ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกมนตรา..โรงเรียนมหาเวท

    ลำดับตอนที่ #5 : สนามประลองมังกรเพลิง3(RW)

    • อัปเดตล่าสุด 15 พ.ย. 53



    สุริยาเร้นกายหายลับเข้ากลีบเมฆ จันทราหลีกหลบซ่อนใต้หมู่ดารา

    รัตติกาลฉายแสงอย่างหวาดหวั่น ทิวารกาลกลืนแสงด้วยหวาดกลัว

    สายลมสะดุดหยุดพัด ใบไม้ไม่อาจโรยร่วง หยาดพิรุณมิกล้าร่วงหล่นจากผืนฟ้า

    ปฏพีไร้เสียงคำราม ลำธารากู่ร้องอย่างสงัดเงียบ

    วิหคปฏิเสธจะโผบิน กวางเนื้อปฎิเสธจะวิ่งหนี สิงโตปฏิเสธจะออกล่า

    และกาลเวลาปฏิเสธที่จะก้าวเดิน

     

    ...ต้อนรับการลืมตาตื่นของ "ราชา" 

     

     

     

     

     

    แบบนี้...มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงนะ

     

     

    ร่างเปื้อนเลือดของเจ้าชายแห่งไรอัสกระโดดทิ้งตัววูบหมอบราบไปกับพื้น รู้สึกได้ถึงไอเวทมนต์จำนวนมหาศาลที่พุ่งผ่านหัวไปแบบฉิวเฉียด  หากยังไม่ทันมีเวลาพอให้นึกโล่งใจ การโจมตีอีกระลอกก็ทิ้งตัวลงมาจากฟ้าจนดีอัสต้องออกวิ่งล้มลุกคลุกคลานหนีอีกครั้ง

     

    แฮ่ก...แฮ่ก...

     

    เด็กหนุ่มผมเงินได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นระรัวราวกับจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ ร่างกายนั้นเล่าก็อ่อนล้าเสียจนสั่งการไม่ได้ดั่งใจ ทั้งคทาคู่กายก็หักสะบั้น เวทมนต์ที่ควรเรืองฤทธิ์ก็สิ้นสูญ และเพื่อนร่วมทางเพียงหนึ่งเดียว...

     

    เพื่อนร่วมทางเพียงหนึ่งเดียวก็กลายมาเป็น'ปีศาจ'เสียแล้ว

     

     

     

     

    ทุกอย่าง...เกิดขึ้นเพราะสร้อยเส้นเดียวแท้ๆ

     

     

     

    ...ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน....

     

    "ฝีมืออย่างนายไม่น่ามาเป็นนักเวทเลยนะ "   เจ้าตัวแสบเอ่ยพลางส่งยิ้มเจื่อนๆให้นักเวทผู้อุตริใช้ดาบที่กำลังส่งสายตาเย็นๆมาให้ มองดูบาดแผลฉกรรจ์บนตัวมังกรไฟผู้โชคร้ายอย่างปลงอนิจจัง

     

    "ฝีมือเวทฉันแย่ขนาดนั้นเชียวหรือ?" คนที่ไม่น่ามาเป็นนักเวทยิ้มเยาะที่มุมปาก นัยหนึ่งก็ดูราวกับจะเย้ยตนเอง

     

    "ไม่ใช่อย่างนั้น..."พรานป่าที่เพิ่งรู้ตัวว่าเดินหมากพลาดไปรีบแก้ตัว ก่อนเสริมต่ออย่างเอาใจ

     

    "เพียงแต่ฝีมือดาบนายดีขนาดนี้ น่าจะไปเป็นนักดาบมากกว่า"

    "ให้ฉันเป็นเจ้าชายต่อน่ะดีแล้ว" เด็กหนุ่มผมเงินตัดบทห้วนๆ แสดงชัดเจนว่าไม่ต้องการสนทนาต่อ พอเจอไม้นี้เข้า เคชจึงได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆด้วยความเหนื่อยใจ

     

    นั่นสินะ...เขาลืมไปได้อย่างไรว่าคนตรงหน้าเป็นถึงรัชทายาทผู้รั้งบัลลังค์ของไรอัส

     

    เจ้าชายนั้นถึงอย่างไรก็ชนะทั้งนักเวทผู้เก่งกาจหรือนักดาบแสนเก่งกล้า และอาจรวมไปถึงนายพรานธรรมดาๆจากฟลอเรนส์ด้วย! 

     

    หลังจากจบบทสนทนานี้แล้ว ทุกอย่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ เคชนั่งลงข้างๆมังกรที่ยังคงหายใจรวยรินนั้นเอง ปลดไรเฟิลเก่าคร่ำลงจากบ่า แยกส่วนประกอบปืนเป็นชิ้นๆเพื่อเช็คความเรียบร้อยก่อนประกอบเข้าไปใหม่อย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญที่พรานอาชีพพึงจะทำ ส่วนดีอัสนั้นเคยชินกับความสะอาดเสียจนเกินกว่าที่จะทำใจนั่งลงบนสนามรบที่เหม็นกลิ่นคาวเลือดได้ จึงเพียงแค่ยืนหลับตานิ่ง ผ่อนลมหายใจเบาๆ

     

    สุดท้าย...คนที่ตรวจเช็คสภาพปืนก็แล้ว เช็ดเงาหยอดน้ำมันก็แล้ว เปลี่ยนกระสุนใหม่บรรจุเต็มอัตราก็แล้ว เรียกได้ว่าทำครบหมดทุกอย่างจนเสร็จสิ้นกระบวรความถึงขนาดไม่เหลืออะไรให้ทำอีกต่อไปนอกจากนั่งสงบปากสงบคำอยู่นิ่งๆ ก็เป็นฝ่ายอดรนทนไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายเปิดปากหาเรื่องชวนคุยเสียเอง

      

    "จากนี้ไป จะเอายังไงกันต่อดีล่ะ เหลือเวลาอีกแค่วันครึ่ง แต่ยังต้องฝ่าไปอีกไกลเลยนะ " 

    ไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากเจ้าชายที่กำลังยืนนิ่งเหมือนหลับ และแม้จะพูดด้วยอีกสองสามประโยคก็ไม่มีสัญญาณใดๆตอบรับกลับมาจนคนเป็นพรานป่าถอดใจและเริ่มนึกสงสัยขึ้นมาจริงๆว่าเพื่อนร่วมทางนั้นท่าจะยืนหลับเสียแล้ว เมื่อไม่มีประโยชน์ที่จะเซ้าซี้คนหลับ(?) เคชจึงตัดสินใจไปรื้อๆค้นๆเป้ของตนเอง หยิบได้กระติกน้ำกับห่อกระดาษสีน้ำตาลตุ่นมัดไว้ด้วยเชือกสีมอๆ เมื่อแก้ห่อออกมาแล้วก็พบกับยาผงหลากสีนานาชนิดที่จัดแบ่งใส่ห่อเล็กไว้อย่างเป็นระเบียบ เด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเข้มเลือกหยิบขึ้นมาได้ห่อหนึ่ง เป็นยาผงสีเขียวเข้มจัด

     

    เมื่อเลือกได้ของที่ต้องการ เคชก็จัดแจงเปิดฝากระติก เทยานั้นทิ้งลงไปทั้งห่อ จากน้ำเปล่าธรรมดากลายเป็นสีเขียวขุ่นในพริบตา กลิ่นสมุนไพรฉุนจัดลอยขึ้นมากระทบจมูก หากยังไม่ทันที่จะจัดการทำอะไรต่อไป เด็กหนุ่มก็ชะงักมือ เงยหน้าขึ้นจากยาที่กำลังปรุง นัยน์ตาสีอำพันเบิกกว้างขึ้นนิดหนึ่งอย่างประหลาดใจก่อนจะกลับไปเป็นปกติตามเดิม

     

     

    เคชไม่ได้กลับไปผสมยาต่อ ทว่ากลับหันไปเรียกเพื่อนร่วมทางผู้ยังคงยืนแข็งเป็นรูปปั้น

     

    "ดีอัส..."

     

    คราวนี้มีเสียงตอบรับในลำคอเบาๆเหมือนคนถูกเรียกนั้นรำคาญเต็มแก่ เพียงแค่นั้นเด็กหนุ่มก็ใจชื้นขึ้นว่าเพื่อนยังไม่ได้เพี้ยนถึงขนาดยืนหลับเป็นนกฮูก รีบเร่งอธิบายต่อโดยเร็ว 

      

    "ดูท่าทาง นอกจากพวกเราแล้ว ยังมีคนอื่นเหลือรอดจากภูเขาไฟระเบิกด้วย "

     

    "สี่คนเห็นจะได้" เจ้าชายผู้เก่งทั้งเวทและดาบพึมพำตอบเบาๆ ไม่ยอมแม้จะเปิดนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่งามนั้นขึ้นมา

     

    รอยยิ้มพรายปรากฎขึ้นบนดวงหน้าชุ่มเหงื่อของพรานป่า เอ่ยตอบกลับไปเป็นทำนองท้า

     

    "ฉันว่าหก " ขณะเอ่ย มือก็จัดแจงเก็บห่อของทั้งหมดยัดลงเป้ไปด้วย

     

    "เดี๋ยวก็รู้ " เสียงเย็นๆของดีอัสเป็นการปิดบทสนทนาลงตามเคย

                 .....และคำว่า
    'เดี๋ยว'นั้น...ก็ไม่จำเป็นต้องรอนานเลย......

     

     

     

     

               

    "อ้าว...ยังมีคนเหลือรอดอยู่ด้วยแฮะ "

     

    เสียงใสทักขึ้นพร้อมๆกับการปรากฎตัวของหญิงสาวที่กำลังไต่ลงมาจากภูเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นคนอีกสี่ห้าคนกำลังไต่ตามลงมา  ทั้งหมดดูจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันเพราะเมื่อขาลงมาเหยียบพื้นได้แล้ว เจ้าของเสียงใสก็จัดแจงยืนโบกไม้โบกมือให้กำลังใจเพื่อนฝูงโดยไม่ได้หันมาสนใจเด็กหนุ่มทั้งสองอีก

     

    "ถ้าเกิดอะไรขึ้น ฉันเป็นแนวหลังให้นะ" เคชที่ตอนนี้ลุกขึ้นไปยืนข้างๆดีอัสแล้วเอียงตัวไปกระซิบเบาๆ สายตาจับจ้องร่างที่กำลังทยอยไต่ลงมาจนครบเกือบทุกคนอย่างไม่ไว้ใจ

     

    "ตามใจสิ" เจ้าชายผมเงินรับคำสั้นๆ ท่าทางหงุดหงิด ดาบยาวนั้นยังไม่ได้ชักจากฝักที่เหน็บติดเอว หากมือนั้นก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่จะรับศึกทุกเมื่อ  นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มกวาดมองกลุ่มผู้มาใหม่ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

     

    หกคนจริงๆด้วย...เรื่องแบบนี้นี่สู้พรานป่าไม่ได้เลย

     

     

    ไม่นาน ผู้มาใหม่ทั้งหกก็ไต่ลงมากันจนครบทุกคน เป็นผู้หญิงเสียสอง คนแรกคือเจ้าของเสียงใสที่ตะโกนมา กับอีกคนหนึ่งเป็นเด็กสาวท่าทางเรียบร้อยชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมาทนสมบุกสมบันสอบเข้าโรงเรียนมหาเวทได้ ส่วนพวกผู้ชายสี่คนที่เหลือ มีทั้งสะพายดาบใหญ่ไว้ที่ไหล่ เหน็บปืนสองกระบอกโตไว้ข้างเอว ควงขวานเล่มโตกว่าตัว หรือแม้แต่ไม่ถืออาวุธอะไรเลย...ซึ่งคนหลังสุดนี้เคชหมายหัวไว้เป็นเป้าแรกหากเกิดการตะลุมบอนขึ้นมาจริงๆ  

     

     

    "สวัสดี ฉันชื่อมาครอส..มาครอส ดานิส " เด็กหนุ่มผู้ไร้อาวุธเอ่ยแนะนำตัวเป็นคนแรก ยิ้มให้เคชและดีอัสอย่างเป็นมิตร ทว่าคนทั้งสองไม่ได้ยิ้มตอบ สีหน้าของดีอัสนั้นเรียบเฉยจนอ่านไม่ออกเช่นเคย ส่วนเคชนั้นเพียงพยักหน้ารับ

     

    "อะไรกัน พวกนายนี่ดูไม่เป็นมิตรเอาซะเลยนะ อยากมีเรื่องหรือไง?!" เด็กสาวเจ้าของเสียงใสโผลงขึ้นมาอย่างไม่พอใจ แต่เมื่อโดนมาครอสถลึงตาใส่เธอก็ยอมปิดปากเงียบอย่างเสียมิได้

     

    "พวกฉันไม่ได้อยากมีเรื่องหรอกนะ แต่ขอต่างคนต่างอยู่จะดีกว่า " พรานป่าแห่งฟลอเรนส์กล่าวขึ้นบ้างเมื่อเห็นสถานการณ์ชักจะเริ่มอึดอัด  ดูท่าหากไปทำอะไรให้อีกฝ่ายไม่พอใจคงไม่แคล้วต้องเกิดการปะทะ

     

    "เฮ้ยๆ มังกรว่ะ มังกรตัวนั้นไง!!"

    หนึ่งในบรรดาชายหนุ่มเพิ่งสังเกตเห็นร่างใหญ่โตของมังกรเพลิงที่นอนจมกองเลือดอยู่ เขาชี้โล้งเล้ง ท่าทางตกใจจนแทบเสียสติ ซึ่งพรรคพวกที่เหลือพอเห็นแล้วก็มีอาการไม่ต่างกันนัก  แต่ละคนต่างมองสำรวจปีกที่ถูกเฉือนสะบัดจนแทบสะบั้นของสัตว์ร้ายด้วยสีหน้าซีดเผือด มีทั้งเสียงสบถและเสียงอุทานปลิวว่อน แต่ยังไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาใกล้เพราะเด็กหนุ่มทั้งสองนั้นยืนขวางทางอยู่

     

    "พวกนาย..พวกนายเป็นคงฆ่ามันหรือ?" หนึ่งในเด็กสาวถามเสียงสั่น มองดีอัสกับเคชสลับกันไปมาราวกับไม่เชื่อว่าคนเพียงสองคนจะสามารถล้มมังกรได้

     

    "เปล่า " ดีอัสเป็นฝ่ายเอ่ยปากปฎิเสธ ถ้อยคำสั้นห้วนนั้นทำเอาเด็กสาวไม่กล้าเซ้าซี้ต่อ ทว่าเด็กหนุ่มผู้สะพายดาบเมื่อได้ยินคำบอกปัดเช่นนั้นท่าทีระแวงก็เปลี่ยนไปเป็นโล่งอก ทั้งยังกล้าพอที่จะเดินขึ้นมายืนเผชิญหน้าด้วย

     

    "หมายความว่า พวกนายไม่ได้เป็นคนฆ่ามันใช่ไหม?" เด็กหนุ่มถามซ้ำเพื่อความแน่ใจ คราวนี้ดีอัสไม่ตอบ เคชจึงต้องเป็นฝ่ายตอบให้แทนด้วยสีหน้าติดจะรำคาญเล็กๆเพราะนึกไม่ชอบหน้านายนักดาบนั่นตั้งแต่แรก

     

          ...เฮอะ!ตอนแรกก็ทำเป็นหัวหด แต่พอบอกว่าไม่ได้ฆ่าก็กลายเป็นกล้าหาญขึ้นมาทันทีเชียวนะ...

     

     

    "ใช่ พวกเราไม่ได้ฆ่ามัน "พรานป่าแห่งฟลอเรนส์แทบจะเน้นย้ำทีละคำชัดๆเลยทีเดียว หากไม่ได้ติดว่าดีอัสยืนส่งสายตาปรามอยู่ข้างๆ  คำตอบที่นักดาบนั่นได้รับอาจจะไม่ฟังดูรื่นหูแบบนี้

     

     

    ก็ไม่ได้โกหกซักหน่อย...เคชนึกอ้างเข้าข้างตัวเองอยู่ในใจ เจ้ามังกรนี่มันยังไม่ตายนี่หว่า ถ้าพวกเราฆ่ามันก็ต้องตายสิ 

     

    พอได้ยินคำตอบยืนยันชัดเจน เด็กหนุ่มนักดาบก็ยิ้มกว้าง พร้อมกันนั้นบรรดาเพื่อนๆของเขาก็พากันเขยิบเข้ามาจนดูคล้ายจงใจจะปิดเป็นวงล้อม  พรานป่ารีบหันขวับไปมองหน้ามาครอสซึ่งเดิมดูจะเป็นมิตรที่สุด หากก็พบเพียงสีหน้าเย็นชาไม่ต่างจากคนอื่น 

     

    "ท่าจะต้องออกแรงอีกแล้วล่ะ" เคชบ่นเบาๆพอให้ได้ยินกันสองคน

      

    "ลองเจรจาดูก่อนละกัน" อีกฝ่ายกระซิบกลับ มองนักดาบหนุ่มที่ดูท่าทางแล้วจะเป็นหัวหน้าด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย  

    "พวกนายต้องการอะไร ถ้าเป็นเสบียงล่ะก็พอปันให้ได้ แต่เราเหลือแบ่งไม่มากหรอกนะ" ดีอัสถามเสียงเย็น พอจะคาดเดาได้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร แต่ที่เอ่ยถึงเรื่องเสบียงนั้นเป็นเพียงการเสนอน้ำใจอย่างหนึ่ง ส่วนประโยคสุดท้ายนั้นเป็นการขีดเส้นแบ่งไว้ให้ชัดเจน

     

    หากต้องการของที่ไม่สามารถให้ได้...งานนี้ก็ต้องเหนื่อยกันหน่อยล่ะ!

     

     

     

    "ฮ่ะๆๆๆ ของแบบนั้นใครจะต้องการกัน พวกนายอย่ามาทำแกล้งเซ่อดีกว่าน่า"

    นักดาบหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ทว่าเมื่อหยุดแล้วกลับกระชากดาบใหญ่ออกจาฝัก ย่างขุมเข้ามาด้วยท่าทีข่มขู่ คนอื่นๆต่างก็ชักอาวุธออกมาเช่นกัน รวมถึงมาครอสที่ตอนแรกไม่มีอาวุธด้วย  อาวุธของเขานั้นเป็นลูกบอลกลมๆขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกินหนึ่งนิ้ว เคชคะเนเอาว่าคงเป็นมือระเบิด ส่วนตัวเคชเองนั้นขึ้นนกปืนคู่กายอยู่ในท่าเตรียมพร้อมตั้งแต่จับสัมผัสคนทั้งหกได้แล้ว

     

    "มันต้องไอ้มังกรตัวนั้นสิ ในเมื่อพวกแกไม่ได้ลงมือฆ่า ก็ถือซะว่าพวกแกไม่ได้เจอละกัน!"

     

    ว่าแล้วเชียว...เจ้าชายหนุ่มผมเงินนึกอย่างระอาใจ

     

    มังกรเป็นสัตว์หายากราคาแพง ถึงจะแม้ไร้ชีวิตแล้วซากของมันก็ยังเป็นที่ต้องการ มีคนหาซื้อกันในราคาสูงลิ่ว ที่เจ้าพวกนี้รวมกลุ่มกันก็ไม่ใช่เพราะต้องการสอบเข้าโรงเรียนมหาเวทหรอก คงคิดจะมาตกทองจากการสอบมากกว่าจำพวกสมุนไพรหายากหรืออาวุธโบราณล้ำค่าทั้งหลายที่ทางโรงเรียนมหาเวทสุ่มซ่อนๆไว้ล่อตาล่อใจ 

     

    แถมเจ้ามังกรไฟที่นอนจมกองเลือดอยู่นี่ ก็ยังดันเป็นบ่อทองขนาดมหึมาเสียด้วย!

     

     

     

    "เอาไงล่ะ แค่พวกแกยอมจากไปดีๆเรื่องก็จบ " อีกฝ่ายเร่งเมื่อเห็นเด็กหนุ่มทั้งสองเอาแต่ยืนนิ่ง พรรคพวกที่เหลือต่างเริ่มขยับอาวุธกันแกรกกรากราวกับจะสนับสนุนคำพูดของคนเป็นหัวหน้า

     

     

    "นั่นสินะ พวกเราก็แค่จะมาสอบเข้ามหาเวท ขืนมามัวแต่ฟัดกับพวกนายก็เหนื่อยฟรีเปล่า " เคชเอ่ยยิ้มๆ ไม่สนใจเสียงขวานที่ถูกควงแหวกอากาศหวิวๆเหมือนจงใจจะข่มขวัญ ท่าทางเรื่อยเปื่อยเหมือนสบายๆของพรานป่านั้นขัดหูขัดตานักดาบเอาไม่น้อย   

     

    "...ก็อยากจะพุดอย่างนี้อยู่หรอก แต่ฉันไม่ใช่คนตัดสินใจซะด้วยสิ เขาว่าไงฉันก็ว่าตามนั้นแหละ" ว่าแล้วก็พยักเพยิดไปทางเจ้าชายผมเงินที่ยืนอยู่ข้างๆ ส่วนดีอัสที่อยู่ดีๆก็โดนผลักภาระมาให้นั้นก็ได้แต่ปรายนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มไปมองอย่างคาดโทษ ก่อนจะเอ่ยตอบสั้นๆตามนิสัย

     

     

    "มังกรนั่นเป็นของฉัน ให้ไม่ได้"

     

    คำปฎิเสธแบบไร้เยื่อใยทำเอานักดาบหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างกราดเกรี้ยว

    "ต้องได้!"  ขาดคำ ดาบใหญ่ก็ฟาดลงมาหมายสะบั้นคอคนปากดี และอาวุธทุกอย่างก็พร้อมใจกันส่งเสียงกัมปนาท!!!

     

     

     

    เปรี้ยง!

     

    กระสุนจากปืนไรเฟิลในมือของพรานป่าพุ่งทะลวงหน้าอกของนักดาบผู้โอหังอย่างแม่นยำ วินาทีต่อมาร่างโชกเลือดนั้นก็ถูกแสงสีขาวห่อหุ้ม พาตัวออกไปจากสนามรบขนาดย่อมด้วยผลจากเวทมนต์คุ้มครองที่ติดตัวผู้เข้าสอบทุกคนมาตั้งแต่ต้น หากแรงอาฆาตนั้นยังมากพอที่จะทำให้นักดาบหนุ่มใช้สติเฮือกสุดท้ายเขวี้ยงอาวุธคู่กายออกไป คมดาบเหวี่ยงเข้าใส่เคชที่เบี่ยงตัวหลบได้ฉิวเฉียด หยดเลือดค่อยๆซึมออกจากแผลบาดเล็กบริเวณต้นคอ

     

    พรานป่ายิ้ม ปาดเลือดออกอย่างไม่ยี่ระ สะบัดปืนในมือกระโจนเข้าสู่สมรภูมิเคียงข้างเพื่อนร่วมทาง ไม่รู้ตัวเลยว่าสร้อยที่แขวนจี้รูปมังกรหมอบซึ่งพ่อย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าให้ห่างจากกาย บัดนี้ถูกคมดาบตัดกระเด็นตกลงไปเปื้อนฝุ่นอยู่ที่พื้นเสียแล้ว 

     

    ส่วนคนอื่นเมื่อเห็นเพื่อนร่วมทีมถูกพาตัวออกไปต่อหน้าต่อตานั้นก็ยิ่งโกรธแค้นเป็นกำลัง ต่างยิ่งระดมอาวุธเข้าห้ำหั่นอย่างไม่เหลือแม้เศษเสี้ยวของความเมตตา

     

    ดีอัสเบี่ยงตัวหลบขวานยักษ์ที่เงื้อฟันลงมา คมขวานแหวกกรีดอากาศส่งเสียงหวีดหวิวพลาดเรือนผมสีเงินไปเพียงฉิวเฉียด พร้อมกันนั้นดาบยาวในมือเจ้าชายก็แทงสวนสวบเข้ากลางหน้าอกอย่างถนัดถนี่ เลือดสดๆสีแดงฉานพุ่งทะลักออกมาตามแรงกระชาก เกิดเป็นลำแสงสีขาวนำตัวนัก

    สู้ออกไปจากสมรภูมิอีกราย

     

    "แก..."    มาครอสสำรอกเสียงออกมาด้วยความโกรธแค้นเมื่อเห็นการสูญเสียเพื่อนพ้องไปต่อหน้าต่อตาทีเดียวสองคน เนื่องจากอาวุธของเขาไม่เหมาะกับการต่อสู้ระยะประชิด หน้าที่ของเขานั้นจึงเป็นกองหลังคอยช่วยเขวี้ยงระเบิดก่อกวนศัตรูทั้งสองมากกว่าที่จะมุ่งประหัตประหาร

     

     

    เปรี้ยงๆๆๆ!

     

    ระเบิดขนาดเท่าลูกปิงปองสามสี่ลูกที่ขว้างไปหมายจะสกัดกั้นทัศนวิสัยของเจ้าชายผมเงินนั้นถูกกระสุนไรเฟิลเจาะเข้าอย่างแม่นยำจนระเบิดกลางอากาศจนหมดสิ้น นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่มาครอสไม่เข้าใจ โดนรุมถึงหกคน หากกลับมีเพียงเด็กหนุ่มนักดาบเท่านั้นที่รับหน้า ส่วนอีกคนหนึ่งเพียงยิงสนับสนุนเท่านั้น ผิดวิสัยการต่อสู้ที่มีจำนวนคนฝ่ายตนน้อยเป็นอย่างยิ่ง

     

    "รีอา ใช้ท่าประสานกับเควสเลย " เมื่อเห็นฝั่งตนสูญเสียไปถึงสองในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยเฉพาะการสุญเสียนั้นหมายถึงหัวหน้ากลุ่ม มาครอสจึงรับหน้าที่ตะโกนสั่งการลูกทีมแทน ชัดเจนว่าเป็นกลุ่มที่มีการรวมตัวมาตั้งแต่ต้น ไม่ใช่เพิ่งมาจับผลัดจับพลูร่วมมือกันแบบเคชกับดีอัส

     

    สิ้นประโยค เด็กสาวท่าทางเรียบร้อยที่ชื่อรีอากับเด็กหนุ่มผู้ใช้ปืนคู่สองกระบอกโตก็ขยับตัว รีอาขยับไม้เท้าในมือวาดเป็นอักขระเวทอย่างง่ายประทับลงบนปืนของเพื่อนร่วมทีม ส่วนเจ้าของปืนที่ชื่อเควสนั้นกลับทำสิ่งที่แปลกประหลาด เขาดึงสไลด์ปืนออกและสะบัดกระสุนออกจากรังเพลิงจนหมด วินาทีถัดมาปืนสั้นสีดำขลับไร้กระสุนทั้งสองก็เปล่งประกายสีเขียวรัสมีเรืองรอง แม้จะไร้กระสุน หากเมื่อลั่นไกกลับมีลำแสงเวทมนต์พุ่งออกมาแทน

     

    เป้าหมายของลำแสงนั้นไม่ใช่ดีอัส...แต่เป็นพรานป่าแห่งฟลอเรนส์

     

     

    "เฮ้ย!เล็งมาทางนี้ทำไมวะ" เคชสบถ ทว่าแทนที่จะหลบ เด็กหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่กำลังฉายประกายกึ่งสนุกสนานกลับฉีกยิ้มกว้าง ไรเฟิลในมือลั่นไกสวนกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว ลูกกระสุนที่ถูกสับชนวนนั้นพุ่งตรงผ่านลำกล้องไปอย่างเริงร่า เจาะทะลุกลางแสกหน้าของมือปืนฝั่งตรงข้ามอย่างแม่นยำ ก่อให้เกิดลำแสงสีขาวจ้าพาร่างโชกเลือดหายวับไปจากสายตา ส่วนลำแสงมนตรามรณะสีเขียวนั้นแตกสลายไปทันทีที่กระทบกับโล่ปราการใสซึ่งโผล่เข้ามาขวางไว้ทันการด้วยฝีมือของนักดาบที่เริ่มกลับไปใช้เวท

     

    "บะ...บ้าน่ะ!!" เสียงใสของเด็กสาวครางเบาๆอย่างแทบไม่เชื่อสายตา

     

     

    เก่ง...สองคนนี้เก่งเกินไปแล้ว...

     

     

    "เอ้า...เหลือแค่สามคนแล้วนะ " เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลสั้นเอ่ยยิ้มๆ ไรเฟิลสีดำสนิทในมือวาดศูนย์เล็งไปที่หน้าอกของมาครอส ก่อนจะกระดิกนิ้วลั่นไกสังหาร

     

     

     

    ปัง!

    ผิดคาด แทนที่ร่างของมือระเบิดหนุ่มจะถูกแสงสีขาวห่อหุ้มนำตัวออกไปจากสมรภูมิ  แต่กลับเป็นนักเวทสาวนามรีอาที่ยืนอยู่เยื้องกันแทน ร่างบางของเธอผงะตามแรงกระสุน ก่อนจะหายตัวไปท่ามกลางแสงจ้าและคราบเลือดที่สาดกระเซ็น

     

    มาครอสแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง

     

    คนๆนั้น...เบี่ยงศูนย์เปลี่ยนเป้าหมายได้พลายในเสี้ยววินาที เป็นไปได้ยังไงกัน?!

     

     

    หากคนยิงกลับไม่มีท่าทางดีใจเลยสักนิด ตรงกันข้าม เคชในตอนนี้ดูตกใจ ประหม่า...และตื่นกลัว!

     

    สั่น...มือของเขาสั่นไม่หยุด

     

    เมื่อครู่เขาไม่ได้เล็งรีอา มันเป็นเพียงแค่ความบังเอิญที่กระสุนไปถูกเธอเข้า

     

    นี่เขาเป็นอะไรไป...ทำไมถึงควบคุมตัวเองไม่ได้เลย

     

    โธ่เว้ย!!หยุดสั่นซะทีสิ ปวดหัว...ทำไมอยู่ดีๆก็ปวดนะ แถมยิ่งปวดมากขึ้นเรื่อยๆนะ ปวดจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว

     

    มองอะไรไม่ชัดเลย ทุกอย่างเบลอไปหมด บ้าชะมัด...

     

     

    พลันร่างของเคชก็ล้มฟุบทรุดตัวลงไปราวกับหุ่นตุ๊กตาชักที่ไร้เชือกดึง สติสุดท้ายที่กำลังลอยหลุดออกจากร่างแว่วเสียงตะโกนลั่นของใครสักคนที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเจ้าชายไร้อารมณ์...

     

    "เคช!!!"   ดีอัสร้องออกไปจนสุดเสียง คทาในมือไร้ความหมายเสียแล้วเมื่อเจ้าของทิ้งมันลงพื้นอย่างไม่ไยดีพลันปราดเข้าไปประชิดตัวเพื่อนร่วมทางที่ล้มฟุบลงไปนอนกับพื้น สองมือเขย่าปลุกร่างที่นอนแน่นิ่งหวังให้ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกครั้งหากไม่สัมฤทธิ์ผล เวทรักษาบทแล้วบทเล่าเรืองแสงสว่างวาบอยู่เหนือมือก่อนหายวับเข้าไปในกายของพรานป่าผู้ไร้สติ หากทว่าก็เหมือนเป่าลมลงไปในถุงที่มีรูรั่ว ไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆจากเจ้าคนขี้เล่นที่เขาเคยนึกรำคาญ

     

    สิ่งเดียวที่ทำให้เจ้าชายแห่งไรอัสยังพอโล่งใจอยู่บ้างคือลมหายใจและชีพจรที่ยังคงเต้นสม่ำเสมอของเพื่อนร่วมทาง พลันนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มคู่งามก็ทอประกายกร้าว ประกาศชัดถึงความโกรธที่พร้อมจะระเบิดเข้าใส่ทุกสิ่งที่ขวางทาง ดาบยาวเล่มงามถูกปลดออกจากฝักที่เหน็บไว้ข้างเอวราวกับดอกไม้แย้มกลีบพร้อมเริงระบำ

     

    ใคร...ใครกันกล้าบังอาจทำให้เจ้าพรานงี่เง่านี่เป็นแบบนี้?!

     

    สายตาคู่อันเย็นเยียบและร้อนระอุราวภุเขาไฟซึ่งฉาบทับไว้ด้วยหิมะค่อยๆเบือนไปมองร่างของศัตรูเพียงหนึ่งเดียวที่ยังเหลืออยู่ มาครอสหน้าซีด เด็กหนุ่มในยามนี้หมดสิ้นกำลังใจที่จะสู้เสียแล้ว ร่างของมือระเบิดแข็งทื่อ หวาดกลัวจนมิอาจแม้เขยื้อนกายราวกับถูกจับแช่ไว้ในน้ำแข็ง รับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าคนผมเงินตรงหน้าเตรียมจะหันคมเขี้ยวเข้าขย้ำตน...

     

     

                     กรรรรร!!!!

     

    โชคดีเป็นของมาครอส เสียงคำรามลึกที่รุนแรงถึงขนาดทำแผ่นดินสะเทือนนั้นมีอานุภาพพอที่จะชะงักเพลงดาบสังหารในมือดีอัสไว้ได้ มือระเบิดนั้นฉวยโอกาศนี้หันหลังวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต ส่วนเด็กหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเงินเมื่อเบือนสายตาไปมองต้นเหตุของเสียงประหลาดแล้วก็พลันชาวาบ ลืมเหยื่อที่หนีไปได้โดยสิ้นเชิง

     

    มันเป็นความรู้สึกที่ก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความตื่นตกใจและหวาดกลัว....

     

     

    ร่างที่ล้มฟุบของพรานป่านั้นบัดนี้ค่อยๆลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีแข็งทื่อเหมือนถูกฉุดด้วยโซ่ บาดแผลทั้งหมดกำลังฟื้นฟูตัวเองด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ  ทั้งกลางแผ่นหลังก็ปรากฎปีกใหญ่หุ้มด้วยเกล็ดแข็งแบบเผ่าพันธุ์มังกร เช่นเดียวกับเรือนผมยุ่งเหยิงสีน้ำตาลเข้มที่แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวบริสุทธิ์  นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มขี้เล่นก็กลับกลายเป็นสีเงินใสกระจ่างไร้ความรู้สึกใดๆ หากที่ทำให้รัชทายาทแห่งไรอัสถึงกับมือสั่นเทาได้นั้นคือจิตสังหารอันรุนแรงและพลังเวทอันมหาศาลที่พุ่งทะลวงออกมาเหมือนจะฉีกทุกอย่างออกเป็นชิ้นๆ

     

     

    "เคช?"   ดีอัสกระซิบเบาๆ หวังอย่างสุดหัวใจให้คนตรงหน้ากลับมาเป็นเจ้าคนมากเล่ห์ตามเดิม หากก็ต้องผิดหวังเมื่ออีกฝ่ายไม่มีท่าทีตอบสนอง สายตาคู่ไร้อารมณ์สีเงินของพรานป่าที่กลายเป็นราชาอสูรจ้องอดีตเพื่อนร่วมทางอย่างชั่งใจครู่หนึ่ง ดูเหมือนเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับร่างผอมบางที่เต็มไปด้วยบาดแผลของนักเวทผู้ไร้คทาตรงหน้าดี

     

    พลันเคชก็แสยะยิ้ม...มันเป็นรอยยิ้มอันตรายที่ทำให้ดีอัสหมดสิ้นความวางใจ และความไม่เชื่อนี้เองที่ทำให้เขาเอาชีวิตรอดมาได้ เพราะเพียงพริบตา ราชาอสูรก็สะบัดปีกหาบวับไปจากจักษุภาพของเจ้าชายรัชทายาท ก่อนจะไปปรากฎอยู่ด้านหลังพร้อมทั้งลำแสงเวทในมือ!

     

     

     

    เปรี้ยง!!!

     

    หากเจ้าชายแห่งไรอัสหันกลับไปเรียกเกราะอาคมขึ้นมาไม่ทัน ป่านนี้ร่างของเขาคงมอดไหม้เป็นเถ้าธุลีไม่ต่างไปจากภูเขาด้านหลังที่แม้หินยังลุกเป็นเพลิง ทว่าแรงปะทะอันหนักหน่วงของความเข้มข้นของอณูเวทมนต์จำนวนมหาศาลได้ผลักเด็กหนุ่มผมเงินจนล้มไถลไม่เป็นท่า ดีอัสเค้นลมหายใจหนักหน่วง มืออ่อนล้าที่เต็มไปด้วยบาดแผลฝืนบัญชามนตราขึ้นต่อกรกับลูกครึ่งมนุษย์มังกรที่กำลังแสยะยิ้มแยกเขี้ยว นัยน์ตาสีเงินที่มองมานั้นไม่มีความประสงค์ดีเลยแม้แต่น้อย

     

     

    ...เปรี๊ยะ...เปรี๊ยะ...เปรี๊ยะ

     

    เสียงลั่นเหมือนแก้วที่กำลังร้าวดังขึ้นเป็นท่วงทำนองไพเราะ มันเป็นบทเพลงที่ฉุดหัวใจคนฟังให้หล่นวูบ รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศรอบกายที่ไร้มนตราห่อหุ้มอย่างเคย

     

    ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ถึงกับทำให้เขตอาคมคุ้มครองของโรงเรียนมหาเวทสูญสิ้น...จากนี้ไป หากต้องจบชีวิตลงก็คงไม่มีโอกาศลืมตาดูโลกอีกเป็นหนที่สอง!!  

    "เคช เซเบเรีย" น้ำเสียงเรียบเฉยแสดงให้เห็นว่าคนพูดนั้นยังคุมสติได้ดีเยี่ยมสมกับเป็นเจ้าชาย แม้สภาพตอนนี้จะคล้ายกับยาจกเข้าไปทุกที

    "แก...ติดหนี้ฉันอยู่ " นักเวทผู้อ่อนแรงค่อยๆพยุงกายโซเซลุกขึ้นช้าๆ หากถ้อยกระซิบที่หลุดออกจากปากนั้นกลับกระจ่างชัด ประกายเย็นเยียบในดวงตาคู่สีน้ำเงินเข้มสบกับแววตาไร้ความรู้สึกสีเงินอย่างไร้ซึ่งความกลัวเกรง

     

     

    รู้ดี...รู้ดีว่าตัวเองในตอนนี้มันทั้งอ่อนแอและอ่อนล้าแค่ไหน

     

    โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับปีศาจที่น่ากลัวราวกับราชาเช่นนี้

     

    แต่จะให้ทำยังไงได้ ถ้าอยากมีชีวิตรอดก็มีแต่ต้องสู้เท่านั้น

     

    ยิ่งต้องมาตายเพราะไอ้พรานป่างี่เง่านี่...ไม่เอาด้วยหรอก!

     

     

    ...น้ำยาเวทมนต์ขวดที่เท่าไหร่ก็เหลือจะนับถูกกรอกเข้าปากทีเดียวสองขวดรวด รสชาติขื่นคอยิ่งกว่าครั้งใดๆเพราะฝืนกฎต้องห้ามที่บัญญัติไว้ว่าเพียงหนึ่งขวดต่อหนึ่งวัน เมื่อเลือกที่จะรั้น ผลสะท้อนที่ต้องรับคือตัวยาสีส้มที่กลืนเข้าไปแม้จะเพิ่มพลังมนตราให้ ทว่าก็จะกัดกร่อนอวัยวะภายในไปด้วยในอัตราที่เท่าเทียมกัน

     

     ความเหนื่อยล้าที่ฝืนสะสมมานานยิ่งดูจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น คทาที่หักแล้วย่อมไร้ประโยชน์ สิ่งทดแทนที่ถืออยู่ในมือนั้นมีเพียงดาบเงินเล่มยาวซึ่งตอนนี้ถูกใช้ต่างไม้เท้า ดูน่าเย้ยหยันมากกว่าเกรงขาม

     

    ทว่าลูกครึ่งมังกรผู้เป็นดั่งราชาคลั่งแห่งมวลอสูรกลับสงบนิ่ง หยุดอาละวาดทันทีที่ประสานกับสายตาคู่สีน้ำเงินเข้มที่แผดประกายเจิดจ้าเฉกดวงไฟแห่งแดนพิพากษาคนตาย มันเป็นเสี้ยววินาทีที่ทุกสิ่งหยุดชะงัก แม้เวลาก็ดูราวกับถูกแช่แข็งไว้

     

     

    หยุดนิ่ง...เนิ่นนาน...อึดอัดเสียจนหากใครขยับตัว สมดุลที่มีอยู่ก็จะพังครืนลง

     

     

     

     

     

    เปรี้ยง!!!!เปรี๊ยะๆๆๆๆ!!

     

    เสียงลำแสงเวทพุ่งปะทะเข้ากับกำแพงมนตราลั่นขึ้นในวินาทีเดียวกับที่เคชสะบัดกางปีกสีขาวบริสุทธิ์ออกจะโผบินขึ้นไปบนผืนนภา หากเจ้าชายมังกรก็ยังช้าไปเมื่อวินาทีถัดมาดาบยาวแทงพรวดเข้ามาใส่เข้าที่จุดตายราวกับไม่เปิดโอกาสให้ร้องขอชีวิต เคชเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาติญาณ ถึงจะเลี่ยงมาได้ ทว่าก็ถูกทิ้งรอยแผลเป็นทางยาวไว้ที่แขนซ้าย รอยบาดตื้นเขินจนแทบไม่รู้สึกเจ็บปวด โลหิตสีแดงสดที่ค่อยๆไหลซึมออกมาตะหากเล่าที่ทำให้อสูรร้ายคลั่งยิ่งขึ้น นัยน์ตาสีเงินเหลือบมองแผลของตนอย่างเฉยชา ก่อนจะยกแขนขึ้นเลียลิ้มรสเลือดด้วยสายตาหลงใหลน่าสะอิดสะเอียน

     

    ประสาทสัมผัสที่เร่งเร้าจนถึงขีดสุดร้องเตือนถี่ให้ดีอัสรีบถอยห่างออกจากปีศาจตรงหน้า  ร่างบางของเจ้าชายแห่งไรอัสตวัดดาบพลางกระโดดถอยวูบ หลบลำแสงมนต์มังกรสีขาวทันอย่างฉิวเฉียด หากเรี่ยวแรงทั้งหมดก็สูญสิ้นจนไม่อาจกลับไปเผชิญหน้ากับปีศาจตนนั้นได้อีกครั้ง

     

     

     

    แบบนี้...มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงนะ

     

     

    ร่างเปื้อนเลือดของเจ้าชายแห่งไรอัสกระโดดทิ้งตัววูบหมอบราบไปกับพื้น รู้สึกได้ถึงไอเวทมนต์จำนวนมหาศาลที่พุ่งผ่านหัวไปแบบฉิวเฉียดหากยังไม่ทันมีเวลาพอให้นึกโล่งใจ การโจมตีอีกระลอกก็ทิ้งตัวลงมาจากฟ้าจนดีอัสต้องออกวิ่งล้มลุกคลุกคลานหนีอีกครั้ง

     

     

    แฮ่ก...แฮ่ก...

     

    เด็กหนุ่มผมเงินได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นระรัวราวกับจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ ร่างกายนั้นเล่าก็อ่อนล้าเสียจนสั่งการไม่ได้ดั่งใจ ทั้งคทาคู่กายก็หักสะบั้น เวทมนต์ที่ควรเรืองฤทธิ์ก็สิ้นสูญ และเพื่อนร่วมทางเพียงหนึ่งเดียว...

     

     

    เพื่อนร่วมทางเพียงหนึ่งเดียวก็กลายมาเป็น'ปีศาจ'เสียแล้ว

     

     

     

     

     

    เปรี้ยง!!!

     

    ลำแสงมนตราสีขาวจ้าพุ่งลงมาจากเบื้องบนห่างจากร่างที่กำลังหมอบอยู่เพียงไม่กี่เมตร นัยน์ตาสีเงินดิบเถื่อนของเจ้าชายมังกรมองเหยื่อที่กำลังสิ้นเรี่ยวแรงด้วยสายตาที่ไม่ต่างอะไรไปจากมองสิ่งมีชีวิตไร้ค่าที่แสนอ่อนแอ มันไม่ได้หิวหรอก สิ่งเดียวที่ฝังลึกเหมือนเป็นแรงขับนั้นมีเพียงการฆ่าเท่านั้น ไม่ได้สนุก ไม่ได้อยากได้สิ่งใด เพียงแค่ไม่รู้จักอะไรนอกจากคาวเลือดและการสังหาร

     

     

    ไม่เหลือเวทพอจะต้านแล้วซะด้วย...ช่วยไม่ได้ล่ะนะ

     

    ดีอัสคิดพลางล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุม หวังจะหยิบน้ำยามนตราสีส้มขึ้นมาดื่ม หากปลายนิ้วมือกลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า ความกลัวแล่นวาบขึ้นมาตามปลายประสาทดิ่งลึกเข้าไปถึงหัวใจเมื่อตระหนักได้ถึงความจริงที่แสนเย็นเยียบ

     

    ตอนนี้เขาไม่มีทั้งมนตราน้ำยาเวทมนต์หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว!!!

     

     

    ทว่ายังไม่ทันที่เจ้าชายแห่งไรอัสจะได้ลงมือทำอะไรนั้นเอง ลำแสงสีขาวแห่งความตายก็พุ่งตรงลงมาจากฟากฟ้า ประกายอันเจิดจ้าของมันดูราวกับคมเคียวของมัจจุราชที่กำลังจะฟาดฟันลงมาหมายปลิดชีวิต เหนือลำแสงนั้นคือร่างของเจ้าชายแห่งมังกรที่ลอยอยู่เหนือผืนฟ้าด้วยอำนาจแห่งราชา

     

    ดาบยาวถูกยกขึ้นตั้งรับเป็นเดิมพันสุดท้าย น่าแปลกทั้งๆที่สิ้นเรี่ยวแรง ไร้มนตรา หมดหนทางที่จะเอาชนะอสูรร้ายตนนี้แล้วแท้ๆ แต่นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่ฉายประกายเย็นเยียบอยู่เสมอบัดนี้กลับลุกโชนเช่นเปลวไฟ...เปลวไฟที่จะเผาไหม้จนกว่าดับดิ้น

     

    รู้ทั้งรู้...ดาบนี้แม้เป็นดาบดี ทว่าก็ยังไม่คงทนพอที่จะทานรับพลังทำลายอันมหาศาลเช่นนั้นได้ หากดาบแตกไป คราวหน้าก็คงเป็นชีวิตเขา

     

    แต่ก็นะ จะให้มาตายเพราะไอ้พรานป่างี่เง่านี่ ไม่เอาด้วยหรอก!

     

     

     

     

    ตูม!!!

     

    ลำแสงสีขาวเมื่อพุ่งกระทบวัตถุก็ระเบิดออกฉีกกระชากมวลอากาศ ผลักทุกอย่างให้หวนคืนสู่ความว่างเปล่าอันเป็นนิรันด์ ไม่มีเหตุผลใดทรงพลังพอที่จะรับรองว่าเจ้าชายดีอัส เรเฟรัส จะยังคงมีลมหายใจอยู่ใต้แสงสว่างโพลนจ้านั้น

     

    ทว่าเหตุผลของมนุษย์...กับเหตุผลของมังกร บางทีก็ไกลกันแค่เส้นบางๆกั้น

     

     

    "นี่ แก..." ร่างบางชุ่มโชกไปด้วยเลือดสีแดงสดกลิ่นคาวคลุ้ง หากนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มกลับเบิกกว้าง ด้วยรู้ว่าของเหลวอุ่นนั้นไม่ใช่โลหิตที่เกิดแต่กายของตน ทว่ากลับเป็นของร่างสีเพลิงที่กำลังทรุดตัวลงหมอบอยู่เบื้องหน้า

     

    ทำไม...ทำไมถึงต้องเข้ามาปกป้อง

     

    ทำไมต้องปกป้องคนที่เอาดาบฟาดใส่แกด้วย

     

    แล้วทำไม...ถึงมีแต่ฉันเท่านั้น ที่ต้องให้คนอื่นคอยมาปกป้องทุกที

     

    สองมือนี้ ไม่เคย ปกป้องใคร ได้เลย...

     

     

    เร็วเท่าความคิด ดีอัสรีบร่ายมนต์เรียกพลังเวทแห่งการรักษาขึ้นมาไว้บนมือ หากเปลวแสงมนตราสีเหลืองทองนั้นกลับเปล่งประกายริบหรี่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะดับมอดไปราวกับดอกไม้เพลิงที่หมดเชื้อ

     

    ...จริงสินะ เราไม่เหลือพลังเวทแล้วนี่ สภาพแบบนี้นี่น่าสมเพชเป็นบ้า...

     

     

    (เปล่าประโยชน์ เจ้าเองก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วนี่ว่ามนตราของมนุษย์ใช้รักษามังกรไม่ได้)

     

    เสียงแหบแห้ง ขาดห้วงเป็นจังหวะเหมือนคนเจ็บหนักใกล้ตายดังขึ้น เมื่อเห็นเจ้าชายแห่งไรอัสพยายามที่จะร่ายเวทเยียวยาบาดแผลให้ตน เป็นผลให้ดีอัสชะงักมือ แทบไม่เชื่อหูตนเอง แต่ถึงจะตกใจแค่ไหน คงมีเพียงสีหน้าเท่านั้นที่รักษาความเยือกเย็นไว้อย่างดีเยี่ยม

     

     

    เมื่อกี้...เจ้ามังกรนี่...พูดภาษามนุษย์?!!

     

     

    ใช่ว่าจะไม่เคยทราบเรื่องราวเกี่ยวกับมังกรที่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แต่มังกรเหล่านั้นล้วนแต่เป็นมังกรชั้นสูงซึ่งอาศัยอยู่ในดินแดนที่เรียกว่าเอร์ริเธียร์ 

     

    แต่สำหรับมังกรเพลิงสีแดงก่ำที่ร่างอาบย้อมไปด้วยโลหิตเบื้องหน้านั้น ดูยังไงๆก็เป็นแค่มังกรบ้าไม่มีหัวคิดชัดๆ 

     

    "นาย...เป็นคนพูด งั้นหรือ" ถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจ แต่เมื่อเอ่ยออกไปแล้วกลับรู้สึกว่าเป็นคำถามที่งี่เง่าสิ้นดี โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงที่ฟังดูเหมือนกำลังพยายามหัวเราะดังขึ้นแทนคำตอบ

     

    (เจ้าเองก็รู้นี่ นอกจากข้าแล้วยังจะมีใครอีกล่ะ เจ้าชายของข้าอยู่ในสภาพนี้คงไม่พูดอะไรหรอก)

     

    "หมายความว่ายังไงกัน...เจ้าชาย..ของนาย?" เด็กหนุ่มผมเงินทวนคำด้วยความแปลกใจ แต่จริงๆแล้วเขายังควรจะประหลาดใจอยู่หรือ เพราะคงไม่มีเรื่องใดชวนให้ตกใจมากไปกว่าการที่อยู่ดีๆเพื่อนร่วมทางจอมกวนประสาทกลายเป็นราชาอสูรร้ายแล้วล่ะ ต่อให้คำว่าราชาอสูรจะถูกแทนที่ด้วยคำว่าเจ้าชายแห่งมังกรก็ตามที

     

    (ชีวิตข้าคงเหลือไม่มาก ข้าเฟนริล ขอถาม...นามของเจ้า) มังกรเพลิงไม่ตอบ ไม่รู้เพราะจงใจเลี่ยงหรือไร้เรี่ยวแรงจะอธิบายกันแน่ เสียงที่เปล่งออกมานั้นขาดเป็นห้วงๆ

     

    "ข้า ดีอัส เรเฟรัส รัชทายาทแห่งไรอัส "

     

    เมื่อได้ยินคำแนะนำตัวประกาศฐานันดรชัดแจ้ง ปากที่เต็มไปด้วยคมเขี้ยวของเจ้าสัตว์ร้ายที่นอนเลือดโทรมกายก็แสยะออกเป็นรอยยิ้ม นัยน์ตาสีแดงเพลิงหรี่ลงคล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

     

    มันคงเป็นคำสาปของวิญญาณที่ใกล้จะหลุดลอยกระมัง...ที่จะบันดาลให้ทุกชีวิตนึกย้อนรำลึกไปยังห้วงอดีตของตน

     

     

     

    เฟนริลคิดถึงช่วงเวลาที่มันยังป็นเพียงลูกมังกรตัวน้อย...

    "เฟนริล...ทำตัวให้มันดีๆหน่อย เป็นแบบนี้จะมีใครอยากเป็นนายเจ้ากัน" เสียงเอื่อยเฉื่อยแกมเอ็นดูของมังกรเฒ่าดังขึ้นในห้วงความคิด  ภาพที่ปรากฎอยู่ในอนุสติคือร่างอันใหญ่โตสีน้ำเงินเข้มจัด เกล็ดหนาเต็มไปด้วยแผลเป็นและริ้วรอยบ่งบอกถึงชีวิตที่ถูกใช้มาอย่างโชกโชน นัยน์ตาสีน้ำทะเลที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวกำลังจับจ้องลูกมังกรตัวจ้อยที่สูงยังถึงข้อขาของมันดีด้วยซ้ำ

     

    "ข้าน่ะ ไม่มีวัน...ไม่มีวันยอมลดตัวลงไปรับใช้มนุษย์หรอก"  มังกรเพลิงตัวน้อย...หรือหากจะพูดให้ถูกคือเฟนริลตัวกะเปี๊ยกชะงักคมเขี้ยวที่กำลังขย้ำคอเพื่อนอยู่ทันที มันถึงขนาดผละจากการเล่นที่กำลังสนุกเพื่อมายืนหน้าบูดหน้างออยู่ตรงหน้ามังกรชรา แม้จะเป็นเด็ก แต่สายตาแน่วแน่ที่ประสานมานั้นทำให้ผู้สูงวัยทราบดีว่าเจ้าตัวจ้อยตรงหน้านี่คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ 

     

    นั่นแหละที่ทำให้เรื่องมันลำบากเข้า...มังกรชรานึกอย่างปลงๆ ชีวิตที่ผ่านการเคี่ยวกรำมานานทำให้มันชาชินเสียแล้วกับโชคชะตาที่มักเล่นตลก แต่ถึงจะคุ้นชินอย่างไร ก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอนาคตของเจ้าหนูเฟนริลไม่ได้

     

    ถ้าเพียงแต่สงครามในครั้งนั้นเหล่ามังกรไม่ได้เป็นฝ่ายปราชัย ถ้าเพียงแต่กษัตริย์มนุษย์ไม่ได้บีบบังคับพวกเราด้วยสนธิสัญญาเลือด และถ้าเพียงแต่ราชินีผู้เป็นนายเหนือของมังกรทั้งปวงจะทรงเลือกเด็กมังกรตัวอื่นแทน...เอาไอ้ตัวที่มันดื้อน้อยๆกว่าไอ้ตัวนี้น่ะ

     

    เพียงแค่คิดมังกรน้ำเฒ่าก็ชักจะเริ่มปวดหัวกับอนาคตที่ชักเริ่มส่อเค้าจะวุ่นวาย มันเลี้ยงเฟนริลมาตั้งแต่เจ้านั่นยังเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำไมถึงจะไม่รู้ฤทธิ์ของเจ้าตัวแสบที่ทั้งซนทั้งดื้อ แถมยังรั้นยิ่งกว่าใครนี่ 

     

    ถ้ามันบอกเองว่าจะไม่ยอมมีนาย...ไม่ยอมลดตัวลงไปรับใช้มนุษย์ ต่อให้ราชินีปรากฎตัวเองก็คงบังคับมันไม่ได้ นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่จะต้องมาเป็นเจ้านายของมัน ต่อให้ใช้เวทมนต์พันธนาเท่าไร ถ้ามันไม่ยอมรับก็อย่าหวังเลยว่าจะเอามันอยู่

     

    ทว่าถึงจะคิดอย่างนั้น แต่ถ้อยคำที่หลุดออกจากปากมังกรชรากลับเป็นคำตำหนิ

     

    "โชคชะตา ข้าลิขิตไม่ได้ เจ้าลิขิตไม่ได้ ในเมือมันเป็นหน้าที่ เจ้าก็ควรแบกรับเอาไว้ด้วยความภาคภูมิใจ"

     

    หน้าที่บูดอยู่แล้วของมังกรน้อยยิ่งบึ้งหนักกว่าเดิม หากยังมิวายแอบเถียง

     

    "ชีวิตข้าเป็นของข้า ถ้าจะแบกก็ต้องเป็นหน้าที่ที่ข้าตัดสินใจรับ ไม่ได้มีไว้เพื่อแบกหน้าที่ของใครไม่รู้ที่มาโยนๆให้ข้า"

     

    นัยน์ตาสีทับทิมของมังกรน้อยปรากฎแววกร้าวเกินวัย แต่มังกรชราไม่นึกแปลกใจหรอก สมควรอยู่ที่เฟนริลจะโกรธ ในเมื่อมันโตมาพร้อมๆกับหน้าที่อันนี้ที่ถูกบังคับให้แบกรับไว้...หน้าที่ที่เกิดจากสนธิสัญญาเลือดฉบับนั้น

     

    ผลจากการพ่ายแพ้สงคราม เหล่ามังกรถูกบังคับให้ส่งเด็กมังกรตัวที่ดีที่สุดไปรับใช้มนุษย์ทุกๆร้อยปี นัยว่าเพื่อเป็นการป้องกันมิให้พวกมังกรเก่งกาจมากเกินไปจนคิดก่อการสงครามขึ้นอีกครั้ง แต่วัตถุประสงค์จริงๆของสัญญานั้นคืออะไร มังกรเฒ่าก็คิดว่าตนทราบดี 

     

    หึหึหึ ถ้าส่งเฟนริลไป...อาจเป็นมนุษย์เองที่อยากกลับมาทำสงครามกับมังกร    ผู้เฒ่าชรานึกขันๆ ทั้งๆที่ใจจริงยังกังวลอยู่ไม่น้อย  เพราะเฟนริลมิใช่ลูกมังกรธรรมดา หากแต่เป็นลูกมังกรไฟที่ถูกเลี้ยงดูมาในฝูงของมังกรน้ำ!

     

     

    "เอาเถอะ..." มังกรชราตัดบท มองเจ้าลูกมังกรเพลิงตัวจิ๋วตรงหน้าด้วยสายตาปราณี

     

    "ยังมีเวลาเหลือเยอะกว่าเจ้าจะโต ในระหว่างนี้ข้าจะถือเป็นหน้าที่ที่จะทำให้เจ้าเห็นดีเห็นงามด้วยเอง!"    

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×