ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เจ้าหญิงจอมแก่นกับโรงเรียนมหาเวทย์

    ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องเล่าจากคาร์ลเรน

    • อัปเดตล่าสุด 3 มิ.ย. 49





         บรรยากาศยามเช้าดูแปลกขึ้นผิดหูผิดตา  เหล่าข้าทาสบริวารทั้งหลายต่างวิ่งกันชุลมุนเมื่อ  เจ้าหญิงฟาริโอน่าขังตัวเองอยู่ในห้อง  ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ไม่ได้ผล  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กษัติย์เรย์นาลกังวลว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น


      "เปิดได้หรือยัง"เรย์นาลถามนางกำนัลที่วิ่งสวนออกมา

      "ยังเพคะ  แต่รอบๆห้ององค์หญิงดูเหมือนจะไม่ได้มีแต่รังสีอำมหิตนะเพคะ"นางกำนัลตอบ


      "แล้วอะไรอีกล่ะ"

     ื "ดูเหมือนจะเป็นพลังแห่งความมืดนะเพคะ"นางกำนัลตอบพลางมองไปรอบๆ

      "อืม  ขอบใจมากนะ"เรย์นาลบอกพลางเดินเข้าไปในห้องทำงาน

      "สังสัยคงต้องบอกท่านคาร์ลเวนซะแล้วมั้ง"เรย์นาลคิดพลางดึงบางสิ่งบางอย่างออกมาจากเสื้อ

     
      "เอาล่ะ"เรย์นาลพูดพลางสูดอากาศ  "ไปดินแดนฮาเดส"เรย์นาลตะโกนพร้อมกับหายตัวไป








      ณ  ดินแดนฮาเดส


     "ท่านจ้าว  ท่านเรย์นาลมาขอเข้าเฝ้าพ่ะยะค่ะ"ทหารนายนึงวิ่งเข้ามารายงาน

     "ให้เค้าเข้ามา"สิ้นคำสั่ง  ร่างของเรย์นาลก็เดินเข้ามาทันที

     "  ว่าไงเรย์นาลท่านสบายดีหรือ"คาร์ลเรนถามเพื่อนรัก

     "สบายดี  แต่ตอนนี้ท่านต้องไปดูฟาริโอน่าก่อน"เรย์นาลรีบบอกก่อนที่คาร์ลเรนจะทันถามอะไร


     "ฟาริโอน่าเป็นอะไรไป"คาร์ลเรนถามด้วยความกังวล

     "ข้าไม่รู้  แต่ข้าสงสัยว่าเมื่อวานท่านวีนอาร์ลไปหาข้าสงสัยนางจะได้ยินเรื่องที่ข้าพูด  ก็เลยขังตัวเองอยู่ในห้อง"เรย์นาลตอบ


     "แล้วทำไมไม่ช่วยกันเปิดออกเล่า"คาร์ลเรนถามเสียงเครียด

     "ทำแล้ว  ไม่ว่าจะหาอะไรมางัด  หรือใช้เวทมนตร์ใดๆก็เปิดไม่ได้"

     "เจ้าใช้เวทย์ของที่ไหนน่ะ"คาร์ลเรนถามอย่างคาดคั้น

     "ใช้เวทย์ธรรมดา  ไม่ได้ใช้เวทย์ดำ"เรย์นาลตอบ

     "โธ่เอ๊ย  เจ้าก็รู้นี่ว่าฟาริโอน่าเป็นคนใช้พลังมืด  ทำไมไม่ใช้เวทย์มืด"

     "ก็ข้าใช่ไม่เป็น"

     "พอๆ  รีบไปดูดีกว่า  ถ้าลูกข้าเป็นอะไรไปนะเรย์นาล แกตาย " สิ้นคำร่างของจ้าวปิศาจก็หายไป


     "เฮ้อ  เหนื่อยโว้ย  ไปอีกแล้วพลังเวทย์ข้ามันไม่แข็งนะ  แต่ยังไงก็ต้องไป"บ่นเสร็จเรย์นาลก็หายตัวตามคาร์ลเรนไป

      
      

        เมื่อไปถึง  จ้าวแห่งปิศาจก็รีบวิ่งไปตามทางเดินเพื่อไปดูอาการของฟาริโอน่าโดยมีเรย์นาลตามมาติดๆ

      
      "เป็นอย่างไรกันบ้าง"คาร์ลเรนถามพวกขุนนาง

      "ท...ท่านจ้าว  เอ่อ  ตอนนี้ยังเปิดประตูห้องขององค์หญิงไม่ได้พ่ะยะค่ะ"ขุนนางตอบ

      "งั้นพาเราเข้าไปใกล้ๆห้องหน่อย"เรย์นาลสั่งพลางเดินนำคาร์ลเรนไปยังห้องฟาริโอน่า

      "พวกเจ้าถอยไป  เร็ว"เรย์นาลสั่งพลางยืนออกห่างประตู  แต่คาร์ลเรนกลับทำตรงกันข้าม


      "เจ้าจะทำอะไร"เรย์นาลถาม

      "พังประตู"คาร์ลเรนตอบพลางยื่นมือออกไป

      "แน่ใจนะว่าทำได้"เรย์นาลถามต่อ

      "เออสิวะ  ข้าเป็นพ่อนะเฟ้ย"คาร์ลเรนตอบแบบโกรธๆ

      "เออลืมไป"

      "ไอ้นี่หนิ"

      "หยุดก่อนเหอะ  พังประตูก่อน"เรย์นาลพูด

      "เออ"คาร์ลเรนพูดพลางยื่นมือออกไปอีกครั้ง  พลันมีพลังบางอย่างวนเวียนอยู่รอบๆมือของคาร์ลเรน  พลังนั้นก็พุ่งไปยังประตูห้องของฟาริโอน่า  ทำให้ประตูนั้นเปิดออกอย่างง่ายดาย  เมื่อเห็นดังนั้นคาร์ลเรนกับเรย์อาลก็รีบพุ่งเข้าไปในห้องทันที

     
      "ฟาริโอน่า  ฟาริโอน่าเป็นอะไรไป"เรย์นาลพูดพลางรีบวิ่งไปอุ้มฟาริโอน่า

      "มา เดี๋ยวขอข้าดูหน่อย"คาร์ลเรนพูดพลางอังมือเหนือหน้าผากของฟาริโอน่า   เงียบกันไปซักพัก  จู่ๆคาร์ลเรนก็พูดขึ้นมา


      "ตัวร้อนมาก  ไข้ขึ้นสูง  พลังเวทย์หายไป  สงสัยคงจะไม่ได้แค่ปล่อยรังสีอำมหิตซะแล้วมั้ง"คาร์ลเรนพูดด้วยความกังวล

     
      "แล้วรักษาได้มั้ย"เรย์นาลถามพลางก้มมองฟาริโอน่า

      "รักษาได้  เร็วส่งลูกข้ามานี่"คาร์ลเรนตอบพลางยื่นมือไปรับลูกสาว  จากนั้นก็แบมือออก  ก็ปรากฎไข่มุกเจ็ดสีที่ทอประกายอย่างสวยงามอยู่ในมือของคาร์ลเรน


      "นั้นมัน...."เรย์นาลพูดอย่างตกใจ  พลางมองไปดูที่มือเพื่อนรัก

      "อือ  ไข่มุกเวทย์แห่งการเวลา"คาร์ลเรนตอบ  พลางเอามือง้างปากฟาริโอน่า

      "นายจะทำอะไร "เรย์นาลถาม

      "ชั้นจะให้ฟาริโอน่ากินเข้าไป"คาร์เรนตอบ

      "นายไม่เสียดายหรอ"

      "ถามโง่ๆ  ชั้นเสียไข่มุกนี่เพื่อช่วยชีวิตของลูก  แล้วไอ้ไข่มุกนี้มันก็มีค่าน้อยกว่าชีวิตคนๆนึงนะ"คาร์นเรลว่า

      
      "อือ  งั้นก็เร็วๆเข้า  ตัวของฟาริโอน่าเย็นยังกับคนตายแน่ะ"เรย์นาลพูดแล้วแตะตัวฟาริโอน่า


       เมื่อได้ยินดังนั้นคาร์ลเรนจึงรีบเอาไข่มุกให้ฟาริโอน่ากิน  ซักพักสีหน้าเธอค่อยๆมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง  ใบหน้าซีดๆเซียวๆเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ  จนทำให้ฟาริโอน่าลืมตาตื่นขึ้นมา


      "ท่านพ่อ"ฟาริโอน่าเอ่ยพลางมองไปยังคนข้างหน้าเธอ  ซึ่งบัดนี้ยิ้มให้เธออย่างใจดีแล้วพูดว่า


      "ชั้นไม่ใช่พ่อของเธอ  คนที่เธอนอนบนตักนั้นแหละพ่อตัวจริง"เรย์นาลบอกแล้วมองไปยังคาร์ลเรน


      "อ๊ะ"ฟาริโอน่าเริ่มรู้สึกตัวพลางขยับตัวออกห่างจากคาร์ลเรนเล็กน้อย

      "เป็นอะไรไปฟาริโอน่า"เรย์นาลถามพลางมองเห็นท่าทีที่ฟาริโอน่ากระทำ

      "ลูกยังทำใจไม่ได้"ฟาริโอน่าตอบ

      "ทำใจไม่ได้เพราะมีพ่อเป็นปิศาจงั้นหรือลูก"คาร์ลเรนเอ่ย

      "ไม่ใช่อย่างนั้น  ท่านจ้าว....เอ่อ  ท่านพ่อ"

      "พ่อเข้าใจดี  ถ้าเป็นพ่อๆคงทำใจไม่ได้เหมือนกัน"คาร์ลเรนตอบด้วยเสียงเศร้าๆ

      "เปล่าเพคะ  แค่ลูกคิดว่าทำไมท่านพ่อเรย์นาลต้องโกหกลูกด้วยเพคะ"ฟาริโอน่าถามพลางมองไปยังเรย์นาล


      "เอ่อ.....เรื่องนี้มันอธิบายลำบาก  ให้พ่อเจ้าพูดดีกว่า"เรย์นาลโยนไปให้คาร์ลเรนแก้ปัญหา


      "เอาล่ะ  ถึงเวลาที่พ่อจะต้องเล่าซักที"คาร์ลเรนเอ่ยพร้อมกับมองไปยังฟาริโอน่า  ผมสีน้ำตาลสลวยประกอบกับดวงตาสีน้ำตาลที่ทำให้เค้าคิดถึงใครบางคนเหลือเกิน  คาร์ลเรนคิดพลางถอนหายใจ  ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟาริโอน่าฟัง


    ย้อนไปเมื่อ15ปีก่อน


      ภายในดินแดนฮาเดส  ทุกๆคนกำลังวุ่นวายกับการจัดเตรียมงานเลี้ยงสำหรับงานครบรอบ3เดือนของเจ้าหญิงฟาริโอน่า  


      "มาเรีย  ทำอะไรอยู่หรอ"ท่านจ้าวปิศาจที่ดูน่ากลัวแต่บัดนี้กลับมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นมา  เอ่ยถามราชินีคู่ใจที่ขนาดนี้กำลังเล่นกับสุดที่รักของเค้าอยู่


      "เล่นกับฟาริโอน่าเพคะ  เจ้าพี่คาร์ลเรน"มาเรียตอบพลางส่งยิ้มไปให้พระสวามี

      "ไหนมาให้ข้าอุ้มบ้าง"คาร์ลเรนพูดก่อนจะเอื้อมมือไปรับพระธิดาสุดดวงใจไว้ในอ้อมแขน  แต่ยังไม่ทันไรเจ้าตัวน้อยก็ร้องไห้เสียแล้ว


      "อ้าว  ร้องซะแล้ว สงสัยฟาริโอน่าคงไม่ชอบข้ามั้งเนี้ย"คาร์ลเรนพูดพลางส่งฟาริโอน่าคืนแก่มาเรีย


      "คงไม่ใช่อย่างนั้นหรองเพคะ"มาเรียตอบพลางพูดต่อว่า"ท่านพี่คาร์ลเรนเป็นคนมือหนัก  คงจะทำให้ฟาริโอน่าไม่ชอบใจแค่นั้นเอง"


      "นี่เจ้าหลอกว่าข้ารึเปล่าเนี้ย"คาร์ลเรนถามระหว่างที่มาเรีย  วางฟาริโอน่าที่กำลังหลับบนเตียง


      "เปล่านะเพคะ"มาเรียตอบพลางมองคาร์ลเรนเหมือนไม่เข้าใจ

      "งั้นรีบไปกันเถอะ  เดี๋ยวงานจะเริ่มแล้ว"คาร์ลเรนพูดแล้วเขยิบเข้าไปใกล้ๆมาเรีย  แล้วหอมแก้มมาเรียทันที

      
      "อุ๊ย!ทำอะไรกันน่ะเพคะ"มาเรียถามด้วยความอาย

      "เปล่า  งั้นข้าไปก่อนนะ"คาร์ลเรนพูดแล้วเดินออกไปนอกห้องฟาริโอน่า  พลางสังหรณ์ว่าวันนี้ทำไมเขาถึงอยากจะอยู่ใกล้ๆมาเรียมากที่สุดเท่าที่จะทำได้


      "คงคิดไปเองล่ะมั้ง"คาร์ลเรนพูดกับตัวเองพลางเดินไปตามทางระเบียง   ไปยังหน้าประตูวังเพื่อต้อนรับบรรดาญาติสนิทมิตรสหายที่มางานในวันนี้   







      "เฮ้  กษัติย์คาร์ลเรนเป็นไงมั่ง"เสียงที่ฟังดูคุ้นๆตะโกนเรียก

      "อ้าว  สวัสดีปีเตอร์  มาที่นี่ยากมั้ย"คาร์ลเรนถามแล้วมองหน้าเจ้าเพื่อนซี้สมัยเรียน


      " ยากดิ  ทำไมนายไม่บอกพวกคนตรวจเมืองวะ  ว่าให้ลดความเข้มงวดลงหน่อย"ปีเตอร์ถาม


      "จะบ้าเรอะ  ที่นี่มันฮาเดส  ไม่ใช่แถบเอเดนนะโว้ย"คาร์ลเรนตอบ

      "เออ  ลืมไป  ที่นี่มันเมืองปิศาจไม่ใช่เมืองมนุษย์"ปีเตอร์ย้อน

      "จะว่าไปแล้ว  ก็เห็นมีแต่นายแล้วคนอื่นๆล่ะมามั้ย"คาร์ลเรนถามพลางมองไปรอบๆห้องโถง


      "ชั้นก็ไม่รู้  แต่ที่รู้ๆชั้นอยากเห็นมาเรียกับฟาริโอน่า"ปีเตอร์พูด

      "เดี๋ยวก็มาแล้วล่ะน่า"คาร์ลเรนบอก

      "เออนายรู้มั้นว่า  คิงคาร์เบรียนมีลูกแล้วนะ"ปีเตอร์ว่า

      "ใครคือคาร์เบรียน"คาร์ลเรนถามกลับ

      "นี่แกแกล้งโง่หรือว่าไม่รู้กันแน่วะ"ปีเตอร์ว่า

      "ก....ก็ฉันไม่รู้จริงๆนิ"คาร์ลเรนตอบพลางงงกับอาการของปีเตอร์

      "ก็คาร์เบรียน  แฟนเก่าของมาเรียไง"ปีเตอร์ตอบ

      "อ๋อ  จำได้แล้ว  ไอ้เจ้าชายมาดน้ำแข็งน่ะหรอ"คาร์ลเรนถามกลับ

      "เออ  นั้นแหล่ะ  ทีนี้getยัง"

      "getแล้ว"คาร์ลเรนตอบกลับ

      "เฮ้  พวกนายสองคนไม่เคยจะมองหาเพื่อนเก่าเลยนะ"

      "เรย์นาล!!!"ทั้งคาร์ลเรนกับปีเตอร์ตะโกนขึ้นพร้อมกัน

      "ตะโกนทำไม  ชั้นไม่ใช่ผีนะ"เรย์นาลต่อว่า

      "ก็นึกว่าผีบาทหลวงที่อยู่บนตึกนอนของโรงเรียน"คาร์ลเรนบอก

      "เออ  จะว่าไปแล้วก็คิดถึงโรงเรียนจังเลย"ปีเตอร์พูดด้วยเสียงเศร้าๆ

      "อือ  อยากกลับไปอยู่แบบตอนปี3กันอีกจัง"เรย์นาลพูดต่อ

      "นี่พวกนายเป็นอะไรกันน่ะ"คาร์ลเรนมองไปยังหน้าของแต่ละคน

      "นายคงจะยังไม่รู้นะว่ามหาปราชญ์ดิพพินตายแล้ว"ปีเตอร์บอก

      "อะไรนะ"คาร์ลเรนพูดด้วยความตกใจ

      "เออ  ฟังไม่ผิดหรอก  ตายแล้ว"ปีเตอร์บอก

      "แล้วใครเป็นแทน"คาร์ลเรนถามแม้สีหน้ายังคงมีความตกใจ

      "ดัมฟาร์เรว"เรย์นาลบอก

      "หา!อาจารย์หนวดยาวลากพื้น  ใส่แว่นจมูกยาวเนี้ยนะ"คาร์ลเรนถาม

      "เออ!"ทั้งเรย์นาลกับคาร์ลเรนตอบพร้อมกัน

      "องค์ราชา  องค์ราชา"แฮ่กๆ  ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น

      "มีอะไร"คาร์ลเรนหันกลับไปถาม

      "เอ่อ  คิงเวเรีย  กับคิงคาร์เบรียนมาพ่ะยะค่ะ"ทหารคนเดิมรายงาน

      "อะไรนะ  ว่าใหม่สิ"ทั้งคาร์ลเรน  ปีเตอร์และเรย์นาลตะโกนลั่นห้องโถงจนทำให้  มาเรียต้องรีบลงมาเพื่อดูเหตุการณ์


      "ท่านพี่  มีอะไรหรอเพคะ"มาเรียที่กำลังเดินลงมาพร้อมกับธิดาองค์น้อยตะโกนถาม

      "เอ่อ  ม...มาเรีย  พ...พ่อเจ้ามาน่ะ"คาร์ลเรนตอบอย่างตะกุกตะกะ

      "ท่านพ่อหรอ  ตอนนี้ท่านอยู่ไหนล่ะ"มาเรียถามพลางชะเง้อมองหาพระบิดา

      "มาเรีย"เสียงๆหนึ่งดังขึ้นจนทำให้  ทั้งสี่คนหันหลังกลับมาปะทะกลับเวเรีย  และคาร์เบรียน


      "เสด็จพ่อ"มาเรียเรียกแล้ววิ่งเข้าไปกอดพ่อของเธอ

      "เป็นยังไงบ้างลูกพ่อ"เวเรียถามแล้วมองหน้าพระธิดา

      "สบายดีเพคะ  แต่ท่านพ่อมาคนเดียวหรอ"มาเรียถาม

      "เปล่า  คาร์เบรียนก็มาด้วย"  พูดจบบุรุษที่ถูกเอ่ยนามก็ออกมาพร้อมกับเด็กคนหนึ่ง

      "คาร์เบรียน  ท่านก็มาด้วยหรอ"มาเรียถามแล้วมองหน้าคาร์เบรียน

      "มาสิ  ข้าอยากเห็นหลานของข้า"คาร์เบรียนตอบพลางมองไปที่คาร์ลเรนที่กำลังอุ้มฟาริโอน่าอยู่

     
      "แล้วนี่ใครล่ะ"มาเรียเอ่ยถามพลางมองไปที่เด็กผู้ชายน่าตาน่ารักผมสีเงิน  นัยตาสีฟ้ามองดูแล้วท่าทางเย็นชาชอบกล


      "นี่เอเรียลอายุ1ขวบ  ลูกชายของฉันเอง "คาร์เบรียนตอบ

      "หรอ  น่ารักจัง  มาหาน้าหน่อยสิเอเรียล"มาเรียพูดแล้วหันไปยิ้มกับเอเรียล

      "ฮะ"เสียงของเด็กน้อยที่ใครได้ยินก็คงตัวสั่นวาบ  เพราะฟังดูเย็นชาเหลือเกิน

      "ท่าทางเย็นชาเหมือนเจ้าเลยคาร์เบรียน"มาเรียพูดพลางหัวเราะ

      "อือ  ไม่เหมือนเท่าไหร่หรอก  เอเรียลน่ะเย็นชาเหมือนแม่เค้ามากว่าชั้นซะอีก"คาร์เบรียนตอบ


      "เอเรียล"มาเรียพูดแล้วนั่งยองๆพูดกับเด็กน้อย  "น้าจะให้สิ่งของอย่างนึงจะเอามั้ย"มาเรียถาม


      เอเรียลหันไปมองพ่อของเขาแล้วก็เห็นพ่อพยักหน้าจึงหันกลับมาบอกมาเรียว่า

     
      "เอาครับ"

      "ฟาร์ฟเนอร์"มาเรียพูดแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า  ก็ปรากฏให้เห็นดาบที่มีอนุภาพเทียบเท่ากับดาบจันทราออกมา


      "น้าให้  แต่เจ้าต้องรักษามันให้ดีๆนะ"มาเรียบอกพลางยื่นดาบให้เอเรียล

      "ขอบคุณครับ"


      "มาเรีย  ได้เวลาแล้ว"คาร์ลเรนเรียก

      "กำลังจะไปเพคะ"มาเรียบอกแล้วหันไปพูดกับคาร์เบรียนว่า

      "ชั้นไปก่อนนะ"

      "อือ"  คาร์เบรียนตอบพลางคิดต่อไปว่า  "ชั้นไปก่อนนะงั้นหรอ  มันฟังดูแล้วเหมือนว่าเธอกำลังจะไปไหนอย่างนั้นแหละ  ฟังดูเหมือนว่าเธอกำลังจะลาจากชั้นไป"คาร์เบรียนคิด  แล้วมองไปยังมาเรียที่อุ้มฟาริโอน่าไว้ในอ้อมแขนและกำลังเดินเคียงคู่กับคาร์ลเรน


      หลังจากที่ทุกคนได้ชมองค์หญิงฟาริโอน่าแล้ว  ทุกคนก็พากันไปตักอาหาร  หรือไม่ก็คุยกันอย่างออกรส  แต่ที่โตะของญาติมิตรของกษัติย์คาร์ลเรนดูจะคึกคักเป็นพิเศษเนื่องจากทุกคนไม่ได้เจอกันมานานจึงคุยกันไม่หยุด


      "นี่ๆข้าว่านะฟาริโอน่าน่ะหน้าตาเหมือนมาเรียมากกว่าคาร์ลเรนซะอีก"เรย์นาลพูดพลางมองไปยังคาร์ลเรนกับมาเรีย


      "อ้าว  อย่างนี้ก็ว่าข้าน่ะสิ"คาร์ลเรนย้อน

      "มั้ง  แล้วคาร์เบรียนล่ะลูกเจ้าหน้าตาเหมือนเจ้าแต่นิสัยไม่เหมือนแฮะ"เจ้าตัวดีสาธยาย

      "อือ  เอเรียลหน้าตาเหมือนชั้นก็จริงแต่นิสัยเหมือนนาร์เนียมากกว่า"คาร์เบรียนตอบ

      "นาร์เนียหรอ  ดูท่าจะจริง"มาเรียพูดแล้วหันไปมองเอเรียลที่ขนาดนี้กำลังมองฟาริโอน่าอย่างสนใจ


      "ท่านพ่อ  น้องหรอครับ"เอเรียลหันไปถามคาร์เบรียน

      "ใช่  น่ารักมั้ย"คาร์เบรียนถามแล้วยิ้มให้  ทำให้เอเรียลงงเล็กน้อยเพราะตั้งแต่จำความได้ยังไม่เคยเห็นพ่อยิ้มเลยซักครั้ง


      "น่ารักครับ  ท่านน้ามาเรีย  น้องชื่ออะไร"เอเรียลถาม

      "ชื่อฟาริโอน่าจ๊ะ"มาเรียตอบแล้วยิ้มให้เอเรียล


      "นี่ๆทุกคนมาเต้นรำกันมั้ย"ปีเตอร์ถาม

      "ชั้นไม่อยากเต้นคาร์เบรียนตอบ

      "ชั้นเต้นไม่เป็น"เรย์นาลบอก

      "มาเรียเต้นรำกับชั้นนะ"คาร์ลเรนลุกจากที่นั่งแล้วมาคุกเข่าขอมาเรียเต้นรำ

      "เพคะ "มาเรียตอบรับพลางลุกขึ้นเดินไปกับคาร์เรนแล้วนึกอะไรขึ้นได้จึงหันมาบอกเอเรียลว่า


      "เอเรียล  ดูแลน้องให้ดีๆล่ะ"มาเรียบอกแล้วเดินตามคาร์ลเรนไปกลางฟลอเต้นรำ



      ขนาดที่ราชาและราชินีแห่งฮาเดสกำลังเต้ารำอยู่  เอเรียลก็กำลังเฝ้าน้องหรือฟาริโอน่าอยู่


      "มีอะไร  ทำไมจ้องชั้นจัง"เอเรียลพูดกับฟาริโอน่าด้วยเสียงที่เย็นชา

      "แอ้  "  ฟาริโอน่าหัวเราะขณะที่นอนอยู่ในแปล

      "เอเรียล  ทำอะไรอยู่"คาร์เบรียนเดินมาถาม

      "...........ท่านน้ามาเรียสั่งให้ผมดูแลน้อง............"เอเรียลตอบ

      "น้องน่ารักมั้ย"คาร์เบรียนถามลูกชายที่ขนาดนี้กำลังมองฟาริโอน่าที่อายุห่างกันแค่เจ็ดเดือน  อย่างสงสัยว่าทำไมน้องถึงต้องจ้องเขา

      เงียบไปชั่วอึดใจ  คาร์เบรียนรอคำตอบของเอเรียลนานแล้วจึงเอ่ยถามอีกรอบ


      "น้องน่ารักมั้ย"

      "ก็น่ารักดี"เอเรียลตอบ  พลางมองดวงตาสีน้ำตาล  ผมสีน้ำตาลเข้มที่เพิ่งขึ้น  ผิวขาวจัดเหมือนหิมะ  ปากนิดจมูกหน่อย  เอเรียลคิดว่าน้องน่ารักมากทีเดียว


      "เดี๋ยวพ่อไปเดินทางโน้น  ฝากดูน้องด้วยล่ะ"คาร์เบรียนสั่งก่อนที่จะเดินออกไป(เด็กแค่ขวบนึงจะทำอะไรได้)


      "อือ"เอเรียลตอบพลางยื่นมือไปหยิกแก้มแดงๆที่น่าสัมผัสของฟาริโอน่า  ทำให้เด็กน้อยส่งสายตาขุ่นเคืองมามองเขา


      ทางด้านคาร์ลเรนกับมาเรียที่ขนาดนี้กำลังเต้นรำด้วยกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนโรแมนติก  ทำให้คาร์เบรียนไม่อาจจะเห็นภาพบาดตาบาดใจของแฟนเก่าจึงขอตัวเพื่อนๆไปเดินเล่นรอบๆปราสาท 



      "มาเรีย  เจ้ารู้มั้ยว่าวันนี้ข้ามีความสุขที่สุดเลย"คาร์ลเรนเอ่ยหลังจากที่เงียบมานาน

      "รู้เพคะ"มาเรียตอบก่อนที่จะพูดต่อ 


      "ตั้งแต่ที่หม่อมฉันเข้ามาอยู่ในฮาเดสที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองปิศาจที่ผู้คนในเอเดนพากันเกลียดนักหนา  หนึ่งในนั้นคือหม่อมฉัน  แต่ครั้งแรกที่หม่อมฉันเจอพระองค์  มุมมองของหม่อมฉันก็เปลี่ยนไป  จากที่ไม่เคยยอมรับในตัวพระองค์  กลับกลายเป็นความรักที่ก่อเกิดขึ้นมา   มันไม่ใช่ความรักแบบอยู่ด้วยกันแล้วรักกัน  แต่....."มาเรียหยุดพูด แล้วเงยหน้ามองตาคาร์ลเรนที่ออกอาการงงเล็กน้อย

      "แต่มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่เกิดจากความผูกผันกันมากกว่าเพคะ"มาเรียพูดต่อ

    คาร์ลเรนอึ้งไปชั่วขณะหลังจากที่ได้ยินคำพูดจากปากมาเรีย  คาร์ลเรนคิดว่าถ้าไม่ได้ยินมาเรียพูดอย่างนี้เค้าเองก็ต้องคิดว่ามาเรียจำยอมมาเป็นชายาของเขาไปชั่วชีวิตแน่


      "ข้าก็เหมือนกันมาเรีย"คาร์ลเรนพูดพลางเผยรอยยิ้ม  "เมื่อก่อนข้าก็เคยคิดแบบเจ้า"คาร์ลเรนพูดต่อ  ก่อนจะรอดูปฎิกริยาของอีกฝ่าย


      "แล้วท่านไม่โกรธข้าหรือ"มาเรียถามพลางเงยหน้าสบตัวตาสีเขียวของคาร์ลเรนอย่างสำนึกผิด


      "ข้าจะโกรธเจ้าทำไม  ก็ข้ารักเจ้านี่นา"คาร์ลเรนพูด 

      ประโยคที่คาร์ลเรนพูดออกมาส่งผลให้มาเรียหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย  จนคาร์ลเรนยิ้มอย่างพอใจ  แล้วถามต่อว่า

     
      "แล้วเจ้าล่ะ  รักข้ารึเปล่า"คาร์ลเรนถามจี้จุด

      "รักเพคะ"มาเรียตอบ

      "ข้าก็รักเจ้าและฟาริโอน่านะ"คาร์ลเรนบอก

      "หม่อมฉันก็เช่นกัน"


      เผล้ง!!



      "เกิดอะไรขึ้น  ทหารดูแลองค์ราชินีและพระธิดาด้วย"คาร์ลเรนตะโกน  

      "มาเรีย  เจ้ากลับไปอยู่กับฟาริโอน่า  รีบพาลูกเราหนีไปจากที่นี่"คาร์ลเรนหันมาพูดกับมาเรีย


      "เพคะ"มาเรียบอกก่อนที่จะเดินหายไปในกลุ่มผู้คนที่กำลังชุลมุน

      "เกิดอะไรขึ้นน่ะคาร์ลเรน"เรย์นาลถามหลังจากที่ควบคุมทุกคนให้อยู่ในความสงบ

      "ข้าไม่รู้"คาร์ลเรนตอบหลังจากเรียกคทาและอาวุธคู่กายออกมา

      "กำลังสนุกอยู่หรอท่านจ้าวปิศาจ"

      "เจ้าเป็นใคร"คาร์ลเรนหันไปทางต้นเสียง

      "ข้าน่ะหรอ   ข้ามีนามว่า  "ไซเลนไดร์  หรือเรียกง่ายๆว่าเสือแห่งทิศใต้ก็ได้"ไซเลนไดร์พูดจบก็ปรากฎกายออกมา


      คาร์ลเรนจ้องมองเด็กหนุ่มท่าทางหล่อเหลาคนหนึ่งที่อ้างชื่อว่าไซเลนไดร์  เด็กหนุ่มคนนี้ผมสีดำเข้ม  ตาสีแดงเพลิง  รูปร่างสมส่วนเยี่ยงอย่างชายชาตรีทั่วไป  แต่ที่แตกต่างของไซเลนไดร์คือ  รอบๆตัวผู้นี้มีรังสีแห่งความมืดแผ่ออกมาจนทำให้ต้นไม้รอบๆบริเวรเหี่ยวเฉาลงทันที


      "เจ้าต้องการอะไร"คาร์ลเรนถามหลังจากประเมินแล้วว่าไซเลนไดร์ไม่น่าจะมีพิษสงค์


      "โอ้!  ท่านจ้าวปิศาจแห่งเมืองฮาเดสยังไม่รู้อีกรึว่าข้าต้องการอะไร"ไซเลนไดร์พูดขึ้น


      "ถ้าเจ้าต้องการตัวเทพธิดาแห่งความมืดล่ะก็  ข้าก็ไม่ให้เจ้าหรอก"คาร์ลเรนพูด

      "งั้นหรืองั้นเรามาประลองกันซักตั้งเถอะ"ไซเลนไดร์พูดพลางชูคทาขึ้นมา

      "ความมืดเอ๋ย  จงตอบรับพลังที่มีอยู่ในตัวข้า"

      "ดาร์ค"และแล้วทุกสรรพสิ่งก็มืดมิดลง

      "ขอให้สนุกนะ  ระหว่างนี้ข้าจะไปชิงตัวธิดาแห่งความมืด  ข้าไปก่อนล่ะ"ไซเลนไดร์พูดพลางหายตัวไป



      


       


     


      
        "โอม   ความมืดเอ๋ยจงหายไป"ปีเตอร์ร่ายคาถา  แต่มันก็ไม่ได้ทำลายความมืดให้หายไปได้


        "นี่เราก็ลองทุกวิถีทางแล้วนะ   แต่มันก็........ยังเหมือนเดิม"เรย์นาลพูดขึ้นทำลายความเงียบ



        "นี่คาร์ลเรน   นายเป็นจอมปิศาจไม่ใช่หรอ  นายต้องทำอะไรได้บ้างสิ"ปีเตอร์พูด


        "ข้าทำลายมันไม่ได้"คาร์ลเรนตอบพลางกวาดสายตามองเพื่อจะเห็นแสงสว่างบ้าง



        "ถ้ามันมืดจริงๆเราต้องมองไม่เห็นตัวเรา   แล้วทำไมเราถึงมองเห็นตัวเองได้ล่ะ"คาร์ลเรนคิดพลางมองไปยังร่างกายของตนเอง



          ท่านจ้าวปิศาจเอ๋ย

      
      "เสียงใครน่ะ"คาร์ลเรนพูดในใจ   พลางมองไปรอบๆเพื่อหาต้นกำเนิดเสียง

     
           แสงสว่างจะทำลายความมืด


      มีแต่ท่านเท่านั้นที่จะรับรู้ถึงสิ่งนั้นได้


      จงเรียกมันออกมา


      เพื่อจะได้รีบไปช่วยชายาของท่าน


      อย่ามัวเสียเวลากับของเล่นของไซเลนไดร์   


      พวกข้ารู้ว่าธิดาแห่งความมืดสำคัญเช่นไร


      จงรีบเรียกพวกข้าออกมา


      แล้วท่านจะได้ไปทำภารกิจสำคัญ


      ถึงจะเสียน้ำตาไปบ้าง


      แต่ก็อย่าท้อแท้ใจ


       
      "หึ   แสงสว่างงั้นหรือ"


      "แล้วที่ว่าข้าจะเสียน้ำตา   มันหมายถึงอะไร"คาร์ลเรนคิดหลังจากที่ได้ยินปริศนาจากผู้มาเยือนเมื่อกี้



      "เฮ้!  คาร์ลเรนเจ้าทำอะไรอยู่  ทำไมไม่ทำอะไรซักอย่างเลย"ปีเตอร์บ่นอย่างหงุดหงิด



      "เออๆ  จะทำแล้ว   แล้วพวกแกจะทึ้ง"คาร์ลเรนตอบพลางชูคทาไปเบื้องหน้าความมืดมิด



      "แสงสว่างเอ๋ย   จงออกมาเถิด"


      "ออกมาเพื่อรับใช้ข้า   ผู้เป็นเจ้าแห่งปิศาจ"

     
      "จงออกมาทำให้ความมืดมิดหายไป"


      "ไลท์"


      พลันแสงสว่างก็เจิดจ้าไปทั่วทั้งปราสาททำลายความมืดมิดนั้นไปสิ้น    ปีเตอร์และคนอื่นๆพากันทึ้งที่คาร์ลเรนใช้มนต์โบราณเรียกแสงสว่างออกมา   แต่ยังไม่ได้พูดอะไร   ตาของทุกคนก็ไปสะดุดกับหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่เบื้องหน้า   เจ้าหล่อนมีผมยาวสีขาวที่คลอเคลียไปกับไหล่มนลาด   ผิวก็ขาวราวกับหิมะ   เว้นแต่ตาสีฟ้าส่องประกายแวววาวอยู่ใต้ใบหน้าแสนสวยราวกับนางฟ้า   ขนาดที่ทุกคนกำลังตะลึงกับใบหน้าที่แสนงดงามของหญิงสาวตรงหน้า   ก็มีเสียงที่ขัดความตะลึงไว้ชั่วครู่



     
      

       "ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้า"คาร์ลเรนก้าวเท้าไปยืนเบื้องหน้าของหญิงสาว


       "ไม่เป็นไร  ข้าถูกเจ้าไซเลนไดร์ผนึกไว้  แต่ผนึกนั้นไม่รู้ว่ามันคลายลงตั้งแต่เมื่อไหร่ข้าก็เลยออกมาช่วยท่าน"    หญิงสาวตอบ


        "งั้นเจ้าก็จงกลับไปยังที่อยู่ของเจ้าซะ"คาร์ลเรนบอกหญิงสาวตรงหน้า


        "ได้   ข้ากำลังจะไป  แต่ที่สำคัญท่านห้ามลืมเด็ดขาดว่าพวกข้าอยู่ข้างท่าน"หญิงสาวกล่าว


        "ข้าจะไม่มีวันลืม"คาร์ลเรนให้คำมั่นสัญญา
     
       
        "งั้นข้าไปล่ะ"หญิงสาวพูดพลางลอยตัวขึ้นไปบนอากาศและหายวับไป


        "รีบไปกันเถอะ"คาร์ลเรนพูดพลางวิ่งนำหน้าทุกคนไปยังทางที่คิดว่าไซเลนไดร์ไป


     

      










        








     












    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×