คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8 : เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย
สองสามวันมานี่ทำไมโซลมันถึงได้ว่างมาโรงเรียนบ่อยจังเลยนะ -^- ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
“ถามจริง ที่ร้านไม่ยุ่งเหรอ”
“ยุ่งสิ ถามได้”
“ถ้านายยุ่งแล้วจะเสล่อมาโรงเรียนทำไมเนี่ย”
“เพราะฉันมันหล่อเลือกได้^^”
พอได้ยินคำตอบแล้วฉันก็ตัดสินใจได้เลยว่าจะไม่ถามอะไรหมอนี่อีกและทางที่ดีอย่าไปสนใจไอ้บ้านี่เลยจะดีกว่า
“เอาล่ะนักเรียน เปิดไปที่หน้า 32 แล้วอ่านพร้อมกัน”
การเรียนวิชาภาษาและวรรณคดีช่วงบ่ายเป็นอะไรที่ชวนให้รู้สึกอยากโดดเรียนเอามากๆ เพราะมันทั้งชวนง่วงและน่าเบื่อได้อย่างที่สุด บางทีถ้าหากว่าเราไม่ต้องมานั่งท่องกลอนเอิงเอยนี่ระหว่างเรียนแต่หันไปทำอะไรที่มันจะได้ประโยชน์ต่อการนำไปใช้ มันอาจจะน่าสนใจขึ้นก็ได้นะ
“ท่องพร้อมกัน สาม สี่”
“เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย...”
วันนี้เราเรียนวรรณคดีไทยเรื่องลิลิตพระลอ ชีวิตรักของเจ้าเมืองทางเหนือกับสองสาวสวยพี่น้องพระเพื่อนพระแพง ฉันไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอกนะว่าทำไมพวกผู้หญิงถึงได้ชอบเรื่องแบบนี้ เพราะพอเราเริ่มเรียนเรื่องนี้ พวกสาวๆก็พากันหัดเขียนกลอนและวาดฝันเกี่ยวกับความรักของตัวเองและสองหนุ่มเพื่อนสนิทของฉัน
“เบื่อรึไง จอมมาร”
“แล้วมันไม่น่าเบื่อรึไงกันเล่า”
“เฮ้!นี่น่ะ หนึ่งในเรื่องโรแมนติคที่สุดแห่งความรักเลยนะ”
“นี่ โซล ไม่ยักรู้ว่านายเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วย -^- จะมีใครบ้าพอขนาดพาตัวเองไปตายเพื่อความรักกันฮะ”
“ฉันไง...”
เอาอีกแล้ว ประโยคทีเล่นทีจริงที่มาพร้อมรอยยิ้มกวนๆแบบนั้น ทั้งๆที่แต่ก่อนมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันสนใจอะไร แต่ทำไมครั้งนี้...มันถึงทำให้หัวใจเต้นได้ แม้จะไม่ใช่การเต้นรัวและแรงแบบที่นางเอกนิยายทั่วไปควรจะเป็น แต่มันก็ทำให้หัวใจที่ไม่เคยเต้นเลยนับตั้งแต่ที่ฉันบอกกับตัวเองว่า อย่า... และไม่เคยใจเต้นกับใครนอกจากเซโร่ แต่เขา...กลับทำให้มันสั่นไหว...แม้เพียงน้อยนิดราวกับปีกผีเสื้อที่สั่นเทา
“เคลิ้มเลยล่ะซี่ >< ฮ่าๆ”
“ถ้านายพอใจที่เป็นแบบพระลอ ก็บอกฉันด้วยตอนที่นายทิ้งเมียคนแรกแล้วไปตายพร้อมเมียน้อยสองคนทีหลังน่ะ ฉันรอสมน้ำหน้าอยู่”
“เธอนี่พูดซะหมดซึ้งเลยL”
“แต่ก็ต้องยอมรับนะว่า การสื่อสารของยุคนั้นน่ะ สุดยอด”
เซโร่พูดขึ้นมาเบาๆพลางเปิดหน้าหนังสือหาหน้าที่ต้องการแล้วส่งให้ฉันดู จริงๆแล้วการจัดผังที่นั่งในห้องจะให้นั่งกันเป็นคู่ แต่เพราะฉันคือจอมมาร และอย่างว่า...ฉันเลยได้นั่งอยู่ข้างหลังสุดอย่างที่ต้องการเพียงลำพัง มีสองเพื่อนสนิทนั่งเป็นคู่อยู่ข้างหน้า(เวลาโซลไม่มาเรียนเซโร่ก็นั่งคนเดียวเหมือนกัน) พอเป็นแบบนี้พวกเราก็เลยเหมือนแก๊งค์เด็กหลังห้องไปเลย
“อะไรที่ว่าสุดยอด”
“ก็ดูนี่สิ เจ๋งดีมั้ยล่ะ แค่ข่าวลือว่าพระลอหล่อยังไง พระเพื่อนพระแพงสวยยังไง สองฝ่ายก็ชอบกันแล้ว แค่ข่าวลือนะเธอจ๋า”
“ก็มนุษย์เราหูเบา”
“นั่นสิ แล้วดู ข่าวลือ ไม่ว่ายุคสมัยไหนก็ยังมีอิทธิพลอยู่ดี”
“พูดงี้หมายความว่าไง”
สายตาของทั้งโซลและเซโร่รีบกลับไปยังกระดานทันเวลาก่อนที่อาจารย์จะพูดว่าเลิกชั้นเรียน และทันทีที่อาจารย์พ้นประตูออกไป ทั้งคู่ก็รีบหันหลังกลับมาเพื่อเม้าท์ต่อ ถามจริง นี่นิสัยผู้ชายจริงเหรอ
“เธอรู้ข่าวลือที่ช่วงนี้กำลังลือกันหนาหูมั้ยล่ะ”เซโร่
“นายคิดว่าคนอย่างฉันจะสนใจอะไรแบบนี้มั้ยล่ะ”
“เธอนี่ แล้วแบบนี้จะปกครองโรงเรียนได้ยังไงในเมื่อไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย”โซล
“ฉันก็ไม่ได้คิดจะปกครองอะไรนั่นอยู่แล้ว”
ทั้งโซลและเซโร่พากันมองหน้าอีกฝ่ายอย่างกับว่าเหนื่อยใจกับฉันอะไรมากมาย มันน่าต่อยจริงๆ ไอ้เจ้าพวกนี้ - -+
“พวกนายจะเลิกลีลาแล้วเล่าในสิ่งที่อยากเล่ามาสักทีจะได้มั้ย ทำไมชอบทำอะไรที่มันน่าหงุดหงิดนักนะ”
“เอาล่ะ ตั้งใจฟังนะ ข่าวลือที่ว่านั่นก็คือ...”
เซโร่ที่กำลังจะเล่ากลับหยุดชะงัก พร้อมกับส่งสายตาไปที่โซลเหมือนรู้กันอยู่สองคน เป็นอะไรขึ้นมากันอีกล่ะ - -
“รู้สึกว่าบรรยากาศมันแปลกๆมั้ย” เซโร่ถามขึ้นมาเสียงแผ่วๆ
“มีอะไร”
“ฉันว่า บางทีเธอน่าจะลองมองรอบข้างนะจอมมาร”
ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้นะว่าบรรยากาศมันแปลกๆไปตั้งแต่เราเริ่มเข้าห้องมา และยิ่งชัดเจนในความแปลกเมื่ออาจารย์เดินออกนอกห้องไป จริงๆมันก็เริ่มแปลกมาตั้งแต่วันที่เรามาโรงเรียนพร้อมกันทั้งสามคนวันนั้นแล้วล่ะ แต่ฉันไม่ได้คิดจะสนใจอะไรกับเรื่องซุบซิบนินทา จนกระทั่งหูสามารถจับใจความได้ยินเสียงแท็กชื่อตัวเองนั่นล่ะ มันเลยเกิดความรู้สึกอยากจะรู้เรื่องขึ้นมา...
“จะมองกันอีกนานมั้ย”
ฉันถามอย่างใจเย็น จริงๆแล้วฉันเป็นคนหงุดหงิดง่ายและใจร้อนมากนะ แต่ก็สามารถคุมตัวเองได้เร็ว เพราะงั้นเลยข่มอารมณ์ให้เย็นได้อย่างนี้แม้ว่าจริงๆแล้วจะไม่จำเป็นก็ตาม
“มีอะไรสงสัย ช่วยถามให้ชัดๆ อย่าเอาแต่ซุบซิบเสียงดังแบบนี้”
ทั้งห้องเงียบลงจนฉันเกือบจะคิดว่าในห้องนี้มีแค่ฉันเพียงคนเดียว ทีแบบนี้ล่ะพร้อมใจกันก้มหน้าเงียบ ทีเมื่อกี้ล่ะพูดนินทาเสียงดัง
“ฉันกำลังถาม”
“....”
“และต้องการคำตอบ”
“....”ไม่มีคำตอบ ไม่มีเสียง มีแต่ความหวาดกลัวที่แทบจะแผ่รังสีให้รับรู้ นี่ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ - - จะอะไรนักหนา
“นี่...นายน่ะ”
ฉันเลือกคนที่นั่งอยู่ใกล้มือที่สุด (ซวยไปนะ) หมอนั่นสะดุ้งสุดตัวก่อนจะค่อยๆหันมามองหน้าฉันอย่างหวาดๆ
“คะ....ครับ เรียกผมเหรอ”
“ถ้าไม่ใช่นาย แล้วฉันจะเรียกใครได้อีกล่ะ”
ก็เห็นๆอยู่ว่าที่ตรงนี้มีแค่คนเดียว ที่จริงแล้วมันเคยมีคนจับกลุ่มคุยกันนะ แต่คนอื่นรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีชิ่งหนีไปก่อนที่ฉันจะเดินมาถึง หมอนี่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาฝอยถึงได้ไม่รู้ตัวว่าฉันเดินเข้ามา
“คะ...ครับ”
“พวกนายกำลังซุบซิบอะไรกัน”
“ปะ....เปล่าคับ”
“อย่าโกหก เพราะนั่นจะทำให้ฉันยิ่งหงุดหงิด”
“มะ...ไม่ได้พูดอะไรถึงคุณเลยครับ”
“พูดถึงฉันกันอยู่สินะ พูดอะไรกันล่ะ”
ดูสีหน้าที่เหมือนคนกำลังจะร้องไห้ของหมอนี่แล้วยิ่งหงุดหงิด ก็แค่ตอบกันมามันจะตายรึไง ก็บอกแล้วว่ายังไม่ได้ทำอะไรยังไงล่ะ!!
“เอ่อ...คือว่า”
“ว่าไง”
“เอ่อ...เรื่องที่ว่า...คือว่า...”
“อะไร...”
ฉันกอดอกมองหน้าอีกฝ่ายอย่างอดทน ไอ้การพูดติดๆขัดๆของหมอนี่มันทำให้ฉันหงุดหงิดจนแทบจะกลายเป็นโมโห แค่พูดช้าๆชัดๆ ไม่ได้รึไงกันนะ ฉันก็ยังไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยจะกลัวอะไรนักหนา
“เอ่อ...คือว่า...ว่าเรื่องว่า....”
“ถ้านายยังคงติดอ่างอยู่อย่างนี้ ฉันจะทำให้นายพูดไม่ได้ซะเลยดีมั้ย!”
“คือว่าทั้งโรงเรียนกำลังสงสัยเกี่ยวกับข่าวลือที่ว่าคุณริชแบรนน์กำลังคบกับคุณเซโร่ควบซ้อนด้วยคุณโซลกับซีซาร์อยู่น่ะครับ!!!”
สิ้นเสียงสุดท้ายใบหน้าใกล้ร้องไห้ของคนตรงหน้ากลายสภาพเป็นใบหน้าที่อาบน้ำตาในที่สุด พร้อมกันนั้นก็สารภาพบาปของตัวเองออกมาเรียบร้อยเลยด้วย...พูดตรงๆนะ ฉันเองก็ไม่ได้จะเข้าใจอะไรนักหรอก ก็บอกแล้วว่ายังไม่ได้ทำอะไร ทำไมต้องกลัวจนประสาทเสียขนาดนั้นด้วย
“ใคร...เป็นคนกุเรื่อง”
“ผม...ผม...”
“นายเหรอ?”
“ผมไม่ทราบครับเพราะข่าวนี้ลือกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว...”
ยังไม่ทันได้จบประโยคดี เขาก็เป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาอย่างน่าสมเพช ยังมีสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอขนาดนี้เหลืออยู่บนโลกอีกเหรอเนี่ย -_-
“โซล...กลับไปทำงานซะ”
“เข้าใจแล้ว”
“เซโร่”
“ว่าไงจอมมาร”
“รู้นะต้องจัดการยังไง” เซโร่พยักหน้าช้าๆก่อนจะค่อยๆเดินออกไปจากห้องพร้อมกันกับโซล
“ฉันจำได้ว่า เคยได้รับความเป็นส่วนตัวกว่านี้นะ”
“....” นี่คงจะเป็นความรู้สึกที่โซลเคยได้รับเวลาที่คุยกับฉันแล้วฉันเงียบใส่ มันน่าหงุดหงิดแบบนี้นี่เอง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงได้ข้ามเส้นที่เคยขีดไว้มารบกวนความเป็นส่วนตัวของฉัน”
“....”
“จริงๆแล้วถ้าเราต่างคนต่างอยู่ ทุกคนก็คงจะอยู่กันอย่างสงบนะ...”
“....”
“แล้วอะไรดลใจให้มาแส่เรื่องของฉันไม่ทราบ”
ฉันมองไปรอบๆห้องที่แทบจะแบ่งออกเป็นสองฝากอย่างเห็นได้ชัดเจน ฝากหนึ่งคือนักเรียนเกือบทั้งห้องที่ยืนจับกลุ่มกันอย่างหวาดหวั่น บางคนก็ทรุดลงไปนั่งร้องไห้เรียบร้อยแล้ว
และอีกฝาก...ฉันยืนอยู่อย่างเดียวดาย...
“นี่เธอ ฉันขอไฝว้ท์ด้วยหน่อยสิ!!”
เสียงนั้นมาจากผู้หญิงตัวสูง หุ่นดี ผิวขาว บนใบหน้าสวยๆละเลงด้วยเครื่องสำอางสีสดซะจนทำให้เธอสวยน้อยลงจากที่เคยสวย...นั่นไม่สำคัญเท่ากับที่ว่าเธอคนนี้กล้าลุกขึ้นเผชิญหน้ากับฉัน...
ฉันว่าฉันจำคนที่เรียนห้องเดียวกันได้ทุกคนนะ แต่เธอคนนี้..ไม่คุ้นเลย...
“ว่าไง”
“เธอเป็นใครไม่ทราบ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอต้องข่มขู่เพื่อนๆในห้องด้วย”
ฉันปรายตามองเธอคนนั้นก่อนจะหันไปมองเพื่อนของเธอที่พยายามดึงให้เธอนั่งลงแต่ดูท่าว่ายัยนี่จะดื้อไม่ใช้น้อยเพราะเธอผลักมือของเพื่อนออกไปแล้วหันมาจ้องหน้าฉันด้วยสายตาไม่พอใจ
“เรื่องที่ว่าเธอคบกับเซโร่จริงหรือเปล่า ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเซโร่คบกับเทียนหอมหรอกเหรอ แล้วเธอก็คบกับโซลอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ แล้วอีกอย่าง ฉันเห็นนะว่าเมื่อเช้าเธอยังยืนคุยอยู่กับซีซาร์ ใจคอเธอจะมีผู้ชายเป็นของตัวเองกี่คนกันแน่ คิดจะคว้าหนุ่มฮอตของทั้งโรงเรียนเลยหรือยังไง”
ยัยผู้หญิงที่ฉันไม่รู้จักชื่อนี่สะบัดมือจากเพื่อนของตัวเองอีกครั้งก่อนจะร่ายยาวใส่ฉันมาเป็นชุดๆ
“เฮอะ!! เธอมันก็แค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วก็มีงานอดิเรกชอบสะสมผู้ชาย ทำไมทุกคนต้องกลัวด้วย ฉันไม่เข้าใจ!!”
ฉันยังคงเงียบ แต่ท่ามกลางความเงียบนั้นทำให้หลายๆคนในห้องยิ่งหน้าซีดลงไปอีก ฉันยิ้มเหยียดจนกลายเป็นแสยะยิ้ม ผู้หญิงคนนี้นี่...พูดเหมือนกับรู้จักฉันเลยนะ
“เธอรู้จักฉันมั้ย?”
“ฉันได้ยินชื่อของเธอมานานเหมือนกันนะริชแบรนน์ ตั้งแต่ยังไม่ย้ายมาที่นี้ แต่พอมาเจอตัวจริง ฉันว่าเธอก็ไม่เท่าไหร่”
เธอเชิดหน้าใส่ฉันพร้อมกับส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามราวกับว่ารอดูว่าฉันจะทำอะไรเธอได้ ในขณะที่ฉันเอาแต่ยิ้มเย็นๆ
“ขอโทษนะคะ เพื่อนฉันเพิ่งจะย้ายมาใหม่ ยังไม่ค่อยรู้อะไร ให้อภัยด้วยเถอะนะคะ!!”
เพื่อนของเธอคนนั้นรีบออกหน้าแล้วดึงมือของยัยผู้หญิงที่ฉันไม่รู้จักชื่อให้ถอยหลัง แต่ดูเหมือนแม่นี่จะไม่รู้จักกลัวอะไรเอาซะเลย
“ทำไมต้องกลัวด้วยฮะ! คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องกลัวใคร เกิดมาไม่เคยแพ้ใครด้วย จำไว้ด้วยนะริชแบรนน์ ฉันชื่อไอแดด ถ้าเธอคิดจะทำอะไรฉันละก็ คุณพ่อฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”
“ลูกสาวคนใหญ่คนโตสินะ”
ไอแดดเชิดหน้าอย่างภาคภูมิก่อนจะปรายตามองฉันราวกับว่าจะถามว่าฉันล่ะ สู้เธอได้หรือเปล่าฉันยังคงยิ้มเย็นๆ ความรู้สึกเหมือนถูกท้าทายที่ไม่ได้รู้สึกมานานทำให้ร่างกายของฉันตื่นเต้นจนแทบคุมไม่อยู่
“ฉันเอง ก็คงจะทำอะไรเธอไม่ได้หรอก ไอแดด”
“เฮอะ!!”
คนในห้องต่างมองหน้ากันอย่างงุนงงกับท่าทีของฉัน แน่นอนว่าพวกเขาไม่เคยเห็นจอมมารปราชัยให้ใคร...ไม่สิ เรียกว่าปราชัยยังไม่ได้ ต้องเรียกว่า แกล้งทำเป็นปราชัยจะเหมาะกว่า
“ฉันขอตัวก่อนแล้วกัน”
“อีกเรื่องนะริชแบรนน์”
เสียงของไอแดดเรียกฉันเอาไว้ก่อนที่ฉันจะออกไปจากห้อง เธอก้าวมาข้างหน้ายืนกอดอกแล้วก็มองหน้าฉันอย่างมาดมั่น
“เลิกยุ่งกับโซลซะ เขาเป็นของฉัน!!”
คำประกาศนั้นทำเอาคนทั้งห้องตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม ฉันเองก็แอบแปลกใจนิดๆแต่ก่อนที่ไอแดดจะได้พูดอะไรอีกฉันก็ส่งยิ้มหวานพร้อมพูดเสียงแผ่วที่คาดว่าคงจะชัดเจนสำหรับเธอคนนั้น...
“ถ้าเธอคิดว่าทำได้ ก็มาแย่งคืนไปสิ”
ฉันก้าวออกจากห้องอย่างไม่ได้สนใจว่าคนข้างหลังจะเป็นเดือดเป็นร้อนยังไงกับท่าทีไม่สนใจของฉัน คาดว่าในห้องคงจะมีการซักไซ้ยัยผู้หญิงคนนั้นกันยกใหญ่กับเรื่องที่เธอประกาศออกมา แต่ตอนนี้นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันสนใจ ไอ้ที่น่าทำกว่านั้นก็คือ...
‘ฉันได้ยินชื่อของเธอมานานเหมือนกันนะริชแบรนน์ ตั้งแต่ยังไม่ย้ายมาที่นี้ แต่พอมาเจอตัวจริง ฉันว่าเธอก็ไม่เท่าไหร่’
‘ทำไมต้องกลัวด้วยฮะ! คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องกลัวใคร เกิดมาไม่เคยแพ้ใครด้วย จำไว้ด้วยนะริชแบรนน์ ฉันชื่อไอแดด ถ้าเธอคิดจะทำอะไรฉันละก็ คุณพ่อฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่’
‘เลิกยุ่งกับโซลซะ เขาเป็นของฉัน!!’
หึหึ ความรู้สึกสนุกนี่มันน่าตื่นเต้นจริงๆเลยเชียว...
“นายพูดถูกจริงๆเซโร่ แค่เสียงลือเสียงเล่าอ้าง ก็ทำให้มีคนรนหาที่เข้ามาทำให้ชีวิตฉันมันสนุกขึ้นอีกแล้ว”
ความคิดเห็น