คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8
ย่างเข้าปลายเดือนอากาศเย็นลงอย่างรวดเร็ว กระจกทุกที่เป็นฝ้านั่นเพราะโรงเรียนเราอยู่ในทำเลที่ทำให้อากาศหนาวๆแวะมาเยือนได้ตลอดเดือนในปลายปีอย่างนี้ ถึงแม้ที่นี่จะมีเครื่องทำความร้อนให้ในทุกห้องเรียนและตามห้องโถงแต่ฉันมันพวกบ้าอากาศหนาว พอหน้าหนาวที่ไรถ้าไม่ได้ออกมาเดินตากลมอย่างนี้จะไม่สบายเอาง่ายๆน่ะ
...ฉันกลับไปนอนห้องตัวเองแล้วทันทีที่เห็นน้ำตาของพี่คีตา...ถึงแม้จะรู้สึกแย่ที่ต้องเสียฟอร์มเพราะคำพูดของเพทาย แต่ทุกอย่างก็เป็นไปในทางที่ดี
ช่วงเดือนธันวาแบบนี้มีงานเทศกาลงานหนึ่งที่เรียกกันว่างานปีใหม่...ความจริงแล้วปีใหม่จัดท้ายปีแต่ช่วงต้นเดือนธันวาของปีทางโรงเรียนจัดก่อนเพราะพอถึงตอนปลายเดือนก็ปิดให้นักเรียนกลับบ้านกัน...อีกอย่างกิจกรรมมันเยอะ ไหนจะคริสมาสต์อีก ดังนั้นการจัดในช่วงต้นเดือนก็เลยทำให้ทุกคนเฝ้ารอ
ปีนี้การเข้างานของพวกเจ้าชายคงทำให้ทุกคนตั้งตารอกันอีกเหมือนเคยน่ะแหละ ทั้งโรงเรียนมีพวกนี้ที่บ้ากิจกรรมแล้วดัง ส่วนคนอื่นเครียดกับการเรียนไปหมดแล้ว งานในแต่ละปีจะมีคอนเซปป์ต่างกันไปส่วนมากก็จะเป็นนักเรียนเสนอแล้วครูสนองทำนองนั้น บังเอิญว่าปีนี้เป็นเทศกาลแบบญี่ปุ่นและเปิดโอกาสให้นักเรียนข้างนอกสามารถเข้าร่วมงานได้จนจบงาน ดังนั้นพวกเจ้าชายที่เป็นเสมือนหน้าตาอันงดงามของโรงเรียนจึงต้องเป็นกลุ่มคนเปิดงานและแน่นอนว่ายังคงต้องมีคู่ควงเข้างานเหมือนทุกปี...อยากรู้จริงๆว่าปีก่อนที่ฉันจะมาเข้าที่นี่ใครได้ควงกับพี่ชายฉันนะ
“ไงครีม ไม่หนาวเหรอนั่นน่ะ”
โชเซที่เดินสวนทางมาทักทายก่อนจะชี้ให้เห็นคนหุ่นสวยที่วิ่งมาแต่ไกล ฟิตกันแบบนี้เหมือนท้าให้ฉันแข่งฟิตด้วยเลยแฮะ
“แล้วจะไปไหนเนี่ย”
ฉันถามออกไปเมื่อเห็นท่าทางของโชเซดูลุกลี้ลุกลนชอบกล แต่ว่าพอมองไปข้างหลังประกอบกับยัยเพิร์ทที่ทำหน้าบึ้งก็พอเดาได้ โชเซยิ้มนิดๆแทนคำตอบ
“ชีวิตฉันจะมีอะไรนอกจากซ้อมดนตรี”
“แล้วตกลงจะไปไหน”
“ห้องเรียน”
คนตอบหน้าตาเฉยหลบฝ่ามือและกำปั้นของฉันได้อย่างเฉียดฉิว...ทำมาบอกชีวิตมีแต่ดนตรีแล้วพวกผู้หญิงที่พยายามทำเนียนเดินตามนั่นมันอะไรไม่ทราบ
“โชเซเอ๋ย โชเซ นี่เพื่อนเรากลายเป็นทอมคนเป่าขลุยในนิทานไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ”
“เสียแต่ที่ตามมาไม่ใช่หนูก็เท่านั้น”
“นั่นสินะ เอางี้สิ วันหลังถ้าหลบไม่ได้ก็...”
ฉันเอื้อมมือไปดึงโชเซที่ตัวสูงกว่าให้ก้มลงมา เมื่อปรายตามองจากหางตาแล้วเห็นว่ายัยพวกนั้นกำลังมองฉันก็ยิ้มพรายแล้วหัวเราะก่อนจะมองตาของโชเซที่ยังคงไม่แน่ใจว่าฉันจะทำอะไร ฉันกระซิบเข้าที่ข้างหูของเพื่อนแล้วพละออกทำก้มหน้าเขินอายอย่างเชี่ยวชาญ ฉันก็ต้องเคยมีบ้างอะไรบ้างแหละน่า
“น่าสนใจนะกับการทำให้คนเขาเข้าใจผิดกันไปเอง”
“ผู้หญิง ร้อยทั้งร้อยต่างก็ชอบคิดไปเองทั้งนั้น”
ฉันยิ้มเศร้าๆเมื่อคิดถึงเธอคนนั้น โชเซตบไหล่อย่างให้กำลังใจแล้วดึงฉันเข้าไปกอดอีกครั้งเพื่อให้สมบทบาท
“เมื่อไหร่จะโตสักทีน้า~ไม่เห็นจะมีอะไรอย่างที่พวกผู้หญิงคนอื่นมีเลย”
“ไอ้เพื่อนบ้า!ขอให้โดนผู้หญิงฉุดไวๆเหอะ!!”
ว่าแล้วฉันก็หันไปจ้องหน้าโชเซอย่างเคืองๆ ไม่ทราบว่าการที่เกิดก่อนฉันเดือนกว่าเนี่ย โตมากรึไง ไอ้คนแก่ ตัวของเธอเองก็มีอะไรที่เหมือนผู้หญิงบ้างล่ะ!
“ไปนะ เดินระวังๆ ยัยพวกนี้ร้าย”
“ไม่มีอะไรหรอกน่า ฉันไม่ใช่เพิร์ทนะ”
เราสองคนหัวเราะออกมา เมื่ออาทิตย์ก่อนยัยเพิร์ทถูกรุมแกล้งเพราะดันเกิดแอคซิเดนกับโชเซเข้า ขอร้อง อย่าให้ฉันบอกเลยว่าเพราะอะไรยัยนี่ถึงได้ถูกหมายหัว
“รีบกลับหอล่ะ”
“เอาน่า เดี๋ยวขอเดินเล่นก่อนโอเคเปล่า...”
โชเซบ่นกลับอย่างเคืองๆเรื่องที่ฉันทำตัวไม่เหมือนชาวบ้านก่อนจะอมยิ้มแล้วเดินหนีไปซะอย่างนั้น... ฉันเดินไปกระโดดขึ้นลงไปอย่างอารมณ์ดีได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงร้องของใครสักคน
“ระวัง!!!”
เสียงร้องเตือนมาไม่ทันลูกบาสที่ลอยมากระแทกกับขมับอย่างจัง ฉันล้มลงกับพื้นไม่เป็นท่า ความรู้สึกแรกคือมึน สายตาพร่าไปสักคู่ถึงได้รู้สึกถึงความเจ็บที่แล่นเข้ามา ทำไมโลกหมุนคว้างเลยนะ
“เป็นอะไรมากมั้ยครับ!!!!”
แม้สติจะยังไม่เต็มร้อยแต่ก็พอรู้ว่าตัวเองโดนอุ้มอยู่ ฉันดิ้นเท่าที่แรงจะมีให้คนที่อุ้มฉันปล่อยฉันลง
“คงไม่เป็นอะไรมากหรอก...มั้งนะ”
ฉันตอบกลับไปอย่างคนที่ยังประคองสติไม่อยู่ ความเจ็บที่แล่นไปทั่วทำให้ปวดหนึบๆที่ขมับ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังไม่ร้อง ฉันติดนิสัยยิ่งเจ็บยิ่งกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลเพราะถ้าร้องไห้จะยิ่งโดนแกล้ง เพราะแบบนี้รึเปล่า เขาคนนั้นถึงได้ไม่ยอมปล่อยฉันลงสักที
“มึนใช่ไหมครับ นั่งก่อนนะ”
“เอ่อ...ขอบคุณ”
ฉันทำตามอย่างว่าง่าย ตอนนี้อยากอ้วกแล้วนะ ทำยังไงก็ได้ให้โลกหยุดหมุนที!
“น้องหัวโน เอาน้ำแข็งมาหน่อยเร็ว!!!”
ของเย็นๆถูกประคบเข้าที่ขมับ เพราะสัมผัสนั้นทำให้รู้สึกสบาย เริ่มรู้สึกถึงสติที่กลับคืนมาและพร้อมกันนั้นความเจ็บที่เมื่อครู่ไม่ค่อยรู้สึกก็พากันกระหน่ำลงมาซ้ำเติมพร้อมๆกันด้วย
“ขอโทษจริงๆนะฮะ...เล่นกันไม่ทันระวังเลย”
น้ำเสียงสำนึกผิดทำให้ฉันยิ้มแห้งๆแล้วเงยหน้าขึ้นกะจะบอกเขาว่าไม่เป็นไร แต่ทันทีที่ได้เห็นหน้าของคนที่ยังประคองฉันอยู่ ร่างกายของฉันก็เกิดปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมาโดยฉับพลัน โครงหน้าสวยรับกับเส้นผมสีส้มเหมือนแครอทสว่างเจิดจ้า คิ้วเข้มพาดอยู่เหนือตาคู่คมสีเทาอมฟ้าที่ดูเหมือนหมอกยามเช้าพร้อมร่องรอยของความกังวลใจในแววตาคู่นั้นกำลังจ้องมองมาที่ฉันอยู่ จมูกโด่ง ริมฝีปากบางคลี่รอยยิ้มแปลกๆที่ดูสวยและไม่น่าไว้วางใจ ฉันสะบัดหน้าแรงๆเพื่อเรียกสติให้กลับเข้าที่แล้วรีบลุกอย่างรวดเร็ว แต่เพราะฉันล้มลงไปเมื่อครู่มันเลยทำให้เกิดแผลถลอกที่หัวเข่า ฉันเหลือบตามองแผลแล้วร้องซีดด้วยความแสบ
“อูย!อา....เป็นอะไรไปเนี่ย”
“ล้มลงบนพื้นซีเมนต์คงจะถลอกสินะเนี่ย มานี่ครับ เดี๋ยวพี่ทำแผลให้นะ”
คนตรงหน้าหัวเราะออกมาค่อยๆ โบกมือบอกพวกเพื่อนๆให้ออกไปก่อนจะจับฉันนั่งลงแล้วตัวเขาเองลุกไปหยิบขวดน้ำ เขาตัวสูงจริงๆสิให้ตายวันที่ได้เห็นครั้งแรกไม่ได้เห็นชัดเจนถึงขนาดนี้ เมื่อเขากลับมาอีกครั้งพร้อมกับนั่งลงตรงหน้าก็พาเอาให้หัวใจของฉันเต้นแรงอย่างห้ามไม่อยู่ เส้นผมที่ดูนุ่มมัดลวกๆเหมือนเจ้าของดูจะไม่สนใจ แต่นั่นกลับทำให้น่ามีเสน่ห์ ฉันที่รู้สึกร้อนวูบๆที่หน้าเลยละสายตาจากคนตรงหน้าที่กำลังล้างแผลด้วยน้ำสะอาดให้ไปมองที่อื่น ใบหูมีสายโซ่คล้องตามรูที่เจาะทำให้เพิ่มดีกรีความหล่อเข้าไปอีก ผิวขาวๆที่แอบอมสีแทนไว้นิดหน่อยเพราะโดนแดด ท่อนแขนแข็งแรงที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อนักกีฬา เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าพันหัวเข่าให้อย่างเรียบร้อย
“เสร็จแล้วครับ แต่ว่าน้องครีมยังต้องไปใส่ยาแล้วก็แปะแผลใหม่ด้วยนะ จะได้ไม่อักเสบ”
รอยยิ้มส่งมาให้ฉันพร้อมกับเขี้ยวเจ้าเสน่ห์ นั่นทำให้ฉันรู้สึกไหววูบแปลกๆ บอกไม่ถูกว่ามันคืออะไร ต้องขอบคุณเสียงกรี๊ดของบรรดาแฟนคลับที่ยืนอยู่รายล้อมที่เรียกสติของฉันให้กลับคืนมา ฉันลุกขึ้นยืน ทำไมกันนะ ทำไมตอนเดินมาฉันถึงไม่เห็น ถ้ารู้ว่าจะมาเจอกันแบบนี้ เดินไปทางอื่นดีกว่า ดวงฉันมันจะยุ่งเพราะผู้ชายหน้าตาดีรึเปล่านะ
“ขอบคุณนะคะ ต้องไปแล้วล่ะ”
“เดี๋ยวก่อนฮะ น้องครีมเค้ก”
ฉันนิ่งไปนิดนึง หันหลังกลับไปมองคนที่เรียกชื่อของฉันเอาไว้ เขายิ้มออกมาแล้วโยนกล่องยาทำแผลเล็กๆมาให้ ฉันมองของในมือก่อนจะยิ้มออกมาที่ในใจมันฟ้องว่ามันคงจะดูแปลกๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องใช้”
และก่อนที่เขาคนนั้นจะพูดอะไรออกมา ฉันจัดการโยนกล่องยากลับคืนไปแล้วรีบเดินออกไปจากที่นั่นโดยไม่หันหลังกลับไปมอง ฉันแค่ไม่อยากวุ่นวายเพราะปัญหาที่ตามมาทีหลัง และที่สำคัญ เขาเป็นคนอันตรายมากเชียวล่ะ เพราะแค่อยู่ใกล้ๆฉันก็รู้สึกแปลกๆซะแล้ว
ช่วงนี้ฉันดูเหมือนจะป่วย ไม่ใช่ว่าไม่สบายหรืออะไรอย่างนั้นหรอก ฉันสบายดี แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองแปลกๆไปน่ะ
“เป็นอะไรไปเนี่ย”
โชเซถามขึ้น สายตาของเพื่อนรักมีแววคำถามและความสงสัยอย่างไม่ปิดบังผ่านแว่นที่เลื่อนมาอยู่ปลายจมูกส่งตรงมาที่ฉัน
“นั่นสิ ช่วงนี้เค้กดูแปลกๆไปนะ”
เพิร์ทที่กำลังเก็บกองหนังสือนิตยสารให้เข้าที่เหล่มองฉันราวกับว่ามันเป็นเรื่องแปลกมากมาย
“ไม่มีน่า”
ฉันตอบอย่างขอไปที ฉันรู้สึกแปลกๆ ไม่ใช่ว่ารู้สึกแย่ แต่มันเป็นความรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่
“สองสามวันมานี้ไปโดนของจากใครมารึเปล่า”
“หรือว่าพี่เพทายมาแกล้งอะไร”
“ไม่นี่...ไม่ๆ”
ฉันตอบแล้วถอนหายใจ รู้สึกปั่นป่วนชอบกล
“ไปเดินเล่นนะ จะแวะไปห้องชมรมด้วย ไปซ้อมซะหน่อยท่าจะหายหงุดหงิด”
“ให้ไปส่งมั้ย ไหวปะเนี่ย”
“ไม่เป็นไร เก็บห้องไปกันเถอะ”
ฉันคว้าเสื้อแขนยาวมาใส่แล้วเดินลงไปข้างล่างหอ พอๆกับเวลาที่ได้ยินเสียงประกาศพอดีเลย
“ประกาศ นางสาวปฏลี เวชวัชรสุนทรทร์ มีเพื่อนมาขอพบค่ะ ประกาศ นางสาว...”
เพื่อนงั้นเหรอ? ใครนะที่กล้าอ้างแบบนั้น ก็ในโรงเรียนนี้ฉันมีเพื่อนจริงๆแค่เพิร์ทกับโชเซเท่านั้นนี่นา แล้วสองคนนั่นก็กำลังจัดห้องอยู่ข้างบน จะมีเพื่อนที่ไหนมาขอพบอีกล่ะ
“อ้อ!มาแล้วเหรอ เขาบอกว่ารออยู่ที่ลานนั่งหน้าหอน่ะจ้ะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันขอบคุณแล้วเดินออกไปที่ลานอย่างนึกสงสัย อาการบาดเจ็บจากการล้มยังไม่หายดี มันก็ยังแสบอยู่นิดหน่อย แต่พอได้ใส่ยาแล้วแปะแผลใหม่มันก็ค่อยบรรเทาลงไปได้เยอะเลย จะว่าไป ยังไม่ได้คืนผ้าเช็ดหน้าให้เลยนี่นา
“โย่ว!ยัยเปี๊ยก”
เสียงทักทายแบบนี้ไม่ต้องทายให้เสียเวลาก็รู้ว่าเป็นใคร แต่ตอนนี้จิตใจของฉันดูเหมือนจะยังไม่เข้ารูปเข้ารอย เพราะฉันเพิ่งจะรู้ตัวว่าเดินผ่านหน้าเพทายมาก็ตอนที่เขาวิ่งเข้ามาดึงไว้ไม่ให้ฉันตกท่อส่งผ่านน้ำ
“เฮ้ย!เป็นอะไรไปเนี่ย เหม่อแต่เช้าเลย”
“หือ...เพทายหรอกเหรอ”
“เฮ้ยๆ!! อาการไม่ดีแล้วมั้งเนี่ย ไม่สบายรึเปล่า”
เพทายว่าแล้วเอามือมาอังหน้าผากของฉัน ฉันทำหน้ามุ่ยแล้วผลักมือเขาออก
“อย่ามายุ่งน่า ไม่ได้เป็นอะไร”
“แน่ใจนะ”
“อืม”
ฉันตอบได้ไม่เต็มเสียง แต่แล้วก็ต้องรีบสะบัดหน้าแรงๆเพื่อเรียกสติกลับคืนมา แล้วหมอนี่มาทำอะไรที่หอพักของฉันกันล่ะ
“มาทำอะไรที่นี่”
“นึกว่าจะไม่ถามแล้วซะอีก”
“นายนี่วอนแต่เช้า ถามดีๆก็ตอบมาดีๆได้มั้ย!อยากตีกันตั้งแต่เช้าเลยรึไง”
เพทายหัวเราะออกมาแล้วทำท่าง้อจนฉันนึกอยากทุบเอาให้สักเปรี้ยง ก็กวนประสาทอย่างนี้ไงแล้วยังจะให้ฉันชอบเขาได้ยังไงเล่า
“ก็มาหาเธอน่ะแหละ”
“มาหาฉัน? มาหาทำไม แต่เดี๋ยวก่อน ฉันมีเพื่อนที่ไหนไม่รู้มาหา ขอไปดูหน้าแล้วจะกลับมาฟังเหตุผล”
ฉันว่าแล้วเดินไปทางลานนั่งแต่เพทายกลับดึงมือเอาไว้แล้วหัวเราะคิกคัก นายคิดจะยั่วให้ฉันยัวะในทุกครั้งที่ได้เจอกันเลยใช่มะ
“เพื่อนที่ว่าไม่ต้องไปหาหรอก”
“ทำไม”
“ก็ที่ยืนอยู่นี่ไง เพื่อนเธอ”
เพทายว่าแล้วหัวเราะต่ออย่างไม่เก็บอาการเลยสักนิด อ๋อ ไอ้คนที่แอบอ้างว่าเป็นเพื่อนฉันคือหมอนี่เองสินะ
“ฮะ ฮะ โอ๊ย!ถีบทำไมเนี่ย”
“นายใช่เพื่อนฉันที่ไหน ไอ้รุ่นพี่บ้ากาม อย่างนายกับฉันต้องใช้คำว่าศัตรูทางธรรมชาติถึงจะถูก!!”
เพทายบ่นอะไรอุบอิบคนเดียวที่ฉันไม่คิดจะสนใจปล่อยให้เขานั่งอยู่กับพื้นอยู่อย่างนั้น ขณะที่ฉันนั่งเท้าค้างเพทายก็กระตุกขากางเกงของฉันเป็นเชิงเรียกก่อนจะขึ้นมานั่งบนโต๊ะด้วยกันแล้วเหลือบมองแผลที่หัวเข่าของฉัน
“อะไร”
“แผลนี่ไปทำอะไรมา”
ฉันเหลือบมองแผลของตัวเองที่โชเซทำให้ แม้ว่ามันจะปกปิดอย่างดีแล้วก็ตามแต่ว่าก็ยังพอมองออกว่ามันยังช้ำและมีเลือดไหลอยู่นิดหน่อย
“ล้ม”
“ล้ม? ไปทำท่าไหนถึงได้แผลน่ากลัวขนาดนั้น”
“ก็ท่ามนุษย์ธรรมดาเนี่ยแหละ ถามมากซะจริง ไหน มีอะไรถึงมาที่นี่ เหตุผลไม่ดีมีเฮแน่”
ฉันเปลี่ยนเรื่องก่อนที่เพทายจะรับรู้ถึงความผิดปกติของฉัน ก็แค่นึกเลยไปถึงคนที่ทำให้ฉันได้รับแผล หัวใจก็เต้นแรงซะแล้ว เนี่ยแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันหงุดหงิด เพราะฉันไม่รู้ว่าตัวเองเป็นบ้าอะไรสักที!
“วันงานที่ใกล้จะถึงนี้จะไปกับใคร”
“นายคิดว่าพี่ชายสุดที่รักจะให้ฉันไปกับคนอื่นรึยังไง”
“คงไม่เนอะ”
“ก็ไม่น่ะสิ บ้าปะเนี่ย”
เพทายบู้ปากใส่ฉันแล้วหันไปยิ้มกว้างให้กับพี่ๆปี 6 ที่โบกมือทักทาย มันน่าโดนอีกสีกเปรี้ยงมั้ยล่ะเนี่ย
“แล้วไง ธุระของนายคือการเดินมาหาเรื่องฉันที่นี้พร้อมกับถามฉันว่าจะไปเข้างานกับใครใช่มะ งั้นฉันไปแล้วนะ”
“เดี๋ยวดิ”
“อะไรอีกล่ะ”
“ห้าทุ่มครึ่งที่ลานน้ำพุ ห้ามเลท ไม่งั้นเธอตายแน่”
เพทายพูดเสียงเข้มแล้วรีบหันหน้าไปอีกทางเหมือนกับว่าตัวเองเท่มากมาย และนั่นทำให้ฉันกำหมัดแน่นส่งออกไปประเคนให้กลางกระหม่อมของเขาอย่างแรง
“เรื่องอะไรฉันจะต้องไป แล้วอะไรไปดลใจให้นายคิดว่าฉันจะตายเพราะนาย ไม่กลัวตัวเองตายเพราะฉันบ้างเลยรึไง ไอ้รุ่นพี่สติบวม”
“เฮ้ยๆ!!แต่เธอจะไปใช่ปะ”
“เรื่องสิ ฉันหายไปโกโชคงล่มงานและลากวิญญาณนายมาทรมานซ้ำหลังจากฉันฆ่านายแล้วอีกที”
“เธอจะโหดไปไหน”
“แล้วอีกอย่าง ทำไมนายต้องมานัดฉันด้วยไม่ทราบ”
ฉันถามคำถามที่ติดค้างในใจ เขากำลังคบกับพี่คีตาไม่ใช่รึไง แล้วทำไมถึงมานัดฉันอย่างนี้ มีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงรึเปล่าเนี่ย
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ ถ้าไม่นัดเธอจะให้ไปนัดใครที่ไหน”
“ก็พูดมาสิ”
“พูดตรงนี้ไม่ได้ รอวันงานค่อยฟัง”
เพราะเพทายลีลามากท่าทำให้ฉันเริ่มหงุดหงิดอีกแล้ว หมอนี่ไม่รู้ตัวเองเลยรึไงว่าคนที่มีสิทธิ์ตั้งเงื่อนไขน่ะมันฉัน
“ก็ได้ นายอยากพูดวันนั้นก็ตามใจ”
“ว่าง่ายๆอย่างนี้สิ จะได้โตเร็วๆ”
“แต่ฉันไม่ฟัง ฉันจะฟังแค่วันนี้ และจะพูดไม่พูดก็แล้วแต่ ไปล่ะ”
“เดี๋ยวดิ!สรุปมันแปลว่าไงเนี่ย”
“ตามนั้น”
“เฮ้ย!เดี๋ยวดิ”
“ฉันกำลังยุ่ง ถ้านายมากวนอีกทีล่ะก็ จะไม่มีปากไว้พูดอีกนานเลย”
ฉันชูกำปั้นขึ้นขู่แล้วรีบเดินออกมา ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร คงจะใช้ให้ฉันไปบอกนัดพี่คีตาออกมาล่ะมั้ง แต่ของอย่างนี้นายต้องทำเองสิ ฉันไม่ใช่พวกแฟนคลับที่สนับสนุนนายกับพี่สาวฉันนี่ ก็ใช่ว่าฉันจะห้าม แต่ทำไมฉันต้องเอาใจช่วยด้วยล่ะ บ้ารึเปล่า!
เพทายมองตามร่างเล็กๆที่เดินจ้ำเร็วๆไปทางโรงยิมแล้วก็ต้องถอนหายใจ นี่เขารอมานานแล้วนะ และคงรอนานกว่านี้ไม่ไหว ถ้าไม่ใช่วันงานที่มีคนมากพอจะขโมยตัวเธอออกมาจากวงของพี่ชายแล้วล่ะก็ คงไม่มีทางได้พูดแน่ๆ
“เมื่อไหร่จะรู้จักสังเกตหรือเข้าใจอะไรง่ายๆอย่างผู้หญิงคนอื่นบ้างนะ ยัยเด็กบ้า!”
ความคิดเห็น