คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1 : ไม่ใช่อิจฉา
“ใกล้วันเกิดเธอแล้ว จะให้อะไรดีนะ”
เสียงของเซโร่ถามขึ้นทันทีที่เขานั่งลงข้างๆ ส่วนฉันก็ได้แต่ทำเป็นไม่ใส่ใจอย่างเคย
“ว่าไง?”
“ถามฉันทำไม -_-”
“ก็เธอเป็นผู้หญิง^^”
“อ้อ เคยรู้ด้วยเหรอ-_-;”
ฉันประชดกลับนิดๆ ให้ตายสิ ถ้าหมอนี่รู้ตัวซะบ้างว่าฉันเป็นผู้หญิงอะไรๆมันคงง่ายกว่านี้เยอะ
“ถึงเธอจะแมนกว่าผู้ชายจริงๆแต่เธอเป็นพวกเชี่ยวชาญเรื่องสาวงามนี่นา เพราะงั้นพลีส*O*”
“ปัญญาอ่อน -_-”
แล้วความสนใจของฉันก็หันกลับมาอยู่ที่กล่องข้าวในมือ พักเที่ยงแบบนี้แทนที่จะได้นั่งกินข้าวสงบๆ อุตส่าห์หาที่ลับซ่อนตัวจากความวุ่นวายได้แล้วแท้ๆ ทำไมยังต้องถูกหมอนี่ตามมาวุ่นวายด้วยเนี่ย -^-
“เออ จำไว้เลยนะ ขอความช่วยเหลือแค่นี้ก็ไม่มีให้ ชิ!”
“คิดว่าตัวเองกำลังทำอะไร”
“เชอะ!”
“นี่เซโร่ นายคิดว่านายมีสิทธิ์มางอนฉันงั้นเหรอ แล้วไอ้ท่าทางแบบนั้น มันเป็นสิ่งที่ผู้หญิงแอ๊บแบ้วเค้าทำกันนะ - -^”
เหลือจะเชื่อ หมอนี่กล้ามาทำปากจู๋หน้าง้ำงอใส่ฉัน แน่ะ!มีทำแก้มป่องด้วย จะมากไปละ
“เชอะเชอะ!”
“นายคิดว่า ที่นายได้ลัลล้าแบบนี้มาสามเดือนเพราะใครกัน?”
ฉันพูดเรียบๆด้วยความที่หมั่นไส้ไอ้คนใกล้ตัวอย่างแรง เดี๋ยวนี้หัดมาทำงอน ทำตัวน่ารักแบบนี้ เดี๋ยวแม่จู่โจมแล้วอย่ามาสำนึกทีหลังนะว่าไม่ควรทำน่ะ!
“ทวงบุญคุณรึไง”
คนที่ชะงักการทำหน้าตางอนๆอย่างน่ารักเมื่อครู่หันมาถามฉันเสียงเขียวอย่างหวาดระแวง
“ไม่ได้ทวง”
“แล้วพูดถึงมันทำไมไม่ทราบ”
“ก็แค่อยากจะเตือนให้รู้เอาไว้...ฉันให้มันกับนายได้ ทำไมฉันจะริบมันคืนไม่ได้”
ฉันส่งรอยยิ้มที่มีเหรอเพื่อนที่คบกันมานานขนาดนี้จะดูไม่ออกว่าฉันพูดจริงทำจริง ให้ตายสิ...ชอบใบหน้าตอนที่หมอนี่เครียดชะมัด!! หึหึหึหึ
“ยัยจอมมาร!”
“ขอบคุณที่ยังจำได้ว่าฉันเป็นใคร”
“เฮ้!ไม่ต้องมายิ้มเยาะฉันเลยนะ...ไม่ถึงทีฉันถือไพ่เหนือกว่าบ้างก็ให้มันรู้ไปสิ”
ท้ายเสียงเขาคงตั้งใจจะพูดกับตัวเองมากกว่า...แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังได้ยินอยู่ดี แล้วอยู่ๆก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เซโร่รีบตะครุบแขนของฉันเอาไว้พร้อมกับถามอย่างตื่นเต้น
“วันนี้เย็นว่างมั้ยริช”
“ก็แล้วแต่ว่านายจะให้ช่วยทำอะไร”
“ไอ้นี่นิ่-_-;”
“J”
ฉันส่งยิ้มกวนประสาทไปให้ก่อนจะปิดกล่องข้าวแล้วโยนลงถังขยะ(ทั้งๆที่นั่งมันอยู่อย่างนั้นล่ะ) รอบข้างเงียบสงบเพราะทุกคนไปร่วมด้วยช่วยกันสร้างความวุ่นวายที่โรงอาหาร ส่วนฉันที่แอบหนีมานั่งสบายอารมณ์ที่ดาดฟ้าตึกพยาบาลกลับต้องมาเจอไอ้เพี้ยนนี่เพ้อแล้วเพ้ออีก เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็ยังสงบกว่าที่โรงอาหารแล้วกัน แถมยังปฏิเสธไม่ได้ซะด้วยสิว่าอยากให้มา อ่า....แย่จริงๆ
“พาไปเลือกซื้อของให้เทียนหอมหน่อยสิ”
“ไม่ว่างว่ะ”
ฉันตอบกลับได้อย่างง่าย ไม่มีความจำเป็นต้องคิดมากเลยสักนิดเดียว ยัยนั่นไม่ได้สำคัญถึงขั้นเข้ามาอยู่ในสาระบบของฉัน และ....ทำไมฉันจะต้องช่วยหมอนี่ในเรื่องผู้หญิงด้วยล่ะ...ก็ในเมื่อ....
“ช่วยคิดก่อนก็ได้นะ ริช -_-;”
“แฟนนาย นายก็ไปตามหงุงหงิงกันเอาเองสิ”
“อย่าตัดเยื่อใยฉันแบบนั้นสิ T^T เราเป็นเพื่อนกันนะ”
ฉันเหลือบมองคนที่ทำหน้าออดอ้อนอย่างกับลูกหมา ก่อนจะนึกอย่างปลงๆและสงสัยในตัวเองมากๆว่าฉันมาแอบชอบคนแบบนี้ได้ยังไง ใช่ เราเป็นเพื่อนกันและฉันยังอยากเป็นอยู่แม้จะรู้ว่าความรู้สึกในตอนนี้มันไม่ใช่แล้วก็ตาม
“นายน่ะ ทำไมชอบคิดเอาเองฝ่ายเดียวเลยนะ ว่าถ้าแค่ขอ ฉันจะต้องช่วยนายเสมอ”
“ก็เธอเป็นเพื่อนร้ากกกกกกก>< คนสำคัญของฉันนี่นา”
“กล้าพูดนะ เวลานายอยู่กับยัยนั่นเคยเห็นหัวคนที่นายเรียกว่าเพื่อนคนนี้บ้างไหม?”
คนถูกถามชะงักไปพักใหญ่ในขณะที่ฉันก็มองไปทางอื่นเลี่ยงการปะทะทางสายตา ฉันแค่พูดความจริงนะ ไม่ได้จะประชดอะไรหรอกน่ะอย่าเข้าใจผิด แค่พูดให้เขารู้สึกตัว ยอกย้อนให้เขาเข้าใจในเหตุผลสักที ความจริงที่ไม่ว่ายังไงเซโร่ก็ปฏิเสธไม่ได้ เวลาเขาอยู่กับผู้หญิงอีกคนที่ไม่ใช่ฉัน ตำแหน่งคนสำคัญก็ถูกเปลี่ยนตาม ซึ่ง...ถ้าจะว่ากันตามจริง ก็เป็นสิ่งที่ฉันกำหนดและเลือกมันเอง
“พูดเหมือนน้อยใจเลยแฮะ”
“....”
“น้อยใจเหรอ ริช”
น้ำเสียงของเขาตอนนี้ มันฟังดูอ่อนโยนมากซะจนฉันอดคิดไม่ได้ว่าบางที ในความห่วงใยที่มีมันอาจจะซ่อนอะไรเอาไว้...แต่ก็แค่นั้นแหละฉันหยุดความคิดของตัวเองในทันที
“บางที...”
“....”
“อาจจะมากกว่าน้อยใจ”
ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ความรู้สึกของฉันในตอนนี้ มันชินชาซะเกินกว่าจะมานั่งหวั่นไหวไปกับความรู้สึกโง่ๆแบบนั้นอีกแล้ว
“แล้วทำยังไงถึงจะหายน้อยใจล่ะJ”
รอยยิ้มอ่อนโยน สัมผัสที่แสนแผ่วเบาของมือเขาที่วางลงบนศีรษะของฉัน ความอบอุ่นที่แผ่ซ่านส่งมาให้พร้อมคำถาม...คำถามที่ฉันเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าฉันตอบออกไปไม่ได้ ฉันพูดออกไปไม่ได้...ไม่ใช่คำตอบที่จริงจังแบบที่หมอนี่อยากได้ยิน
“เลิกกับแฟนนายซะสิ”
“O_o!”
“ จะทำให้ฉันได้ไหมล่ะ”
“ริช...”
“ถ้าไม่มีปัญญาทำได้ก็อย่ามาถามวิธีง้อ”
ฉันปัดมือเจ้าคนนั่งทำตาโตเพราะคาดไม่ถึงกับคำตอบที่อุตส่าห์ตั้งใจฟังซะดิบดี แม้ว่าฉันจะพยายามอย่างมากแค่ไหนที่จะพูดโดยที่ยังคงรักษาน้ำเสียงนิ่งเรียบเอาไว้แต่ปลายเสียงก็ยังสั่นน้อยๆอยู่ดี ช่างเถอะ คนโง่แบบนี้ไม่มีทางได้รู้หรอกว่าฉันคิดอะไรอยู่กันแน่
“อ่า....เอาจริงป่ะเนี่ย”
พอหันไปมองหน้าเขา ความรู้สึกผิดก็วิ่งเข้าใส่ฉันซะเต็มหน่วยเลย อย่าทำหน้าเหมือนตัดสินใจไม่ถูกแบบนั้นสิ เซโร่ มันยิ่งตอกย้ำให้ฉันรู้ว่า ฉันเป็นรองผู้หญิงคนนั้น
“เฮ้ย!น้อยใจอะไรขนาดนั้น แค่ฉันละเลยถึงขั้นจะให้เลิกกับแฟนเลยเหรอ ยัยจอมมารอย่างเธอกำลังอิจฉาล่ะสิ รู้นะ รู้น้า~”
“เงียบไปเลยไป”
ฉันหยุดความรู้สึกผิดในทันทีที่ประโยคนั้นออกมาจากปากบางๆของเซโร่ ทำไมนะ ฟ้าถึงได้ลิขิตให้ฉันไปตกหลุมรักผู้ชายบ้าๆแบบนี้ด้วย -^-
“อิจฉาก็บอกน่า~>w<”
“....”
“อิจฉาๆ คนขี้อิจฉา”
“ไม่ใช่อิจฉา”
...เพราะถึงแม้ว่าฉันจะไม่สามารถยืนแทนที่นางฟ้าของนายได้ ฉันก็ยังมีสิทธิ์รักนายอยู่ดี แล้วฉันจะอิจฉาไปทำไม
“ทำปากเก่ง ก็บอกแล้วไง ให้หาแฟนสักคน จะได้ไม่ต้องอิจฉา”
“ถ้าคนอย่างฉันจะหาแฟนทั้งที ก็คงต้องหาให้ดีกว่าอยู่คนเดียว แต่บังเอิญฉันมันพวกชอบอยู่คนเดียวซะด้วยสินะ”
“ระวังเห้อออ!! ต่อมอิจฉากำเริบละจะอยากมีใครสักคนให้สวีตเหมือนฉัน><”
“ เฮอะ!ชีวิตฉันยังมีสาระมากกว่านั้นเยอะ”
“เธอนี่ไม่มีเสน่ห์ของผู้หญิงเลยนะ ริช พูดมาแต่ละทีนี่ทำเอาฉันลืมเพศเธอไปเลยว่ะ”
ฉันตวัดหางตามองไอ้บ้าที่กำลังหัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังกับคำพูดของตัวเองเมื่อครู่นี้ คงสะใจล่ะสิที่ได้โจมตีฉันทางคำพูด หึหึ นายมันวอนหาเรื่อง
“งั้นก็ระวังยัยเทียนหอมอะไรนั่นให้ดี ถ้าเสน่ห์อย่างผู้หญิงฉันไม่มีล่ะก็ บางทีฉันกับนายอาจจะกลายเป็นศัตรูกันเพราะผู้หญิงคนนี้ก็เป็นได้”
“เฮ้ย!จริงจังป่ะเนี่ย”
“ก็ไม่รู้สินะ”
“ไม่ทำจริงใช่ป่ะ”
“J”
“เลิกยิ้มเจ้าเล่ห์แบบนั้นเลยนะ ริชแบรนน์><”
คิดดูสิว่า ฉันจะชอบผู้ชายทั้งที ดันเป็นไอ้คนปัญญาอ่อนนี่ สมเพชตัวเองชะมัด - -“
ชื่อเล่นเต็มๆของฉันคือริชแบรนน์ (ก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะอยากรู้กันหรือเปล่า แต่มันเป็นธรรมเนียมน่าเบื่อที่เราต้องแนะนำตัวให้ผู้อ่านได้รู้น่ะ) ผู้คนในโรงเรียนเรียกฉันว่าจอมมารแห่ง Sent. Sonata ข้ามเรื่องพวกนี้ไปเถอะ -^-
ฉันมีเพื่อนสนิทอยู่สองคน หนึ่งในนั้นคือเซโร่ ถูกแล้ว คนที่อยู่ข้างๆฉันในเวลานี้นี่ล่ะ เราสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เพราะพ่อแม่ของพวกเราเองก็เป็นเพื่อนสนิทกันเช่นกัน และเพราะนิสัยฉันไม่เหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นๆสักเท่าไหร่ (ก็ไม่มีอะไรที่ผิดปกติมากนักหรอก ฉันแค่คลั่งกีฬามากกว่าการแต่งตัว แต่สาบานได้ว่าฉันยังคงเป็นผู้หญิงแบบเต็มร้อย ข้อพิสูจน์คือการที่ฉันรู้จักแอบรักเพื่อนสนิทของตัวเองนี่ไงล่ะ) ทำให้เราสามารถแชร์สิ่งต่างๆได้อย่างสนิทใจโดยไม่ต้องรู้สึกอายว่าอีกฝ่ายจะหัวเราะเยาะกับคำพูดของตัวเอง จริงๆก็ออกจะเหลือเชื่อนะที่ฉันจะรู้สึกอะไรแบบนี้กับใคร แต่ในเมื่อมันรู้สึกไปแล้วและฉันไม่สามารถห้ามใจของตัวเองได้ ก็เลยได้แต่ตัดสินใจที่จะหาทางเลือกให้กับตัวเองเพื่อหาทางออกจากปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต (นี่ฉันคิดไกลไปมั้ย?)
คำถามคือ ทำไมฉันไม่ใช้ความสัมพันธ์ของเพื่อนสมัยเด็ก สารภาพรักและคบกับหมอนี่ไปเลยน่ะเหรอ? คำตอบง่ายมาก เพราะฉันไม่ต้องการคบกับหมอนี่ไงล่ะ
“ริช”
“อะไรอีกล่ะ”
“เย็นนี้น่ะ ไปกับฉันเถอะนะ พลีสสส *O*”
“ยังไม่เลิกบ้าอีกรึไงวะ”
ฉันเหลือบมองคนข้างๆแล้วเผลอถอนหายใจ ถ้าคุณเป็นฉันตอนนี้จะทำยังไงดีนะ เด็กหนุ่มที่อยู่ในวัยรุ่นเต็มที่กำลังจ้องหน้าคุณตาแป๋วอย่างอ้อนวอน ดวงตาคู่คมสีน้ำตาลเข้มที่ดูจะโตกว่าผู้ชายทั่วไปนิดหน่อยพอรวมกับขนตายาวๆนั่นเพิ่มความหวานและแววตาออดอ้อนที่ฉันลงความเห็นกับตัวเองในใจว่าทำให้เขาดูเหมือนลูกหมา จมูกโด่งสวยเหมือนกับไปศัลยกรรมมา แทบจะทิ่มหน้าเมื่อเขาเข้ามาใกล้ปากบางๆยังคงเพ้อกับคำว่าพลีส ทุกอย่างที่เขามีเข้ากับโครงหน้าเข้มๆและผิวขาวเนียนที่โผล่พ้นแขนเสื้อ และฉันก็อดไม่ได้จริงๆที่จะมองหุ่นนักกีฬาสูงโปร่งและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ซ่อนอยู่ในเสื้อเชิร์ตสีดำนั่นของเขา บอกได้เลยเถอะว่า หมอนี่มันเกิดมาเพื่อหล่อจริงๆ จ้องหน้านานๆแล้วแอบใจอ่อนอย่างช่วยไม่ได้ ทำไงได้ ในเมื่อสำหรับฉันในตอนนี้หมอนี่มันไม่ใช่เพื่อนแล้วนี่นา และฉันเองก็เป็นแค่ผู้หญิงนะ ไม่ใช่พระอิฐพระปูน
“นะ ริช น้า *O*”
“ขอเหตุผลดีๆที่นายจำเป็นจะต้องให้ฉันไปด้วยสักหน่อยได้มั้ย”
“ก็เพราะเธอเลือกของเก่ง รู้ใจผู้หญิง เธอแมน เธอสปอร์ต เธอใจดี เธอกรุงเทพ เอ๊ย! เธอมันเทพ><”
“คำตอบของนายน่าช่วยเหลือมากเลยนะ เซโร่ ช่วยให้ได้นอนตายอย่างสงบตรงนี้”
“จะ...ใจเย็นๆ คามมมดาววว คามดาวว ^^;;”
เซโร่ยกมือขึ้นห้ามฉันที่เตรียมจะหวดหน้าแข้งใส่อย่างรีบร้อน ก่อนจะมาบีบนวดอย่างเอาอกเอาใจ
“ไปกับฉันเถอะน้า ริชน้า ฉันไม่มีเพื่อนไปด้วยอะ”
“นายไปก็เอาเทียนหอมไปด้วยอยู่ดี”
“เพราะงั้นถึงต้องให้เธอไปด้วยไง เทียนหอมน่ะแฟน ไม่ใช่เพื่อนน้า”
“จะเอาฉันไปทำแป๊ะก๊วยรึไง! ตอนพวกนายอยู่ด้วยกันจะมีฉันไว้บันทึกภาพความหวานรึไงไม่ทราบ”
ฉันค้านก่อนจะปัดมือของเซโร่ที่เริ่มเข้ามาเกาะกุมมือของฉันเป็นการอ้อนอย่างน่ารำคาญ
“เพราะตอนที่ฉันพาเทียนหอมไปดูหนัง เธอจะได้ไปซื้อของให้ฉันยังไงล่ะ J”
“ฮะ?”
“นะ ริช นะ”
ดูจากสีหน้าของฉันแล้วหมอนี่ยังกล้าอ้อน เหลือจะเชื่อเลย คิดจะพาแฟนไปเที่ยวแล้วมาขอให้ฉันไปเลือกซื้อของให้กับคนที่ฉันเรียกได้เต็มปากแต่ไม่เรียกว่าศัตรูน่ะเหรอ ขอน้อยไปม้าง~(ประชดหรอก)
แต่ว่า...ฉันรู้จักตัวเองดีพอ ฉันไม่กล้าปฏิเสธสิ่งที่หมอนี่ขอให้ช่วยในเรื่องนี้หรอก ต่อให้ไม่ได้ใส่ใจจะอยากทำก็ตาม
“อยากให้ช่วยก็ติดสินบนมา”
“งั้นส่งจุ๊บๆให้นะ มา จุ๊บ~>w<”
“ของปัญญาอ่อนแบบนั้นไม่เอา-_-” ขืนรับเอาไว้ ไม่รู้ว่าใครจะแย่กันแน่
“อะไรกันวะ ของปัญญาอ่อนที่เธอว่า มีผู้หญิงนับร้อยที่อยากได้นะเว้ย L”
“เออ ยกเว้นเพื่อนที่นั่งหัวโด่ตรงนี้ของนายแล้วกัน”
ฉันแบะปากให้คนหลงตัวเอง เออ ไอ้หล่อ ใช่สิ เขาพูดไม่ผิดหรอก ผู้หญิงที่มาหลงหมอนี่น่ะ มีเยอะอย่างที่เขาพูดนั่นแหละ!!
“แล้วจะเอาอะไรล่ะ”
เซโร่ถามอย่างจนมุม ความจริงแล้วฉันเองก็ไม่ได้อยากได้อะไรจากนายหรอกนะ แต่ไหนๆโอกาสมันก็มีมาแล้ว จะไม่ใช้ก็เสียประโยชน์ไปซะเปล่าๆ
“การบ้านทั้งหมดของวันนี้ ไปทำมาให้ด้วย”
“ฮะ?”
“ได้ยินแล้วนี่”
“จะบ้ารึไง!วันนี้มันมีการบ้านตั้งเกือบร้อยข้อนะ แล้วอีกอย่าง ระดับเธอถ้าทำเองแป๊บเดียวก็เสร็จนี่นา มาใช้ฉันให้เสียเวลาทำไม”
“เพราะฉันต้องเสียเวลาอันมีค่าของฉันไปกับเรื่องไร้สาระของนาย เผื่อนายจะไม่รู้นะเซโร่ การที่ต้องทำอะไรที่เห็นว่าไร้สาระมันเหนื่อยใจมากทีเดียว”
ฉันแสร้งถอนหายใจแล้วส่ายหน้าช้าๆอย่างกวนประสาทคนข้างๆให้ทำหน้ามึนตึงอย่างคนที่เริ่มรู้สึกผิดและกำลังคิดมาก ฉันชอบใบหน้านี้จริงๆนะ J
“และอีกอย่าง ฉันก็ขี้เกียจด้วย”
“โห!! ครับคุณ! เหตุผลหลักคือขี้เกียจ แล้วทำมาพูดยาวเหยียดให้ผมรู้สึกผิด”
“มันก็คุ้มกันแล้วไม่ใช่เหรอ รอยยิ้มของยัยนั่น กับการบ้านของฉันที่จะต้องไปวางบนโต๊ะครูอย่างสวยงามวันพรุ่งนี้”
“....”
“ว่าไงล่ะ ฉันไม่ได้จะว่างมานั่งฟังคำตอบนายทั้งวันนะ”
“เธอมันจอมมารชัดๆ L”
“ก็แค่นั้น”
เซโร่บ่นพึมพำคนเดียวอย่างใส่อารมณ์กับกำแพง(คงไม่กล้าทำใส่ฉัน) แต่นั่นน่ะไม่ได้เรียกร้องความสนใจจากฉันได้เท่ากับใบหน้ายิ้มแย้มที่เขากำลังทำไปพลาง ร้องถามฉันไปพลางว่าจะซื้ออะไรให้เธอคนนั้นดี ใบหน้าแบบนั้นทำเอาฉันเริ่มรู้สึกไม่ดีซะแล้ว อาการกำเริบทุกทีที่ได้ยินว่านายแคร์คนอื่น เป็นแบบนี้ไม่ดีเลยแฮะ ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ ก็ฉัน....ตัดสินใจแล้วนี่นา
“เป็นอะไรไป หรือความอิจฉามันจุกอกจนต้องเงียบกริบ”
“ก็บอกแล้วไงว่า...”
“โอเคครับ!ผมจะเงียบแล้ว”
เซโร่ทำท่ารูดซิปปากก่อนจะส่งยิ้มให้ฉัน โบกมือลา แล้ววิ่งลงบันไดไปด้วยท่าทางทะเล้นๆ แต่สิ่งที่ฉันกำลังจะบอกนายมันไม่ใช่คำที่นายคิดว่าฉันจะสั่งให้เงียบหรอกนะ เซโร่
“ก็บอกแล้วไงว่า...ไม่ใช่อิจฉา...แค่รักนายก็เท่านั้นเอง”
แค่นั้นเองจริงๆ ถึงได้มานั่งเจ็บปวดอยู่แบบนี้ไง
ความคิดเห็น