คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : The show
The show
I'm just a little bit caught in the middle
Life is a maze and love is a riddle
I don't know where to go
Can't do it alone I've tried
And I don't know why.
ฉันแค่กำลังรู้สึกสับสนนิดหน่อย
ชีวิตนั้นเหมือนกับทางวงกต และความรักเหมือนเกมทายปัญหา
ฉันไม่รู้ว่าจะต้องเดินไปทางไหนดี
และฉันทำมันคนเดียวไม่ได้ ถึงฉันจะพยายามแล้วก็ตาม
แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม
“แบมไม่รักมาร์คแล้วใช่มั้ย”
“แบม...” ดวงตากลมโตเสหลบสายตาไปทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการสบตากับร่างสูงแบบตรงๆ
“ว่าไงแบม แบมไม่รักมาร์คแล้วใช่มั้ย” มาร์คยังคงจี้ถามร่างบางต่อ เสียงทุ้มดูกระแทกกระทั้นกว่าเดิมจนแบมแบมตกใจผงะถอยหลังออกมาและยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบอะไร
“ตอบมาร์คมาสิแบม!” แบ มแบมส่าย หน้าเบาๆ ดวงตากลมคอหน่วงไปด้วยน้ำตาที่พร้อมจะไหลออกมาได้ทุกเมื่อ เมื่อเห็นมาร์คเห็นว่าคนตัวเล็กตั้งท่าจะร้องไห้ใส่เขาก็รีบกระชากร่างบาง เข้าไปกอดอย่างปลอบประโลม เขารู้นิสัยของแบมแบมดีและรู้ดีมากกว่าใคร พลางเหลือบตาไปมองแจ็คสันที่ยังคงนั่งมองมาที่มาร์คกับแบมแบมด้วยสายตานิ่ง เรียบไม่แสดงอะไรออกมา
แบมไม่ชอบอะไรที่กดดันมากเกินไปยิ่งกับคนที่ตัวเองแคร์ยิ่งไม่ชอบและจะแสดงท่า ทีแบบเมื่อกี้ออกมา เขารู้ว่าเขาจี้จุดแบมเกินไปแต่เพราะอารมณ์ชั่ววูบที่ทำให้เขาตะคอกร่าง บางอย่างที่แทบไม่เคยทำมาก่อน คนตรงหน้าไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่ใครๆเข้าใจ ในสายตาของมาร์คแบมบอบบางเกินไปด้วยซ้ำ
เขาจะไม่ยอมเสียแบมไปเป็นครั้งที่สอง
สาย ตากร้าวสบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทของแจ็คสันโดยบังเอิญ มาร์คไม่คิดจะปิดว่าเขาต้องการอะไรกับคนที่มากับแบมแบมและแจ็คสันก็ไม่คิด ที่จะปิดบังอะไรเหมือนกันแค่ไม่แสดงออกมาโผงผางเหมือนกับคนที่ยืนกอดแบมแบมอ ยู่ก็เท่านั้น
“มาร์คขอโทษนะแบม มาร์คขอโทษ” ร่างสูงพึมพำออกมาเบาๆให้ได้ยินกันแค่สองคน คนที่จมอยู่ในอ้อมกอดเพียงแค่พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้และค่อยๆดันตัวเองออกมาจากมาร์ค
“มาร์ครู้นิสัยแบมดีที่สุดนะ อย่าทำแบบนี้อีก” น้ำเสียงเคร่งเครียดหลุดออกมาจากปากแบมแบมจนคนรอบข้างอย่างมาร์คและแจ็คสันแปลก ใจ ร่างบางดูเครียดแบบที่ไม่เคยมีคนเห็นมาก่อน แบมแบมถอยไปจนถึงโซฟากลางห้องและทรุดลงนั่งข้างๆกับแจ็คสัน
“กลับเลยมั้ย” แบมแบมหันไปถามคนข้างตัวที่ยังคงนั่งนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง
“แล้วแต่แบม” แจ็คสันตอบพลางส่งยิ้มกลับไปให้ ออกแนวว่ายังไงก็ได้แล้วแต่เลย
“แบมว่ากลับเลยละกันจะได้ไม่ดึก” แบมแบมพยักหน้าเออออกับตัวเองก่อนจะลุกขึ้นไปหามาร์คที่ยังยืนกอดอกมาทางแบมแบมกับแจ็คสันด้วยท่าทีเรียบเฉย
“แบมกลับก่อนนะมาร์ค” มือบางเขย่าข้อมือหนาของมาร์คเบาๆ
“อื้ม” มาร์คแค่พยักหน้าเบาๆอย่างครุ่นคิด
“ดูแลตัวเองด้วยนะมาร์ค แบมไม่ได้อยู่กับมาร์คตลอดเวลา กินข้าวด้วยนะ มีอะไรโทรหาแบมได้ตลอดนะมาร์ค” แบมแบมรีบสั่งเพราะกลัวอีกคนจะรอนานเกินไป
“มาร์ครักแบมนะ” เสียงทุ้มพูดขึ้นก่อนที่แบมแบมจะหลุดออกไปอยู่ข้างนอกห้อง แบมแบมชะงักเท้าแล้วเหลียวหลังมายิ้มให้บางๆเท่านั้นก่อนจะรีบเดินออกไปจน ทั้งห้องเหลือแค่มาร์คและแจ็คสัน
ร่างสมส่วนของแจ็คสันหันหลังกลับไปมองมาร์คพลางกระตุกยิ้มแบบที่ไม่เคยมีใครได้ เห็น แน่นอนว่าแจ็คสันไม่ได้นิ่งเฉยอย่างที่ใครๆคิด แววตากร้าวไม่ได้ต่างไปจากคนที่อยู่ตรงหน้าสักนิด
“ถ้าคิดว่าแบมจะกลับไปหานายได้...ก็ลองดูนะ” แจ็คสันกระตุกยิ้มร้ายให้ทีหนึ่งแล้วเดินออกจากห้องไปก่อนจะรีบเร่งฝีเท้า ให้ทันแบมแบมเพราะกลัวอีกคนจะสงสัย เมื่อแบมแบมเหลียวหลังมาเห็นแจ็คสันเดินตามอยู่ก็ค่อยๆชะลอการเดินจนทั้งสอง คนค่อยๆเดินไปด้วยกัน
“ขอบคุณที่พาแบมมานะ” ในระหว่างรอลิฟต์ลงไปชั้นล่างแบมแบมก็เอ่ยขอบคุณเบาๆ
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ก็ทำข้อแลกเปลี่ยนไว้แล้วนิ” แจ็คสันพูดขึ้นทีเล่นทีจริง
“แล้วอีกสองข้อละ?”
“ยังคิดไม่ออก แต่วันหลังถ้าจะมาที่นี่อย่ามาคนเดียว” จบประโยคแบมแบมก็ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงงงวย
“ทำไมละ”
“ไม่ต้องถามมากหรอก ถ้าจะมาโทรตามฉันก็ได้ถ้าว่างจะมาเป็นเพื่อน” เมื่อแบมแบมได้ฟังคำตอบก็หัวเราะออกมา นี่แจ็คสันลืมไปหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นศิลปินน่ะ
“ต้นสังกัดสั่งพักงานนายหรือไงพูดเหมือนว่าง” แบมแบมส่ายหน้าเบาๆ
“ก็ถ้าว่างไง ถ้าฉันไม่ว่างแบมก็ห้ามมา ตกลงตามนี้นะ” พูดเองเออเองไม่ได้รอคำตอบจากร่างบางสักนิดและเป็นจังหวะที่ลิฟต์มาถึงพอดิบ พอดี ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้วทั้งสองคนใช้เวลาอยู่ที่คอนโดมาร์คไม่นานอย่างที่คิดไว้
“หิวข้าวมั้ย” เมื่อขับรถออกมาจากคอนโดของมาร์คได้สักพักแจ็คสันก็ถามขึ้นมาเพราะเห็นว่า วันนี้ร่างบางแทบจะไม่ได้แตะของกินเลยและเขาก็รู้สึกหิวขึ้นมานิดๆแล้ว เหมือนกัน
“ไม่ค่อยหิวน่ะ” แบมแบมปฎิเสธออกไปเพราะช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้กินข้าวจนร่างกายเริ่มชิน ถ้าถามว่ากินครบทุกมื้อมั้ยก็คงต้องบอกว่าเกือบครบเกือบนะ แต่กินแต่ละทีก็ไม่เคยหมดต่อให้เทข้าวใส่จานแค่ครึ่งกล่องเขาก็กินไม่หมดมัน เป็นเหมือนความรู้สึกเบื่ออาหาร
“งั้นเดี๋ยวแวะหาอะไรกินข้างทางแล้วกันเนอะ”
แล้วคุณแจ็คสันจะถามหาอะไรครับ
ทั้งสองคนแวะกินบะหมี่ข้างทางซึ่งคนไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เนื่องจากแจ็คสันต้องเลือกสถานที่ที่คนไม่ค่อยมีเพื่อเลี่ยงการเป็นจุดเด่น เขาไม่ได้กลัวว่าตัวเองจะตกเป็นเป้าสายตาเพราะเขาชินแล้วแต่กับคนตัวเล็กที่ ก้มหน้าก้มตากินตรงข้ามนี่สิกลัวว่าจะอึดอัด
“อิ่มแล้วหรอ” แจ็คสันเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อเห็นอีกคนวางตะเกียบลงแต่ว่าบะหมี่ในชามยังคง เหลืออยู่เกือบครึ่งชามเลยก็ว่าได้ และที่แทบไม่พร่องลงไปเลยก็คงเป็นผักใบเขียวที่ถูกเขี่ยออกไว้ข้างๆจนกอง เหมือนภูเขาลูกเล็กๆ สร้างความแปลกใจให้แจ็คสันได้ไม่น้อยที่คนอย่างแบมแบมจะไม่กินผัก
“อื้อ อิ่มแล้ว” ใบหน้าหวานพยักหน้ารัวๆ
“กินให้หมดถ้าไม่หมดไม่พากลับบ้าน ผักด้วย” แจ็คสันสั่งเสียงนิ่งส่งสายตาดุๆไปให้อีกคน
“ไม่เอาแล้ว” แบมแบมส่ายหัวดิกๆพลางทำหน้าเบ้ ยิ่งได้ฟังว่าให้กินผักใบเขียวข้างชามแบมแบมก็ยู่ปากทั้งยังทำท่าขนลุกอีก มือบางดันชามออกห่างตัวบอกใบ้อีกคนว่าไม่กินแล้วจริงๆ
“งั้นเดี๋ยวป้อน” ไม่ว่าเปล่ายังดึงชามบะหมี่ของแบมแบมเข้าหาตัวและตักเส้นบะหมี่ผสมกับผัก ยื่นให้คนตรงข้ามกิน แต่แบมแบมขืนตัวและดันมือหนาของแจ็คสันออก
“กิน” เมื่อเห็นว่าอีกคนดื้อดึงก็สั่งเสียงเรียบเป็นการบังคับจนอีกคนต้องอ้าปาก กินเข้าไปจนหมด เมื่อหมดชามแล้วแบมแบมก็ซัดน้ำเปล่าเข้าไปสามสี่แก้วพลางทำหน้ายี๋เมื่อนึก ถึงรสชาติของผักที่ผสมมากับบะหมี่ด้วย คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเองที่ลืมบอกแม่ค้าว่าไม่ต้องใส่ผัก
“ไม่ต้องทำหน้าอย่างงั้นเลย ผักมันมีประโยชน์กินเข้าไปเยอะๆแหละดีแล้ว” แจ็คสันได้ทีก็สอนแบมแบม รู้ว่าคนตรงหน้ารู้ว่าผักมันมีประโยชน์แต่คงเป็นเพราะรสชาติที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออกจึงทำให้แบมแบมเลือกที่จะปฎิเสธผัก
“ถ้ามันมีประโยชน์มานักตัวเองก็กินเองสิ มาบังคับคนอื่นเค้าทำไมละ” แบมแบมบ่นงุ้งงิ้งเบาๆอยู่คนเดียวแต่เพราะรอบข้างค่อนข้างเงียบคนตรงข้ามจึง ได้ยินเข้าเต็มๆ แจ็คสันส่ายหน้ากับท่าทีของคนที่นั่งบ่นอยู่ตรงข้ามแต่ก็ไม่ได้โกรธหรือว่า อะไรติดจะเอ็นดูเสียมากกว่า
“ที่บังคับให้กินเพราะเป็นห่วง ไม่รู้หรือไง” จบประโยคแบมแบมก็รีบเงยหน้าขึ้นมาทำตาโตอย่างตกใจกับคำพูดของแจ็คสันและรีบ ก้มลงไปเหมือนเดิม มือบางกำเข้าหากันแน่นอย่างคนทำอะไรไม่ถูก คงบอกได้คำเดียวว่าไม่ชิน ไม่ชินเลยจริงๆกับการที่แจ็คสันมาทำดีด้วยมาคอยเป็นห่วงเป็นใย มันทำให้เขารู้สึกสับสนจนอยากจะปิดกั้นตัวเองอีกครั้งแต่ก็พยายามทำเป็นไม่ คิดอะไรมาก
“ฉันจริงใจมากพอนะแบมแบม” แจ็คสันพูดเพียงเท่านั้นแล้วลุกขึ้นไปจ่ายตังค์
ร่างบางไม่โง่ถึงขนาดไม่รู้ว่าที่แจ็คสันพูดทิ้งท้ายไว้นั่นหมายถึงอะไรแต่บางครั้งคนเราก็ต้องแกล้งโง่เพื่อตัดปัญหาไม่ใช่หรอ ยอมรับว่าตอนนี้กำลังหลอกตัวเองอยู่เพื่อความสบายใจเพราะที่ผ่านมาเขาก็เจ็บ แล้วจะให้กลับไปเจ็บเหมือนเดิมอีกเขาคงทำไม่ได้ ถึงจะเจอกันไม่นานแต่ท่าทีของแจ็คสันที่แสดงออกมามันชัดเจนจนน่ากลัวถึงบาง ครั้งมันจะทำให้เขาใจสั่นก็ตาม
ระหว่างทางกลับบ้านทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรต่างคนก็ต่างตกอยู่ในความคิดของตัวเอง แต่แล้วคนร่างสูงก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาทำลายความเงียบและบรรยากาศอันน่าอึดอัด นี้
“แบม” เสียงทุ้มของแจ็คสันเรียกอีกคนให้หันมาสนใจตัวเอง
“หือ” แบมแบมตอบรับเบาๆ
“แค่เปิดใจกับให้เวลามันเป็นเครื่องตัดสินมันไม่ยากไปหรอก อย่ากลัวอะไรที่มันยังมาไม่ถึงไม่มีใครรู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเราไม่เปิดใจรับมันเราก็ ไม่รู้หรอกว่ามันจะดีหรือจะร้ายมันอาจจะดีก็ได้ไม่ใช่หรือไง”
แบมแบมเม้มปากเข้าหากันอย่างใช้ความคิด คิ้วคู่สวยขมวดจนเป็นปมทำอย่างงั้นจนถึงหน้าบ้านตัวเองแต่ก็ไม่ได้ลงไป แจ็คสันก็ไม่ได้ว่าอะไรก็นั่งรอจนกว่าอีกคนจะลงแต่ก็ไม่ได้เร่งหรือบอกว่า ถึงแล้วเพราะช่วงเวลาที่เขาได้อยู่กับแบมแบมมันมีค่าเสมอในความรู้สึกของเขา
“แบมแค่สับสนกับอะไรหลายๆอย่างมันไม่ง่ายเลยนะ ขอให้อะไรๆมันชัดเจนกว่านี้หน่อยนะ” แบมแบมพูดเพียงเท่านั้นก็ก้าวลงจากรถ แต่ก็หันมาเคาะกระจกเบาๆให้อีกคนหันมามองพลางขยับปากพูดแบบไร้เสียงให้คนตรงหน้าอ่านปากเอา
“ฝันดีนะแจ็คสัน”
เมื่อวานทุกอย่างดูผ่านพ้นไปได้ด้วยดีส่วนใหญ่เท่านั้นนะแต่ก็มีบ้างที่ดูจะยุ่ง ยากไปหน่อย และวันนี้สำหรับร่างบางคงเป็นเช้าไม่สิเป็นบ่ายที่สงบสุขที่สุดในรอบสองสาม วันมานี้ ไม่มีรถของยองแจมาจอดเกยอยู่หน้าบ้าน ไม่มีเสียงโทรศัพท์จากยองแจโทรมาบ่นเขาเรื่องตื่นสาย
ทุกอย่างดูเงียบจนให้ความรู้สึกว่ามันผิดปกติไปหรือเปล่า
นี่เขาดูเหมือนจะเริ่มชินกับความวุ่ยวายไปซะแล้วสินะแต่ก็แค่ดูเหมือนเพราะถ้า ให้เจอความวุ่นวายที่น่าปวดหัวเกินไปเขาก็คงไม่ไหวเหมือนกัน บ่ายแล้วเขาควรจะออกไปหาอะไรกินรองท้องสักหน่อยถึงจะไม่ค่อยหิวก็ตามเหอะก็ ควรจะกินบ้างไม่งั้นยองแจคงโทรมาบ่นจริงๆแน่ เขาเดินลงไปด้านล่างและคว้ากระเป๋าตังค์ กุญแจรถและโทรศัพท์เพื่อออกไปหาอะไรกินข้างนอก
แต่ก่อนที่จะได้ออกจากบ้านก็มีเสียงข้อความในโทรศัพท์ดังขึ้นมาซะก่อนแต่ก็ ตัดสินใจค่อยไปนั่งอ่านในรถก็ได้ระหว่างที่ติดไฟแดงเพราะไม่อยากเสียเวลา เมื่อเช็คดูความเรียบร้อยรอบๆบ้านแล้วก็เดินออกมาขึ้นรถและตรงออกไปยังจุด หมายคือห้างสรรพสินค้าชื่อดังใจกลางเมืองโซล และระหว่างที่ติดไฟแดงแบมแบมตัดสินใจคว้าโทรศัพท์มาเปิดอ่านข้อความ
เบอร์ไม่คุ้น
ช่วงบ่ายนี้ฉันไม่มีตารางงาน ไปกินข้าวด้วยกันมั้ย
Jackson
ใบหน้าหวานประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆก่อนจะรีบส่งข้อความกลับไปเพราะกลัวว่าสัญญาณไฟข้างหน้าจะเปลี่ยนเป็นไฟเขียวซะก่อน
แบมกำลังไปห้าง S จะตามมาก็ได้นะ
แบมแบมเลือกที่จะไม่เขียนชื่อตัวเองลงไปในท้ายข้อความนั่นเพราะยังไงอีกคนก็ ต้องรู้อยู่แล้วว่าใครส่งมา และคำตอบนั้นก็ไม่ได้แปลว่าเขาตอบรับหรือว่าปฎิเสธด้วยนิสัยที่ตัวเองเป็น พวกไม่รู้จะตอบข้อความยังไงถ้าเจอลักษณะแบบนี้ก็เลยเลือกเปลี่ยนจากคำตอบ เป็นคำบอกเล่าหรือคำถามแทนเพื่อไม่ให้ดูห่างเหินเกินไป จะให้เขาตอบไปว่า อ๋อได้สิ เจอกันที่ไหนดี อย่างงี้ก็ดูจะไม่ใช่เขา
เมื่อมาถึงห้างหาที่จอดรถอะไรได้เรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปด้านในอย่างไม่เร่งรีบ ร่างบางรีรอให้ตัวเองรู้สึกหิวมากกว่านี้ก่อนค่อยแวะหาอะไรกินจึงเดิน เรื่อยๆมาจนถึงล็อคของอุปกรณ์การเรียนขนาดใหญ่ก่อนจะฉุกคิดได้ว่าอีกไม่กี่วันมหาลัยเขาก็จะเปิดแล้วซื้อของไว้เลยก็คงไม่เสียหายอะไร
จึกจึก
แรงสะกิดจากด้านหลังทำให้ร่างบางสะดุ้งอย่างตกใจจนปากกาเน้นข้อความที่กำลังลอง อยู่ในมือร่วงลงกับพื้นจนคนหันมามอง แบมแบมก้มหน้าขอโทษพนักงานร้านที่ยังจ้องเขาตาค้างแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเขาคง กลัวของเสียหาย ก่อนจะหันไปมองคนสะกิดก็รู้ทันทีว่าที่เขามองกันไม่ใช่เพราะว่าตัวเองทำปากกานี่ตกหรอก แต่เพราะคนที่ตอนนี้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาต่างหากล่ะ
แจ็คสัน หวัง
“มาได้ไง” ถามกลับไปตาปริบๆ ถ้าให้สารภาพกันตามตรงก็ไม่คิดว่าคนตรงหน้าจะมาจริงๆ เพราะสถานที่ที่เขามาคนค่อนข้างเยอะและแจ็คสันเป็นศิลปินดังถ้ามาคงตกเป็นเป้าสายตาและอาจจะโดนรุมได้ ถ้าเป็นเขาคงเลือกที่จะไม่มาแล้วไปหาอะไรกินในที่เงียบๆแทน แต่นี่ดูจะผิดคาดไปสักหน่อย
“ขับรถมา หิวหรือยัง”
กวนตีน
คำๆ นี้ลอยวืดขึ้นมาในหัวสมองแทบจะทันที ไม่ได้ตั้งใจจะแอบด่าอะไรในใจหรอกนะแต่ว่าเจอคำตอบแบบนี้เป็นใครใครก็อยาก กจะด่าใช่หรือเปล่าละ ยังดีหน่อยที่เป็นแจ็คสันถ้าเป็นเพื่อนสนิทเขาอย่างยองแจก็คงไม่ลังเลที่จะ ด่าไปตรงๆ แต่ก็ต้องรีบปัดๆออกไปเพราะตอนนี้ก็เริ่มหิวขึ้นมานิดหนึ่งแต่ว่ายังซื้อของ ไม่เสร็จจะให้อีกคนมายืนรอก็เกรงใจ
“นิดหนึ่ง แต่ว่าถ้าแจ็คสันหิวก็ไปกินก่อนได้นะขอซื้อของก่อน นี่เลือกใส่ตระกล้าแล้วขี้เกียจเอาไปคืนน่ะ” ไม่ว่าเปล่าพลางชูตระกล้าสีดำเล็กๆขึ้นมาให้คนตรงหน้าดู แจ็คสันพยักหน้าและคว้าตระกล้าในมือบางไปถือไว้กับตัวอย่างรวดเร็วจนร่างบางถึงกับเหวอ คนรอบข้างที่มุงดูก็มองแปลกๆ
“เลือกให้เสร็จเถอะ” พูดจบก็พยักเพยิดให้อีกคนหันกลับไปเลือกของต่อ แบมแบมก็แค่พยักหน้าหงึกหงักและจมเข้าไปอยู่กับกองทัพปากกาหลากสีตรงหน้า เหมือนเดิมก็จะนึกขึ้นได้ว่าอีกคนก็เรียนที่มอเดียวกันกับเขา
“จำได้ว่ายองแจเคยบอกว่าพวกแจ็คสันเรียนมอเดียวกับแบมนิ ทำไมไม่เคยเห็นเลยละ” ถามออก ไปด้วยความสงสัยแต่สายตาก็ยังจับจ้องอยู่กับปากกาตรงหน้า มือบางหยิบอันนู้นทีลองอันนี้ทีอย่างไม่รีบร้อนอะไร ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆแบบนี้เขาจะใส่ใจรายละเอียดมากเป็นพิเศษเพราะราคา ค่อนข้างสูงจึงอยากได้ของที่มีคุณภาพพอๆกับราคา
“ส่วนมากก็ไปแค่ช่วงสอบมิดเทอมกับไฟนอลเท่านั้นแหละ” ร่างบางร้องอ๋อขึ้นมาเบาๆ
“แล้วเรียนคณะไหนละ ปีไหนแล้ว”
“พวกเราทั้งหมดเรียนนิเทศ ยูคยอมปีหนึ่ง จินยอง แจบอมแล้วก็ฉันปีสาม”
แบมแบมหันมามองตาโต คนเกาหลีถือเรื่องอายุเป็นเรื่องสำคัญมาแต่เขาดันคุยกับพวกนี้เหมือนเป็น เพื่อนไม่เคยจะมีฮยองนำหน้าเพราะคิดว่าเรียนปีเดียวกันอายุคงไม่ห่างกันเท่าไหร่แต่นี่คิดผิด จะโดนด่ามั้ยละเนี่ยแบมแบม
“เป็นรุ่นพี่หรอกหรอ ขอโทษนะไม่รู้ว่าอายุมากกว่า”
“ไม่เป็นไรหรอก ไม่ซีเรียสเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ว่าแต่แบมอยู่คณะอะไรละ” แจ็คสันส่ายหน้าเพราะไม่คิดอะไรมากมายอยู่แล้ว แค่คนตรงหน้ายอมคุยแบบไม่เกร็งด้วยก็ถือว่าดีมากแล้ว
“บริหารน่ะ” แบมแบมตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบาหวิว พอพูดเรื่องนี้ก็นึกถึงอีกคนที่เรียนคณะเดียวกันแต่อยู่ปีสี่ใครบางคนที่เขา กับแจ็คสันไปหามาเมื่อคืน
แจ็คสันหรี่ตามองอย่างจับผิดแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรออกไปเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวยุ่งมากไปก็คงไม่ดีสักเท่าไหร่ ผ่านไปสักพักร่างบางก็เลือกของเสร็จเรียบร้อยก็เดินไปคิดตังค์แต่ช่วงที่แบ มแบมกำลังจะควักกระเป๋าขึ้นมาจ่ายตังค์อีกคนก็ยื่นบัตรเครดิตให้พนักงานไปก่อนแล้ว คนตัวเล็กก็ยังไม่ได้โวยวายอะไรเพราะคิดว่าถ้าเสียงดังไปตอนนี้ก็คงไม่ดีกับ ตัวเองแน่ๆ
แต่พอออกมานอกร้านเท่านั้นแหละ
“จ่ายให้ทำไมนี่มันของของแบมนะ!” รีบโวยวายออกมาทันทีแต่ก็ไม่ได้ตะโกนลั่น แต่น้ำหนักของเสียงก็พอทำให้คนร่างสมส่วนข้างๆรู้ได้ว่าอีกคนกำลังไม่พอใจ แหงๆแต่ก็ไม่ได้สะทกสะท้านอะไร
“เผื่อจะได้ใช้ด้วยกันไง”
“เรียนก็คนละคณะจะมาใช้ด้วยกันได้ยังไงล่ะ” แบมแบมแอบค่อนคอดคนข้างๆ
“คนละคณะแล้วใช้ด้วยกันไม่ได้หรือไง” แจ็คสันหันไปถามคนตัวเล็กที่ยังเดินเอื่อยๆมองดูร้านอาหารทางด้านซ้ายทีขวาทีไม่ตัดสินใจว่าจะเข้าร้านไหนเลยสักร้าน
“ไม่รู้สิ จะเอาไปใช้เซ็นให้แฟนคลับสักด้านสองด้ามมั้ยละ เดี๋ยวแบมแบ่งให้เพราะยังไงก็เงินแจ็คสันอยู่ดีอ่ะ” หน้าหวานยู่ลงทันทีที่พูดจบ ก็พอพูดถึงเรื่องที่แจ็คสันออกค่าปากกาให้ทีไรก็อดที่จะไม่พอใจไม่ได้ ก็นี่ของๆเขาก็อยากจะใช้เงินตัวเองน่ะ รู้สึกเกรงใจแปลกๆแถมยังรู้จักกันได้ไม่นานด้วย
“หึหึ อย่าไปทำหน้าอย่างงี้ให้ใครเห็นล่ะ” มือหนายกขึ้นมาขยี้หัวทุยจนผมฟูฟ่องไปหมด
“โอ้ย ผมแบมเสียทรงหมด ทำไมล่ะน่าเกลียดหรอ?” แบมแบมชะเง้อหน้ามาถามตาปริบๆ
“มันน่ารักเกินไปน่ะสิ” จบประโยคมือบางก็ฟาดให้ที่ไหล่หนาของคนข้างๆแล้วเดินลิ่วๆเข้าร้านอาหารไทยที่อยู่ด้านหน้าที่อยู่ไม่ไกลมากนัก
ถ้าแจ็คสันเดินตามมาไวกว่านี้คงจะได้เห็นใบหน้าหวานที่ขึ้นสีจัดด้วยความเขินอาย แต่นี่ไม่ทันแล้วคนตัวเล็กรีบสะบัดหัวแรงๆหนึ่งทีเพื่อตั้งสติแล้วเดินเข้าไปในร้านเพื่อเลือกมุมที่นั่งให้กับเขาและคนที่ติดสอยห้อยตามมาตั้งนานสองนาน แบมแบมเลือกที่นั่งที่เป็นมุมลับตาคนเพื่อความเป็นส่วนตัวของแจ็คสัน
“ตัวก็เล็กทำไมเดินไวอย่างงี้ละ” เมื่อมาถึงแจ็คสันก็แกล้งบ่นเบาๆเรียกร้องความสนใจจากคนตรงหน้าที่ตอนนี้มองเมนูอาหารอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างกับว่าจะจับผิดว่าเมนูนี้พิมพ์อะไรผิดหรือเปล่าแบบนั้น เขาก็อดขำไม่ได้จริงๆ
“ถึงตัวเล็กแต่ขาก็ยาวนะ” แบมแบมเงยหน้าจากเมนูขึ้นมายิ้มแผล่ให้คนตรงข้ามอย่างทะเล้น ส่วนอีกคนก็ชักสีหน้านิดๆก่อนจะแจกมะเหงกให้หนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ล้วนๆ
“เจ็บง่ะ” มือบางลูบหัวตัวเองป้อยๆแถมยังค้อนใส่คนตรงข้ามอีกต่างหาก
“มาๆเดี๋ยวเป่าให้ เพี้ยงง”
มือหนาล็อคใบหน้าหวานให้หันหน้ามองมาที่ตัวเองแล้วค่อยๆเป่าหัวทุยเบาๆอย่างหยอกล้อ เหมือนกับคุณพ่อที่กำลังโอ๋คุณลูกอย่างไงอย่างงั้นเลยทีเดียว
“แบมไม่ใช่เด็กนะ อ๊ะ! น้องครับสั่งอาหารครับ” เสียงหวานเถียงเย้วๆแล้วรีบหันไปเรียกพนักงานที่เดินผ่านมาเพื่อจะสั่งอาหารเพราะเขามัวแต่เล่นกับคนตรงข้ามจนลืมว่าตัวเองมานั่งร้านอาหารอยู่
“รับอะไรดีคะ?” พนักงานสาวถามขึ้นแล้วมองแจ็คสันด้วยสายตาสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ส่วนแจ็คสันเองก็แค่ยิ้มๆ
“เอาต้มย้ำกุ้งน้ำข้นหนึ่งที่ครับ อืม...แล้วก็หมูแดดเดียวทอด แล้วแจ็คสันละ?”
พอสั่งของตัวเองเรียบร้อยแล้วก็หันไปถามคนฝั่งตรงข้ามที่มองเขาสั่งตาปริบๆ แบมแบมคงลืมไปว่าแจ็คสันไม่ใช่คนไทยจึงไม่รู้ว่าควรสั่งอะไรดี
“อืม...อ่า...อ่ะ! ข้าวอบสับปะรดครับ!” และนี่คือสิ่งเดียวที่แจ็คสันนึกออก
“ขอเป็นจานใหญ่ละกันนะครับแล้วก็ขอจานแยกมาสองใบด้วย อ่าแล้วก็กุ้งทอดกระเทียมครับ อ๊ะ แปบนะครับ”
“แจ็คสันกินเผ็ดได้เปล่า?” แบมแบมหันกลับมาถามแจ็คสันเพราะนึกขึ้นได้ว่าต้มยำกุ้งที่เขาสั่งไปนั้นมันไม่มีรสจัดกลัวอีกคนกินไม่ได้
“อืม...ไม่ค่อยได้น่ะ มันแสบลิ้น” ไม่ว่าเปล่ายังทำท่าแสบลิ้นให้ดูอีกจนแบมแบมและพนักงานสาวอดขำไม่ได้
“งั้น...ต้มยำกุ้งขอเป็นเผ็ดน้อยละกันนะครับ” แบมแบมพูดจบก็คืนเมนูให้กลับพนักงานก่อนจะส่งยิ้มให้น้อยๆเป็นมารยาท
“ส่วนน้ำรับเป็นอะไรดีคะ?”
“เอาเป็นน้ำเปล่าละกันครับ” แบมแบมชิงตอบอย่างรวดเร็ว
“ดื่มน้ำอัดลมมากไม่ดีนะครับ เสียสุขภาพ” พอพนักงานเดินออกไปแล้วก็รีบบอกคนตรงหน้าแทบจะทันทีเพราะดูจากสีหน้าแล้วอีกคนคงไม่อยากจะดื่มแค่น้ำเปล่าแน่ๆ
“ก็ไม่ได้เถียงอะไรนิ คณะบริหารเรียนยากมั้ย” แจ็คสันไม่อยากให้การสนทนามันจบลงเขาจึงต่อบทสนทนาเพิ่ม
“ไม่รู้สิ ก็คงยากแหละ แต่แบมคิดว่ามันก็คงยากเหมือนกันทุกคณะ”
“ถ้าเรียนจบแล้วอยากทำงานอะไรละ” คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันอย่างใช้ความคิด
“แบมก็ไม่รู้ แค่รู้สึกว่าอยากเรียนคณะนี้ก็เลยเรียน เหมือบกับคำถามว่าตายแล้วอยากไปไหนเลยแฮะ” แบมแบมยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง ถึงเขาจะเป็นคนที่มีเหตุผล แต่พอถามเรื่องอนาคตเขาแทบจะไม่เคยนึกถึงเลย เขาแค่รู้สึกว่าต้องทำปัจจุบันให้ดีเดี๋ยวอนาคตมันก็มาถึงเอง
“ถ้าอยากใช้ความรู้ด้านนี้ก็น่าจะทำธุรกิจส่วนตัวนะ”
“พวกเปิดร้านอาหารอะไรเทือกนี้หรอ? มันดูวุ่นวายน่ะ อยากอยู่เงียบๆมากกว่า” คนตัวเล็กก็บอกไปตามที่ใจคิด ก่อนจะคิดได้ว่านี่เขามาทานอาหารหรือว่ามานั่งฟังแจ็คสันแนะแนวอนาคตให้กันแน่
“นั่นสินะ แบมไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวาย” แจ็คสันพูดกับตัวเองเบาๆ แต่เพราะตรงนี้เป็นมุมอับเสียงรอบข้างจึงเงียบมากกว่าปกติ แบมแบมเลยได้ยินคนตรงข้ามพูดอย่างชัดเจน เขาก็แอบรู้สึกโหวงๆกับคำพูดของแจ็คสันเหมือนกันแต่ยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะอะไร
“แต่ก็เริ่มจะชินนิดๆแล้วแหละ” ริมฝีปากชมพูคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย พอฟังแล้วเหมือนประโยคปลอบประโลมสำหรับแจ็คสัน
“ทำไมละ” แจ็คสันรีบถามกลับ
“ก็พวกแจ็คสันวุ่นวาย อ่ะ! ไม่ใช่สิเขาเรียกว่าอะไรนะ เสียงดังใช่มั้ย? แบบทุกคนดูพูดตลอดเวลาเหมือนเป็นพวกไฮเปอร์น่ะ ดูเป็นพวกที่แอคทีฟน่ะ” แบมแบมแทบจะยกมือขึ้นมาตบปากตัวเองที่พูดอะไรผิดๆทำเอาแจ็คสันหน้าตึงไปนิดหนึ่งแต่เขาก็รีบแก้ได้ทันท่วงที เพราะว่าเขาไม่ใช่คนเกาหลีเลยพยายามเลือกจะใช้คำที่มันง่ายๆ แต่ดูท่าว่าจะผิดที่แถมยังผิดเวลา ถ้าเขาอยู่กับยองแจเพื่อนสนิทของเขามันจะรู้ทันทีเลยว่าวุ่นวายที่เขาพูดน่ะหมายถึงอะไร
“ก็อย่างงี้แหละ เป็นศิลปินแล้วมันก็ต้องแอคทีฟตลอดเวลาจะให้มาเรื่อยๆเฉื่อยๆก็คงไม่มีการพัฒนาตัวเองกันพอดี” อาหารมาเสริฟจนครบแล้วแต่พวกเขาทั้งสองคนก็ยังคงผลัดกันพูดนู่นพูดนี่อยู่ตลอดเวลา
“เหนื่อยมั้ย? เป็นศิลปินน่ะ ต้องถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลาทำผิดนิดหนึ่งก็เป็นข่าว ทุกคนพร้อมที่จะเหยียบย่ำให้จมดินอยู่ตลอดเวลา เหนื่อยบ้างหรือเปล่า?” เสียงหวานถามขึ้น จากการที่เขาดูข่าวศิลปินบางคนยังไม่ทันรุ่งก็ล่วงเพราะข่าวเสียๆหายๆเพียงเล็กน้อย แต่หลายคนพร้อมที่จะย่ำให้จมดินเพราะความไม่ชอบ เขาก็แค่อยากจะรู้ว่าศิลปินเองน่ะรู้สึกยังไง
“ถ้าถามว่าเหนื่อยมั้ยก็คงต้องตอบว่าเหนื่อยแหละ แต่มันคืออาชีพของเรา ถ้าเราเลือกที่จะทำอาชีพนี้แล้วก็ต้องทุ่มเทให้สุดๆ ถ้ารู้ว่าทำอะไรแล้วมันผิดจะทำทำไมล่ะถูกหรือเปล่า ถึงพวกเราจะมีคนที่พร้อมจะคอยเหยียบย่ำเราให้จมดินแต่พวกเราก็มีแฟนคลับคอยอยู่ข้างๆเสมอ ถึงมันจะไม่ได้ช่วยให้หายเหนื่อยแต่มันก็มีกำลังใจในการทำงานขึ้นเยอะเลยแหละ” แจ็คสันพูดไปยิ้มไปไม่ต่างอะไรกับคนฟังเลย จะมีศิลปินสักกี่คนกันนะที่พูดถึงแฟนคลับหน้าจะมีความสุขขนาดนี้
“อ่ะนี่กุ้ง ให้จะได้มีกำลังใจในการทำงาน” แบมแบมเลือกกุ้งตัวที่ใหญ่ที่สุดในชามต้มย้ำกุ้งให้คนตรงข้ามพร้อมกับรอยยิ้มสดใส
“แบมเป็นแฟนคลับวง GOT หรอครับ?” แจ็คสันแกล้งแหย่อีกคนเล่น
“ถ้าสมัครเป็นแฟนคลับตอนนี้จะทันมั้ยครับ?”
แบมแบมถามพร้อมกับยิ้มเขินๆก่อนจะรีบก้มหน้าก้มตากิน แจ็คสันได้ยินก็ยิ้มกว้างจนแก้มแทบปริ มือหนายื่นไปลูบหัวอีกคนเบาๆ
“ให้เป็นแฟนคลับวีไอพีเลยครับ”
Talk
ปิดเทอมแล้ว ว่างแล้วแหละ จะมาลงบ่อยๆนะครัช
เดี๋ยวจะมาลงตอนต่อไปให้นะทุกคนนนน
ช่วงนี้ปั่น SF อยู่อ้ะ ติมลมมม คุคุ
ป.ล. แจ็คแบมน่ารักโน๊ะ? มุ้งมิ้งขึ้นเป็นกองงงเบยย
เม้นโหวตกันด้วยนะงับ
ความคิดเห็น