ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกมนตรา..โรงเรียนมหาเวท

    ลำดับตอนที่ #6 : เฟนริล(RW)

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ย. 53


        



             

    อีกฝากหนึ่งของโรงเรียนมหาเวท...ไกลแสนไกลจากสนามรบบ้าคลั่ง

     ภายในห้องเล็กกระทัดรัดทว่าตกแต่งอย่างโอ่อ่า เบาะนุ่มของเก้าอี้ยาวสีเบจถูกจับจองโดยชายสองคนที่กำลังดูภาพฉายเวทมนต์กลางห้องอย่างใจจดใจจ่อ เช่นเดียวกับชายอีกคนที่ยืนพิงผนังอยู่ใกล้ๆ แสงเงาที่ตกกระทบลงมาอย่างพอดิบพอดีช่วยซ่อนใบหน้าของชายคนดังกล่าวไว้ในความมืดมิด

     

    "ถ้าจะพูดว่าเป็นเรื่องบังเอญก็คง'บังเอิญ'เกินไปหน่อยละมั้ง"   หนึ่งในชายที่นั่งไขว้ขาอยู่บนโซฟากล่าวลอยๆ สายตายังไม่ละไปจากภาพมนตราตรงหน้า

     

    "นั่นสิ  โชคชะตาเนี่ยมันน่ากลัวจริงๆนะ "   คนที่นั่งอยู่ข้างๆรับคำยิ้มๆ เขาเป็นชายวัยกลางคน ทว่ารูปลักษณ์กลับดูราวกับชายหนุ่ม ผมสีน้ำตาลตัดสั้นระต้นคอยิ่งช่วยขับให้ความอ่อนเยาว์นั้นดูเด่นชัดยิ่งขึ้น นัยน์ตาสีเดียวกันปรากฎแววพราวระยับอย่างถูกใจขัดกับคำพูดโดยสิ้นเชิง

     

    "ฝีมือดาบน่ากลัวเป็นบ้า มังกรตัวขนาดนั้นยังเล่นซะยับ คิดแบบนั้นไหม เฮล?" เสียงนี้ดังมาจากชายที่ยืนพิงผนังนิ่งด้วยท่าทีสบายๆ รอยยิ้มที่ปรากฎอยู่ใต้แสงเงานั้นเป็นรอยยิ้มที่ผสมผสานระหว่างเย้าแหย่และล้อเลียน

     

    "อยากรู้ก็ไปถามคนเป็นพ่อมันสิ!"  คนถูกแหย่ย้อนกลับด้วยน้ำเสียงบูดๆที่ฟังดูไม่จริงจังนัก เพราะความสนใจในยามนี้กำลังเพ่งไปที่ภาพเวทมนต์สามมิติมากกว่า

     

    "เฮ้ย!เรื่องอะไรมาโยนมาที่ชั้น ถามคนสอนดาบมันน่ะถูกแล้ว"  ชายผู้ถูกพาดพิงรีบโวยวายขึ้นมาทันที ผมสีเงินยาวเกือบถึงกลางหลังถูกมัดรวบไว้อย่างลวกๆ ทว่าถึงอย่างไรก็ยังดูดีอยู่ไม่น้อยแม้อายุจะล่วงเข้าเลขสี่แล้วก็ตาม นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มหันไปมองคนผมน้ำตาลที่นั่งข้างๆ

    เหมือนจงใจผลักภาระไปให้

     

    "ชั้นไม่ได้สอนดาบลูกแกซะหน่อย ที่ชั้นสอนน่ะ มัน..."  ต้นประโยคดังลั่นขึ้นเหมือนโวยวาย ทว่าท้ายประโยคกลับแผ่วเบาจนจางหายไปในที่สุด ทั้งห้องพลันตกอยู่ในความเงียบงันราวกับต่างคนต่างจมลึกลงไปในห้วงความคิดของตน

     

    "ฮ่ะๆ เอาน่ะ ก็เหมือนๆกันนั่นแหละ แกสอนเจ้านั่น แล้วเจ้านั่นก็มาสอนลูกชั้นอีกต่อนึงไง"  ชายผมเงินเป็นคนแรกที่ทลายความเงียบอันน่าอึดอัดลงเสีย แต่เสียงหัวเราะกร่อยๆนั้นฟังดูก็รู้ว่าฝืน ทว่าอย่างน้อยก็ยังช่วยคลี่คลายบรรยากาศที่เหมือนมีหมอกทึบปกคลุมลงได้

     

    "มีลูกศิษย์ดีแบบนี้นี่น่าภูมิใจนะเฮล"  ชายที่ยืนอยู่เสริมขึ้นอย่างล้อๆ เขาเป็นชายวัยเดียวกันกับอีกสองคนในห้อง ชุดเสื้อคลุมพิธีการปักตราโรงเรียนมหาเวทไว้เด่นชัด เป็นตราเดียวกับที่ประดับอยู่เหนือโซฟาตัวนุ่ม บ่งบอกให้ทราบว่าชายคนนี้เป็นเจ้าของห้องที่แท้จริง มิใช่เจ้าพวกที่ยึดเก้าอี้คนอื่นไปนั่งแล้วปล่อยให้เจ้าของห้องยืนพิงผนังได้น่าตาเฉย 

     

    นายเฮลกัลยิ้มรับเฝื่อนๆ  รู้ดีว่าตนถูกล้อเรื่องอะไร ทั้งยังรู้ดีว่าคนล้อก็เพียงแต่ทำตลกกลบเกลื่อนบาดแผลในใจเท่านั้น

     

    บาดแผลที่แม้ผ่านมานานแต่ก็ยังคงเจ็บหนัก...และบางที ก็อาจจะต้องเจ็บตลอดไป  

     

    คนที่จะยุติมันลงได้ คงมีแต่เจ้านั่น...เซนาส เนราเวล เท่านั้น

     

    ...........................................

     

     

    แสงสีแดงเช่นเปลวเพลิงอันร้อนแรงเปล่งประกายจ้าจนกลบแสงอื่นเสียจนสิ้น กลืนกินทุกสิ่งให้ถูกบดบังอยู่ในความสว่าง ใจกลางของต้นกำเนิดแสงนั้นคือมนุษย์ผู้ชายผมเงินกับมังกรสีทับทิม...

     

    "สัญญากับข้า ดีอัส เรเฟรัส ว่าเจ้าจะทำให้ข้าเชื่อในตัวเจ้าได้ตลอดไป"   มังกรเพลิงคำรามเสียงต่ำเท่าที่ร่างใกล้ดับสูญจะสามารถกระทำได้ แอ่งเลือดสีแดงขยายวงกว้างขึ้นทุกครั้งที่มันขยับตัว ทว่าประกายกล้าในนัยน์ตานั้นไม่ใช่แววดับแสงของความตายเลยแม้แต่น้อย

     

    "ฉัน..."  น่าแปลกนัก ทั้งๆที่เป็นถึงเจ้าชายแห่งไรอัส...เมืองแห่งมหามนตราแท้ๆ แต่แค่คำสัญญาที่จะต้องให้กับมังกรบาดเจ็บใกล้ตาย เด็กหนุ่มผมเงินกลับลังเล อารมณ์ทั้งมวลที่เคยซ่อนไว้บัดนี้ไหลหลากอยู่ในสายตาคู่งามสีน้ำเงินเข้ม

     

    กลัว...เขากำลังกลัวไม่ผิดแน่

     

    จะทำให้เชื่อได้ยังไงกัน ก็ในเมื่อตัวเอง...ยังไม่เคยเชื่อในตัวเองเลยนี่นะ

     

    "ตอบมาสิ ดีอัส เรเฟรัส มีอะไรให้ลังเลนักหนา ขอแค่เป็นตัวเจ้าอย่างที่เป็นในตอนนี้ ข้าก็พร้อมจะเชื่อ!"  มังกรเพลิงเร่งด้วยเสียงแหบเบา บอกเวลาที่เหลือน้อยลงไปทุกที ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นถ้อยคำหวานปลอบประโลมเลยสักนิด ทว่าก็ทำให้เด็กหนุ่มผมเงินชะงักความอ่อนแอที่กำลังจะเผยออกมา

     

     

    "ถ้าเกิดว่า ไม่ว่าฉันจะเป็นตัวอะไร นายก็พร้อมจะเชื่อล่ะก็..."

     

    นัยน์ตาสีไพลินกลับมาดิ่งลึกสู่ความเยือกเย็นอีกครั้ง ริมฝีปากแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มกึ่งเยาะกึ่งถูกใจ ราวกับภาพความขลาดกลัวเมื่อครู่เป็นเพียงมายาฝัน

     

    "เอาสิ เฟนริล ฉันให้สัญญา!"

     

     

    ทันทีที่สิ้นคำ แสงสีแดงที่แผดร้อนราวกับดวงตะวันก็พลันเปลี่ยนเป็นสีขาวก่อนอับลงกลายเป็นสีทองสว่างคล้ายกับสีของโซ่ตรวนทองคำ

     

    โซ่ตรวนแห่งสัญญาที่จะพันธนามังกรเพลิงไว้ใต้อาณัติของนายเหนือหัว...ดีอัส เรเฟรัส แต่เพียงผู้เดียว!!

     

     

     

    สุดท้าย...ข้าก็แพ้ท่านจนได้ 

     

    เฟนริลนึกขันๆ นี่ถ้ามังกรน้ำเฒ่ายังมีชีวิตอยู่แถมมาเห็นภาพนี้เข้าล่ะก็ คงต้องแกล้งทำหน้าเคร่งแต่แอบหัวเราะหึหึเหมือนจะพูดว่า  'ข้าบอกแล้วไหมล่ะ ยังไงๆเด็กหัวดื้ออย่างเจ้าก็ต้องมีนายจนได้'  ยิ่งถ้ารู้ว่านายของเขาเป็นเจ้าชายที่ตัวเขาในตอนเด็กนั้นเคยปรามาสไว้ว่า จะไม่มีทางยอมลดตัวไปเป็นข้ารับใช้ของพวกองค์ชาย 'เหลาะแหละ' เด็ดขาด เสียงลอบหัวเราะหึหึนั่นคงได้เปลี่ยนหัวเราะร่าอย่างสะใจเป็นแน่ คิดๆแล้วก็น่าขายหน้าจริงๆ ตอนเด็กๆเคยพูดจาโอ้อวดวางโตไว้ขนาดนั้นแท้ๆ...

     

    เฟนริลไม่รู้หรอก ว่าทำไมตัวมันถึงตัดสินใจพันธนาชีวิตของตนไว้ในอุ้งมือของเด็กหนุ่มผมเงินท่าทางเย็นชานี่ บางทีอาจจะเป็นแค่อารมณ์ชั่ววูบที่นับถือผู้เอาชนะตน หรืออาจจะเป็นแค่ความหงุดหงิดที่เห็นความใจอ่อนขัดกับฝีมือเพลงดาบนั่น หรือจริงๆแล้ว การที่ยอมรับคนอื่นมาเป็นนายเหนือหัวเอาง่ายๆนั้นจะเป็นเพราะความบ้าดีเดือดไม่คิดหน้าคิดหลังของตนกันแน่

     

    แต่ที่มังกรเพลิงรู้มีอยู่แค่อย่างเดียว...นอกจากคนๆนี้แล้ว อย่าหวังเลยว่ามันจะยอมทำพันธสัญญากับมนุษย์หน้าไหนอีก!

     

     

    พลังของพันธสัญญานั้นกล้านัก เป็นอาคมชั้นสูงที่หลอมวิญญาณของทั้งสองฝ่ายเข้าด้วยกัน กายเนื้อถูกชำระล้าง โลหิตหยุดไหลริน บาดแผลน้อยใหญ่ค่อยๆสมานก่อนจะจางหายไร้ร่องรอยใดๆราวกับถูกมนต์ย้อนเวลา เจ้าชายแห่งไรอัสรู้สึกได้ถึงขุมพลังที่กำลังก่อตัวขึ้น พลังนั้นกำลังไหลเวียนอยู่ในกาย กำจัดพิษของน้ำยาเวทมนต์เสียหมดสิ้น ฟื้นกำลังวังชาให้แก่ร่างที่ไร้แรง ถ้าเป็นตอนนี้ถึงดื่มน้ำยาเวทมนต์ลงไปเพิ่มอีกขวดก็คงไม่เป็นไร...

     

    "จริงๆแล้ว ก็ไม่ค่อยอยากใช้เจ้านี่เท่าไหร่เลย"   ดีอัสบ่นพึมพำ ที่ล้วงมือลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุมเพื่อหยิบหลอดทดลองหน้าตาเหมือนขวดบรรจุน้ำยาเวทมนต์ไม่ผิดเพี้ยนออกมา ชั่วแต่ว่าขวดนั้นถูกฉาบทับด้วยสีดำสนิทจนมองไม่เห็นของเหลวซึ่งบรรจุอยู่ด้านใน เด็กหนุ่มผมเงินดันฝาขวดให้เปิดออก ยกขึ้นจรดริมฝีปากไร้ความลังเล

     

    "ของนั่น..คงไม่คิดจะเปลี่ยนเป็นปีศาจไปอีกคนใช่ไหม นายท่าน"  นับเป็นโชคดีที่เจ้าชายดีอัส เรเฟรัส ยังมิทันได้ดื่มน้ำยาเวทมนต์สูตรพิเศษลงไป มิเช่นนั้นเขาต้องสำลักพรวดกับคำเรียกนั้นเป็นแน่

     

    นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มหันไปมองมังกรเพลิงซึ่งนอนหมอบอยู่ข้างหลัง ด้วยฤทธิ์จากพันธสัญญา ปีกที่เคยถูกฟันจนขาดห้อยร่องแร่งและหน้าท้องที่ถูกแทงทะลุกลับมาอยู่ในสภาพดีดังเดิม กระทั่งดวงตาสีแดงที่เคยมืดบอดลงเพราะกระสุนปืนก็กลับมามองเห็นอีกครั้ง และตอนนี้ สายตาคู่สีทับทิมนั่นก็กำลังจ้องมาทางเขาเช่นกัน

     

    ถ้าตาไม่ฝาด...ดีอัสคิดว่าตนเห็นร่องรอยความสนุกสนานซ่อยอยู่ในนั้นด้วย...

     

    "มีแต่ปีศาจนี่นะที่จะต่อกรกับปีศาจได้"  เด็กหนุ่มผมเงินเอ่ยตอบมังกรของตนเรียบๆ ก่อนยกขวดน้ำยามนตราสีดำขึ้นกระดกทีเดียวหมดหลอด รสขมปร่าล่วงผ่านลำคอ เป็นความรู้สึกแปลกประหลาด ชั่ววินาทีหนึ่งร้อนวูบราวกับกลืนดวงไฟทั้งดวง ทว่าวินาทีถัดไปกลับเย็นยะเยือกราว  กับถูกจมลงไปในธารหิมะ แต่พร้อมกันนั้น ร่างของผอมบางก็ถูกเติมเต็มไปด้วยพลังมนตรามหาศาลที่ล้นปรี่จนแทบทะลัก เดือดพล่านอยู่ในเส้นเลือดเหมือนจะเร่งให้ผู้เป็นนายใช้มันเร็วๆ ดีอัสสูดลมหายใจเข้าลึกๆเหมือนต้องการจะสยบพลังที่กำลังพลุ่งพล่าน ก่อนหันมาถามคู่หูร่างยักษ์ 

     

    "นายรู้วิธีทำให้หมอนั่นกลับเป็นอย่างเดิมใช่ไหม?"

     

    "เท่าที่ข้าได้ยินมา องค์ชาย โดนผนึกไว้ ที่กลายเป็นอย่างนี้เพราะผนึกคลายออก ต้องหา...ตัวผนึก" เสียงของเฟนริลฟังดูไม่มั่นใจนัก  ทว่าสายตาของมังกรดีกว่ามนุษย์อยู่หลายสิบเท่า เมื่อมังกรเพลิงบอกว่าเห็นวัตถุสีเงินเล็กๆอยู่ห่างจากที่นี่ไปทางทิศตะวันออกไม่เกินห้ากิโลเมตร เจ้านายมังกรหมาดๆจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะออกคำสั่งแรก 

     

    "เฟนริล ไปเอามันมา "

     

    "ข้าไม่ใช่สุนัข!"มังกรเพลิงปฏิเสธทันควันเช่นกัน นัยน์ตาสีโกเมนฉายชัดว่าจริงจัง

     

    ดีอัสชะงักไปครู่หนึ่ง ความเป็นเจ้าชายทำให้เขาคุ้นชินกับการออกคำสั่งจนแทบจะกลายเป็นนิสัย แต่คำสั่งเมื่อครู่นี้มัน...อืม เหมือนสั่งให้สุนัขไปคาบลูกบอลกลับมาจริงๆนั่นแหละ

     

    "ขึ้นมา แล้วไปกับข้า"เฟนริลคำรามเสียงต่ำในลำคอ คราวนี้ชักไม่แน่ใจแล้วว่าใครสั่งใครกันแน่ ในเวลาฉุกละหุกแบบนี้เด็กหนุ่มผมเงินไม่มีทางเลือกมากนัก จึงจำยอมกระโดดขึ้นนั่งบนหลังมังกรเพลิงแต่โดยดี

     

    ไม่ใช่ว่าไม่เคยขี่มังกรมาก่อน แต่เป็นครั้งแรก...ที่ขึ้นขี่มังกรโดยไม่มีทั้งอุปกรณ์และคนบังคับ

     

    เป็นครั้งแรก...ที่ได้ขึ้นหลังมังกร'ของตนเอง'

     

     

     

     

    เปรี้ยงๆๆๆ !!!

     

    ลำแสงสีขาวฟาดใส่พวกเขาแทบจะทันทีที่เฟนริลกางปีกบินขึ้นไปบนฟ้า เมื่อครู่ที่ยังรอดอยู่ได้เพราะเกราะเวทมนต์จากนักเวทแห่งไรอัสช่วยบังตาเอาไว้ แต่เมื่อเคลื่อนไหว เขตอาคมที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆเพียงเพื่อใช้กำบังกายก็แตกลงอย่าง่ายดาย

     

    "จับแน่นๆล่ะ นายท่าน" มังกรเพลิงตะโกนบอกแข่งกับเสียงลมพัดอื้ออึง บินหลบฉวัดเฉวียนไปมา เอียงซ้ายขวาแถมตีลังกาอย่างไม่เกรงใจคนที่เกาะอยู่บนหลัง แต่งานนี้ดีอัสจะคาดโทษมังกรของตนก็ไม่ได้ เพราะเจ้าพรานป่าจอมหาเรื่องนั่นเล่นขว้างลำแสงพิฆาตใส่เอาๆจนราวกับตกอยู่ในทุ่งกระสุน นี่ถ้าเฟนริลมันไม่เก่งจริงป่านนี้คงได้ลงไปนอนกองที่พื้นเป็นแพ็คคู่ไปเรียบร้อยแล้ว

     

    จากใจจริง เจ้าชายดีอัส เรเฟรัส อยากจะร่ายอภิมหามนตราชุดใหญ่ใส่เจ้าตัวแสบต้นเรื่อง เคช เซเบเรีย เป็นที่สุด แต่จนใจอยู่ที่ว่าสมาธิทั้งหมดต้องทุ่มไปกับการประคองตนเองให้ทรงตัวอยู่บนหลังอันใหญ่โตของมังกรเพลิงให้ได้ อย่างมากจึงทำได้เพียงร่ายเวทคอยยิงเบี่ยงลำแสงทำลายที่มังกรเพลิงหลบไม่ทันเท่านั้น

     

    "ไอ้บ้านั่น มันเล็งฉันหรือนายกันแน่" บ่นเบาๆอย่างหงุดหงิดเต็มแก่ เมื่อเห็นอดีตเพื่อนร่วมทางซัดลำแสงมาระลอกแล้วระลอกเล่าอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย ทั้งช่วงหลังๆยังมีแถมสายฟ้าฟาดกับลมพายุหมุนมาอีกอย่างละหนึ่งชุดใหญ่จนระยะทางเพียงห้ากิโลเมตรดูยืดยาวราวกับห้าพันห้าหมื่นกิโลก็มิปาน

     

    "ข้าคิดว่า องค์ชายคงอยากสอยร่วงทีเดียวทั้งคู่" เฟนริลกระเซ้า แต่น้ำเสียงนั้นก็แฝงไว้ด้วยรอยเหนื่อยล้า ตามเนื้อตัวปรากฎรอยไหม้เป็นแผลฉกรรจ์หลายแห่ง โดยเฉพาะปลายปีกทั้งสองข้างไหม้เสียจนเกล็ดถูกเผาเป็นสีดำ ทั้งที่เป็นอย่างนั้น ร่างของเจ้านายที่แบกอยู่บนแผ่นหลังกลับไม่ได้รับอันตรายแม้เพียงปลายเล็บ

     

    นิสัยของเฟนริลก็เป็นอย่างนี้เอง...ถ้ายกให้ใครเป็นนายแล้ว ก็อย่าหวังเลยว่าจะปล่อยให้นายตายก่อนตนได้!

     

    "หลบไปหลบมาแบบนี้ยิ่งเสียเวลา นายจะหมดแรงซะก่อน " ดีอัสไม่สนใจคำเย้าแหย่นั้น สีหน้าของเด็กหนุ่มเหมือนคนตกอยู่ในห้วงความคิด

     

    "ก็จะให้ทำอย่างไรเล่า อยากให้ทำอะไรก็สั่งมาสิ!" มังกรเพลิงโต้พลางพุ่งตัวขึ้นสูงหลบลำแสงพิฆาตที่พุ่งมาทั้งซ้ายและขวา สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อปลายหางหลบไม่พ้น โดนไหม้เป็นรอยถากจางๆ

     

    "ลงไป เฟนริล ลง!" ผู้รั้งบัลลังค์ไรอัสตะโกนสั่งทันทีด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ไม่ต้องสั่งให้ขอซ้ำสอง  สิ้นคำ ร่างใหญ่โตของมังกรเพลิงก็รับบัญชาด้วยการปักหัวลงพุ่งดิ่งสู่พื้นโลกทันที เล่นเอาคนออกคำสั่งตั้งตัวแทบไม่ทัน เกือบปลิวไปตามแรงกระชากของลมและแรงโน้มถ่วง

     

    ระยะห่างระหว่างพวกเขาและพื้นดินหดร่นเข้ามาอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ห้าเมตร...สี่เมตร..สามเมตร...มังกรเพลิงยังคงมุ่งมั่นที่จะทำตามคำสั่งโดยไม่คิดจะลดความเร็วลง และไม่คิดที่จะกลับตัวโผบินขึ้นโดยไม่มีคำสั่งด้วย

     

    ในเมื่อข้าเลือกจะฝากชีวิตไว้กับเขา ข้าก็จะเชื่อใจในสิ่งที่เขาทำเช่นกัน...มังกรเพลิงคิด เป็นความคิดที่มุ่งมั่นไม่สั่นคลอนแม้จะเห็นความตายอยู่เบื้องหน้า

     

    และเพียงเสี้ยววินาที...เป็นเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นตาย คำสั่งใหม่ก็ดังออกมาจากปากของเจ้าชีวิต

     

     

    "ขึ้น!!!"

     

    เฟนริลพลิกกลับด้วยความคล่องตัวอันเหลือเชื่อ พุ่งทะยานสูงขึ้นสู่ฟากฟ้าทันที ไม่คิดเลยว่าจะโดนนายที่เคารพทรยศหักหลังเอาซึ่งๆหน้า เพราะสั่งเสร็จ ตัวคนสั่งเองกลับกระโดดลงพื้นไปเสียอย่างนั้น ทิ้งไว้เพียงคำบัญชาสั้นๆตามนิสัย

     

    "ล่อเจ้านั่นให้ด้วย"

     

    เป็นครั้งแรก...ที่มังกรเพลิงชักจะรู้สึกว่าตนเลือกนายผิดเสียแล้ว

     

     

     

     

    ตึกๆๆๆ

     

    เจ้าชายหนุ่มผมเงินวิ่งคู้ตัวต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อหลบลูกหลงจากลำแสงอันตรายที่พุ่งแวบไปมาทุกทิศทุกทาง เป้าหมายคือวัตถุสีเงินซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก บางครั้ง ดีอัสก็ต้องทิ้งตัวหลบวูบกลางคัน รู้สึกได้ถึงความกระแสไอร้อนที่เฉียดแผ่นหลังไปเพียงเส้นยาแดง หากไม่ติดว่าการใช้เวทมนต์จะไปดึงความสนใจจากอสูรร้ายให้พุ่งมาที่เขาแทนที่จะเป็นมังกรเพลิงตัวล่อแล้ว เพียงดีดนิ้ว สร้อยผนึกแค่นี้ก็จะเข้ามาตกอยู่ในมืออย่างง่ายดาย

     

     

    ตูม!!!

     

    ลำแสงพิฆาตพุ่งกระแทกพื้นดินตรงหน้าเขาอย่างถนัดถนี่ แรงอัดเหวี่ยงร่างบางของเจ้าชายนักมนตราที่กำลังหมอบซุ่มอยู่จนผงะกระเด็นถอยหลังไปหลายเมตร เมื่อฝุ่นควันคลุ้งกระจายจางหายไป สิ่งที่เหลืออยู่คือหลุมยักษ์ทั้งลึกทั้งกว้าง บอกฤทธิ์เดชอานุภาพทำลายล้างไว้ชัดนัยน์ตาสีน้ำเงินคู่งามเบิกคว้าง หัวใจเต้นระรัวเมื่อรู้ว่าตนเพิ่งรอดผ่านความตายได้เพียงฉิวเฉียด

     

    หากยังไม่ทันได้โล่งใจ เปลวไฟก็ละเลงลงมาจากผืนฟ้าราวกับจะสร้างนรกบนแผ่นดิน ทั้งลำแสงมฤตยูและพระเพลิงผลาญต่างพุ่งเข้าปะทะกันอย่างไม่มีใครยอมใคร...และไม่สนใจด้วยว่าจะมีใครโดนลูกหลงหรือไม่

     

    "ไอ้มังกรงี่เง่า.."  กัดฟันกรอด พึมพำด่าอย่างเหลืออด นึกหมายมั่นในใจว่าหากรอดกลับไปได้ งานนี้คงต้องสวดมังกรของตนยาวๆโทษฐานไม่ทันไรก็จะทำเจ้านายไหม้เกรียมเสียแล้ว

     

    ที่ถูกแรงเหวี่ยงจับกระแทกเข้ากับพื้นดินนั่นยังระบมไม่หาย ทั้งยังต้องมาล้มลุกคลุกคลานหลบอาวุธทั้งจากศัตรูและฝ่ายเดียวกัน แถมเมื่อมองไปแล้ว ไอ้สร้อยเจ้ากรรมก็ยังอยู่อีกไกล ความอดทนของดีอัสจึงเป็นเสมือนฝางเส้นสุดท้ายที่ออกแรงดึงเพียงนิดเดียวก็ขาดผึงลงได้อย่างง่ายดาย

     

    ดังนั้น...เมื่อกิ่งไม้เจ้ากรรมที่ไม่รู้ปลิวมาจากไหน ดันทะลึ่งมากระแทกหัวเจ้าชายแห่งไรอัสเข้าเต็มรัก ริมฝีปากงามจึงแสยะบิดเป็นยิ้มเหี้ยมละลายน้ำแข็งในประกายตาไปหมดสิ้นเหลือเพียงความโกรธพุ่งพวยดั่งกองไฟลุกโชน พลังมนตรามหาศาลสาดออกไปทุกทิศทุกทาง จี้สีเงินที่แทบจะเสี่ยงชีวิตเข้าไปเอากระโดดผึงเข้ามาอยู่ในมือในพริบตา มังกรเพลิงที่กำลังเลือดขึ้นหน้าบินห้ำหั่นกับศัตรูอย่างไม่กลัวเกรงก็ถูกแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นกระชากจนดิ่งวูบ ตกฮวบจากผืนนภาแบบไม่ทันตั้งตัว แม้ปีกใหญ่พยายามฝืนก็มิอาจต้านทานอำนาจที่บัญชาอยู่เหนือร่างตนได้

     

    แต่ก่อนที่จะร่วงหล่นสู่ผืนพสุธาไปจริงๆ ร่างอันมหึมาก็พลันกระดอนพุ่งขึ้นสูงราวกับแรงดีดสะท้อนลูกบอลยางที่ถูกเขวี้ยงใส่ผนัง พอขึ้นไปในระดับสูงดีแล้ว เฟนริลถึงได้รู้สึกว่าพลังที่ควบคุมตนอยู่นั้นได้ถูกถอนไปโดยคนที่ขึ้นมานั่งแหมะอยู่บนหลังใหม่นั่นเอง

     

    "อยากได้มังกรเป็นโรคหัวใจหรือ นายท่าน" พอรู้ว่าเจ้านายที่เคารพเป็นคนทำ มังกรเพลิงก็เร่งโวยวายทันทีด้วยน้ำเสียงเดือดดาล ทว่าก็ต้องเงียบลงเมื่อถูกอีกฝ่ายย้อนเอาสั้นๆ

     

    "แล้วอยากได้เจ้านายเป็นตอไม้ไหม้เกรียมหรือไง"

     

    อยากจะตอบใจจะขาดว่าถึงอย่างไรก็ไม่ตายมิใช่หรือ แต่ก็กลัวอีกฝ่ายจะย้อนเอาด้วยประโยคเดียวกันว่าถ้าอย่างนั้นหัวใจก็ยังเป็นปกติดีอยู่นี่  เฟนริลจึงตัดสินใจหุบปากเงียบ พลางนึกเป็นหนที่สองว่าเห็นทีตนจะตัดสินใจเลือกเจ้านายผิดไปเสียแล้ว

     

    "ให้รักษาแผลให้ไหม" เจ้านายที่เพิ่งถูกลอบนินทาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเมื่อเห็นบาดแผลไหม้ฉกรรจ์เพิ่มขึ้นอีกเกือบสิบแห่งบนตัวของมังกรเพลิง บางแผลนั้นไหม้ลึกจนเห็นเนื้อแดงแจ๋ทีเดียว ซ้ำร้าย แนวโน้มที่จะได้แผลเพิ่มขึ้นก็มีมากเสียด้วยหากเจ้าลูกครึ่งเทพมังกรที่กำลังคลั่งยังคงอาละวาดไม่เลือกหน้าต่อไปแบบนี้

     

    "ไม่ต้อง เก็บเวทมนต์นั่นไว้ใช้กับองค์ชายเถอะ" เฟนริลปฎิเสธอย่างไม่ไยดีความเจ็บปวดของตน ข้อความนั้นแฝงนัยยะซึ่งสามารถตีความออกมาได้สองแง่มุม ทั้งเก็บไว้ใช้ในการโจมตีและเยียวยารักษา ซึ่งดีอัสเองก็ไม่ได้ถามต่อ เพราะตั้งใจจะใช้มันทั้งสองอย่างอยู่แล้ว

     

    "ว่าแต่นายท่านเถอะ มีแผนหรือยัง ?" ถามทั้งๆที่ในใจนึกรู้คำตอบอยู่ นักเวทย์จอมยโสผมเงินตาฟ้าคนนี้น่ะหรือจะลงมือทำอะไรโดยไร้ซึ่งแผนการ การกระโดดลงไปเอาสร้อยผนึกมนตราเมื่อครู่นั้นก็เป็นหลักฐานยืนยันอย่างดี

     

    "เลิกเรียกฉันว่านายท่านซะที แค่ดีอัสก็พอ" ทว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะตอบไม่ตรงคำถาม ฟังๆแล้วเหมือนจงใจเปลี่ยนเรื่องชอบกล

     

    "นี่ นายท่าน อย่าบอกนะว่า..." เฟนริลชักเริ่มรู้สึกสังหรณ์แปลกๆ คิดดูอีกที ที่ใช้เวทมนต์ฉุดเขาลงมารับดื้อๆนี่ก็เป็นหลักฐานแสดงความเลือดร้อนบุ่มบ่ามขัดหน้าตาเหมือนกันมิใช่หรือ

     

    "ดีอัส เรเฟรัส " คนที่นั่งเกาะอยู่บนหลังเอ่ยขัดขึ้นเสียงเย็นชา

     

    "ดีอัส เจ้า อย่าบอกนะว่า..." มังกรเพลิงที่กำลังหวั่นวิตกยอมเปลี่ยนสรรพนามให้ใหม่แต่โดยดี สังหรณ์แปลกเริ่มเตือนถี่ขึ้นเรื่อยๆ

     

    "หึหึหึ ไม่ต้องห่วงหรอก แค่นานๆทีเท่านั้นแหละ "

     

    ควรจะรู้ได้ว่า เจ้าชายดีอัส เรเฟรัส ในตอนนี้...สติแตกไปเรียบร้อยแล้ว!   

     

     

     

     

    เคยมีตำนานเรื่องเล่า ขับขานถึงภูเขาซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยสีขาวสุดลูกหูลูกตา

    เดิมมันมิได้เป็นสีขาวสะอาดเช่นนี้หรอก ทว่าเป็นภูหินสีดำเกรียมน่าเกลียดชัง

    วันหนึ่ง เกล็ดหิมะงามพิสุทธิ์พริ้วโปรยลงมาจากท้องฟ้าสีครามดั่งของขวัญจากเทพยดา

    หากเมื่อร่วงหล่นสู่ผืนดินแล้ว ความงดงามนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นก้อนน้ำแข็งเย็นชืด

    ลมหนาวเหน็บโรยตัวเข้าปกคลุม เย็นยะเยียบเสียจนไร้ซึ่งสำเนียงของสิ่งมีชีวิต

    วันเวลาล่วงไปนับพันนับหมื่นปี ทุกคนต่างลืมภูเขาสีดำน่าเกลียดไปจนสิ้น

    มีเพียงคำสรรเสริญถึงความงดงามของสีขาวอันกระจ่างใส

     

    ทว่าภูเขานั้นกลับไม่ลืม...เพราะรู้ตัวดีว่าสีที่แท้จริงของตนเป็นเช่นไร

    ที่คนชื่นชมนั้นมิได้ชมชื่อตน ทว่าชื่นชม"สีขาว"ที่ปกคลุมตนอยู่เบื้องหน้า

    ชื่นชมสีขาว...ที่ทำให้ตนต้องอ้างว้างทุกข์ทรมาณเหลือจะกล่าว

     

    แต่ท้ายสุดแล้ว ในใจลึกๆของภูเขาเองก็ต้องการหิมะสีขาวนี้เช่นกัน...

     

     

     

    แสงสว่างค่อยๆกลืนหายไปในเข้าไปในเงามืด รัตติกาลโรยตัวเข้าปกคลุมอย่างแช่มช้าทว่ามั่นคง หมู่เมฆสีเทาทึมลอยละล่องเข้ามารวมกันเป็นกลุ่มก้อนบดบังมวลดารา กระแสลมก่อตัวกรรโชกขึ้นเป็นพายุภายใต้นภาอับแสง สายฟ้าแลบแปลบปลาบฟาดไปมาอย่างบ้าคลั่ง ต้นไม้ใหญ่ไหวเอน แม้ภูใหญ่แสนทรนงก็กระแทกเสียงดังเสียงดังครืนคราน ผืนปฎพีฉีกตัวออก ไล่ยาวเป็นสายแตกระแหงร่องลึกออกไปไม่จบไม่สิ้น

    สิ่งที่ลอยอยู่ตรงกลางระหว่างแผ่นดินและผืนฟ้านั้นคือร่างอันใหญ่โตของมังกรเพลิงที่ยามนี้ถูกห้อมล้อมด้วยแสงสว่างจ้าจัดจนมองเห็นเป็นเพียงลูกไฟทรงกลม

     

    เด็กหนุ่มลูกครึ่งเทพมังกรมองปรากฎการณ์ผิดธรรมชาติเบื้องหน้าด้วยนัยน์ตาสีเงินซึ่งไม่ปรากฎอารมณ์หรือความนึกคิดใดๆ สีหน้าของพรานป่าแห่งฟลอเรนส์เรียบเฉยเช่นเดียวกับดวงตา แต่ที่หยุดชะงักการโจมตีลงอย่างกระทันหันนั้นก็บอกอะไรได้หลายอย่าง...

     

    เคชในตอนนี้ไม่ต่างอะไรไปจากสัตว์ร้ายตัวหนึ่งซึ่งกำลังคลุ้มคลั่ง แรงขับที่แสดงออกไปกำเนิดขึ้นจากการสั่งการของสัญชาติญาณ ไร้ความนึกคิดหรือมวลอารมณ์ใดๆ เมื่อประสบกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่ตัวเองไม่เข้าใจ ความไม่มั่นคงจึงเกิดขึ้น วางตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี เพราะสัญชาติญาณที่กู่ร้องนั้นกำลังขัดแย้งอยู่ในตัวเอง ฝั่งหนึ่งกระตุ้นให้ล่าและฆ่า อีกฝั่งหนึ่งรับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่และเตือนให้ถอยหนีเสีย

    สิ่งที่สะท้อนออกมาจึงเป็นการรอคอยเพื่อดูท่าทีอย่างไว้เชิง ...และนั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ทีเดียว!

     

     

    ภาษาเวทมนต์โบราณพรั่งพรูออกจากปากเด็กหนุ่มผมเงิน บางครั้งก็รัวเร็วรุนแรง บางครั้งก็ทอดช้าเนิบนาบ ดวงหน้าขาวอาบไปด้วยเหงื่อจนชุ่มโชก นานเหมือนชั่วนิรันดรน์ในห้วงแห่งความนึกคิด ทว่าเพียงไม่กี่นาทีในโลกแห่งความเป็นจริง เมื่อมนตราบทสุดท้ายดังขึ้นพร้อมๆกับการลืมขึ้นของนัยน์ตาสีไพลินคู่งาม อาเพศทั้งหลายก็ประสานกันขึ้นเป็นกรงขังโดยมีร่างของลูกครึ่งเทพมังกรเป็นศูนย์กลาง จากผืนดินจรดแผ่นฟ้า จากลมพายุทิศตะวันตกจรดสายฟ้าทิศตะวันออก

     

     

     

    เปรี๊ยะ..เปรี๊ยะ...ตูม!!!

     

    ตวามลั่นเพียงคำเดียว...สิ่งที่ตามมาคือเสียงดังสนั่นของการระเบิดครั้งใหญ่ ฟุ่งควันคลุ้งปลิวกระจายซ่อนเร้นทุกสิ่งจากสายตา แรงระเบิดนั้นกระแทกมังกรเพลิงซึ่งบินอยู่ห่างออกไปไกลเกือบสิบกิโลเมตรจนแทบทรงตัวไม่อยู่ เช่นนี้คงไม่ต้องพูดถึงผู้ที่เป็นแก่นกลางของมนตราเลย

     

    ผู้ร่ายเวทเองก็ใช่ว่าจะมีสภาพดีไปกว่ากันนัก เหงื่อชุมโชกไปทั้งตัวราวกับถูกอาบด้วยน้ำ หัวใจเต้นแรง อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นอย่างน่ากลัว กายสั่นระรัวอย่างมิอาจควบคุม เรี่ยวแรงหายไปหมดสิ้นจนทำได้เพียงพยุงร่างมิให้ตกจากมังกร และเมื่อกระอักไอออกมา สิ่งที่ติดอยู่บนฝ่ามือนั้นคือลิ่มเลือดสดๆสีแดงคล้ำ

     

    มันยังไม่จบ...ดีอัสพยายามบอกตนเองเพื่อฝืนสังขารที่พร้อมจะล้มลงทุกเมื่อ จากนี้ไปต่างหากที่จะเป็นช่วงเวลาสำคัญซึ่งจะพลาดไม่ได้

     

    "ไป"  กระซิบสั่งเสียงเบาหวิวทว่าหนักแน่น คำสั่งสั้นๆที่มีเพียงคำกริยา ทว่าเฟนริลก็เข้าใจดี และบินเข้าสู่ใจกลางแรงระเบิดอย่างนุ่มนวล โดยพยายามทำให้คนที่นั่งอยู่บนหลังกระเทือนน้อยที่สุด

     

     

     

    เหลือเชื่อนักที่ร่างของอสูรร้ายตาสีเงินยังสามารถยืนหยัดได้อยู่โดยไร้รอยแผลใดๆ และเมื่อมังกรเพลิงบินเข้าไปใกล้ก็ไม่มีท่าทีโจมตีหรือถอยหนี ทว่าเพียงแค่มองด้วยสีหน้านิ่งสงบราวกับความคลุ้มคลั่งนั้นถูกกำราบไปโดยสิ้นเชิง

     

    มนต์ใหญ่ไม่ได้หวังผลทำลาย...หากใช้เพื่อตรึงไม่ให้ลูกครึ่งเทพมังกรเคลื่อนไหว 

     

     

    "นายท่าน ข้าไม่คิดว่าตัวท่านในตอนนี้ควรจะใช้เวทมนต์อีกครั้งหรอกนะ" เฟนริลเตือนด้วยความเป็นห่วง แม้จะมองไม่เห็น แต่เวทใหญ่ขนาดนั้นต่อให้เป็นนักรบมหามนตราก็ยังต้องจอดเอาง่ายๆ นับประสาอะไรกับเจ้านายร่างบางของเขา...

     

    "มันมีทางเลือกให้ฉันซะที่ไหนกัน" คนใกล้จะหมดแรงยังฝืนตอบ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มมองมือที่ยังสั่นระริกอย่างกังวล ในมือนั้นกำวัตถุสีเงินไว้แน่น

     

    "ข้าเพิ่งรู้ว่ามีเจ้านายเป็นคนบ้า..บ้าจริงๆที่คิดสู้กับเทพมังกรแบบนี้ แต่ถ้าเป็นอย่างที่สันนิฐานไว้ องค์ชายในตอนนี้แค่พลังของข้าก็พอแล้ว"

     

    "นายก็มีหน้าที่ของนาย เฟนริล " ดีอัสตอบสั้นๆตามนิสัย ทั้งๆที่ใจจริงอยากจะขอบคุณในความเป็นห่วงนั้นแท้ๆ แต่ความเป็นเจ้าชายทำให้เลือกที่จะกลบเกลื่อนเสีย

     

    "กะจังหวะให้ดีๆละกัน ถ้านายพลาด เราทุกคนจะตายกันหมด"

     

    "ไม่พลาดหรอก!"

     

     

     

    ถามว่ากลัวไหม...ก็นิดหน่อยนะ

    ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าการสอบเข้ามหาเวทจะยากขนาดนี้

    มันคงไม่ยาก ถ้าไม่มาเจอเจ้าจอมจุ้นตัวแสบนี่

    ทั้งเหนื่อย ทั้งเจ็บตัว เวทมนต์ก็หมด แถมยังต้องทำพันธสัญญาเวทกับมังกร

    เอาชีวิตก็แทบไม่รอด ให้ตายเถอะ...ไม่มีอะไรดีซักอย่าง

    ไอ้ที่กลัวก็กลัวไปจนครบหมดแล้ว เหลือแค่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแหละ

    กลัว...กลัวไอ้พรานป่างี่เง่าอย่างแกจะตายไปน่ะสิ! 

     

     

     

     

    เฟนริลเร่งความเร็วของตัวเองจนภาพที่ไหลผ่านเห็นเป็นเพียงเงาพร่ามัว พร้อมกันนั้นเปลวไฟสีแดงจ้าพุ่งเป็นลำแสงออกมาจากปากมังกรเพลิง  ตรงไปยังร่างของลูกครึ่งเทพมังกรที่ยังคงยืนนิ่ง

     

    นัยน์ตาสีเงินดิบเถื่อนมองเปลวมัจจุราชด้วยสายตาเฉยชา ขยับปีกเพียงนิดเดียวก็เอี้ยวตัวหลบได้อย่างง่ายดาย...

     

     

    "ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก เคช เซเบเรีย "   สิ่งที่พุ่งตามหลังกระแสเพลิงมานั้นคือร่างบางของเจ้าชายผมเงินที่ยามนี้ปรากฎปีกขนนกคู่สีน้ำเงินเข้มเช่นเดียวกับสีนัยน์ตา ที่กำแน่นอยู่ในมือคือสร้อยที่แขวนจี้รูปมังกรหมอบ ปราศจากอาวุธสังหารอื่นใด ทว่ากลับสามารถทำให้สายตาคู่สีเงินของลูกครึ่งเทพมังกรปรากฎรอยตกใจขึ้นเป็นครั้งแรก

     

    สาเหตุของความวิตกนั้นไม่ใช่จี้ผนึกเลย หากเป็นประกายจ้าในนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มยะเยือกเย็นที่บัดนี้คมกริบราวกับคมมีดน้ำแข็งที่พร้อมจะเชือดเฉือนทุกสรรพชีวิต!

     

    ราวกับถูกดึงดูดให้หลงใหล ดวงตาทั้งสองคู่ประสานกันแน่นิ่ง...สีเงินดิบเถื่อนและสีน้ำเงินเลือดเย็น...พริบตาที่แสนจะยาวนานในความรู้สึก ทว่าสั้นชั่วเสี้ยววินาทีในโลกความเป็นจริง

     

     

    "เลิกบ้าได้แล้ว"   เจ้าชายจากไรอัสกล่าวเสียงหนักแน่น ก่อนสร้อยผนึกในมือจะถูกสวมขวับลงไปบนหัวอดีตเพื่อนร่วมทางทันที

     

     

     

    วาบ!!!

     

    ทันทีที่สร้อยผนึกสัมผัสร่าง ร่างของเคชก็พลันเปล่งแสงสีขาวกระจายสาดจ้าไปทุกทิศทุกทางพร้อมกับเสียงคำรามร้องเป็นครั้งสุดท้าย ฟังดูคล้ายกับสัตว์ที่ถูกทรมานแสนสาหัส และเมื่อทุกอย่างจางหายไป สิ่งที่เหลืออยู่คือร่างไร้สติของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจอมกวนประสาทคนเดิม ปีกคู่สีเงินที่ช่วยพยุงกายให้อยู่บนผืนฟ้าหายไปแล้ว ร่างดังกล่าวจึงร่วงหล่นจากผืนนภาอย่างไร้การควบคุม

     

    "เคช"   ดีอัสรีบพุ่งตามเพื่อนไปทันที มือของเจ้าชายคว้าหมับยังมือของพรานป่า และเกือบจะพร้อมกันที่ร่างกายอันอ่อนล้าของนักเวทย์ผู้ใช้พลังเกินตัวปฏิเสธจะทำตามใจเจ้านายอีกต่อไป มนตราหยาดสุดท้ายสลายไปจากร่างเช่นเดียวกับปีกขนนกสีน้ำเงินเข้ม

     

    เมื่อไร้ปีกพยุงกาย..ร่างสองร่างก็ดิ่งวูบสู่ผืนพสุธา แต่มือที่จับไว้แน่นนั้น...ถึงอย่างไร ก็ไม่มีวันปล่อย....

     

     

     

    หมับ!

     

    "ก็บอกแล้วว่าข้ากะจังหวะไม่พลาดหรอก" มังกรเพลิงเอ่ยยิ้มๆกับเจ้านายซึ่งบัดนี้นั่งอยู่บนหลังของมันเป็นที่เรียบร้อย พร้อมกับผู้โดยสารอีกหนึ่งที่นอนหลับตาพริ้มไม่รู้เรื่อง

     

    "การที่รอดมาได้นี่เรียกว่าปาฎิหารย์ไหมนะ เฟนริล?" คนเป็นนายพึมพำ แม้น้ำเสียงจะฟังดูโล่งอก แต่ก็ไม่ได้ส่อเค้ายินดีเลยสักนิด

     

     

    คิดอยู่แล้ว...คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ สุดท้ายก็อ่อนแอเกินกว่าจะบัญชาเวทมนต์ได้

     

    ถ้าไม่ได้เฟนริลช่วย ที่ตาย...คงไม่ใช่แค่เรา ไม่ว่าจะในฐานะเจ้าชายแห่งไรอัสหรือนักมนตราก็น่าสมเพชพอๆกัน

     

     

    "จะเป็นปาฎิหารย์ได้อย่างไร ก็ทุกอย่าง นายท่านเป็นคนวางแผนทั้งหมดเองนี่" มังกรเพลิงย้อน ไม่ใช่คำพูดสวยหรู แต่ก็บอกให้รู้ว่าพูดออกมาจากใจจริง คิดอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น

     

    "งั้นหรือ..." ดวงหน้างามนิ่งไปครูใหญ่ ก่อนจะมีรอยยิ้มขำผุดแต้มริมฝีปาก

     

    "จบแล้วสินะ  ทั้งศึกนี้ แล้วก็ ความสัมพันธุ์ระหว่างนายกับฉันด้วย...เดี๋ยวฉันจะถอนสัญญาให้"

     

    "นายท่าน?!"เฟนริลอุทานลั่น คาดไม่ถึง สะดุ้งจนเกือบเบรกพรืดกลางอากาศ

     

    "ถอนสัญญาไง ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมันจบไปแล้วนี่ นายก็ไม่มีความจำเป็นต้องมารับใช้ฉันอีก" เจ้าชายผู้มีบริวารมากมายและไม่ประสงค์จะอยากได้เพิ่มแจกแจงต่อด้วยน้ำเสียงสุดแสนจะเป็นทางการ

     

    "แต่คงต้องรอให้ฉันกลับมาร่ายเวทได้ก่อน ระหว่างนี้จึงต้องรบกวนขอให้ช่วยพาไปส่งที่หอคอยแดงให้หน่อยล่ะ"

     

    "แต่ว่า นายท่าน ข้า..เฮ้อ!ช่างเถอะ..."มังกรเพลิงพูดเองแล้วก็ตัดบทเองเสียอย่างนั้น

     

    "นายทำไม?" ดีอัสมุ่นหัวคิ้ว ชักจะไม่วางใจเจ้ามังกรที่ตนขี่หลังอยู่

     

    "ข้าแค่จะถามว่า..ว่า..ทำไมนายท่านถึงเลือกหอคอยแดง "  เฟนริลตอบอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก

     

    "ไม่มีอะไรหรอก สำหรับฉันน่ะจะที่ไหนก็ได้ แต่หมอนี่อยากไปหอคอยแดงก็เท่านั้นเอง "

     

    เจ้า 'หมอนี่' ที่ว่า จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่กำลังนอนสลบไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ ส่วนดีอัสรู้ได้อย่างไรว่าเคชอยากไปหอคอยแดงนั้น คงต้องเปลี่ยนคำถามเป็นว่าเจ้าชายจากไรอัสแกะลายมือยิ่งกว่าไก่เขี่ยของพรานป่าที่เขียนขยุกขยุยลงบนแผนที่ได้อย่างไรตะหาก

     

    "ถ้านายท่านว่าอย่างนั้น หอคอยแดงก็หอคอยแดง" มังกรเพลิงพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะกระพือปีกเร่งความเร็วขึ้นอีก ทิ้งทุ่งหญ้าแล้งซึ่งเคยเป็นสมรภูมิรบไว้เบื้องหลัง....

     

     

     

    ดวงตะวันที่แผดแสงจ้าจัดเคลื่อนคล้อยหลบเข้าไปอยู่หลังหุบเขา เปลี่ยนสีฟ้าใสของนภาให้เป็นสีส้มอมทองบอกเวลาย่ำเย็น สำหรับคนอื่นก็คงเป็นแค่เวลาที่ไหลผ่านไป ทว่าสำหรับคนที่กำลังสอบเข้าโรงเรียนมหาเวทแล้ว นี่เป็นสัญญาณว่าเวลาของวันที่สองกำลังจะหมดลง

     

    "อือ..."  เสียงครางเบาๆดังขึ้นจากคนที่สลบไปนาน ดวงตาคู่ปิดสนิทค่อยๆลืมขึ้นช้าๆเผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มใสกระจ่าง เคชกระพริบตาปริบๆสองสามที พยายามจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าไร้เรี่ยวแรงจนต้องกลับไปนอนซมตามเดิม

     

    เจ็บ...แค่ขยับก็รู้สึกระบมไปหมดทั้งตัว

     

     นี่เรา...เป็นอะไรไป?!

     

     

    "ถ้าฟื้นแล้วก็นอนพักไปเงียบๆก่อน อาละวาดขนาดนั้นยังมีแรงขยับได้ก็แปลกล่ะ" เสียงเย็นๆดังขึ้น เมื่อหันไปมองก็พบกับนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่งามที่จ้องมาอยู่ก่อนแล้ว

     

    "ดีอัส " เจ้าตัวดีเรียกเสียงแผ่ว ลมแรงที่พัดปะทะใบหน้าแจ้งว่าตอนนี้ตนไม่ได้อยู่บนพื้นดิน หันมองรอบกายก็เห็นเพียงปุยเมฆสีขาวโพลน มือที่ยกควานสะเปะสะปะสัมผัสกับความกระด้างของเกล็ดแข็งขนาดใหญ่ ประหลาดนักจนความสับสนปรากฎชัดอยู่ในสีหน้าและดวงตา

     

     

    "เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเราถึงมาอยู่บนมังกร แถมยังแผลพวกนั้นอีก นายไปโดนอะไรมา "คนป่วยถามรัวเร็วเป็นชุด โดยเฉพาะยามสังเกตุเห็นบาดแผลน้อยใหญ่ของเพื่อนร่วมทางที่ยามนี้โทรมไปทั้งตัว ในขณะที่คนฟังเบิกตากว้าง มองเจ้าตัวดีตรงหน้าอย่างแปลกใจ

     

    "นายอย่าบอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย?"

     

    "จะไปจำอะไรได้ รู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่ตรงนี้แล้ว "คนถูกถามย้อนกลับอย่างงุนงงไม่แพ้กัน มองหน้าเจ้าชายผมเงินราวกับขอคำอธิบาย

     

    "นาย..." เจอแบบนี้เข้า ดีอัสก็พูดไม่ออก จะให้เขาบอกมันได้อย่างไรว่าเรื่องที่มันทำร้ายแรงแค่ไหน

     

    จะให้บอกได้อย่างไรว่า...แผลบนตัวเขานั้นล้วนเป็นฝีมือมันทั้งสิ้น!

     

     

    ทว่าดูเหมือนจะสายไปเสียแล้ว พรานป่าแห่งฟลอเรนส์มองหน้าเพื่อนที่ทำตัวแปลกๆดูอึกอักชอบกลไม่สมกับเป็นเจ้าชายคนเดิม เขาฝืนความปวดลุกขึ้นจากท่านอนมาเป็นนั่งเหยึยดขา ขมวดคิ้วมุ่นอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวในหัวได้เอง

     

    "ดีอัส ที่นายบอกว่า 'อาละวาด' หมายความว่าทุกอย่าง...ทุกอย่างเป็นฝีมือฉันใช่ไหม?" เสียงนั้นสั่นพร่า เต็มไปด้วยความหวาดกลัวยิ่งนัก ราวกับเป็นคนละคนกับเจ้าตัวแสบมากเล่ห์ที่เขารู้จัก ครั้นเมื่อสบกับดวงตาคู่สีน้ำตาลเข้มที่จ้องมาอย่างเว้าวอนแล้ว ดีอัสก็รู้ว่าตนจะโกหกไม่ได้

     

    "นายฟังฉัน เคช เซเบเรีย..." เสียงของเด็กหนุ่มผมเงินทรงอำนาจ หนักแน่นจริงจัง ดึงสติของคนที่กำลังจะคลั่งเพราะหวาดกลัวกลับคืนมา นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่งามประสานกับสายตาอีกฝ่ายไว้ จ้องลึกลงไปราวกับสะกดไว้มิให้หนี

     

    "ฉันจะเล่าให้ฟัง แต่ห้ามขอโทษฉัน เพราะนายไม่ได้ทำอะไรผิด " นักเวทย์แห่งไรอัสพูดเสียงเรียบ และเมื่อพรานป่าพยักหน้าตกลง ดีอัสจึงเริ่มต้นเล่าเรื่อง...

     

     

     

    "ฉันติดหนี้นายอีกแล้วสินะ" เคชหัวเราะฝืนๆเมื่อฟังอีกฝ่ายเล่าจบ จริงๆแล้วเจ้าชายผมเงินเป็นนักเล่านิทานที่ไม่ได้เรื่องเลย ทั้งแห้งแล้งและเป็นทางการ บรรยายสั้นกระชับราวกับเรียงความประวัติศาสตร์ แต่ทุกสิ่งก็ล้วนเป็นความจริง...

     

    "ถือว่าใช้กันกับที่นายช่วยฉันไว้จากเสือเขี้ยวดาบ " อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างไม่ใส่ใจนัก เพราะเมื่อเล่าจบแล้วก็สาละวนอยู่กับการอธิบายขั้นตอนการย้อนพันธะสัญญาให้มังกรเพลิงฟังต่อ ซึ่งฝ่ายหลังเองก็นิ่งฟังไปเงียบๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

     

    "ขาดทุนแย่เลยนะนั่น" ลูกครึ่งมังกรกระเซ้า ถึงดีอัสจะบอกว่าเขาไม่ผิดแต่ในใจเคชยังรู้สึกผิดอยู่ดีนั่นเอง เมื่อรู้สึกผิดก็ย่อมอยากที่จะชดเชยให้ แม้จะไม่รู้ว่าพรานป่าจากฟลอเรนส์จะเอาอะไรไปชดใช้ให้รัชทายาทผู้รั้งบัลลังค์ไรอัสก็ตามที 

     

    "ถ้าเทียบกับเรื่องของลูกครึ่งเทพมังกรก็นับว่าคุ้ม!" คนฟังสวนทันทีแบบไม่ต้องคิด เล่นเอาคนแหย่ถึงกับสะดุ้ง นึกถึงเรื่องเลวร้ายอีกสารพัดที่จะประดังประเดเข้ามาหากเจ้าชายตรงหน้าตนเกิดปากโป้งเอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศแก่ชาวโลกคนอื่นๆ

     

    "นายคงไม่ได้คิดเอาฉันไปขาย?" เจ้าตัวดีเอ่ยอย่างร้อนรน แม้ในใจจะต่อท้ายประโยคเพิ่มไปอีกว่า ถึงขาย...ก็คงไม่มีใครเชื่อ

     

    "คำถามน่าจะเป็นขายให้ใครมากกว่านะ" เด็กหนุ่มผมเงินย้อน ฟังเสียงแล้วก็ดูรู้ว่าเป็นต่ออยู่พอสมควร ถ้านัยน์ตาสีน้ำเงินคู่งามนั่นสะท้อนความรู้สึกที่แท้จริงออกมาให้อ่านง่ายๆก็คงจะดี

     

    "หรืออาจจะเป็นขายได้ราคาเท่าไหร่ใช่ไหม" พรานป่าโต้บ้าง แสดงชัดว่าทันเกม ความรู้สึกผิดจางหายไปทันทีราวกับปลิวไปกับสายลม

     

    "ถ้าอย่างนั้นก็ลองเสนอราคามาสิ เคช เซเบเรีย " ดีอัสเลิกคิ้ว ยิ้มท้าทาย คล้ายรอดูว่าคนเป็นพรานจะสวนเอาอย่างไร ทว่าก็ต้องหุบยิ้มทันทีเมื่อเคชเอ่ยช้าๆด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

     

    "นายรู้แค่ว่าฉันเป็นลูกครึ่งมังกร แต่นายก็ยังไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงเป็นลูกครึ่งมังกร"

     

    ...เพียงแค่ประโยคเดียว แต้มต่อในไพ่ก็เปลี่ยนมือเสียแล้ว...

     

     

    "จะรู้แค่ไหน ข่าวเองก็มีราคาของมัน" เจ้าชายจากไรอัสกลับมาตีสีหน้าเย็นชาอีกครั้ง รู้สึกเหมือนตนทำคุณบูชาโทษอย่างไรชอบกล

     

    "เป็นราคาที่ไม่คุ้มเลยนะ สำหรับเจ้าชายที่ริจะไปเป็นพ่อค้าข้อมูล" มีหรือที่นักแม่นปืนแห่งฟลอเรนส์จะไม่ไล่ต้อนตามวิสัยพราน ยิ่งเห็นเหยื่อมีชั้นเชิงเหลี่ยมคมเท่าไหร่ก็ยิ่งสนุกที่จะล่ามากขึ้นเท่านั้น

     

    "พลังนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ยิ่งเกี่ยวข้องกับพวกมังกร ค่าข่าวอาจจะหมายถึงการลดกำแพงภาษีระหว่างไรอัสกับเมืองอื่นๆ" เหยื่อกำลังดิ้นหนี ขืนปล่อยให้หลุดมือ จากเสือบาดเจ็บอาจกลายเป็นนายพรานที่ต้องเจ็บเสียเอง

     

    "หรืออาจจะหมายถึงสงครามที่มีไรอัสเป็นตัวจุดชนวน" ฝ่ายหนึ่งรุกไล่ต้อนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกวนประสาทซึ่งบดบังสีหน้าที่แท้จริงเอาไว้ อีกฝ่ายก็ซ่อนอารมณ์ความนึกคิดทั้งมวลไว้ภายใต้หน้ากากน้ำแข็งเย็นชา ราวกับทั้งคู่ไม่ได้กำลังนั่งอยู่บนหลังมังกรเพลิง ทว่าอยู่ในบ่อนใหญ่โตบนโต๊ะโป๊กเกอร์ที่มีเงินทองกองสูงลิ่วเป็นเดิมพัน  

     

    แต่หมอนั่นก็ควรได้รู้ แม้ว่าเจ้าชายดีอัส เรเฟรัส จะไม่ใช่นักพนันผู้ยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่เหยื่อที่ใครจะมาล่าได้!

     

    "อย่าลืมว่าไรอัสคือห้องสมุดมนตรา บางทีคงจะรู้จักลูกครึ่งเทพมังกรยิ่งกว่านายพรานของฟลอเรนส์เสียอีก" น้ำเสียงนั้นไม่ได้ส่ออารมณ์ใดๆเลย หากมุมปากกลับกระตุกเป็นรอยยิ้มเยาะเท่าทัน 

     

    ดูจากท่าทางงุนงงและตื่นตกใจตอนที่มันฟื้นมาก็รู้...เคชเองก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองเลยสักนิด!

     

     

    พรานป่าแห่งฟลอเรนส์นิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะหัวเราะหึหึ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นชูเป็นสัญญาณว่ายอมแพ้ อ่านเกมออกว่าตนหมดหวังจะชนะเสียแล้ว

     

    จริงของดีอัส...นอกจากเรื่องที่ว่าแม่เขาเป็นเทพมังกรแล้ว เขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ'ลูกครึ่งเทพมังกร'เลย

     

     

    "พ่อฉันเป็นพรานป่าอยู่ที่ฟลอเรนส์ ส่วนแม่ฉันเป็นเทพมังกร ที่รู้ก็แค่นี้แหละ"

     

    ถึงคราวดีอัสจะเป็นฝ่ายสะดุ้งบ้าง เมื่อลูกครึ่งเทพมังกรตรงหน้ากลับเผยความลับของตัวเองหน้าตาเฉย ประหลาดเสียจนน่าระแวงยิ่งนัก

     

    "บอกฉันทำไม?" นักเวทย์จากไรอัสย้อนเสียงห้วน ดวงตาคู่สีน้ำเงินเข้มฉายแววดุจัดคล้ายจะคาดโทษหากคิดหลอก

     

    "เพราะนายเป็นเพื่อน" พรานป่าจอมแสบแห่งฟลอเรนส์ตอบทันควันราวกับรอคำถามนี้อยู่ ก่อนจะขยายความต่อพลางฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์

     

    "ความเชื่อใจของฉัน...นายตีราคาเองเองละกัน"

     

     

    ....ว่าจะสูงกว่าข่าวนั้นหรือไม่....

     

     

    ถ้อยคำที่เคชไม่ได้พูด ทว่าแสดงชัดอยู่ในนัยน์ตาสีน้ำตาลพราวระยับ

     

     

    ถึงจะรู้ชัดว่าไม่มีทางชนะ...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะแพ้นี่นะ

     

    สรุปแล้ว...รายการปะทะระหว่างเจ้าชายนักดาบจากไรอัสและพรานป่ามือปืนแห่งฟลอเรนส์ เกมนี้เสมอกัน...

     

     

     

     

    "อันที่จริง..." เสียงห้าวกล่าวขึ้นลอยๆ เป็นเสียงของมังกรเพลิงที่นั่งฟังผู้โดยสารทั้งสองทะเลาะกันอย่างเงียบๆมาตั้งแต่ต้น เสียอย่างเดียวที่น้ำเสียงนั้นส่อเค้าความสนุกสนานเสียเหลือเกิน ราวกับผู้ที่คาดหวังว่าจะได้ชมการแสดงชั้นเยี่ยมในอีกไม่ช้า

     

    "เรื่องที่ว่าแม่ขององค์ชายเป็นเทพมังกร ข้าก็รู้นะ" ทันทีที่หย่อนระเบิดเสร็จ พลันก็มีเสียงประสานพร้อมใจกันเรียกชื่อเขาทันที 

     

    "เฟนริล!!!"

     

    ....แล้วตลอดทางจนกระทั่งมองเห็นยอดหอคอยแดง ก็ไม่มีคำว่า 'เงียบสงบ' อีกต่อไป...        



      

      

      



      

      

        

          

            

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×