ภายหน้าข้าจะหลอมชิ้นใหม่ให้เจ้ารับรองว่าจะดีกว่าชิ้นนี้แน่นอน"
สีหน้าของอวี้จือเจวี๋ยพลันถมึงทึงลง ในเมื่อหลิงเซี่ยสามารถหลอมวัตถุเวทออกมาได้ประณีตปานนี้ คงมิได้ไปศึกษากับคนผู้นั้นเพียงสามสี่วันเป็นแน่ แต่เขากลับปิดบังตนมาโดยตลอด...
หลิงเซี่ยเพียงเห็นก็รู้แล้วว่าเจ้าเด็กนี่กำลังคิดฟุ้งซ่าน จึงรีบอธิบาย "ข้ากับผู้อาวุโสท่านนั้นรู้จักกันโดยบังเอิญ เขาหลบเร้นอยู่ในหุบเขาทางด้านหลัง ไม่ชอบให้ใครไปรบกวน เจ้าก็รู้ว่าข้าน่ะโง่ ถึงจะมีวาสนาได้ร่ำเรียนวิชากับผู้อาวุโสท่านนั้นก็ไม่แน่ว่าจะหาความก้าวหน้าอันใดได้ เลยอยากจะรอจนฝึกสำเร็จก่อนแล้วค่อยบอกให้พวกเจ้าประหลาดใจ"
ความรู้สึกไวและนิสัยขี้ระแวงของอวี้จือเจวี๋ย ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เขากลายเป็นตัวร้ายในเรื่อง ดังนั้นหลิงเซี่ยจะต้องป้องกันโดยการระวังทุกการกระทำคำพูดมิให้เกิดความหมางใจใด ๆ ระหว่างเขากับเจ้าเด็กนี่เป็นอันขาด
ครั้นพอกล่าวเช่นนี้ สีหน้าของอวี้จือเจวี๋ยจึงค่อยสดใสขึ้นมาเล็กน้อย เขาเองก็นึกขึ้นได้ว่า ทั้งสองครั้งที่เขาแวะเวียนไปหาหลิงเซี่ย ก็เห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่อ่านตำราที่เกี่ยวกับการหลอมยุทธภัณฑ์ทุกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นพิจารณาหลิงเซี่ยอย่างรวดเร็ว แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายเหมือนจะผอมลงกว่าที่ตนคาดเอาไว้เสียอีก...
อวี้จือเจวี๋ยอดย่นหัวคิ้วไม่ได้ "ไฉนเจ้าต้องลำบากตรากตรำเช่นนี้ทุกวี่ทุกวันด้วยเล่า ข้าเคยเห็นวัตุเวทที่ศิษย์พรรคเส้าหยางคนอื่น ๆ เขาหลอมกัน ศิษย์บางคนแม้ฝึกมาแล้วตั้งปีสองปี ยังไม่สามารถหลอมออกมาได้ดีเท่าของเจ้าเลย สู้เจ้าย้ายมาอยู่ด้วยกันกับข้าดีกว่า อุปกรณ์ภาชนะและตำราของที่นี่ล้วนมีมากมายหลากหลายกว่าที่หออิ๋งเซียนเป็นไหน ๆ แถมข้ายังช่วยเจ้าหาผลึกวิญญาณได้อีกด้วย ในพรรคเราก็มีผู้อาวุโสที่เชี่ยวชาญการหลอมยุทธภัณฑ์อยู่หลายคนข้าพอจะช่วยเลียบเคียงถามไถ่ให้เจ้าได้"
หลังจากที่เขาชี้แจงแถลงอรรถจนจบ โดยมิทันได้ใคร่ครวญก่อนจู่ ๆ ใบหน้าก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมา เขาไม่ชอบอยู่กับคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไร แต่ถ้าหากเป็นหลิงเซี่ยล่ะก็...
เขาเองก็คงไม่รู้สึกรังเกียจหรอกกระมัง...
หลิงเซี่ยรีบโบกมือปฏิเสธพลางยิ้มตอบ "ไม่ต้องหรอก ผู้อาวุโสท่านนั้นสอนดีมาก เจ้าก็พูดเองไม่ใช่หรือว่าพวกเขาเรียนกันมานมนานยังสู้ข้าไม่ได้เลย"
เขาเห็นอวี้จือเจวี๋ยยังคงขมวดหัวคิ้ว จึงใคร่ครวญดูใหม่ก่อนจะยิ้มตอบ "งั้นข้าขอเวลาหนึ่งเดือนก็แล้วกัน อีกหนึ่งเดือนข้าค่อยย้ายมาอยู่กับเจ้าดีหรือไม่" ดูจากสภาพการณ์ ชายสวมหน้ากากคงจะรั้งอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ถึงเดือนแล้ว
ได้ยินหลิงเซี่ยกล่าวเช่นนี้ อวี้จือเจวี๋ยจึงได้เผยรอยยิ้มที่หาดูได้ยากออกมา "อื้อ ตกลง" หลิงเซี่ยอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปลูบขม่อมของเขา ผมเจ้าเด็กนี่นุ่มลื่นเย็นสบายดุจเดียวกับเส้นไหม ให้สัมผัสที่นุ่มนวลจริง ๆ...
หลังจากที่บอกลาอวี้จือเจวี๋ยแล้ว หลิงเซี่ยก็กลับไปรวมตัวกับบรรดาศิษย์ที่จัดแต่งไม้ดอกไม้ประดับที่สวนบุปผชาติ แต่ชั่วพริบตาที่เขาได้ยินบทสนทนาของศิษย์สองคนที่เดินผ่าน ทันใดนั้นสีหน้าก็พลันซีดเผือด
เขาพุ่งเข้าไปจนเกือบจะเสียการทรงตัว ทั้งยังลืมคารวะอีกด้วย "เมื่อครู่พวกเจ้าบอกว่าผู้ใดจะมานะ"
ศิษย์ชุดดำผู้หนึ่งมองเขาอย่างงุนงงก่อนจะตอบความ "ชุ่ยเทียนเฉิง เจ้าเมืองอวิ๋นเซียว กับซ่างไค ท่านเจ้าบ้านของเทือกเขาซ่างอวิ๋น"
หัวใจหลิงเซี่ยเต้นตูมตามเป็นกลองรัวฝ่ามือพลันชุ่มไปด้วยเหงื่อ เรื่องก็ผ่านมาสองเดือนกว่าแล้ว ช่วงนี้เขาก็มัวแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องอื่น บางครั้งก็คิดในแง่ดีว่า ในเมื่อขบวนจากเมืองอวิ๋นเซียวมิได้กลับมาค้นหาเบาะแสของซ่างเหยียนอีก ไม่แน่ว่าอาจจะไปตามหาที่อื่นแล้วก็เป็นได้ บางทีซ่างเหยียนอาจจะมิได้มีความสลักสำคัญอันใดในเมืองอวิ๋นเซียวและในตระกูลของเขาเลยก็ได้...
ทว่า กาลบัดนี้ได้ยืนยันแล้วว่าความคิดหลบหนีปัญหาของตนอ่อนหัดมากแค่ไหน!
ปล ฉบับตอนพิเศษไทยมีตอนพิเศษใหม่ที่คุณชาเสียวหวาน(ผู้แต่ง) แต่งให้เป็นพิเศษสองตอนนะคะ ฟินจุใจแน่นอนนน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

แง หมดแล้ว ต้องไปหาหนังสือมาอ่านแล้วล่ะ
รอคอยต่อไป~
มมีลงร้านหนังสือมั้ยคะ
อิซ่างเหยียน!! ฟฟฟฟฟฟฟรรรคคคค
ขายแยกเล้มมั้ยค่าาาา
เงินเดือนจะออกแล้ว เตรียมเปย์ แต่ก็ลังเล เพราะใจหนึ่งก็อยากได้สามก๊ก
รออีก2เดือนกว่าเลย
ฮื่อๆกว่าจะได้อ่าน