ตอนที่ 16 : ตอนที่15
ตอนที่สิบห้า
ร่างกระจ้อยร่อยของอวี้จือเจวี๋ย เมื่อเปรียบกับร่างบึกบึนดั่งวัวกระทิงของชายฉกรรจ์นั่นแล้ว ย่อมแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแต่หลิงเซี่ยที่ประท้วงอยู่ในใจ ชุ่ยอวี่ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งแขกกิตติมศักดิ์เองก็กำแส้ในมือจนแน่น ยู่ปากพลางบ่นกระปอดกระแปด
“ไม่ยุติธรรมเลยชัด ๆ! ถ้าจือเจวี๋ยบาดเจ็บขึ้นมาจะว่าอย่างไร”
นางท่องชื่อของอวี้จือเจวี๋ยในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว พอได้ยินศิษย์ผู้ดำเนินพิธีประกาศชื่อของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะแหกปากตะโกนเรียกอย่างสนิทสนม ดวงหน้าน้อย ๆ พลันแดงระเรื่อขึ้นอย่างอุธัจขัดเขิน ซ้ำในใจยังเบิกบานยิ่งนัก ม่อไต้เห็นท่าทีของนางเช่นนี้ ยิ่งรู้สึกปวดศีรษะตุบ ๆ ทว่าก็บังเกิดความรู้สึกประหลาดใจต่ออวี้จือเจวี๋ยอยู่หลายส่วน จึงเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่กับการประลองของเขา
อวี้จือเจวี๋ยยกสองมือขึ้นทาบหน้าอก ก่อนจะตั้งท่าป้องกันแล้วกล่าวกับชายฉกรรจ์นั่นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ลงมือเถอะ”
ชายฉกรรจ์นั่นอ้าปากหัวเราะลั่น พอสะบัดมือ แส้เหล็กหนัก ๆ พลันม้วนตวัดเข้าหาอวี้จือเจวี๋ยราวกับอสรพิษร้ายอวี้จือเจวี๋ยตอบสนองอย่างรวดเร็วยิ่งยวดขยับเอียงศีรษะหลบจากนั้นก็กระโดดตัวลอยขึ้นเหนือแส้เหล็ก ขณะที่ชายฉกรรจ์นั่นยังไม่ทันกระตุกแส้กลับไป อวี้จือเจวี๋ยก็พุ่งไถลตามแส้เหล็กที่ลอยคว้างกลางอากาศเข้าไปกลางแสกหน้าของชายฉกรรจ์ ก่อนจะอาศัยช่องว่างถีบเข้าที่คางของมันเสียทีหนึ่ง!
หลิงเซี่ยรู้สึกคึกคักอักโข เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดอวี้จือเจวี๋ยถึงได้รับคะแนนนิยมในกลุ่มสาว ๆ มากกว่าพระเอก! คนหน้าตาดีแถมมีไหวพริบปฏิภาณยังไงก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้วจริงไหม?
ถึงแม้อวี้จือเจวี๋ยจะไม่เคยฝึกพลังภายนอกอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แต่ท่วงท่าของเขาก็สง่างามอย่างเป็นธรรมชาติ จะขึ้นจะลงล้วนแต่งดงามน่ามองยิ่งนัก ขณะกระโดดขึ้นกลางอากาศ เส้นผมยาวสลวยพลันแผ่สยายมาสะบัดไล้ใบหน้าอันหล่อเหลาเย็นชา ก่อนจะระลงมาบังนัยน์ตาที่ดำขลับเป็นประกายดุจดาราอันพร่างพรายคู่นั้นเล็กน้อย ถึงแม้จะยังเยาว์วัย ก็ฉายแววเจิดจรัสออกมาแล้ว
ท่าโต้กลับนี้สวยงามยิ่งนัก ชุ่ยอวี่อดไม่ได้ที่จะปรบมือชื่นชม ทว่าอย่างไรเสียอวี้จือเจวี๋ยก็มีเรี่ยวแรงน้อย ร่างของชายฉกรรจ์นั่นเพียงแค่ส่ายโงนเงนอยู่ชั่วขณะเท่านั้น แต่การที่ถูกเด็กน้อยอย่างอวี้จือเจวี๋ยถีบหน้าต่อหน้าธารกำนัลทำให้เขารู้สึกอับอายถึงขีดสุดจนเปลี่ยนเป็นความโกรธ มือซ้ายที่ยังว่างอยู่พลันพุ่งเข้าไปจะคว้าจับน่องขาของอวี้จือเจวี๋ย ท่าบุกกู่ร้องก้องคำรามของเขาอุกอาจยิ่งนัก เป็นที่คาดได้ว่าหากถูกตะปบเข้าล่ะก็ กระดูกขาของ อวี้จือเจวี๋ยเป็นต้องหักแน่นอน!
อวี้จือเจวี๋ยพลิกตัวหลบแล้วร่วงลงสู่พื้นอย่างมั่นคง แส้เหล็กตามมาตวัดเฉียงลงต่ำครึ่งเชียะเขาหลบหลีกการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างหวุดหวิด เมื่อครู่ที่ถีบคางของฝ่ายตรงข้าม เขารู้สึกประหนึ่งว่าตัวเองถีบเหล็กกล้าผาหินก็มิปานปลายเท้าปวดแปลบไปหมด ในใจพลันกระจ่างขึ้นทันทีว่าอาศัยเพียงกระบวนท่าแต่อย่างเดียวคงมิอาจเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ เขากระโดดหลบแส้เหล็กถอยไปด้านหลังประมาณหนึ่งจั้งแล้วครุ่นคิดว่าก้าวต่อไปจะทำอย่างไรดี
ชายฉกรรจ์นั่นชักแส้เหล็กกลับไปไว้ในมืออย่างเดือดดาล ดวงตาทั้งสองจับจ้องที่อวี้จือเจวี๋ยพลางแผดเสียงตวาดด่า “ไอ้เด็กชั่ว แกคิดจะเล่นลวดลายงั้นรึ!”
ยิ่งฝ่ายตรงข้ามเดือดดาลยิ่งส่งผลดีต่อฝ่ายตน อวี้จือเจวี๋ยทำเป็นมองไม่เห็น เพียงแสร้งยกสันคิ้วและเปลือกตาอันน่ามองขึ้นสูง เชิดคางขึ้นเล็กน้อย ทำท่ายั่วโมโห วางก้ามเขื่องโข
ชายฉกรรจ์ยิ่งโมโหขึ้นตามคาด แต่เกรงว่าการโจมตีระยะไกลก็คงถูกอวี้จือเจวี๋ยหลบเลี่ยงได้อยู่ดี เลยพุ่งปรี่เข้าไปหมายจะจับอวี้จือเจวี๋ยตรง ๆ
ถึงแม้อวี้จือเจวี๋ยจะมีเรี่ยวแรงน้อยนิด แต่กลับว่องไวยิ่งนัก เพียงแค่ขยับร่างนิดเดียวก็เบี่ยงหลบไปได้ ชายฉกรรจ์จึงพุ่งเข้าใส่อากาศธาตุ แม้ว่าจนแล้วจนรอดชายฉกรรจ์จะไม่ได้แตะแม้แต่ชายเสื้อของอวี้จือเจวี๋ย แต่อวี้จือเจวี๋ยเองก็ทำอันใดเขาแทบไม่ได้เช่นกัน ทำได้เพียงหาช่องถีบร่างใหญ่นั่นได้อีกไม่กี่ทีเท่านั้น
ชายฉกรรจ์ถูกอวี้จือเจวี๋ยถีบเข้าไปอีกหลายรอบ ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อย่างไรก็ตามในสนามประลองมิได้จำกัดอาวุธและยุทธวิธี เขาจึงสะบัดแส้เหล็กตวัดฟาดมั่วซั่วอย่างบ้าคลั่ง ทว่ากลับฟาดโดนแต่แผ่นหินปูพื้นบนเวทีจนแตกเป็นเสี่ยงๆ กระเด็นกระดอนไปมา แม้แต่ศิษย์ผู้ดำเนินพิธีก็จำต้องหลบหาที่กำบังอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลิงเซี่ยรู้สึกกลัดกลุ้ม ขณะเดียวกันก็อดประณามหยามเหยียดไม่ได้ กับอีแค่สู้กับเด็กน้อยตัวเปี๊ยกแค่นี้ ถึงกับต้องดุเดือดเลือดพล่านปานนี้เชียวหรือ ต่อให้ชนะก็คงไม่เป็นที่พึงใจของบรรดาผู้อาวุโสแห่งพรรคเส้าหยางเหล่านั้นหรอกมั้งแผ่นหินปูพื้นเหล่านี้ล้วนแต่แกะสลักจากหินพลังธาตุน้ำอย่างประณีตบรรจงมีค่าควรเมืองยิ่ง กลับถูกฟาดทำลายลงอย่างหยาบช้าเช่นนี้ ไม่เห็นหรือไรว่าพวกผู้เฒ่าที่นั่งอยู่ข้างบนหน้าเปลี่ยนสีกันเป็นแถบ ๆ แล้ว...
ขณะที่เขาอัดอั้นตันใจอยู่นั้น สถานการณ์บนเวทีกลับเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างฉับพลัน ต่อให้อวี้จือเจวี๋ยหลบหลีกได้รวดเร็วปานใด แต่เศษหินที่คมปลาบดุจมีดเหล่านั้นก็แผ่พุ่งกระจัดกระจายไปทั่ว เวที พอหลบไม่ทัน เขาก็ถูกเศษหินแหลมคมก้อนหนึ่งแทงเข้าที่บริเวณขา ฝ่าเท้าเริ่มโซเซ ฉับพลันก็ถูกชายฉกรรจ์นั่นตะปบเข้าที่แขนทั้งสองข้างยกขึ้นกลางอากาศ! สีหน้าของหลิงเซี่ยพลันเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“ไอ้ลูกกระต่ายน้อยวิ่งเร็วดีนัก!” ชายฉกรรจ์เหนื่อยจนกระหืดกระหอบ กุมมือที่ยังว่างอยู่เป็นกำปั้นอย่างเข่นเคี้ยวเขี้ยวฟัน ก่อนจะต่อยเข้าที่ท้องของอวี้จือเจวี๋ย
หมัดนี้หาได้มีความปรานีแม้แต่น้อยร่างของอวี้จือเจวี๋ยงอตามแรงชก มุมปากพลันกระอักเลือดออกมาเป็นสาย
“อาเจวี๋ย!” หลิงเซี่ยตกใจจนเผลอกำหมัดแน่น เกือบจะพุ่งขึ้นเวทีไปเตะชายฉกรรจ์นั่นให้กระเด็นออกไปนอกทางช้างเผือก โถ่เว้ย! กับเด็กน้อยน่ารักน่าชังเช่นนี้ก็ยังทำได้ลงคอไอ้มนุษย์กล้ามระยำต่ำช้า
ทางด้านชุ่ยอวี่เองก็เบิกตาโพลง ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างตระหนกตกใจ “จือเจวี๋ย!” นางยกแส้ในมือขึ้นเตรียมออกโรง
ม่อไต้รีบดึงเอาไว้ด้วยความตาเร็วมือไวเขาตกใจจนต้องปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก “ศิษย์น้องเล็กอย่าก่อเรื่อง รอก่อน เขาประลองกันอยู่เจ้าจะสอดมือเข้าไปยุ่งได้อย่างไร ระวังเขาจะโกรธเจ้านะ!”
ชุ่ยอวี่ชะงักมืออย่างละล้าละลัง กระทืบเท้าพลางกล่าวอย่างกรุ่นโกรธ “นึกไม่ถึงว่าจะกล้ารังแกจือเจวี๋ยถึงขนาดนี้ ประเดี๋ยวข้าจะสับมันให้เป็นพันชิ้นหมื่นเสี่ยงเลยคอยดู!”
ถึงแม้ชายฉกรรจ์บนเวทีนั่นจะไม่รู้ว่ามีดวงตาหลายต่อหลายคู่กำลังจับจ้องตนอยู่จากด้านล่าง แต่กลับรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้น ตอนนี้ขอเพียงเขาโยนอวี้จือเจวี๋ยลงจากเวทีก็ถือว่าชนะแล้ว แต่เขากลับรู้สึกยังไม่สาแก่ใจ จึงสะบัดฝ่ามือตบหน้าของอวี้จือเจวี๋ยอีกหนึ่งฉาด ผิวขาวราวหิมะพลันคล้ำม่วงเป็นแถบ ใบหน้าของอวี้จือเจวี๋ยบวมเป่งขึ้นครึ่งซีก
“ไอ้หนู ทำไมคราวนี้ถึงสิ้นฤทธิ์แล้วล่ะ” ชายร่างใหญ่ยกอวี้จือเจวี๋ยขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาของตน มองเขาด้วยสีหน้าย่ามใจอยู่หลายส่วน
อวี้จือเจวี๋ยเพียงแต่เหลือบมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง ก่อนจะกระอักเลือดที่มีกลิ่นคาวคลุ้งตรงมุมปากออกมา เขาเกลียดรสชาติขมขื่นจากความพ่ายแพ้เช่นนี้ เกลียด เกลียดเป็นที่สุด... รสชาตินี้มันได้ตอกย้ำกับเขาอย่างแจ้งชัดว่าตอนนี้ตนอ่อนแอแค่ไหน ไร้ค่าปานใด!
เมื่อครู่เขาเหมือนได้ยินเสียงที่แสนจะคุ้นหูร้องเรียกตนอย่างเป็นกังวล พอเหลือบมองจากหางตา ก็เห็นดวงตาดำขลับคู่หนึ่ง ดวงตาคู่นั้นเอาแต่จดจ่ออยู่ที่ตน ทั้งยังเต็มไปด้วยแววอนาทรร้อนใจ...
ทันใดนั้นเอง ในร่างกายราวกับมีพลังบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ กำลังหลุดจากการควบคุมอย่างช้า ๆ...
เมื่อชายฉกรรจ์เห็นสายตาอันดุร้ายในระยะใกล้เช่นนี้ ก็รู้สึกเสียววาบขึ้นทันที พลันยกอวี้จือเจวี๋ยขึ้นเหนือศีรษะโดยอัตโนมัติ หมายจะเหวี่ยงเขาให้กระเด็นออกไป!
อวี้จือเจวี๋ยหลับตาลงช้า ๆ เขาสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่เย็นยะเยือกและนุ่มนวลในอากาศ พลังที่มองไม่เห็นมากมายเหลือประมาณไหลบ่าเข้ามารวมกันอยู่ในร่างของเขา——เหมือนเมื่อครั้งก่อนตอนอยู่ใต้น้ำ ทว่ากลับรู้สึกรุนแรงกว่ามาก!
เฟิงซูหมิงเฝ้าสังเกตการณ์อยู่เงียบ ๆ มาโดยตลอด ยามนี้จึงผงกศีรษะเล็กน้อย เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ เฟ้นหาในกลุ่มคนเรือนหมื่นยังไม่แน่ว่าจะพบเจอ อายุเท่านี้ก็สามารถปลุกสำแดงพลังธาตุน้ำในตัวได้แล้ว อีกทั้งระดับความเร็วในการรวมพลังปราณก็หาได้ยากยิ่ง ร้อยปีก็ยากจะพานพบ!
ยอดฝีมือส่วนมากมักมีธาตุน้ำสถิตอยู่ในกายแต่เด็กที่มีอายุแค่นี้ แถมไม่เคยฝึกวิชามาก่อน ทว่ากลับสามารถทำได้ถึงระดับนี้... อย่าว่าแต่พวกลูกศิษย์เลย แม้แต่ตัวเขาเอง ตอนอายุเท่าอวี้จือเจวี๋ยก็ยังทำไม่ได้เหมือนเขา เรียกได้ว่าห่างชั้นกันอย่างไม่เห็นฝุ่น!
เนื่องจากแผ่นหินปูพื้นล้วนทำมาจากหินพลังธาตุน้ำ พออวี้จือเจวี๋ยรวบรวมพลังธาตุน้ำจึงยิ่งเหมือนเสือติดปีก ชั่วขณะที่ชายฉกรรจ์นั่นกำลังลงมือ อวี้จือเจวี๋ยสัมผัสได้ถึงพลังงานอันยิ่งใหญ่ที่ไร้สภาพล่องลอยอยู่ในอากาศ
อวี้จือเจวี๋ยอาศัยพลังปราณชักนำพลังงานจากในอากาศให้เข้ามารวมที่บริเวณจุดกลางลำตัวของตนอย่างเงียบ ๆ พลันเกิดการโคจรย้อนกลับอย่างน่าอัศจรรย์จนกระแทกอีกฝ่ายผงะไปเมื่อหลุดออกมาได้เขาก็ทิ้งตัวลงสู่พื้นอย่างมั่นคง! เขาเหลือบมองหลิงเซี่ยที่กำลังปากอ้าตาค้างแวบหนึ่ง พยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะปล่อยพลังที่อัดแน่นอยู่ในฝ่ามือโจมตีใส่ชายฉกรรจ์นั่นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย!
ราวกับภูเขาไท่ซานทับขม่อมชายฉกรรจ์เพียงรู้สึกว่ามีกระแสพลังอันประมาณมิได้กระหน่ำเข้าตรงหน้าดั่งคลื่นโถมโหมสาด ชั่วขณะนั้นเขาแทบจะหยุดหายใจ ร่างกายลอยกระเด็นไปข้างหลังอย่างมิอาจควบคุมได้!
ตราบจนฟื้นคืนสติกลับมา เขาถึงพบว่าตนเองมิเพียงแต่ตกลงจากเวที ทว่ายังถูกโจมตีจนกระเด็นมาถึงตำแหน่งที่นั่งของแขกกิตติมศักดิ์!
เขามองเวทีประลองที่อยู่ห่างออกไปอย่างมิอาจทำใจให้เชื่อได้ ก่อนจะอ้าปาก “ทำไม...”
เพียงแต่ครึ่งประโยคหลังยังมิทันได้เอื้อนเอ่ยออกมา เขาก็รู้สึกว่าโลหิตที่ไหลเวียนทั่วร่างเย็นเฉียบเป็นน้ำแข็ง แขนขาทั้งสี่เหมือนเป็นอัมพาต ทันใดนั้นก็ล้มลงไปอย่างมิอาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้อีก
“อวี้จือเจวี๋ยชนะ!” ศิษย์ผู้ทำหน้าที่จดรายชื่อบนเวทีอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะประกาศผลการประลองด้วยเสียงอันดัง
เมื่อครู่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกินไป ในลานประลองนี้ นอกจากศิษย์ระดับสูงและบรรดาผู้อาวุโสที่มีพลังฝีมืออยู่พอสมควรเหล่านั้นแล้ว ศิษย์ระดับล่างส่วนใหญ่ไม่มีใครดูสถานการณ์ออก
ช่วงขณะที่อวี้จือเจวี๋ยถูกจับยกขึ้นเมื่อครู่นี้ ชุ่ยอวี่ได้พุ่งเข้าไปถึงด้านล่างเวทีแล้ว ยามนี้ก็เลยทำตัวไม่ถูก ม่อไต้เห็นบรรดาผู้อาวุโสที่อยู่รอบ ๆ มองมาด้วยแววตาฉงนสนเท่ห์ จึงรีบดึงตัวศิษย์น้องเล็กของตนกลับมา พลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก เขามองอวี้จือเจวี๋ยอย่างรู้สึกสับสนอยู่แวบหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าพรรคเส้า หยางจะได้ศิษย์ผู้เก่งกาจถึงเพียงนี้เพิ่มไปอีกคนหนึ่ง...
หลิงเซี่ยดีใจยิ่งกว่าตัวเองได้รับชัยชนะเสียอีก เขามองใบหน้าของอวี้จือเจวี๋ยที่บวมเป่งอย่างเจ็บปวดใจ จนแม้แต่คำกล่าวแสดงความยินดียังพูดไม่ออก ว่าไปแล้วบาดแผลที่มือของเด็กนี่ยังฉกรรจ์อยู่ไหมหนอ...
ซ่งเสียวหู่ซึ่งอยู่ในพื้นที่พักรักษาตัว ก็ดีอกดีใจจนแหกปากตะโกนดังลั่นพลางกระโดดโลดเต้นโดยไม่สนว่าหน้ายังบวมจมูกยังเขียวอยู่ “อาเจวี๋ยสุดยอดไปเลย!”
อวี้จือเจวี๋ยไม่สนใจใยดีต่อสายตาของผู้คนที่จ้องมองมา เพื่อที่จะปกปิดความเจ็บปวดจากบาดแผลบริเวณขา จึงค่อย ๆ ย่างเยื้องลงจากเวที แต่ในระหว่างที่กำลังจะเดินผ่านหลิงเซี่ยอยู่นั้น ชั่วขณะที่เฉียดกรายเข้าไปใกล้ เขาก็กล่าวสำทับด้วยเสียงอันเบาอยู่ประโยคหนึ่ง “ระวังตัวด้วย”
“อื้อ!” หลิงเซี่ยพยักหน้าซ้ำ ๆ แอบร้องไห้ในใจ เจ้าเด็กนี่รู้จักเป็นห่วงคนอื่นแล้ว!
อวี้จือเจวี๋ยเดินไปทางพื้นที่พักรักษาตัวโดยรักษาจังหวะฝีก้าวให้เป็นปกติ มีเพียงตัวเขาเองเท่านั้นที่รู้ว่าฝ่ามือของตนกำลังสั่นไหวอย่างมิอาจควบคุมได้ เมื่อครู่นี้เขาสามารถเลือกฆ่าชายฉกรรจ์นั่นให้ตายได้ในขณะนั้นทันที ไม่ต้องปล่อยให้ใบหน้าอันชั่วช้าน่าสะอิดสะเอียนนั่นออกมาปรากฏให้ตนเห็นอีกตลอดกาล!
แต่เขาพยายามอดกลั้นไว้เพราะเวลานั้นรอยยิ้มของหลิงเซี่ยพลันฉายวาบขึ้นในหัว เขาถึงสามารถควบคุมความคิดที่โหดเหี้ยมอำมหิตในสมองเอาไว้ได้ แล้วจึงรั้งพลังกลับมาหลายส่วน ไม่ซัดไอ้ชั่วนั่นให้กลายเป็นกองเลือดแหลกเละใต้เงื้อมมือของตน...
ตอนนี้ไม่เพียงแต่อวัยวะภายใน บริเวณท้องของเขาเท่านั้นที่ได้รับความบอบช้ำ ฝ่ามือที่มีบาดแผลเดิมอยู่แล้วก็ได้รับบาดเจ็บซ้ำเข้าที่เก่า เพราะใช้แรงมากไปจนแผลเปิดออกใหม่อีกครั้ง บริเวณขาที่ถูกหินบาดจนเป็นแผลก็รู้สึกปวดแสบปวดร้อนเช่นกัน
ทว่าในใจเขาราวกับมีเปลวไฟแห่งความปลื้มปิติที่ลุกโชนอยู่อย่างไม่ขาดช่วง!
ความสวยงามของความรู้สึกเหนือกว่าที่สามารถจัดการกับผู้อื่นได้อย่างทรงพลังเช่นนี้ พอหวนนึกถึงทีไร ก็ทำให้เขารู้สึกฮึกเหิมจนสั่นสะท้าน...
“หลิงเซี่ย! ซวีเหยี่ยน!” ศิษย์ผู้หนึ่งก้มดูสมุดรายชื่อพลางกู่เรียกชื่อของผู้เข้าประลองรอบถัดไปด้วยเสียงอันดังกึกก้อง
หลิงเซี่ยพลันตื่นตระหนกในทันที พลางตีสีหน้าสลดราวกับจะถูกเชือด ทำไงดี!พริบตาเดียวก็ถึงตาตัวเองแล้วเรอะ!
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น้องหลิงจะทำยังไงล่ะทีนี้
เเหม พลังตื่นทั้งพระเอกทั้งตัวร้ายเลย ซ่งเสียวหู่ก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ อวี้จือเจวี๋ยก็เก่งมากเลยลูก ฮืออ ถึงจะน่วมไปทั้งตัวก็เหอะ T^T
สู้ๆเจ้าหนู อย่ายอมแพ้เด็กๆล่ะ
พยายามเข้านะหลิงเซียวเราเชื่อมั่นในตัวนาย
อุธัจนี้คืออะไรอ่ะ (เปิดดิคฯ) ใช้คำว่าขวยเขินก็ได้มั้ง (ร้องไห้)