ตอนที่ 14 : ตอนที่ 13
ตอนที่สิบสาม
จู่ ๆ หลิงเซี่ยก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เขาแทบจะกระโดดขึ้นในทันที พลางก้มหน้าลงอย่างนึกเสียใจ——เมื่อครู่เกิดเหตุคับขันขึ้นอย่างกะทันหัน ตนกลับลืมยันต์เคลื่อนย้ายมวลสารที่ซ่อนอยู่ในกระเป๋ากางเกงไปเสียสนิท!
ยันต์เคลื่อนย้ายมวลสารของทั้งสามล้วนอยู่ในกระเป๋ากางเกงของหลิงเซี่ย อันที่จริงหากหาจังหวะเหมาะ ๆ ฉีกยันต์เคลื่อนย้ายมวลสารให้ขาดประเดี๋ยวเดียวก็จะสามารถกลับไปที่จุดเริ่มต้นได้แล้ว! แถมพวกเขายังสามารถร้องเรียนกับผู้คุมสอบของพรรคเส้าหยางได้อีกด้วย จะอย่างไรเจ้าซ่างเหยียนนี่ก็ฝ่าฝืนกฎ ลอบเข้ามาตามอำเภอใจ ต่อให้เขาเป็นแขกที่พรรคเส้าหยางเชิญมาเอง แต่เชื่อว่าพรรคเส้าหยางคงไม่ปล่อยให้เด็กคนหนึ่งมาแหกกฎของพรรคตนตามใจชอบเป็นแน่...
หลิงเซี่ยกำยันต์กระดาษสามแผ่นนั้นจนแน่น ปลายเล็บจิกลึกเข้าไปในฝ่ามือ จู่ ๆ ความรู้สึกผิดบาปอย่างมหันต์ก็พุ่งทะยานเข้ามากระแทกกลางใจของเขาจนทำให้เขาแทบจะล้มทั้งยืน
มิเช่นนั้นซ่างเหยียนก็คงไม่ตายด้วยน้ำมือของอวี้จือเจวี๋ยหรอก! มาบัดนี้เพียงแค่เขานึกถึงสัมผัสของซากศพนั่นก็รู้สึกสั่นสะท้านไปทั่วทั้งร่างแล้ว...
“ต่อให้เจ้านึกขึ้นได้ทัน เมื่อครู่พวกเราก็ไม่มีโอกาสได้ใช้หรอก แถมข้ากับเสียวหู่ก็ไม่มีวันยอมใช้มันเพื่อหลบหนีเป็นอันขาด!”
หลิงเซี่ยสะดุ้งตกใจพลางเหลียวกลับไป คราวนี้ถึงเห็นอวี้จือเจวี๋ยที่ลุกขึ้นมานั่งตั้งแต่เมื่อใดก็มิอาจทราบได้ ดวงตาดำขลับคู่นั้นสะท้อนแสงไฟจนสุกสกาว กำลังจับจ้องมาที่ตนอย่างไม่กะพริบ
อวี้จือเจวี๋ยหลุบนัยน์ตาลงต่ำ มองผ้าฝ้ายที่พันรอบฝ่ามือ บาดแผลใจกลางฝ่ามือยังคงส่งทอดความเจ็บปวดมาให้รู้สึกอยู่เป็นระยะ
เขากล่าวเสียงเบา “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า ถึงต่อให้คราวนี้พวกเราจะหลบไปได้ แต่อย่างไรคราวหน้าเจ้านั่นก็ต้องตามมาราวีอยู่ดี”
แต่สิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมาก็คือ เป็นเพราะเขาอ่อนแอเกินไป!
ถึงแม้ความรู้สึกในการฆ่าคนจะน่าชิงชังรังเกียจ แต่ว่า... คิดแล้วนัยน์ตาของเขาพลันทอประกายเย็นเยียบ
สีหน้าของอวี้จือเจวี๋ยยังคงซีดเซียวอยู่บ้าง แต่น้ำเสียงบ่งบอกว่ากลับคืนสู่ภาวะสงบนิ่งแล้ว เป็นเพราะเส้นผมบนหน้าผากที่ปรกลงมาบังใบหน้าค่อนซีก หลิงเซี่ยจึงไม่อาจเห็นสีหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน เขารู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้าง เหตุใดแค่เพียงครู่เดียว อวี้จือเจวี๋ยก็ดูออกว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่
แต่ก็เป็นเพราะคำพูดเหล่านี้ของอีกฝ่ายนี่เอง ทำให้ความรู้สึกหนักอกราวกับมีก้อนหินอยู่ในใจของหลิงเซี่ยเบาขึ้นอย่างมาก ใช่แล้ว จะอย่างไรตอนนี้ก็มิใช่เวลามาไล่เรียงว่าใครกันแน่ที่เป็นคนผิด กติกาการใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ก็เป็นเช่นนี้เอง...
นี่คือโลกที่แตกต่างจากอาณาจักรสวรรค์โดยสิ้นเชิง...
หลิงเซี่ยสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่ผึ่งจนแห้งมาสวมใส่ แล้วเดินเข้าไปไถ่ถามอวี้จือเจวี๋ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เจ้ายังเจ็บมืออยู่หรือไม่”
อวี้จือเจวี๋ยก้มหน้าลงพลางตอบ “ไม่เจ็บแล้ว...แต่...หนาวไปทั้งตัวเลย” เขากล่าวพลางสั่นระริกด้วยความหนาวเหน็บ ร่างกายอันซูบเซียวขดตัวงอคู้อยู่ในเงามืด ดูคล้ายกับลูกสัตว์ตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บ
คงมิใช่เพราะเสียเลือดมากเกินไปหรอกมั้ง? หลิงเซี่ยยื่นมือไปแตะหน้าผากของเขาเบา ๆ โชคดีที่ไม่มีไข้ แต่อุณหภูมิในร่างกายต่ำกว่าฝ่ามือของตนอย่างยิ่ง หลิงเซี่ยลังเลเล็กน้อย ลองหยั่งเชิงโดยการโอบเขาเข้ามาแนบกับอกของตน พอสังเกตดูถี่ถ้วนแล้วรู้สึกว่าอวี้จือเจวี๋ยไม่มีท่าทีขัดขืน จึงค่อยโอบรัดแน่นขึ้น
อวี้จือเจวี๋ยอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างสงบนิ่ง ผ่านไปครู่หนึ่งจู่ ๆ ก็กล่าวขึ้นด้วยเสียงแหบต่ำ
“ตัวเจ้าอุ่นจังเลย”
หลิงเซี่ยหัวเราะทีหนึ่ง ก่อนจะเอานิ้วมือสางผมยาวสลวยของอวี้จือเจวี๋ยที่พันกันยุ่งเหยิงออกจากกันอย่างเงอะงะ เมื่อครู่เขาเอาเสื้อผ้าไปผึ่งหน้ากองไฟอยู่ตั้งนาน ตัวก็ต้องอุ่นเป็นธรรมดา
จู่ ๆ หลิงเซี่ยก็นึกถึงแมวน้อยสองตัวที่คุณย่าของเขาเลี้ยงไว้ตอนที่เขายังเด็ก ตัวแรกแสนจะน่ารักซุกซน พอเห็นเขาก็โผเข้ามาคลอเคลียออดอ้อน ส่วนอีกตัวหนึ่งกลับเอาแต่เมินเขา ชอบปีนขึ้นไปอยู่บนกำแพง โดยไม่สนว่าเขาอยากจะเล่นด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งมันเผลอข่วนมือของเขาจนเป็นแผล แมวน้อยตัวนั้นตกใจกลัว รีบปีนขึ้นไปหลบอยู่บนตู้เสื้อผ้าไม่ยอมลงมา แต่พอเขาหันไปทำอย่างอื่นก็ลอบมองเขาด้วยสายตาเจือความน้อยอกน้อยใจ สุดท้ายพอลงมาจากด้านบนได้ก็โผเข้ามาซุกอยู่ในอ้อมอกพลางเกาะเกี่ยวเสื้อผ้าของเขาไม่ยอมปล่อย...
ในใจเขานึกเอ็นดูเจ้าแมวน้อยตัวที่ชอบทำเมินใส่ตนตัวนั้นมากกว่า
อวี้จือเจวี๋ยก็ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับแมวน้อยตัวนั้น แม้ในยามปกติจะมีท่าทีจองหองอวดดีเป็นที่สุด แต่บางครั้งก็ชอบอิงแอบอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างอ่อนโยน ยอมคล้อยตามอย่างว่าง่ายเช่นนี้...หวนนึกถึงท่าทีในยามตื่นกลัวก่อนหน้านี้ก็ยิ่งชวนให้นึกเวทนาเป็นที่สุด...
ทันใดนั้นเอง ซ่งเสียวหู่ก็แค่นเสียงเบาขึ้นมาทีหนึ่ง ราวกับรู้สึกตัวแล้ว อวี้จือเจวี๋ยรีบผละออกมาจากอ้อมกอดของหลิงเซี่ย แล้วกระเถิบออกห่างจากเขา ใบหน้าใต้แสงไฟสาดกระทบเหมือนจะแดงขึ้นเล็กน้อย หลิงเซี่ยอดนึกขบขันอยู่หลายส่วนไม่ได้
ถึงอย่างไรอวี้จือเจวี๋ยกับซ่งเสียวหู่ก็เป็นสหายกัน หากเพื่อนของตนมาเห็นภาพตัวเองทำตัวเหมือนเด็กทารกเช่นนี้ จะมากจะน้อยก็คงจะน่าขายหน้าอยู่บ้าง
ซ่งเสียวหู่ลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ก่อนจะดีดตัวลุกพรวดขึ้นนั่ง แล้วกวาดตามองไปรอบ ๆ พลางเอ่ยถาม “พี่ใหญ่หลิง ทำไมข้ามานอนอยู่ตรงนี้ได้ แล้วเจ้าคนชั่วนั่นล่ะ”
อวี้จือเจวี๋ยลุกขึ้นยืนอย่างเคร่งขรึม “มัวแต่รอเจ้าจนเสียเวลา ยังไม่รีบลุกขึ้นอีก มีเวลาไม่มากแล้วนะ!”
พอเขาพูดจบก็เดินตรงรี่ออกไปด้านนอก หลิงเซี่ยรีบเดินเข้าไปถามไถ่ “เสียวหู่ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
ซ่งเสียวหู่ส่ายหน้าอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว “ข้าไม่เป็นไร”
หลิงเซี่ยเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้ซ่งเสียวหู่ฟังอย่างรวบรัดตัดตอน แล้วกำชับกำชากับเขาห้ามไม่ให้บอกใครเป็นอันขาด มิเช่นนั้นชีวิตของพวกเขาทั้งสามคงอยู่รอดยาก เนื่องจากว่าบางทีซ่งเสียวหู่ก็มีนิสัยปากไวใจเร็ว อาจชักนำเภทภัยมาใส่ตัวได้
ซ่งเสียวหู่ได้ฟังพลันตะลึงงัน แต่ไม่นานก็พยักหน้ารับ กล่าวอย่างหนักแน่น “ข้าทราบแล้ว!”
หลิงเซี่ยจึงค่อยผ่อนลมหายใจออกมา โชคดีที่ซ่งเสียวหู่ไม่ได้มีลักษณะทื่อด้านเป็นไม้กระดานเหมือนพระเอกโลกสวย ยามเขาถูกคนรังแกก็ไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้ง่าย ๆ ทว่าก็รู้จักปรับตัวตามสถานการณ์เช่นกัน
ฝนฟ้ามาไวไปเร็ว ด้านนอกฝนหยุดตกแล้ว ทว่าทางเดินเฉอะแฉะทำให้เดินเหินได้ลำบากยากยิ่ง บวกกับกรวดหินดินทราย พงหวายพงหญ้านับไม่ถ้วน หากไม่ระวังเป็นต้องสะดุดล้ม
ทั้งสามเดินย้อนขึ้นไปตามลำธาร แต่เพิ่มความสำรวมระวังมากกว่าแต่ก่อน ในที่สุดซ่งเสียวหู่ก็สำแดงคุณสมบัติพิเศษออกมา เพียงครู่เดียวก็พบหญ้าจิงซิงหกต้นพุ่มหนึ่ง จากนั้นไม่นานอวี้จือเจวี๋ยก็เจอผลึกวิญญาณธาตุน้ำขั้นสามจำนวนสองก้อนในลำธาร นับว่าบรรลุเป้าหมายเกินจำนวนที่ต้องการแล้วด้วยซ้ำ
หลิงเซี่ยทอดถอนใจ ก่อนจะแบ่งสมุนไพรวิญญาณและผลึกวิญญาณให้ทั้งสามคนแยกกันเก็บไว้ในที่ ๆ ไม่สะดุดตาบนร่างกายอย่างระมัดระวัง——เพราะไม่ใช่ว่าผู้เข้าแข่งขันหลายร้อยคนนี้จะโชคดีเหมือนกับพระเอกและตัวร้ายเช่นนี้ทุกคน อาจมีคนที่ชอบทำตัวเป็นเสือนอนกินคอยดักอยู่ตรงบริเวณทางออกเพื่อรอโอกาสแย่งชิงของที่ผู้อื่นหามาก็เป็นได้!
ถึงแม้วิธีการเช่นนี้ฟังดูแล้วจะน่าประณามหยามเหยียด แต่สำหรับการประลองของค่ายพรรคบนโลกใบนี้ล้วนแต่อนุญาตให้ทำได้ เพราะจะผ่านด่านหรือไม่ล้วนแต่ต้องอาศัยความสามารถทั้งสิ้น!
ต่อจากนั้นพวกเขาก็เร่งเดินทางอย่างกระวีกระวาด ขณะเดียวกันก็ต้องคอยสังเกตสังกาสัตว์อสูรที่เป็นอันตราย รวมถึงผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ด้วย อวี้จือเจวี๋ยและซ่งเสียวหู่ต่างมีทักษะในการตอบสนองต่ออันตรายที่ยอดเยี่ยม ทั้งสามได้พบเห็นสัตว์อสูรที่เป็นอันตรายกำลังโจมตีผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ อยู่ตามรายทาง ทั้งได้พบเห็นผู้เข้าแข่งขันฆ่าฟันกันเองด้วย แต่ในที่สุดแล้วก็สามารถเดินทางมาถึงชายขอบของพื้นที่ป่าหมื่นอสูรก่อนกำหนดเวลาหนึ่งชั่วยามอย่างแคล้วคลาดปลอดภัย
ซ่งเสียวหู่ที่ปีนขึ้นไปบนต้นไม้แลเห็นศาลารับรองที่ตั้งอยู่บริเวณทางออกอยู่ไกล ๆ ทันใดนั้นพลันดีอกดีใจขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาเผชิญอันตรายกันมาตลอดทาง เลยทำได้แต่เพียงเด็ดผลไม้ที่ไม่มีพิษตามริมทางกินไปพอประทังความหิวเท่านั้น ดังนั้นตอนนี้จึงหิวจนท้องกิ่วท้องแขวนแล้ว
“บริเวณนี้ยิ่งประมาทไม่ได้เด็ดขาด!” หลิงเซี่ยกล่าวเสียงต่ำ เขาจำได้ว่าในเรื่องเจ้าเด็กสองคนนี้คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเจอเรื่องวุ่นวายบริเวณทางออกนี่ล่ะ
ซ่งเสียวหู่ลื่นไถลกลับลงมาตามลำต้นอย่างคล่องแคล่ว แต่ในระหว่างที่เขายังอยู่กลางอากาศ ลมพายุหอบหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากทางด้านหลังของเขา
“เสียวหู่!” หลิงเซี่ยตกใจ แส้เหล็กยืดหยุ่นได้ยาวราวหนึ่งจั้งเส้นหนึ่งกวาดเข้ามา หมุนวนไปทางบั้นเอวของซ่งเสียวหู่ ถึงแม้วิถีของแส้เหล็กนี่จะพุ่งเข้ามาอย่างดุดัน แต่ทักษะฝีมือยังห่างชั้นกับชุ่ยอวี่อยู่ไกลโข
แม้ว่าซ่งเสียวหู่จะตอบสนองได้อย่างว่องไว เคลื่อนหลบได้อย่างรวดเร็ว แต่แผ่นหลังก็ยังโดนฟาดเข้าจนได้ เขาตกลงมากลิ้งอยู่กับพื้น ก่อนจะกระโดดขึ้นมาทำท่าป้องปัดแส้ในทันที
หลิงเซี่ยมัวแต่พะวงทางซ่งเสียวหู่ ทว่าจู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวจากหลังใบหู ในใจพลันตื่นตระหนก ด้านหลังก็มีคน!
ทันใดนั้นอวี้จือเจวี๋ยก็กระชากแขนของเขาให้กระโดดหลบไปหลายก้าว แส้เหล็กอีกเส้นหนึ่งพลันฟาดลงยังจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่นี้จนกรวดหินแตกกระจาย
“ใครกันที่ใช้วิธีของหมาลอบกัดแบบนี้!” อวี้จือเจวี๋ยกล่าวเย้ยหยัน ในช่วงคับขันเมื่อครู่นี้ เขาเผลอออกแรงที่มือขวา ฝ่ามือที่มีบาดแผลจึงหลั่งโลหิตสีแดงออกมาจนปวดแปลบแสบร้อนทันที
หลังต้นไม้มีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้น ชายฉกรรจ์แต่งกายคล้ายกันสองคนแยกกันห้อมหน้าล้อมหลังบีบพวกเขาไว้ตรงกลางพอดี
ชายทั้งสองล้วนแต่หลังเสือเอวหมี รูปพรรณสัณฐานก็คล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง ผิวกายคล้ำเข้ม ไว้หนวดเคราทั่วใบหน้า กล้ามแขนที่เปลือยอยู่นอกร่มผ้าบวมเป่งเป็นก้อน ๆ ราวกับก้อนหิน ท่อนแขนใหญ่นั่นยังหนากว่าต้นขาของหลิงเซี่ยอยู่รอบหนึ่ง
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเอ่ยปากด้วยเสียงแหบหยาบ “เฮ้ย! ไอ้เด็กบ้า พวกเจ้าได้อะไรมาบ้าง ส่งมาให้หมด จะได้ไม่เจ็บตัว!”
ซ่งเสียวหู่กล่าวอย่างขุ่นเคือง “พวกข้าลำบากแทบตายกว่าจะหามาได้ ทำไมต้องให้เจ้าด้วย”
“...” นี่ไม่เท่ากับยอมรับว่าตัวเองหาผลึกวิญญาณกับสมุนไพรวิญญาณได้แล้วหรอกหรือ หลิงเซี่ยมองคราบเลือดที่ชุ่มโชกอยู่บนมือของอวี้จือเจวี๋ย นัยน์ตาพลันหม่นลง
ในเรื่อง เจ้าเด็กวายร้ายสองคนนี้ย่อมสามารถพลิกสถานการณ์เอาตัวรอดไปได้ แต่ตอนนี้อวี้จือเจวี๋ยยังบาดเจ็บอยู่ แถมเพิ่มตัวประกอบกาก ๆ อย่างเขาเข้าไปอีกหนึ่งคน เลยไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นแบบไหน วิธีที่ดีที่สุดก็คือหลบได้ก็หลบ เลี่ยงได้ก็เลี่ยง
ขณะนั้นเองหลิงเซี่ยพลันล้วงหญ้าจิงซิงสองต้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อก่อนจะวางลงกับพื้นอย่างช้า ๆ เขาดึงอวี้จือเจวี๋ยให้ถอยไปข้างหลังสองก้าว จ้องสองคนนั้นด้วยสายตาระแวงระวังพลางกล่าว
“สองต้นนี้คงเพียงพอให้พวกเจ้าผ่านด่านไปได้แล้ว พวกเจ้ามาหยิบไปเอง แต่หากคิดจะข่มเหงกันล่ะก็ คงได้แต่ปลาตายตะข่ายขาด ข้าจะทำลายพวกมันให้สิ้น จะได้ไม่ต้องมีใครผ่านด่านเลยสักคน!”
ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งหัวเราะร่า “คิดไม่ถึงว่าเด็กบ้าอย่างเจ้าจะคิดอ่านเป็น งั้นข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปก็ได้”
หลิงเซี่ยทอดถอนใจ เขากลัวว่าอวี้จือเจวี๋ยจะโมโหจนหน้าดำหน้าแดงอีก จึงรีบตบแปะ ๆ ที่แขน ของอวี้จือเจวี๋ยเป็นเชิงปลอบใจ หลังจากนั้นก็โบกมือเรียกซ่งเสียวหู่ให้เข้ามาหา ซ่งเสียวหู่ยังคงมีทีท่าเดือดดาล แต่ดีร้ายอย่างไรก็มิได้กล่าวอันใดอีก หลิงเซี่ยให้พวกเขาสองคนรั้งอยู่ด้านหลังก่อน ส่วนตนกันอยู่ด้านหน้า จนกระทั่งถึงหัวมุมจึงจูงมือเด็กน้อยทั้งสองวิ่งเต็มฝีเท้า
ซ่งเสียวหู่กล่าวอย่างหัวเสีย “พี่ใหญ่หลิง ของที่พวกเราหามาได้ ทำไมต้องแบ่งให้พวกมันด้วยเล่า”
หลิงเซี่ยกล่าวตอบอย่างใจเย็น “พวกเราก็มีตั้งเยอะนี่นา ตอนนี้ใกล้จะถึงทางออกแล้ว เรื่องยุ่ง ๆ พวกนี้เลี่ยงได้ก็เลี่ยงเถอะ”
เขาหันไปมองอวี้จือเจวี๋ย หากอยู่ในสถานการณ์ปกติเขาเป็นต้องรีบพุ่งถลาออกมาก่อนซ่งเสียวหู่แน่นอน แต่คราวนี้เขากลับนิ่งเงียบ คล้ายกับยอมรับการกระทำของตนโดยดุษณี เขาแอบรู้สึกว่าอวี้จือเจวี๋ยมีบางอย่างแปลกไป แต่ก็พูดไม่ถูกว่าแปลกตรงไหน
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เพิ่งเผชิญกับเรื่องน่าสะเทือนใจเช่นนั้นมา บางทีสภาพจิตใจของอวี้จือเจวี๋ยอาจจะยังไม่เป็นปกติก็ได้...
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เป็นตัวเอกที่โดนกระทำกันมาตลอด และไม่ได้แก้แค้นหรือสู้อะไรได้เท่าไหร่เลย โดยเฉพาะเด็กถือแซ่นั่น กระทำเสร็จแล้วก็ไปเลย
เห้อ อยากมีเมียแบบนายเอกจัง...
หลบได้ก็ดี ทำภารกิจ(?)ให้ได้ก่อน
จริงๆคนแบบหลิงเซี่ยนี่เก่งนะ คือเอาตัวรอดเก่งอ่ะ ถึงจะลำบากก็มักจะทำโลกสวยใจดีสู้เสือ ซึ่งจะบอกว่าโลกสวยเกินไปก็ใช่ แต่มีความรู้สึกว่าถ้าโลกนี้ไม่มีคนแบบนี้ทุกอย่างคงโหดร้ายมากๆอ่ะ คนแบบหลิงเซี่ยนี่เป็นคนแบบที่เรายังอยากได้มาทำเมียเลยค่ะ นางน่ารัก นางใจดี แต่ก็ไม่ได้อ่อนแออ่ะ ก็แค่เป็นคนที่คิดว่ายอมเขาได้ก็ยอม ตอนที่ต้องใจแข็งก็ใจแข็งอยู่นะ
ปล.พรีไปแล้ว รอหนังสืออยู่นะคะ นั่งอ่านวนซ้ำอยู่ร่ำไป ฮือ