คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : สนามประลองมังกรเพลิง3(RW)
สุริยาเร้นกายหายลับเข้ากลีบเมฆ จันทราหลีกหลบซ่อนใต้หมู่ดารา
รัตติกาลฉายแสงอย่างหวาดหวั่น ทิวารกาลกลืนแสงด้วยหวาดกลัว
สายลมสะดุดหยุดพัด ใบไม้ไม่อาจโรยร่วง หยาดพิรุณมิกล้าร่วงหล่นจากผืนฟ้า
ปฏพีไร้เสียงคำราม ลำธารากู่ร้องอย่างสงัดเงียบ
วิหคปฏิเสธจะโผบิน กวางเนื้อปฎิเสธจะวิ่งหนี สิงโตปฏิเสธจะออกล่า
และกาลเวลาปฏิเสธที่จะก้าวเดิน
...ต้อนรับการลืมตาตื่นของ "ราชา"
แบบนี้...มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงนะ
ร่างเปื้อนเลือดของเจ้าชายแห่งไรอัสกระโดดทิ้งตัววูบหมอบราบไปกับพื้น รู้สึกได้ถึงไอเวทมนต์จำนวนมหาศาลที่พุ่งผ่านหัวไปแบบฉิวเฉียด หากยังไม่ทันมีเวลาพอให้นึกโล่งใจ การโจมตีอีกระลอกก็ทิ้งตัวลงมาจากฟ้าจนดีอัสต้องออกวิ่งล้มลุกคลุกคลานหนีอีกครั้ง
แฮ่ก...แฮ่ก...
เด็กหนุ่มผมเงินได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นระรัวราวกับจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ ร่างกายนั้นเล่าก็อ่อนล้าเสียจนสั่งการไม่ได้ดั่งใจ ทั้งคทาคู่กายก็หักสะบั้น เวทมนต์ที่ควรเรืองฤทธิ์ก็สิ้นสูญ และเพื่อนร่วมทางเพียงหนึ่งเดียว...
เพื่อนร่วมทางเพียงหนึ่งเดียวก็กลายมาเป็น'ปีศาจ'เสียแล้ว
ทุกอย่าง...เกิดขึ้นเพราะสร้อยเส้นเดียวแท้ๆ
...ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน....
"ฝีมืออย่างนายไม่น่ามาเป็นนักเวทเลยนะ " เจ้าตัวแสบเอ่ยพลางส่งยิ้มเจื่อนๆให้นักเวทผู้อุตริใช้ดาบที่กำลังส่งสายตาเย็นๆมาให้ มองดูบาดแผลฉกรรจ์บนตัวมังกรไฟผู้โชคร้ายอย่างปลงอนิจจัง
"ฝีมือเวทฉันแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ?" คนที่ไม่น่ามาเป็นนักเวทยิ้มเยาะที่มุมปาก นัยหนึ่งก็ดูราวกับจะเย้ยตนเอง
"ไม่ใช่อย่างนั้น..."พรานป่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าเดินหมากพลาดไปรีบแก้ตัว ก่อนเสริมต่ออย่างเอาใจ
"เพียงแต่ฝีมือดาบนายดีขนาดนี้ น่าจะไปเป็นนักดาบมากกว่า"
"ให้ฉันเป็นเจ้าชายต่อน่ะดีแล้ว" เด็กหนุ่มผมเงินตัดบทห้วนๆ แสดงชัดเจนว่าไม่ต้องการสนทนาต่อ พอเจอไม้นี้เข้า เคชจึงได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆด้วยความเหนื่อยใจ
นั่นสินะ...เขาลืมไปได้อย่างไรว่าคนตรงหน้าเป็นถึงรัชทายาทผู้รั้งบัลลังค์ของไรอัส
เจ้าชายนั้นถึงอย่างไรก็ชนะทั้งนักเวทผู้เก่งกาจหรือนักดาบแสนเก่งกล้า และอาจรวมไปถึงนายพรานธรรมดาๆจากฟลอเรนส์ด้วย!
หลังจากจบบทสนทนานี้แล้ว ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ เคชนั่งลงข้างๆมังกรที่ยังคงหายใจรวยรินนั้นเอง ปลดไรเฟิลเก่าคร่ำลงจากบ่า แยกส่วนประกอบปืนเป็นชิ้นๆเพื่อเช็คความเรียบร้อยก่อนประกอบเข้าไปใหม่อย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่พรานอาชีพพึงจะทำ ส่วนดีอัสนั้นเคยชินกับความสะอาดเสียจนเกินกว่าที่จะทำใจนั่งลงบนสนามรบที่เหม็นกลิ่นคาวเลือดได้ จึงเพียงแค่ยืนหลับตานิ่ง ผ่อนลมหายใจเบาๆ
สุดท้าย...คนที่ตรวจเช็คสภาพปืนก็แล้ว เช็ดเงาหยอดน้ำมันก็แล้ว เปลี่ยนกระสุนใหม่บรรจุเต็มอัตราก็แล้ว เรียกได้ว่าทำครบหมดทุกอย่างจนเสร็จสิ้นกระบวรความถึงขนาดไม่เหลืออะไรให้ทำอีกต่อไปนอกจากนั่งสงบปากสงบคำอยู่นิ่งๆ ก็เป็นฝ่ายอดรนทนไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายเปิดปากหาเรื่องชวนคุยเสียเอง
"จากนี้ไป จะเอายังไงกันต่อดีล่ะ เหลือเวลาอีกแค่วันครึ่ง แต่ยังต้องฝ่าไปอีกไกลเลยนะ "
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากเจ้าชายที่กำลังยืนนิ่งเหมือนหลับ และแม้จะพูดด้วยอีกสองสามประโยคก็ไม่มีสัญญาณใดๆตอบรับกลับมาจนคนเป็นพรานป่าถอดใจและเริ่มนึกสงสัยขึ้นมาจริงๆว่าเพื่อนร่วมทางนั้นท่าจะยืนหลับเสียแล้ว เมื่อไม่มีประโยชน์ที่จะเซ้าซี้คนหลับ(?) เคชจึงตัดสินใจไปรื้อๆค้นๆเป้ของตนเอง หยิบได้กระติกน้ำกับห่อกระดาษสีน้ำตาลตุ่นมัดไว้ด้วยเชือกสีมอๆ เมื่อแก้ห่อออกมาแล้วก็พบกับยาผงหลากสีนานาชนิดที่จัดแบ่งใส่ห่อเล็กไว้อย่างเป็นระเบียบ เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเข้มเลือกหยิบขึ้นมาได้ห่อหนึ่ง เป็นยาผงสีเขียวเข้มจัด
เมื่อเลือกได้ของที่ต้องการ เคชก็จัดแจงเปิดฝากระติก เทยานั้นทิ้งลงไปทั้งห่อ จากน้ำเปล่าธรรมดากลายเป็นสีเขียวขุ่นในพริบตา กลิ่นสมุนไพรฉุนจัดลอยขึ้นมากระทบจมูก หากยังไม่ทันที่จะจัดการทำอะไรต่อไป เด็กหนุ่มก็ชะงักมือ เงยหน้าขึ้นจากยาที่กำลังปรุง นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่งอย่างประหลาดใจก่อนจะกลับไปเป็นปกติตามเดิม
เคชไม่ได้กลับไปผสมยาต่อ ทว่ากลับหันไปเรียกเพื่อนร่วมทางผู้ยังคงยืนแข็งเป็นรูปปั้น
"ดีอัส..."
คราวนี้มีเสียงตอบรับในลำคอเบาๆเหมือนคนถูกเรียกนั้นรำคาญเต็มแก่ เพียงแค่นั้นเด็กหนุ่มก็ใจชื้นขึ้นว่าเพื่อนยังไม่ได้เพี้ยนถึงขนาดยืนหลับเป็นนกฮูก รีบเร่งอธิบายต่อโดยเร็ว
"ดูท่าทาง นอกจากพวกเราแล้ว ยังมีคนอื่นเหลือรอดจากภูเขาไฟระเบิกด้วย "
"สี่คนเห็นจะได้" เจ้าชายผู้เก่งทั้งเวทและดาบพึมพำตอบเบาๆ ไม่ยอมแม้จะเปิดนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่งามนั้นขึ้นมา
รอยยิ้มพรายปรากฎขึ้นบนดวงหน้าชุ่มเหงื่อของพรานป่า เอ่ยตอบกลับไปเป็นทำนองท้า
"ฉันว่าหก " ขณะเอ่ย มือก็จัดแจงเก็บห่อของทั้งหมดยัดลงเป้ไปด้วย
"เดี๋ยวก็รู้ " เสียงเย็นๆของดีอัสเป็นการปิดบทสนทนาลงตามเคย
.....และคำว่า'เดี๋ยว'นั้น...ก็ไม่จำเป็นต้องรอนานเลย......
"อ้าว...ยังมีคนเหลือรอดอยู่ด้วยแฮะ "
เสียงใสทักขึ้นพร้อมๆกับการปรากฎตัวของหญิงสาวที่กำลังไต่ลงมาจากภูเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นคนอีกสี่ห้าคนกำลังไต่ตามลงมา ทั้งหมดดูจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันเพราะเมื่อขาลงมาเหยียบพื้นได้แล้ว เจ้าของเสียงใสก็จัดแจงยืนโบกไม้โบกมือให้กำลังใจเพื่อนฝูงโดยไม่ได้หันมาสนใจเด็กหนุ่มทั้งสองอีก
"ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันเป็นแนวหลังให้นะ" เคชที่ตอนนี้ลุกขึ้นไปยืนข้างๆดีอัสแล้วเอียงตัวไปกระซิบเบาๆ สายตาจับจ้องร่างที่กำลังทยอยไต่ลงมาจนครบเกือบทุกคนอย่างไม่ไว้ใจ
"ตามใจสิ" เจ้าชายผมเงินรับคำสั้นๆ ท่าทางหงุดหงิด ดาบยาวนั้นยังไม่ได้ชักจากฝักที่เหน็บติดเอว หากมือนั้นก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะรับศึกทุกเมื่อ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มกวาดมองกลุ่มผู้มาใหม่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
หกคนจริงๆด้วย...เรื่องแบบนี้นี่สู้พรานป่าไม่ได้เลย
ไม่นาน ผู้มาใหม่ทั้งหกก็ไต่ลงมากันจนครบทุกคน เป็นผู้หญิงเสียสอง คนแรกคือเจ้าของเสียงใสที่ตะโกนมา กับอีกคนหนึ่งเป็นเด็กสาวท่าทางเรียบร้อยชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาทนสมบุกสมบันสอบเข้าโรงเรียนมหาเวทได้ ส่วนพวกผู้ชายสี่คนที่เหลือ มีทั้งสะพายดาบใหญ่ไว้ที่ไหล่ เหน็บปืนสองกระบอกโตไว้ข้างเอว ควงขวานเล่มโตกว่าตัว หรือแม้แต่ไม่ถืออาวุธอะไรเลย...ซึ่งคนหลังสุดนี้เคชหมายหัวไว้เป็นเป้าแรกหากเกิดการตะลุมบอนขึ้นมาจริงๆ
"สวัสดี ฉันชื่อมาครอส..มาครอส ดานิส " เด็กหนุ่มผู้ไร้อาวุธเอ่ยแนะนำตัวเป็นคนแรก ยิ้มให้เคชและดีอัสอย่างเป็นมิตร ทว่าคนทั้งสองไม่ได้ยิ้มตอบ สีหน้าของดีอัสนั้นเรียบเฉยจนอ่านไม่ออกเช่นเคย ส่วนเคชนั้นเพียงพยักหน้ารับ
"อะไรกัน พวกนายนี่ดูไม่เป็นมิตรเอาซะเลยนะ อยากมีเรื่องหรือไง?!" เด็กสาวเจ้าของเสียงใสโผลงขึ้นมาอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อโดนมาครอสถลึงตาใส่เธอก็ยอมปิดปากเงียบอย่างเสียมิได้
"พวกฉันไม่ได้อยากมีเรื่องหรอกนะ แต่ขอต่างคนต่างอยู่จะดีกว่า " พรานป่าแห่งฟลอเรนส์กล่าวขึ้นบ้างเมื่อเห็นสถานการณ์ชักจะเริ่มอึดอัด ดูท่าหากไปทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจคงไม่แคล้วต้องเกิดการปะทะ
"เฮ้ยๆ มังกรว่ะ มังกรตัวนั้นไง!!"
หนึ่งในบรรดาชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นร่างใหญ่โตของมังกรเพลิงที่นอนจมกองเลือดอยู่ เขาชี้โล้งเล้ง ท่าทางตกใจจนแทบเสียสติ ซึ่งพรรคพวกที่เหลือพอเห็นแล้วก็มีอาการไม่ต่างกันนัก แต่ละคนต่างมองสำรวจปีกที่ถูกเฉือนสะบัดจนแทบสะบั้นของสัตว์ร้ายด้วยสีหน้าซีดเผือด มีทั้งเสียงสบถและเสียงอุทานปลิวว่อน แต่ยังไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาใกล้เพราะเด็กหนุ่มทั้งสองนั้นยืนขวางทางอยู่
"พวกนาย..พวกนายเป็นคงฆ่ามันหรือ?" หนึ่งในเด็กสาวถามเสียงสั่น มองดีอัสกับเคชสลับกันไปมาราวกับไม่เชื่อว่าคนเพียงสองคนจะสามารถล้มมังกรได้
"เปล่า " ดีอัสเป็นฝ่ายเอ่ยปากปฎิเสธ ถ้อยคำสั้นห้วนนั้นทำเอาเด็กสาวไม่กล้าเซ้าซี้ต่อ ทว่าเด็กหนุ่มผู้สะพายดาบเมื่อได้ยินคำบอกปัดเช่นนั้นท่าทีระแวงก็เปลี่ยนไปเป็นโล่งอก ทั้งยังกล้าพอที่จะเดินขึ้นมายืนเผชิญหน้าด้วย
"หมายความว่า พวกนายไม่ได้เป็นคนฆ่ามันใช่ไหม?" เด็กหนุ่มถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ คราวนี้ดีอัสไม่ตอบ เคชจึงต้องเป็นฝ่ายตอบให้แทนด้วยสีหน้าติดจะรำคาญเล็กๆเพราะนึกไม่ชอบหน้านายนักดาบนั่นตั้งแต่แรก
...เฮอะ!ตอนแรกก็ทำเป็นหัวหด แต่พอบอกว่าไม่ได้ฆ่าก็กลายเป็นกล้าหาญขึ้นมาทันทีเชียวนะ...
"ใช่ พวกเราไม่ได้ฆ่ามัน "พรานป่าแห่งฟลอเรนส์แทบจะเน้นย้ำทีละคำชัดๆเลยทีเดียว หากไม่ได้ติดว่าดีอัสยืนส่งสายตาปรามอยู่ข้างๆ คำตอบที่นักดาบนั่นได้รับอาจจะไม่ฟังดูรื่นหูแบบนี้
ก็ไม่ได้โกหกซักหน่อย...เคชนึกอ้างเข้าข้างตัวเองอยู่ในใจ เจ้ามังกรนี่มันยังไม่ตายนี่หว่า ถ้าพวกเราฆ่ามันก็ต้องตายสิ
พอได้ยินคำตอบยืนยันชัดเจน เด็กหนุ่มนักดาบก็ยิ้มกว้าง พร้อมกันนั้นบรรดาเพื่อนๆของเขาก็พากันเขยิบเข้ามาจนดูคล้ายจงใจจะปิดเป็นวงล้อม พรานป่ารีบหันขวับไปมองหน้ามาครอสซึ่งเดิมดูจะเป็นมิตรที่สุด หากก็พบเพียงสีหน้าเย็นชาไม่ต่างจากคนอื่น
"ท่าจะต้องออกแรงอีกแล้วล่ะ" เคชบ่นเบาๆพอให้ได้ยินกันสองคน
"ลองเจรจาดูก่อนละกัน" อีกฝ่ายกระซิบกลับ มองนักดาบหนุ่มที่ดูท่าทางแล้วจะเป็นหัวหน้าด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย
"พวกนายต้องการอะไร ถ้าเป็นเสบียงล่ะก็พอปันให้ได้ แต่เราเหลือแบ่งไม่มากหรอกนะ" ดีอัสถามเสียงเย็น พอจะคาดเดาได้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่ที่เอ่ยถึงเรื่องเสบียงนั้นเป็นเพียงการเสนอน้ำใจอย่างหนึ่ง ส่วนประโยคสุดท้ายนั้นเป็นการขีดเส้นแบ่งไว้ให้ชัดเจน
หากต้องการของที่ไม่สามารถให้ได้...งานนี้ก็ต้องเหนื่อยกันหน่อยล่ะ!
"ฮ่ะๆๆๆ ของแบบนั้นใครจะต้องการกัน พวกนายอย่ามาทำแกล้งเซ่อดีกว่าน่า"
นักดาบหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ทว่าเมื่อหยุดแล้วกลับกระชากดาบใหญ่ออกจาฝัก ย่างขุมเข้ามาด้วยท่าทีข่มขู่ คนอื่นๆต่างก็ชักอาวุธออกมาเช่นกัน รวมถึงมาครอสที่ตอนแรกไม่มีอาวุธด้วย อาวุธของเขานั้นเป็นลูกบอลกลมๆขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกินหนึ่งนิ้ว เคชคะเนเอาว่าคงเป็นมือระเบิด ส่วนตัวเคชเองนั้นขึ้นนกปืนคู่กายอยู่ในท่าเตรียมพร้อมตั้งแต่จับสัมผัสคนทั้งหกได้แล้ว
"มันต้องไอ้มังกรตัวนั้นสิ ในเมื่อพวกแกไม่ได้ลงมือฆ่า ก็ถือซะว่าพวกแกไม่ได้เจอละกัน!"
ว่าแล้วเชียว...เจ้าชายหนุ่มผมเงินนึกอย่างระอาใจ
มังกรเป็นสัตว์หายากราคาแพง ถึงจะแม้ไร้ชีวิตแล้วซากของมันก็ยังเป็นที่ต้องการ มีคนหาซื้อกันในราคาสูงลิ่ว ที่เจ้าพวกนี้รวมกลุ่มกันก็ไม่ใช่เพราะต้องการสอบเข้าโรงเรียนมหาเวทหรอก คงคิดจะมาตกทองจากการสอบมากกว่าจำพวกสมุนไพรหายากหรืออาวุธโบราณล้ำค่าทั้งหลายที่ทางโรงเรียนมหาเวทสุ่มซ่อนๆไว้ล่อตาล่อใจ
แถมเจ้ามังกรไฟที่นอนจมกองเลือดอยู่นี่ ก็ยังดันเป็นบ่อทองขนาดมหึมาเสียด้วย!
"เอาไงล่ะ แค่พวกแกยอมจากไปดีๆเรื่องก็จบ " อีกฝ่ายเร่งเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองเอาแต่ยืนนิ่ง พรรคพวกที่เหลือต่างเริ่มขยับอาวุธกันแกรกกรากราวกับจะสนับสนุนคำพูดของคนเป็นหัวหน้า
"นั่นสินะ พวกเราก็แค่จะมาสอบเข้ามหาเวท ขืนมามัวแต่ฟัดกับพวกนายก็เหนื่อยฟรีเปล่า " เคชเอ่ยยิ้มๆ ไม่สนใจเสียงขวานที่ถูกควงแหวกอากาศหวิวๆเหมือนจงใจจะข่มขวัญ ท่าทางเรื่อยเปื่อยเหมือนสบายๆของพรานป่านั้นขัดหูขัดตานักดาบเอาไม่น้อย
"...ก็อยากจะพุดอย่างนี้อยู่หรอก แต่ฉันไม่ใช่คนตัดสินใจซะด้วยสิ เขาว่าไงฉันก็ว่าตามนั้นแหละ" ว่าแล้วก็พยักเพยิดไปทางเจ้าชายผมเงินที่ยืนอยู่ข้างๆ ส่วนดีอัสที่อยู่ดีๆก็โดนผลักภาระมาให้นั้นก็ได้แต่ปรายนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มไปมองอย่างคาดโทษ ก่อนจะเอ่ยตอบสั้นๆตามนิสัย
"มังกรนั่นเป็นของฉัน ให้ไม่ได้"
คำปฎิเสธแบบไร้เยื่อใยทำเอานักดาบหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกราดเกรี้ยว
"ต้องได้!" ขาดคำ ดาบใหญ่ก็ฟาดลงมาหมายสะบั้นคอคนปากดี และอาวุธทุกอย่างก็พร้อมใจกันส่งเสียงกัมปนาท!!!
เปรี้ยง!
กระสุนจากปืนไรเฟิลในมือของพรานป่าพุ่งทะลวงหน้าอกของนักดาบผู้โอหังอย่างแม่นยำ วินาทีต่อมาร่างโชกเลือดนั้นก็ถูกแสงสีขาวห่อหุ้ม พาตัวออกไปจากสนามรบขนาดย่อมด้วยผลจากเวทมนต์คุ้มครองที่ติดตัวผู้เข้าสอบทุกคนมาตั้งแต่ต้น หากแรงอาฆาตนั้นยังมากพอที่จะทำให้นักดาบหนุ่มใช้สติเฮือกสุดท้ายเขวี้ยงอาวุธคู่กายออกไป คมดาบเหวี่ยงเข้าใส่เคชที่เบี่ยงตัวหลบได้ฉิวเฉียด หยดเลือดค่อยๆซึมออกจากแผลบาดเล็กบริเวณต้นคอ
พรานป่ายิ้ม ปาดเลือดออกอย่างไม่ยี่ระ สะบัดปืนในมือกระโจนเข้าสู่สมรภูมิเคียงข้างเพื่อนร่วมทาง ไม่รู้ตัวเลยว่าสร้อยที่แขวนจี้รูปมังกรหมอบซึ่งพ่อย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าให้ห่างจากกาย บัดนี้ถูกคมดาบตัดกระเด็นตกลงไปเปื้อนฝุ่นอยู่ที่พื้นเสียแล้ว
ส่วนคนอื่นเมื่อเห็นเพื่อนร่วมทีมถูกพาตัวออกไปต่อหน้าต่อตานั้นก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นกำลัง ต่างยิ่งระดมอาวุธเข้าห้ำหั่นอย่างไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวของความเมตตา
ดีอัสเบี่ยงตัวหลบขวานยักษ์ที่เงื้อฟันลงมา คมขวานแหวกกรีดอากาศส่งเสียงหวีดหวิวพลาดเรือนผมสีเงินไปเพียงฉิวเฉียด พร้อมกันนั้นดาบยาวในมือเจ้าชายก็แทงสวนสวบเข้ากลางหน้าอกอย่างถนัดถนี่ เลือดสดๆสีแดงฉานพุ่งทะลักออกมาตามแรงกระชาก เกิดเป็นลำแสงสีขาวนำตัวนัก
สู้ออกไปจากสมรภูมิอีกราย
"แก..." มาครอสสำรอกเสียงออกมาด้วยความโกรธแค้นเมื่อเห็นการสูญเสียเพื่อนพ้องไปต่อหน้าต่อตาทีเดียวสองคน เนื่องจากอาวุธของเขาไม่เหมาะกับการต่อสู้ระยะประชิด หน้าที่ของเขานั้นจึงเป็นกองหลังคอยช่วยเขวี้ยงระเบิดก่อกวนศัตรูทั้งสองมากกว่าที่จะมุ่งประหัตประหาร
เปรี้ยงๆๆๆ!
ระเบิดขนาดเท่าลูกปิงปองสามสี่ลูกที่ขว้างไปหมายจะสกัดกั้นทัศนวิสัยของเจ้าชายผมเงินนั้นถูกกระสุนไรเฟิลเจาะเข้าอย่างแม่นยำจนระเบิดกลางอากาศจนหมดสิ้น นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่มาครอสไม่เข้าใจ โดนรุมถึงหกคน หากกลับมีเพียงเด็กหนุ่มนักดาบเท่านั้นที่รับหน้า ส่วนอีกคนหนึ่งเพียงยิงสนับสนุนเท่านั้น ผิดวิสัยการต่อสู้ที่มีจำนวนคนฝ่ายตนน้อยเป็นอย่างยิ่ง
"รีอา ใช้ท่าประสานกับเควสเลย " เมื่อเห็นฝั่งตนสูญเสียไปถึงสองในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยเฉพาะการสุญเสียนั้นหมายถึงหัวหน้ากลุ่ม มาครอสจึงรับหน้าที่ตะโกนสั่งการลูกทีมแทน ชัดเจนว่าเป็นกลุ่มที่มีการรวมตัวมาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่เพิ่งมาจับผลัดจับพลูร่วมมือกันแบบเคชกับดีอัส
สิ้นประโยค เด็กสาวท่าทางเรียบร้อยที่ชื่อรีอากับเด็กหนุ่มผู้ใช้ปืนคู่สองกระบอกโตก็ขยับตัว รีอาขยับไม้เท้าในมือวาดเป็นอักขระเวทอย่างง่ายประทับลงบนปืนของเพื่อนร่วมทีม ส่วนเจ้าของปืนที่ชื่อเควสนั้นกลับทำสิ่งที่แปลกประหลาด เขาดึงสไลด์ปืนออกและสะบัดกระสุนออกจากรังเพลิงจนหมด วินาทีถัดมาปืนสั้นสีดำขลับไร้กระสุนทั้งสองก็เปล่งประกายสีเขียวรัสมีเรืองรอง แม้จะไร้กระสุน หากเมื่อลั่นไกกลับมีลำแสงเวทมนต์พุ่งออกมาแทน
เป้าหมายของลำแสงนั้นไม่ใช่ดีอัส...แต่เป็นพรานป่าแห่งฟลอเรนส์
"เฮ้ย!เล็งมาทางนี้ทำไมวะ" เคชสบถ ทว่าแทนที่จะหลบ เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังฉายประกายกึ่งสนุกสนานกลับฉีกยิ้มกว้าง ไรเฟิลในมือลั่นไกสวนกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว ลูกกระสุนที่ถูกสับชนวนนั้นพุ่งตรงผ่านลำกล้องไปอย่างเริงร่า เจาะทะลุกลางแสกหน้าของมือปืนฝั่งตรงข้ามอย่างแม่นยำ ก่อให้เกิดลำแสงสีขาวจ้าพาร่างโชกเลือดหายวับไปจากสายตา ส่วนลำแสงมนตรามรณะสีเขียวนั้นแตกสลายไปทันทีที่กระทบกับโล่ปราการใสซึ่งโผล่เข้ามาขวางไว้ทันการด้วยฝีมือของนักดาบที่เริ่มกลับไปใช้เวท
"บะ...บ้าน่ะ!!" เสียงใสของเด็กสาวครางเบาๆอย่างแทบไม่เชื่อสายตา
เก่ง...สองคนนี้เก่งเกินไปแล้ว...
"เอ้า...เหลือแค่สามคนแล้วนะ " เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลสั้นเอ่ยยิ้มๆ ไรเฟิลสีดำสนิทในมือวาดศูนย์เล็งไปที่หน้าอกของมาครอส ก่อนจะกระดิกนิ้วลั่นไกสังหาร
ปัง!
ผิดคาด แทนที่ร่างของมือระเบิดหนุ่มจะถูกแสงสีขาวห่อหุ้มนำตัวออกไปจากสมรภูมิ แต่กลับเป็นนักเวทสาวนามรีอาที่ยืนอยู่เยื้องกันแทน ร่างบางของเธอผงะตามแรงกระสุน ก่อนจะหายตัวไปท่ามกลางแสงจ้าและคราบเลือดที่สาดกระเซ็น
มาครอสแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
คนๆนั้น...เบี่ยงศูนย์เปลี่ยนเป้าหมายได้พลายในเสี้ยววินาที เป็นไปได้ยังไงกัน?!
หากคนยิงกลับไม่มีท่าทางดีใจเลยสักนิด ตรงกันข้าม เคชในตอนนี้ดูตกใจ ประหม่า...และตื่นกลัว!
สั่น...มือของเขาสั่นไม่หยุด
เมื่อครู่เขาไม่ได้เล็งรีอา มันเป็นเพียงแค่ความบังเอิญที่กระสุนไปถูกเธอเข้า
นี่เขาเป็นอะไรไป...ทำไมถึงควบคุมตัวเองไม่ได้เลย
โธ่เว้ย!!หยุดสั่นซะทีสิ ปวดหัว...ทำไมอยู่ดีๆก็ปวดนะ แถมยิ่งปวดมากขึ้นเรื่อยๆนะ ปวดจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว
มองอะไรไม่ชัดเลย ทุกอย่างเบลอไปหมด บ้าชะมัด...
พลันร่างของเคชก็ล้มฟุบทรุดตัวลงไปราวกับหุ่นตุ๊กตาชักที่ไร้เชือกดึง สติสุดท้ายที่กำลังลอยหลุดออกจากร่างแว่วเสียงตะโกนลั่นของใครสักคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเจ้าชายไร้อารมณ์...
"เคช!!!" ดีอัสร้องออกไปจนสุดเสียง คทาในมือไร้ความหมายเสียแล้วเมื่อเจ้าของทิ้งมันลงพื้นอย่างไม่ไยดีพลันปราดเข้าไปประชิดตัวเพื่อนร่วมทางที่ล้มฟุบลงไปนอนกับพื้น สองมือเขย่าปลุกร่างที่นอนแน่นิ่งหวังให้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งหากไม่สัมฤทธิ์ผล เวทรักษาบทแล้วบทเล่าเรืองแสงสว่างวาบอยู่เหนือมือก่อนหายวับเข้าไปในกายของพรานป่าผู้ไร้สติ หากทว่าก็เหมือนเป่าลมลงไปในถุงที่มีรูรั่ว ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆจากเจ้าคนขี้เล่นที่เขาเคยนึกรำคาญ
สิ่งเดียวที่ทำให้เจ้าชายแห่งไรอัสยังพอโล่งใจอยู่บ้างคือลมหายใจและชีพจรที่ยังคงเต้นสม่ำเสมอของเพื่อนร่วมทาง พลันนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่งามก็ทอประกายกร้าว ประกาศชัดถึงความโกรธที่พร้อมจะระเบิดเข้าใส่ทุกสิ่งที่ขวางทาง ดาบยาวเล่มงามถูกปลดออกจากฝักที่เหน็บไว้ข้างเอวราวกับดอกไม้แย้มกลีบพร้อมเริงระบำ
ใคร...ใครกันกล้าบังอาจทำให้เจ้าพรานงี่เง่านี่เป็นแบบนี้?!
สายตาคู่อันเย็นเยียบและร้อนระอุราวภุเขาไฟซึ่งฉาบทับไว้ด้วยหิมะค่อยๆเบือนไปมองร่างของศัตรูเพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ มาครอสหน้าซีด เด็กหนุ่มในยามนี้หมดสิ้นกำลังใจที่จะสู้เสียแล้ว ร่างของมือระเบิดแข็งทื่อ หวาดกลัวจนมิอาจแม้เขยื้อนกายราวกับถูกจับแช่ไว้ในน้ำแข็ง รับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าคนผมเงินตรงหน้าเตรียมจะหันคมเขี้ยวเข้าขย้ำตน...
กรรรรร!!!!
โชคดีเป็นของมาครอส เสียงคำรามลึกที่รุนแรงถึงขนาดทำแผ่นดินสะเทือนนั้นมีอานุภาพพอที่จะชะงักเพลงดาบสังหารในมือดีอัสไว้ได้ มือระเบิดนั้นฉวยโอกาศนี้หันหลังวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินเมื่อเบือนสายตาไปมองต้นเหตุของเสียงประหลาดแล้วก็พลันชาวาบ ลืมเหยื่อที่หนีไปได้โดยสิ้นเชิง
มันเป็นความรู้สึกที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความตื่นตกใจและหวาดกลัว....
ร่างที่ล้มฟุบของพรานป่านั้นบัดนี้ค่อยๆลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีแข็งทื่อเหมือนถูกฉุดด้วยโซ่ บาดแผลทั้งหมดกำลังฟื้นฟูตัวเองด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ ทั้งกลางแผ่นหลังก็ปรากฎปีกใหญ่หุ้มด้วยเกล็ดแข็งแบบเผ่าพันธุ์มังกร เช่นเดียวกับเรือนผมยุ่งเหยิงสีน้ำตาลเข้มที่แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มขี้เล่นก็กลับกลายเป็นสีเงินใสกระจ่างไร้ความรู้สึกใดๆ หากที่ทำให้รัชทายาทแห่งไรอัสถึงกับมือสั่นเทาได้นั้นคือจิตสังหารอันรุนแรงและพลังเวทอันมหาศาลที่พุ่งทะลวงออกมาเหมือนจะฉีกทุกอย่างออกเป็นชิ้นๆ
"เคช?" ดีอัสกระซิบเบาๆ หวังอย่างสุดหัวใจให้คนตรงหน้ากลับมาเป็นเจ้าคนมากเล่ห์ตามเดิม หากก็ต้องผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายไม่มีท่าทีตอบสนอง สายตาคู่ไร้อารมณ์สีเงินของพรานป่าที่กลายเป็นราชาอสูรจ้องอดีตเพื่อนร่วมทางอย่างชั่งใจครู่หนึ่ง ดูเหมือนเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับร่างผอมบางที่เต็มไปด้วยบาดแผลของนักเวทผู้ไร้คทาตรงหน้าดี
พลันเคชก็แสยะยิ้ม...มันเป็นรอยยิ้มอันตรายที่ทำให้ดีอัสหมดสิ้นความวางใจ และความไม่เชื่อนี้เองที่ทำให้เขาเอาชีวิตรอดมาได้ เพราะเพียงพริบตา ราชาอสูรก็สะบัดปีกหาบวับไปจากจักษุภาพของเจ้าชายรัชทายาท ก่อนจะไปปรากฎอยู่ด้านหลังพร้อมทั้งลำแสงเวทในมือ!
เปรี้ยง!!!
หากเจ้าชายแห่งไรอัสหันกลับไปเรียกเกราะอาคมขึ้นมาไม่ทัน ป่านนี้ร่างของเขาคงมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีไม่ต่างไปจากภูเขาด้านหลังที่แม้หินยังลุกเป็นเพลิง ทว่าแรงปะทะอันหนักหน่วงของความเข้มข้นของอณูเวทมนต์จำนวนมหาศาลได้ผลักเด็กหนุ่มผมเงินจนล้มไถลไม่เป็นท่า ดีอัสเค้นลมหายใจหนักหน่วง มืออ่อนล้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลฝืนบัญชามนตราขึ้นต่อกรกับลูกครึ่งมนุษย์มังกรที่กำลังแสยะยิ้มแยกเขี้ยว นัยน์ตาสีเงินที่มองมานั้นไม่มีความประสงค์ดีเลยแม้แต่น้อย
...เปรี๊ยะ...เปรี๊ยะ...เปรี๊ยะ
เสียงลั่นเหมือนแก้วที่กำลังร้าวดังขึ้นเป็นท่วงทำนองไพเราะ มันเป็นบทเพลงที่ฉุดหัวใจคนฟังให้หล่นวูบ รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบกายที่ไร้มนตราห่อหุ้มอย่างเคย
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ถึงกับทำให้เขตอาคมคุ้มครองของโรงเรียนมหาเวทสูญสิ้น...จากนี้ไป หากต้องจบชีวิตลงก็คงไม่มีโอกาศลืมตาดูโลกอีกเป็นหนที่สอง!!
"เคช เซเบเรีย" น้ำเสียงเรียบเฉยแสดงให้เห็นว่าคนพูดนั้นยังคุมสติได้ดีเยี่ยมสมกับเป็นเจ้าชาย แม้สภาพตอนนี้จะคล้ายกับยาจกเข้าไปทุกที
"แก...ติดหนี้ฉันอยู่ " นักเวทผู้อ่อนแรงค่อยๆพยุงกายโซเซลุกขึ้นช้าๆ หากถ้อยกระซิบที่หลุดออกจากปากนั้นกลับกระจ่างชัด ประกายเย็นเยียบในดวงตาคู่สีน้ำเงินเข้มสบกับแววตาไร้ความรู้สึกสีเงินอย่างไร้ซึ่งความกลัวเกรง
รู้ดี...รู้ดีว่าตัวเองในตอนนี้มันทั้งอ่อนแอและอ่อนล้าแค่ไหน
โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจที่น่ากลัวราวกับราชาเช่นนี้
แต่จะให้ทำยังไงได้ ถ้าอยากมีชีวิตรอดก็มีแต่ต้องสู้เท่านั้น
ยิ่งต้องมาตายเพราะไอ้พรานป่างี่เง่านี่...ไม่เอาด้วยหรอก!
...น้ำยาเวทมนต์ขวดที่เท่าไหร่ก็เหลือจะนับถูกกรอกเข้าปากทีเดียวสองขวดรวด รสชาติขื่นคอยิ่งกว่าครั้งใดๆเพราะฝืนกฎต้องห้ามที่บัญญัติไว้ว่าเพียงหนึ่งขวดต่อหนึ่งวัน เมื่อเลือกที่จะรั้น ผลสะท้อนที่ต้องรับคือตัวยาสีส้มที่กลืนเข้าไปแม้จะเพิ่มพลังมนตราให้ ทว่าก็จะกัดกร่อนอวัยวะภายในไปด้วยในอัตราที่เท่าเทียมกัน
ความเหนื่อยล้าที่ฝืนสะสมมานานยิ่งดูจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น คทาที่หักแล้วย่อมไร้ประโยชน์ สิ่งทดแทนที่ถืออยู่ในมือนั้นมีเพียงดาบเงินเล่มยาวซึ่งตอนนี้ถูกใช้ต่างไม้เท้า ดูน่าเย้ยหยันมากกว่าเกรงขาม
ทว่าลูกครึ่งมังกรผู้เป็นดั่งราชาคลั่งแห่งมวลอสูรกลับสงบนิ่ง หยุดอาละวาดทันทีที่ประสานกับสายตาคู่สีน้ำเงินเข้มที่แผดประกายเจิดจ้าเฉกดวงไฟแห่งแดนพิพากษาคนตาย มันเป็นเสี้ยววินาทีที่ทุกสิ่งหยุดชะงัก แม้เวลาก็ดูราวกับถูกแช่แข็งไว้
หยุดนิ่ง...เนิ่นนาน...อึดอัดเสียจนหากใครขยับตัว สมดุลที่มีอยู่ก็จะพังครืนลง
เปรี้ยง!!!!เปรี๊ยะๆๆๆๆ!!
เสียงลำแสงเวทพุ่งปะทะเข้ากับกำแพงมนตราลั่นขึ้นในวินาทีเดียวกับที่เคชสะบัดกางปีกสีขาวบริสุทธิ์ออกจะโผบินขึ้นไปบนผืนนภา หากเจ้าชายมังกรก็ยังช้าไปเมื่อวินาทีถัดมาดาบยาวแทงพรวดเข้ามาใส่เข้าที่จุดตายราวกับไม่เปิดโอกาสให้ร้องขอชีวิต เคชเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาติญาณ ถึงจะเลี่ยงมาได้ ทว่าก็ถูกทิ้งรอยแผลเป็นทางยาวไว้ที่แขนซ้าย รอยบาดตื้นเขินจนแทบไม่รู้สึกเจ็บปวด โลหิตสีแดงสดที่ค่อยๆไหลซึมออกมาตะหากเล่าที่ทำให้อสูรร้ายคลั่งยิ่งขึ้น นัยน์ตาสีเงินเหลือบมองแผลของตนอย่างเฉยชา ก่อนจะยกแขนขึ้นเลียลิ้มรสเลือดด้วยสายตาหลงใหลน่าสะอิดสะเอียน
ประสาทสัมผัสที่เร่งเร้าจนถึงขีดสุดร้องเตือนถี่ให้ดีอัสรีบถอยห่างออกจากปีศาจตรงหน้า ร่างบางของเจ้าชายแห่งไรอัสตวัดดาบพลางกระโดดถอยวูบ หลบลำแสงมนต์มังกรสีขาวทันอย่างฉิวเฉียด หากเรี่ยวแรงทั้งหมดก็สูญสิ้นจนไม่อาจกลับไปเผชิญหน้ากับปีศาจตนนั้นได้อีกครั้ง
แบบนี้...มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงนะ
ร่างเปื้อนเลือดของเจ้าชายแห่งไรอัสกระโดดทิ้งตัววูบหมอบราบไปกับพื้น รู้สึกได้ถึงไอเวทมนต์จำนวนมหาศาลที่พุ่งผ่านหัวไปแบบฉิวเฉียดหากยังไม่ทันมีเวลาพอให้นึกโล่งใจ การโจมตีอีกระลอกก็ทิ้งตัวลงมาจากฟ้าจนดีอัสต้องออกวิ่งล้มลุกคลุกคลานหนีอีกครั้ง
แฮ่ก...แฮ่ก...
เด็กหนุ่มผมเงินได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นระรัวราวกับจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ ร่างกายนั้นเล่าก็อ่อนล้าเสียจนสั่งการไม่ได้ดั่งใจ ทั้งคทาคู่กายก็หักสะบั้น เวทมนต์ที่ควรเรืองฤทธิ์ก็สิ้นสูญ และเพื่อนร่วมทางเพียงหนึ่งเดียว...
เพื่อนร่วมทางเพียงหนึ่งเดียวก็กลายมาเป็น'ปีศาจ'เสียแล้ว
เปรี้ยง!!!
ลำแสงมนตราสีขาวจ้าพุ่งลงมาจากเบื้องบนห่างจากร่างที่กำลังหมอบอยู่เพียงไม่กี่เมตร นัยน์ตาสีเงินดิบเถื่อนของเจ้าชายมังกรมองเหยื่อที่กำลังสิ้นเรี่ยวแรงด้วยสายตาที่ไม่ต่างอะไรไปจากมองสิ่งมีชีวิตไร้ค่าที่แสนอ่อนแอ มันไม่ได้หิวหรอก สิ่งเดียวที่ฝังลึกเหมือนเป็นแรงขับนั้นมีเพียงการฆ่าเท่านั้น ไม่ได้สนุก ไม่ได้อยากได้สิ่งใด เพียงแค่ไม่รู้จักอะไรนอกจากคาวเลือดและการสังหาร
ไม่เหลือเวทพอจะต้านแล้วซะด้วย...ช่วยไม่ได้ล่ะนะ
ดีอัสคิดพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม หวังจะหยิบน้ำยามนตราสีส้มขึ้นมาดื่ม หากปลายนิ้วมือกลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า ความกลัวแล่นวาบขึ้นมาตามปลายประสาทดิ่งลึกเข้าไปถึงหัวใจเมื่อตระหนักได้ถึงความจริงที่แสนเย็นเยียบ
ตอนนี้เขาไม่มีทั้งมนตราน้ำยาเวทมนต์หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว!!!
ทว่ายังไม่ทันที่เจ้าชายแห่งไรอัสจะได้ลงมือทำอะไรนั้นเอง ลำแสงสีขาวแห่งความตายก็พุ่งตรงลงมาจากฟากฟ้า ประกายอันเจิดจ้าของมันดูราวกับคมเคียวของมัจจุราชที่กำลังจะฟาดฟันลงมาหมายปลิดชีวิต เหนือลำแสงนั้นคือร่างของเจ้าชายแห่งมังกรที่ลอยอยู่เหนือผืนฟ้าด้วยอำนาจแห่งราชา
ดาบยาวถูกยกขึ้นตั้งรับเป็นเดิมพันสุดท้าย น่าแปลกทั้งๆที่สิ้นเรี่ยวแรง ไร้มนตรา หมดหนทางที่จะเอาชนะอสูรร้ายตนนี้แล้วแท้ๆ แต่นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่ฉายประกายเย็นเยียบอยู่เสมอบัดนี้กลับลุกโชนเช่นเปลวไฟ...เปลวไฟที่จะเผาไหม้จนกว่าดับดิ้น
รู้ทั้งรู้...ดาบนี้แม้เป็นดาบดี ทว่าก็ยังไม่คงทนพอที่จะทานรับพลังทำลายอันมหาศาลเช่นนั้นได้ หากดาบแตกไป คราวหน้าก็คงเป็นชีวิตเขา
แต่ก็นะ จะให้มาตายเพราะไอ้พรานป่างี่เง่านี่ ไม่เอาด้วยหรอก!
ตูม!!!
ลำแสงสีขาวเมื่อพุ่งกระทบวัตถุก็ระเบิดออกฉีกกระชากมวลอากาศ ผลักทุกอย่างให้หวนคืนสู่ความว่างเปล่าอันเป็นนิรันด์ ไม่มีเหตุผลใดทรงพลังพอที่จะรับรองว่าเจ้าชายดีอัส เรเฟรัส จะยังคงมีลมหายใจอยู่ใต้แสงสว่างโพลนจ้านั้น
ทว่าเหตุผลของมนุษย์...กับเหตุผลของมังกร บางทีก็ไกลกันแค่เส้นบางๆกั้น
"นี่ แก..." ร่างบางชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงสดกลิ่นคาวคลุ้ง หากนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มกลับเบิกกว้าง ด้วยรู้ว่าของเหลวอุ่นนั้นไม่ใช่โลหิตที่เกิดแต่กายของตน ทว่ากลับเป็นของร่างสีเพลิงที่กำลังทรุดตัวลงหมอบอยู่เบื้องหน้า
ทำไม...ทำไมถึงต้องเข้ามาปกป้อง
ทำไมต้องปกป้องคนที่เอาดาบฟาดใส่แกด้วย
แล้วทำไม...ถึงมีแต่ฉันเท่านั้น ที่ต้องให้คนอื่นคอยมาปกป้องทุกที
สองมือนี้ ไม่เคย ปกป้องใคร ได้เลย...
เร็วเท่าความคิด ดีอัสรีบร่ายมนต์เรียกพลังเวทแห่งการรักษาขึ้นมาไว้บนมือ หากเปลวแสงมนตราสีเหลืองทองนั้นกลับเปล่งประกายริบหรี่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะดับมอดไปราวกับดอกไม้เพลิงที่หมดเชื้อ
...จริงสินะ เราไม่เหลือพลังเวทแล้วนี่ สภาพแบบนี้นี่น่าสมเพชเป็นบ้า...
(เปล่าประโยชน์ เจ้าเองก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วนี่ว่ามนตราของมนุษย์ใช้รักษามังกรไม่ได้)
เสียงแหบแห้ง ขาดห้วงเป็นจังหวะเหมือนคนเจ็บหนักใกล้ตายดังขึ้น เมื่อเห็นเจ้าชายแห่งไรอัสพยายามที่จะร่ายเวทเยียวยาบาดแผลให้ตน เป็นผลให้ดีอัสชะงักมือ แทบไม่เชื่อหูตนเอง แต่ถึงจะตกใจแค่ไหน คงมีเพียงสีหน้าเท่านั้นที่รักษาความเยือกเย็นไว้อย่างดีเยี่ยม
เมื่อกี้...เจ้ามังกรนี่...พูดภาษามนุษย์?!!
ใช่ว่าจะไม่เคยทราบเรื่องราวเกี่ยวกับมังกรที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แต่มังกรเหล่านั้นล้วนแต่เป็นมังกรชั้นสูงซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าเอร์ริเธียร์
แต่สำหรับมังกรเพลิงสีแดงก่ำที่ร่างอาบย้อมไปด้วยโลหิตเบื้องหน้านั้น ดูยังไงๆก็เป็นแค่มังกรบ้าไม่มีหัวคิดชัดๆ
"นาย...เป็นคนพูด งั้นหรือ" ถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ แต่เมื่อเอ่ยออกไปแล้วกลับรู้สึกว่าเป็นคำถามที่งี่เง่าสิ้นดี โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงที่ฟังดูเหมือนกำลังพยายามหัวเราะดังขึ้นแทนคำตอบ
(เจ้าเองก็รู้นี่ นอกจากข้าแล้วยังจะมีใครอีกล่ะ เจ้าชายของข้าอยู่ในสภาพนี้คงไม่พูดอะไรหรอก)
"หมายความว่ายังไงกัน...เจ้าชาย..ของนาย?" เด็กหนุ่มผมเงินทวนคำด้วยความแปลกใจ แต่จริงๆแล้วเขายังควรจะประหลาดใจอยู่หรือ เพราะคงไม่มีเรื่องใดชวนให้ตกใจมากไปกว่าการที่อยู่ดีๆเพื่อนร่วมทางจอมกวนประสาทกลายเป็นราชาอสูรร้ายแล้วล่ะ ต่อให้คำว่าราชาอสูรจะถูกแทนที่ด้วยคำว่าเจ้าชายแห่งมังกรก็ตามที
(ชีวิตข้าคงเหลือไม่มาก ข้าเฟนริล ขอถาม...นามของเจ้า) มังกรเพลิงไม่ตอบ ไม่รู้เพราะจงใจเลี่ยงหรือไร้เรี่ยวแรงจะอธิบายกันแน่ เสียงที่เปล่งออกมานั้นขาดเป็นห้วงๆ
"ข้า ดีอัส เรเฟรัส รัชทายาทแห่งไรอัส "
เมื่อได้ยินคำแนะนำตัวประกาศฐานันดรชัดแจ้ง ปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวของเจ้าสัตว์ร้ายที่นอนเลือดโทรมกายก็แสยะออกเป็นรอยยิ้ม นัยน์ตาสีแดงเพลิงหรี่ลงคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
มันคงเป็นคำสาปของวิญญาณที่ใกล้จะหลุดลอยกระมัง...ที่จะบันดาลให้ทุกชีวิตนึกย้อนรำลึกไปยังห้วงอดีตของตน
เฟนริลคิดถึงช่วงเวลาที่มันยังป็นเพียงลูกมังกรตัวน้อย...
"เฟนริล...ทำตัวให้มันดีๆหน่อย เป็นแบบนี้จะมีใครอยากเป็นนายเจ้ากัน" เสียงเอื่อยเฉื่อยแกมเอ็นดูของมังกรเฒ่าดังขึ้นในห้วงความคิด ภาพที่ปรากฎอยู่ในอนุสติคือร่างอันใหญ่โตสีน้ำเงินเข้มจัด เกล็ดหนาเต็มไปด้วยแผลเป็นและริ้วรอยบ่งบอกถึงชีวิตที่ถูกใช้มาอย่างโชกโชน นัยน์ตาสีน้ำทะเลที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวกำลังจับจ้องลูกมังกรตัวจ้อยที่สูงยังถึงข้อขาของมันดีด้วยซ้ำ
"ข้าน่ะ ไม่มีวัน...ไม่มีวันยอมลดตัวลงไปรับใช้มนุษย์หรอก" มังกรเพลิงตัวน้อย...หรือหากจะพูดให้ถูกคือเฟนริลตัวกะเปี๊ยกชะงักคมเขี้ยวที่กำลังขย้ำคอเพื่อนอยู่ทันที มันถึงขนาดผละจากการเล่นที่กำลังสนุกเพื่อมายืนหน้าบูดหน้างออยู่ตรงหน้ามังกรชรา แม้จะเป็นเด็ก แต่สายตาแน่วแน่ที่ประสานมานั้นทำให้ผู้สูงวัยทราบดีว่าเจ้าตัวจ้อยตรงหน้านี่คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ
นั่นแหละที่ทำให้เรื่องมันลำบากเข้า...มังกรชรานึกอย่างปลงๆ ชีวิตที่ผ่านการเคี่ยวกรำมานานทำให้มันชาชินเสียแล้วกับโชคชะตาที่มักเล่นตลก แต่ถึงจะคุ้นชินอย่างไร ก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอนาคตของเจ้าหนูเฟนริลไม่ได้
ถ้าเพียงแต่สงครามในครั้งนั้นเหล่ามังกรไม่ได้เป็นฝ่ายปราชัย ถ้าเพียงแต่กษัตริย์มนุษย์ไม่ได้บีบบังคับพวกเราด้วยสนธิสัญญาเลือด และถ้าเพียงแต่ราชินีผู้เป็นนายเหนือของมังกรทั้งปวงจะทรงเลือกเด็กมังกรตัวอื่นแทน...เอาไอ้ตัวที่มันดื้อน้อยๆกว่าไอ้ตัวนี้น่ะ
เพียงแค่คิดมังกรน้ำเฒ่าก็ชักจะเริ่มปวดหัวกับอนาคตที่ชักเริ่มส่อเค้าจะวุ่นวาย มันเลี้ยงเฟนริลมาตั้งแต่เจ้านั่นยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำไมถึงจะไม่รู้ฤทธิ์ของเจ้าตัวแสบที่ทั้งซนทั้งดื้อ แถมยังรั้นยิ่งกว่าใครนี่
ถ้ามันบอกเองว่าจะไม่ยอมมีนาย...ไม่ยอมลดตัวลงไปรับใช้มนุษย์ ต่อให้ราชินีปรากฎตัวเองก็คงบังคับมันไม่ได้ นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่จะต้องมาเป็นเจ้านายของมัน ต่อให้ใช้เวทมนต์พันธนาเท่าไร ถ้ามันไม่ยอมรับก็อย่าหวังเลยว่าจะเอามันอยู่
ทว่าถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ถ้อยคำที่หลุดออกจากปากมังกรชรากลับเป็นคำตำหนิ
"โชคชะตา ข้าลิขิตไม่ได้ เจ้าลิขิตไม่ได้ ในเมือมันเป็นหน้าที่ เจ้าก็ควรแบกรับเอาไว้ด้วยความภาคภูมิใจ"
หน้าที่บูดอยู่แล้วของมังกรน้อยยิ่งบึ้งหนักกว่าเดิม หากยังมิวายแอบเถียง
"ชีวิตข้าเป็นของข้า ถ้าจะแบกก็ต้องเป็นหน้าที่ที่ข้าตัดสินใจรับ ไม่ได้มีไว้เพื่อแบกหน้าที่ของใครไม่รู้ที่มาโยนๆให้ข้า"
นัยน์ตาสีทับทิมของมังกรน้อยปรากฎแววกร้าวเกินวัย แต่มังกรชราไม่นึกแปลกใจหรอก สมควรอยู่ที่เฟนริลจะโกรธ ในเมื่อมันโตมาพร้อมๆกับหน้าที่อันนี้ที่ถูกบังคับให้แบกรับไว้...หน้าที่ที่เกิดจากสนธิสัญญาเลือดฉบับนั้น
ผลจากการพ่ายแพ้สงคราม เหล่ามังกรถูกบังคับให้ส่งเด็กมังกรตัวที่ดีที่สุดไปรับใช้มนุษย์ทุกๆร้อยปี นัยว่าเพื่อเป็นการป้องกันมิให้พวกมังกรเก่งกาจมากเกินไปจนคิดก่อการสงครามขึ้นอีกครั้ง แต่วัตถุประสงค์จริงๆของสัญญานั้นคืออะไร มังกรเฒ่าก็คิดว่าตนทราบดี
หึหึหึ ถ้าส่งเฟนริลไป...อาจเป็นมนุษย์เองที่อยากกลับมาทำสงครามกับมังกร ผู้เฒ่าชรานึกขันๆ ทั้งๆที่ใจจริงยังกังวลอยู่ไม่น้อย เพราะเฟนริลมิใช่ลูกมังกรธรรมดา หากแต่เป็นลูกมังกรไฟที่ถูกเลี้ยงดูมาในฝูงของมังกรน้ำ!
"เอาเถอะ..." มังกรชราตัดบท มองเจ้าลูกมังกรเพลิงตัวจิ๋วตรงหน้าด้วยสายตาปราณี
"ยังมีเวลาเหลือเยอะกว่าเจ้าจะโต ในระหว่างนี้ข้าจะถือเป็นหน้าที่ที่จะทำให้เจ้าเห็นดีเห็นงามด้วยเอง!"
ความคิดเห็น