คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องเล่าจากคาร์ลเรน
บรรยากาศยามเช้าดูแปลกขึ้นผิดหูผิดตา เหล่าข้าทาสบริวารทั้งหลายต่างวิ่งกันชุลมุนเมื่อ เจ้าหญิงฟาริโอน่าขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่ว่าจะใช้วิธีการใดก็ไม่ได้ผล ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กษัติย์เรย์นาลกังวลว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น
"เปิดได้หรือยัง"เรย์นาลถามนางกำนัลที่วิ่งสวนออกมา
"ยังเพคะ แต่รอบๆห้ององค์หญิงดูเหมือนจะไม่ได้มีแต่รังสีอำมหิตนะเพคะ"นางกำนัลตอบ
"แล้วอะไรอีกล่ะ"
ื "ดูเหมือนจะเป็นพลังแห่งความมืดนะเพคะ"นางกำนัลตอบพลางมองไปรอบๆ
"อืม ขอบใจมากนะ"เรย์นาลบอกพลางเดินเข้าไปในห้องทำงาน
"สังสัยคงต้องบอกท่านคาร์ลเวนซะแล้วมั้ง"เรย์นาลคิดพลางดึงบางสิ่งบางอย่างออกมาจากเสื้อ
"เอาล่ะ"เรย์นาลพูดพลางสูดอากาศ "ไปดินแดนฮาเดส"เรย์นาลตะโกนพร้อมกับหายตัวไป
ณ ดินแดนฮาเดส
"ท่านจ้าว ท่านเรย์นาลมาขอเข้าเฝ้าพ่ะยะค่ะ"ทหารนายนึงวิ่งเข้ามารายงาน
"ให้เค้าเข้ามา"สิ้นคำสั่ง ร่างของเรย์นาลก็เดินเข้ามาทันที
" ว่าไงเรย์นาลท่านสบายดีหรือ"คาร์ลเรนถามเพื่อนรัก
"สบายดี แต่ตอนนี้ท่านต้องไปดูฟาริโอน่าก่อน"เรย์นาลรีบบอกก่อนที่คาร์ลเรนจะทันถามอะไร
"ฟาริโอน่าเป็นอะไรไป"คาร์ลเรนถามด้วยความกังวล
"ข้าไม่รู้ แต่ข้าสงสัยว่าเมื่อวานท่านวีนอาร์ลไปหาข้าสงสัยนางจะได้ยินเรื่องที่ข้าพูด ก็เลยขังตัวเองอยู่ในห้อง"เรย์นาลตอบ
"แล้วทำไมไม่ช่วยกันเปิดออกเล่า"คาร์ลเรนถามเสียงเครียด
"ทำแล้ว ไม่ว่าจะหาอะไรมางัด หรือใช้เวทมนตร์ใดๆก็เปิดไม่ได้"
"เจ้าใช้เวทย์ของที่ไหนน่ะ"คาร์ลเรนถามอย่างคาดคั้น
"ใช้เวทย์ธรรมดา ไม่ได้ใช้เวทย์ดำ"เรย์นาลตอบ
"โธ่เอ๊ย เจ้าก็รู้นี่ว่าฟาริโอน่าเป็นคนใช้พลังมืด ทำไมไม่ใช้เวทย์มืด"
"ก็ข้าใช่ไม่เป็น"
"พอๆ รีบไปดูดีกว่า ถ้าลูกข้าเป็นอะไรไปนะเรย์นาล แกตาย " สิ้นคำร่างของจ้าวปิศาจก็หายไป
"เฮ้อ เหนื่อยโว้ย ไปอีกแล้วพลังเวทย์ข้ามันไม่แข็งนะ แต่ยังไงก็ต้องไป"บ่นเสร็จเรย์นาลก็หายตัวตามคาร์ลเรนไป
เมื่อไปถึง จ้าวแห่งปิศาจก็รีบวิ่งไปตามทางเดินเพื่อไปดูอาการของฟาริโอน่าโดยมีเรย์นาลตามมาติดๆ
"เป็นอย่างไรกันบ้าง"คาร์ลเรนถามพวกขุนนาง
"ท...ท่านจ้าว เอ่อ ตอนนี้ยังเปิดประตูห้องขององค์หญิงไม่ได้พ่ะยะค่ะ"ขุนนางตอบ
"งั้นพาเราเข้าไปใกล้ๆห้องหน่อย"เรย์นาลสั่งพลางเดินนำคาร์ลเรนไปยังห้องฟาริโอน่า
"พวกเจ้าถอยไป เร็ว"เรย์นาลสั่งพลางยืนออกห่างประตู แต่คาร์ลเรนกลับทำตรงกันข้าม
"เจ้าจะทำอะไร"เรย์นาลถาม
"พังประตู"คาร์ลเรนตอบพลางยื่นมือออกไป
"แน่ใจนะว่าทำได้"เรย์นาลถามต่อ
"เออสิวะ ข้าเป็นพ่อนะเฟ้ย"คาร์ลเรนตอบแบบโกรธๆ
"เออลืมไป"
"ไอ้นี่หนิ"
"หยุดก่อนเหอะ พังประตูก่อน"เรย์นาลพูด
"เออ"คาร์ลเรนพูดพลางยื่นมือออกไปอีกครั้ง พลันมีพลังบางอย่างวนเวียนอยู่รอบๆมือของคาร์ลเรน พลังนั้นก็พุ่งไปยังประตูห้องของฟาริโอน่า ทำให้ประตูนั้นเปิดออกอย่างง่ายดาย เมื่อเห็นดังนั้นคาร์ลเรนกับเรย์อาลก็รีบพุ่งเข้าไปในห้องทันที
"ฟาริโอน่า ฟาริโอน่าเป็นอะไรไป"เรย์นาลพูดพลางรีบวิ่งไปอุ้มฟาริโอน่า
"มา เดี๋ยวขอข้าดูหน่อย"คาร์ลเรนพูดพลางอังมือเหนือหน้าผากของฟาริโอน่า เงียบกันไปซักพัก จู่ๆคาร์ลเรนก็พูดขึ้นมา
"ตัวร้อนมาก ไข้ขึ้นสูง พลังเวทย์หายไป สงสัยคงจะไม่ได้แค่ปล่อยรังสีอำมหิตซะแล้วมั้ง"คาร์ลเรนพูดด้วยความกังวล
"แล้วรักษาได้มั้ย"เรย์นาลถามพลางก้มมองฟาริโอน่า
"รักษาได้ เร็วส่งลูกข้ามานี่"คาร์ลเรนตอบพลางยื่นมือไปรับลูกสาว จากนั้นก็แบมือออก ก็ปรากฎไข่มุกเจ็ดสีที่ทอประกายอย่างสวยงามอยู่ในมือของคาร์ลเรน
"นั้นมัน...."เรย์นาลพูดอย่างตกใจ พลางมองไปดูที่มือเพื่อนรัก
"อือ ไข่มุกเวทย์แห่งการเวลา"คาร์ลเรนตอบ พลางเอามือง้างปากฟาริโอน่า
"นายจะทำอะไร "เรย์นาลถาม
"ชั้นจะให้ฟาริโอน่ากินเข้าไป"คาร์เรนตอบ
"นายไม่เสียดายหรอ"
"ถามโง่ๆ ชั้นเสียไข่มุกนี่เพื่อช่วยชีวิตของลูก แล้วไอ้ไข่มุกนี้มันก็มีค่าน้อยกว่าชีวิตคนๆนึงนะ"คาร์นเรลว่า
"อือ งั้นก็เร็วๆเข้า ตัวของฟาริโอน่าเย็นยังกับคนตายแน่ะ"เรย์นาลพูดแล้วแตะตัวฟาริโอน่า
เมื่อได้ยินดังนั้นคาร์ลเรนจึงรีบเอาไข่มุกให้ฟาริโอน่ากิน ซักพักสีหน้าเธอค่อยๆมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง ใบหน้าซีดๆเซียวๆเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ฟาริโอน่าลืมตาตื่นขึ้นมา
"ท่านพ่อ"ฟาริโอน่าเอ่ยพลางมองไปยังคนข้างหน้าเธอ ซึ่งบัดนี้ยิ้มให้เธออย่างใจดีแล้วพูดว่า
"ชั้นไม่ใช่พ่อของเธอ คนที่เธอนอนบนตักนั้นแหละพ่อตัวจริง"เรย์นาลบอกแล้วมองไปยังคาร์ลเรน
"อ๊ะ"ฟาริโอน่าเริ่มรู้สึกตัวพลางขยับตัวออกห่างจากคาร์ลเรนเล็กน้อย
"เป็นอะไรไปฟาริโอน่า"เรย์นาลถามพลางมองเห็นท่าทีที่ฟาริโอน่ากระทำ
"ลูกยังทำใจไม่ได้"ฟาริโอน่าตอบ
"ทำใจไม่ได้เพราะมีพ่อเป็นปิศาจงั้นหรือลูก"คาร์ลเรนเอ่ย
"ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านจ้าว....เอ่อ ท่านพ่อ"
"พ่อเข้าใจดี ถ้าเป็นพ่อๆคงทำใจไม่ได้เหมือนกัน"คาร์ลเรนตอบด้วยเสียงเศร้าๆ
"เปล่าเพคะ แค่ลูกคิดว่าทำไมท่านพ่อเรย์นาลต้องโกหกลูกด้วยเพคะ"ฟาริโอน่าถามพลางมองไปยังเรย์นาล
"เอ่อ.....เรื่องนี้มันอธิบายลำบาก ให้พ่อเจ้าพูดดีกว่า"เรย์นาลโยนไปให้คาร์ลเรนแก้ปัญหา
"เอาล่ะ ถึงเวลาที่พ่อจะต้องเล่าซักที"คาร์ลเรนเอ่ยพร้อมกับมองไปยังฟาริโอน่า ผมสีน้ำตาลสลวยประกอบกับดวงตาสีน้ำตาลที่ทำให้เค้าคิดถึงใครบางคนเหลือเกิน คาร์ลเรนคิดพลางถอนหายใจ ก่อนที่จะเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟาริโอน่าฟัง
ย้อนไปเมื่อ15ปีก่อน
ภายในดินแดนฮาเดส ทุกๆคนกำลังวุ่นวายกับการจัดเตรียมงานเลี้ยงสำหรับงานครบรอบ3เดือนของเจ้าหญิงฟาริโอน่า
"มาเรีย ทำอะไรอยู่หรอ"ท่านจ้าวปิศาจที่ดูน่ากลัวแต่บัดนี้กลับมีรอยยิ้มปรากฎขึ้นมา เอ่ยถามราชินีคู่ใจที่ขนาดนี้กำลังเล่นกับสุดที่รักของเค้าอยู่
"เล่นกับฟาริโอน่าเพคะ เจ้าพี่คาร์ลเรน"มาเรียตอบพลางส่งยิ้มไปให้พระสวามี
"ไหนมาให้ข้าอุ้มบ้าง"คาร์ลเรนพูดก่อนจะเอื้อมมือไปรับพระธิดาสุดดวงใจไว้ในอ้อมแขน แต่ยังไม่ทันไรเจ้าตัวน้อยก็ร้องไห้เสียแล้ว
"อ้าว ร้องซะแล้ว สงสัยฟาริโอน่าคงไม่ชอบข้ามั้งเนี้ย"คาร์ลเรนพูดพลางส่งฟาริโอน่าคืนแก่มาเรีย
"คงไม่ใช่อย่างนั้นหรองเพคะ"มาเรียตอบพลางพูดต่อว่า"ท่านพี่คาร์ลเรนเป็นคนมือหนัก คงจะทำให้ฟาริโอน่าไม่ชอบใจแค่นั้นเอง"
"นี่เจ้าหลอกว่าข้ารึเปล่าเนี้ย"คาร์ลเรนถามระหว่างที่มาเรีย วางฟาริโอน่าที่กำลังหลับบนเตียง
"เปล่านะเพคะ"มาเรียตอบพลางมองคาร์ลเรนเหมือนไม่เข้าใจ
"งั้นรีบไปกันเถอะ เดี๋ยวงานจะเริ่มแล้ว"คาร์ลเรนพูดแล้วเขยิบเข้าไปใกล้ๆมาเรีย แล้วหอมแก้มมาเรียทันที
"อุ๊ย!ทำอะไรกันน่ะเพคะ"มาเรียถามด้วยความอาย
"เปล่า งั้นข้าไปก่อนนะ"คาร์ลเรนพูดแล้วเดินออกไปนอกห้องฟาริโอน่า พลางสังหรณ์ว่าวันนี้ทำไมเขาถึงอยากจะอยู่ใกล้ๆมาเรียมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
"คงคิดไปเองล่ะมั้ง"คาร์ลเรนพูดกับตัวเองพลางเดินไปตามทางระเบียง ไปยังหน้าประตูวังเพื่อต้อนรับบรรดาญาติสนิทมิตรสหายที่มางานในวันนี้
"เฮ้ กษัติย์คาร์ลเรนเป็นไงมั่ง"เสียงที่ฟังดูคุ้นๆตะโกนเรียก
"อ้าว สวัสดีปีเตอร์ มาที่นี่ยากมั้ย"คาร์ลเรนถามแล้วมองหน้าเจ้าเพื่อนซี้สมัยเรียน
" ยากดิ ทำไมนายไม่บอกพวกคนตรวจเมืองวะ ว่าให้ลดความเข้มงวดลงหน่อย"ปีเตอร์ถาม
"จะบ้าเรอะ ที่นี่มันฮาเดส ไม่ใช่แถบเอเดนนะโว้ย"คาร์ลเรนตอบ
"เออ ลืมไป ที่นี่มันเมืองปิศาจไม่ใช่เมืองมนุษย์"ปีเตอร์ย้อน
"จะว่าไปแล้ว ก็เห็นมีแต่นายแล้วคนอื่นๆล่ะมามั้ย"คาร์ลเรนถามพลางมองไปรอบๆห้องโถง
"ชั้นก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆชั้นอยากเห็นมาเรียกับฟาริโอน่า"ปีเตอร์พูด
"เดี๋ยวก็มาแล้วล่ะน่า"คาร์ลเรนบอก
"เออนายรู้มั้นว่า คิงคาร์เบรียนมีลูกแล้วนะ"ปีเตอร์ว่า
"ใครคือคาร์เบรียน"คาร์ลเรนถามกลับ
"นี่แกแกล้งโง่หรือว่าไม่รู้กันแน่วะ"ปีเตอร์ว่า
"ก....ก็ฉันไม่รู้จริงๆนิ"คาร์ลเรนตอบพลางงงกับอาการของปีเตอร์
"ก็คาร์เบรียน แฟนเก่าของมาเรียไง"ปีเตอร์ตอบ
"อ๋อ จำได้แล้ว ไอ้เจ้าชายมาดน้ำแข็งน่ะหรอ"คาร์ลเรนถามกลับ
"เออ นั้นแหล่ะ ทีนี้getยัง"
"getแล้ว"คาร์ลเรนตอบกลับ
"เฮ้ พวกนายสองคนไม่เคยจะมองหาเพื่อนเก่าเลยนะ"
"เรย์นาล!!!"ทั้งคาร์ลเรนกับปีเตอร์ตะโกนขึ้นพร้อมกัน
"ตะโกนทำไม ชั้นไม่ใช่ผีนะ"เรย์นาลต่อว่า
"ก็นึกว่าผีบาทหลวงที่อยู่บนตึกนอนของโรงเรียน"คาร์ลเรนบอก
"เออ จะว่าไปแล้วก็คิดถึงโรงเรียนจังเลย"ปีเตอร์พูดด้วยเสียงเศร้าๆ
"อือ อยากกลับไปอยู่แบบตอนปี3กันอีกจัง"เรย์นาลพูดต่อ
"นี่พวกนายเป็นอะไรกันน่ะ"คาร์ลเรนมองไปยังหน้าของแต่ละคน
"นายคงจะยังไม่รู้นะว่ามหาปราชญ์ดิพพินตายแล้ว"ปีเตอร์บอก
"อะไรนะ"คาร์ลเรนพูดด้วยความตกใจ
"เออ ฟังไม่ผิดหรอก ตายแล้ว"ปีเตอร์บอก
"แล้วใครเป็นแทน"คาร์ลเรนถามแม้สีหน้ายังคงมีความตกใจ
"ดัมฟาร์เรว"เรย์นาลบอก
"หา!อาจารย์หนวดยาวลากพื้น ใส่แว่นจมูกยาวเนี้ยนะ"คาร์ลเรนถาม
"เออ!"ทั้งเรย์นาลกับคาร์ลเรนตอบพร้อมกัน
"องค์ราชา องค์ราชา"แฮ่กๆ ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าแตกตื่น
"มีอะไร"คาร์ลเรนหันกลับไปถาม
"เอ่อ คิงเวเรีย กับคิงคาร์เบรียนมาพ่ะยะค่ะ"ทหารคนเดิมรายงาน
"อะไรนะ ว่าใหม่สิ"ทั้งคาร์ลเรน ปีเตอร์และเรย์นาลตะโกนลั่นห้องโถงจนทำให้ มาเรียต้องรีบลงมาเพื่อดูเหตุการณ์
"ท่านพี่ มีอะไรหรอเพคะ"มาเรียที่กำลังเดินลงมาพร้อมกับธิดาองค์น้อยตะโกนถาม
"เอ่อ ม...มาเรีย พ...พ่อเจ้ามาน่ะ"คาร์ลเรนตอบอย่างตะกุกตะกะ
"ท่านพ่อหรอ ตอนนี้ท่านอยู่ไหนล่ะ"มาเรียถามพลางชะเง้อมองหาพระบิดา
"มาเรีย"เสียงๆหนึ่งดังขึ้นจนทำให้ ทั้งสี่คนหันหลังกลับมาปะทะกลับเวเรีย และคาร์เบรียน
"เสด็จพ่อ"มาเรียเรียกแล้ววิ่งเข้าไปกอดพ่อของเธอ
"เป็นยังไงบ้างลูกพ่อ"เวเรียถามแล้วมองหน้าพระธิดา
"สบายดีเพคะ แต่ท่านพ่อมาคนเดียวหรอ"มาเรียถาม
"เปล่า คาร์เบรียนก็มาด้วย" พูดจบบุรุษที่ถูกเอ่ยนามก็ออกมาพร้อมกับเด็กคนหนึ่ง
"คาร์เบรียน ท่านก็มาด้วยหรอ"มาเรียถามแล้วมองหน้าคาร์เบรียน
"มาสิ ข้าอยากเห็นหลานของข้า"คาร์เบรียนตอบพลางมองไปที่คาร์ลเรนที่กำลังอุ้มฟาริโอน่าอยู่
"แล้วนี่ใครล่ะ"มาเรียเอ่ยถามพลางมองไปที่เด็กผู้ชายน่าตาน่ารักผมสีเงิน นัยตาสีฟ้ามองดูแล้วท่าทางเย็นชาชอบกล
"นี่เอเรียลอายุ1ขวบ ลูกชายของฉันเอง "คาร์เบรียนตอบ
"หรอ น่ารักจัง มาหาน้าหน่อยสิเอเรียล"มาเรียพูดแล้วหันไปยิ้มกับเอเรียล
"ฮะ"เสียงของเด็กน้อยที่ใครได้ยินก็คงตัวสั่นวาบ เพราะฟังดูเย็นชาเหลือเกิน
"ท่าทางเย็นชาเหมือนเจ้าเลยคาร์เบรียน"มาเรียพูดพลางหัวเราะ
"อือ ไม่เหมือนเท่าไหร่หรอก เอเรียลน่ะเย็นชาเหมือนแม่เค้ามากว่าชั้นซะอีก"คาร์เบรียนตอบ
"เอเรียล"มาเรียพูดแล้วนั่งยองๆพูดกับเด็กน้อย "น้าจะให้สิ่งของอย่างนึงจะเอามั้ย"มาเรียถาม
เอเรียลหันไปมองพ่อของเขาแล้วก็เห็นพ่อพยักหน้าจึงหันกลับมาบอกมาเรียว่า
"เอาครับ"
"ฟาร์ฟเนอร์"มาเรียพูดแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า ก็ปรากฏให้เห็นดาบที่มีอนุภาพเทียบเท่ากับดาบจันทราออกมา
"น้าให้ แต่เจ้าต้องรักษามันให้ดีๆนะ"มาเรียบอกพลางยื่นดาบให้เอเรียล
"ขอบคุณครับ"
"มาเรีย ได้เวลาแล้ว"คาร์ลเรนเรียก
"กำลังจะไปเพคะ"มาเรียบอกแล้วหันไปพูดกับคาร์เบรียนว่า
"ชั้นไปก่อนนะ"
"อือ" คาร์เบรียนตอบพลางคิดต่อไปว่า "ชั้นไปก่อนนะงั้นหรอ มันฟังดูแล้วเหมือนว่าเธอกำลังจะไปไหนอย่างนั้นแหละ ฟังดูเหมือนว่าเธอกำลังจะลาจากชั้นไป"คาร์เบรียนคิด แล้วมองไปยังมาเรียที่อุ้มฟาริโอน่าไว้ในอ้อมแขนและกำลังเดินเคียงคู่กับคาร์ลเรน
หลังจากที่ทุกคนได้ชมองค์หญิงฟาริโอน่าแล้ว ทุกคนก็พากันไปตักอาหาร หรือไม่ก็คุยกันอย่างออกรส แต่ที่โตะของญาติมิตรของกษัติย์คาร์ลเรนดูจะคึกคักเป็นพิเศษเนื่องจากทุกคนไม่ได้เจอกันมานานจึงคุยกันไม่หยุด
"นี่ๆข้าว่านะฟาริโอน่าน่ะหน้าตาเหมือนมาเรียมากกว่าคาร์ลเรนซะอีก"เรย์นาลพูดพลางมองไปยังคาร์ลเรนกับมาเรีย
"อ้าว อย่างนี้ก็ว่าข้าน่ะสิ"คาร์ลเรนย้อน
"มั้ง แล้วคาร์เบรียนล่ะลูกเจ้าหน้าตาเหมือนเจ้าแต่นิสัยไม่เหมือนแฮะ"เจ้าตัวดีสาธยาย
"อือ เอเรียลหน้าตาเหมือนชั้นก็จริงแต่นิสัยเหมือนนาร์เนียมากกว่า"คาร์เบรียนตอบ
"นาร์เนียหรอ ดูท่าจะจริง"มาเรียพูดแล้วหันไปมองเอเรียลที่ขนาดนี้กำลังมองฟาริโอน่าอย่างสนใจ
"ท่านพ่อ น้องหรอครับ"เอเรียลหันไปถามคาร์เบรียน
"ใช่ น่ารักมั้ย"คาร์เบรียนถามแล้วยิ้มให้ ทำให้เอเรียลงงเล็กน้อยเพราะตั้งแต่จำความได้ยังไม่เคยเห็นพ่อยิ้มเลยซักครั้ง
"น่ารักครับ ท่านน้ามาเรีย น้องชื่ออะไร"เอเรียลถาม
"ชื่อฟาริโอน่าจ๊ะ"มาเรียตอบแล้วยิ้มให้เอเรียล
"นี่ๆทุกคนมาเต้นรำกันมั้ย"ปีเตอร์ถาม
"ชั้นไม่อยากเต้นคาร์เบรียนตอบ
"ชั้นเต้นไม่เป็น"เรย์นาลบอก
"มาเรียเต้นรำกับชั้นนะ"คาร์ลเรนลุกจากที่นั่งแล้วมาคุกเข่าขอมาเรียเต้นรำ
"เพคะ "มาเรียตอบรับพลางลุกขึ้นเดินไปกับคาร์เรนแล้วนึกอะไรขึ้นได้จึงหันมาบอกเอเรียลว่า
"เอเรียล ดูแลน้องให้ดีๆล่ะ"มาเรียบอกแล้วเดินตามคาร์ลเรนไปกลางฟลอเต้นรำ
ขนาดที่ราชาและราชินีแห่งฮาเดสกำลังเต้ารำอยู่ เอเรียลก็กำลังเฝ้าน้องหรือฟาริโอน่าอยู่
"มีอะไร ทำไมจ้องชั้นจัง"เอเรียลพูดกับฟาริโอน่าด้วยเสียงที่เย็นชา
"แอ้ " ฟาริโอน่าหัวเราะขณะที่นอนอยู่ในแปล
"เอเรียล ทำอะไรอยู่"คาร์เบรียนเดินมาถาม
"...........ท่านน้ามาเรียสั่งให้ผมดูแลน้อง............"เอเรียลตอบ
"น้องน่ารักมั้ย"คาร์เบรียนถามลูกชายที่ขนาดนี้กำลังมองฟาริโอน่าที่อายุห่างกันแค่เจ็ดเดือน อย่างสงสัยว่าทำไมน้องถึงต้องจ้องเขา
เงียบไปชั่วอึดใจ คาร์เบรียนรอคำตอบของเอเรียลนานแล้วจึงเอ่ยถามอีกรอบ
"น้องน่ารักมั้ย"
"ก็น่ารักดี"เอเรียลตอบ พลางมองดวงตาสีน้ำตาล ผมสีน้ำตาลเข้มที่เพิ่งขึ้น ผิวขาวจัดเหมือนหิมะ ปากนิดจมูกหน่อย เอเรียลคิดว่าน้องน่ารักมากทีเดียว
"เดี๋ยวพ่อไปเดินทางโน้น ฝากดูน้องด้วยล่ะ"คาร์เบรียนสั่งก่อนที่จะเดินออกไป(เด็กแค่ขวบนึงจะทำอะไรได้)
"อือ"เอเรียลตอบพลางยื่นมือไปหยิกแก้มแดงๆที่น่าสัมผัสของฟาริโอน่า ทำให้เด็กน้อยส่งสายตาขุ่นเคืองมามองเขา
ทางด้านคาร์ลเรนกับมาเรียที่ขนาดนี้กำลังเต้นรำด้วยกัน ท่ามกลางบรรยากาศที่แสนโรแมนติก ทำให้คาร์เบรียนไม่อาจจะเห็นภาพบาดตาบาดใจของแฟนเก่าจึงขอตัวเพื่อนๆไปเดินเล่นรอบๆปราสาท
"มาเรีย เจ้ารู้มั้ยว่าวันนี้ข้ามีความสุขที่สุดเลย"คาร์ลเรนเอ่ยหลังจากที่เงียบมานาน
"รู้เพคะ"มาเรียตอบก่อนที่จะพูดต่อ
"ตั้งแต่ที่หม่อมฉันเข้ามาอยู่ในฮาเดสที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองปิศาจที่ผู้คนในเอเดนพากันเกลียดนักหนา หนึ่งในนั้นคือหม่อมฉัน แต่ครั้งแรกที่หม่อมฉันเจอพระองค์ มุมมองของหม่อมฉันก็เปลี่ยนไป จากที่ไม่เคยยอมรับในตัวพระองค์ กลับกลายเป็นความรักที่ก่อเกิดขึ้นมา มันไม่ใช่ความรักแบบอยู่ด้วยกันแล้วรักกัน แต่....."มาเรียหยุดพูด แล้วเงยหน้ามองตาคาร์ลเรนที่ออกอาการงงเล็กน้อย
"แต่มันเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่เกิดจากความผูกผันกันมากกว่าเพคะ"มาเรียพูดต่อ
คาร์ลเรนอึ้งไปชั่วขณะหลังจากที่ได้ยินคำพูดจากปากมาเรีย คาร์ลเรนคิดว่าถ้าไม่ได้ยินมาเรียพูดอย่างนี้เค้าเองก็ต้องคิดว่ามาเรียจำยอมมาเป็นชายาของเขาไปชั่วชีวิตแน่
"ข้าก็เหมือนกันมาเรีย"คาร์ลเรนพูดพลางเผยรอยยิ้ม "เมื่อก่อนข้าก็เคยคิดแบบเจ้า"คาร์ลเรนพูดต่อ ก่อนจะรอดูปฎิกริยาของอีกฝ่าย
"แล้วท่านไม่โกรธข้าหรือ"มาเรียถามพลางเงยหน้าสบตัวตาสีเขียวของคาร์ลเรนอย่างสำนึกผิด
"ข้าจะโกรธเจ้าทำไม ก็ข้ารักเจ้านี่นา"คาร์ลเรนพูด
ประโยคที่คาร์ลเรนพูดออกมาส่งผลให้มาเรียหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย จนคาร์ลเรนยิ้มอย่างพอใจ แล้วถามต่อว่า
"แล้วเจ้าล่ะ รักข้ารึเปล่า"คาร์ลเรนถามจี้จุด
"รักเพคะ"มาเรียตอบ
"ข้าก็รักเจ้าและฟาริโอน่านะ"คาร์ลเรนบอก
"หม่อมฉันก็เช่นกัน"
เผล้ง!!
"เกิดอะไรขึ้น ทหารดูแลองค์ราชินีและพระธิดาด้วย"คาร์ลเรนตะโกน
"มาเรีย เจ้ากลับไปอยู่กับฟาริโอน่า รีบพาลูกเราหนีไปจากที่นี่"คาร์ลเรนหันมาพูดกับมาเรีย
"เพคะ"มาเรียบอกก่อนที่จะเดินหายไปในกลุ่มผู้คนที่กำลังชุลมุน
"เกิดอะไรขึ้นน่ะคาร์ลเรน"เรย์นาลถามหลังจากที่ควบคุมทุกคนให้อยู่ในความสงบ
"ข้าไม่รู้"คาร์ลเรนตอบหลังจากเรียกคทาและอาวุธคู่กายออกมา
"กำลังสนุกอยู่หรอท่านจ้าวปิศาจ"
"เจ้าเป็นใคร"คาร์ลเรนหันไปทางต้นเสียง
"ข้าน่ะหรอ ข้ามีนามว่า "ไซเลนไดร์ หรือเรียกง่ายๆว่าเสือแห่งทิศใต้ก็ได้"ไซเลนไดร์พูดจบก็ปรากฎกายออกมา
คาร์ลเรนจ้องมองเด็กหนุ่มท่าทางหล่อเหลาคนหนึ่งที่อ้างชื่อว่าไซเลนไดร์ เด็กหนุ่มคนนี้ผมสีดำเข้ม ตาสีแดงเพลิง รูปร่างสมส่วนเยี่ยงอย่างชายชาตรีทั่วไป แต่ที่แตกต่างของไซเลนไดร์คือ รอบๆตัวผู้นี้มีรังสีแห่งความมืดแผ่ออกมาจนทำให้ต้นไม้รอบๆบริเวรเหี่ยวเฉาลงทันที
"เจ้าต้องการอะไร"คาร์ลเรนถามหลังจากประเมินแล้วว่าไซเลนไดร์ไม่น่าจะมีพิษสงค์
"โอ้! ท่านจ้าวปิศาจแห่งเมืองฮาเดสยังไม่รู้อีกรึว่าข้าต้องการอะไร"ไซเลนไดร์พูดขึ้น
"ถ้าเจ้าต้องการตัวเทพธิดาแห่งความมืดล่ะก็ ข้าก็ไม่ให้เจ้าหรอก"คาร์ลเรนพูด
"งั้นหรืองั้นเรามาประลองกันซักตั้งเถอะ"ไซเลนไดร์พูดพลางชูคทาขึ้นมา
"ความมืดเอ๋ย จงตอบรับพลังที่มีอยู่ในตัวข้า"
"ดาร์ค"และแล้วทุกสรรพสิ่งก็มืดมิดลง
"ขอให้สนุกนะ ระหว่างนี้ข้าจะไปชิงตัวธิดาแห่งความมืด ข้าไปก่อนล่ะ"ไซเลนไดร์พูดพลางหายตัวไป
"โอม ความมืดเอ๋ยจงหายไป"ปีเตอร์ร่ายคาถา แต่มันก็ไม่ได้ทำลายความมืดให้หายไปได้
"นี่เราก็ลองทุกวิถีทางแล้วนะ แต่มันก็........ยังเหมือนเดิม"เรย์นาลพูดขึ้นทำลายความเงียบ
"นี่คาร์ลเรน นายเป็นจอมปิศาจไม่ใช่หรอ นายต้องทำอะไรได้บ้างสิ"ปีเตอร์พูด
"ข้าทำลายมันไม่ได้"คาร์ลเรนตอบพลางกวาดสายตามองเพื่อจะเห็นแสงสว่างบ้าง
"ถ้ามันมืดจริงๆเราต้องมองไม่เห็นตัวเรา แล้วทำไมเราถึงมองเห็นตัวเองได้ล่ะ"คาร์ลเรนคิดพลางมองไปยังร่างกายของตนเอง
ท่านจ้าวปิศาจเอ๋ย
"เสียงใครน่ะ"คาร์ลเรนพูดในใจ พลางมองไปรอบๆเพื่อหาต้นกำเนิดเสียง
แสงสว่างจะทำลายความมืด
มีแต่ท่านเท่านั้นที่จะรับรู้ถึงสิ่งนั้นได้
จงเรียกมันออกมา
เพื่อจะได้รีบไปช่วยชายาของท่าน
อย่ามัวเสียเวลากับของเล่นของไซเลนไดร์
พวกข้ารู้ว่าธิดาแห่งความมืดสำคัญเช่นไร
จงรีบเรียกพวกข้าออกมา
แล้วท่านจะได้ไปทำภารกิจสำคัญ
ถึงจะเสียน้ำตาไปบ้าง
แต่ก็อย่าท้อแท้ใจ
"หึ แสงสว่างงั้นหรือ"
"แล้วที่ว่าข้าจะเสียน้ำตา มันหมายถึงอะไร"คาร์ลเรนคิดหลังจากที่ได้ยินปริศนาจากผู้มาเยือนเมื่อกี้
"เฮ้! คาร์ลเรนเจ้าทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ทำอะไรซักอย่างเลย"ปีเตอร์บ่นอย่างหงุดหงิด
"เออๆ จะทำแล้ว แล้วพวกแกจะทึ้ง"คาร์ลเรนตอบพลางชูคทาไปเบื้องหน้าความมืดมิด
"แสงสว่างเอ๋ย จงออกมาเถิด"
"ออกมาเพื่อรับใช้ข้า ผู้เป็นเจ้าแห่งปิศาจ"
"จงออกมาทำให้ความมืดมิดหายไป"
"ไลท์"
พลันแสงสว่างก็เจิดจ้าไปทั่วทั้งปราสาททำลายความมืดมิดนั้นไปสิ้น ปีเตอร์และคนอื่นๆพากันทึ้งที่คาร์ลเรนใช้มนต์โบราณเรียกแสงสว่างออกมา แต่ยังไม่ได้พูดอะไร ตาของทุกคนก็ไปสะดุดกับหญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวที่อยู่เบื้องหน้า เจ้าหล่อนมีผมยาวสีขาวที่คลอเคลียไปกับไหล่มนลาด ผิวก็ขาวราวกับหิมะ เว้นแต่ตาสีฟ้าส่องประกายแวววาวอยู่ใต้ใบหน้าแสนสวยราวกับนางฟ้า ขนาดที่ทุกคนกำลังตะลึงกับใบหน้าที่แสนงดงามของหญิงสาวตรงหน้า ก็มีเสียงที่ขัดความตะลึงไว้ชั่วครู่
"ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยข้า"คาร์ลเรนก้าวเท้าไปยืนเบื้องหน้าของหญิงสาว
"ไม่เป็นไร ข้าถูกเจ้าไซเลนไดร์ผนึกไว้ แต่ผนึกนั้นไม่รู้ว่ามันคลายลงตั้งแต่เมื่อไหร่ข้าก็เลยออกมาช่วยท่าน" หญิงสาวตอบ
"งั้นเจ้าก็จงกลับไปยังที่อยู่ของเจ้าซะ"คาร์ลเรนบอกหญิงสาวตรงหน้า
"ได้ ข้ากำลังจะไป แต่ที่สำคัญท่านห้ามลืมเด็ดขาดว่าพวกข้าอยู่ข้างท่าน"หญิงสาวกล่าว
"ข้าจะไม่มีวันลืม"คาร์ลเรนให้คำมั่นสัญญา
"งั้นข้าไปล่ะ"หญิงสาวพูดพลางลอยตัวขึ้นไปบนอากาศและหายวับไป
"รีบไปกันเถอะ"คาร์ลเรนพูดพลางวิ่งนำหน้าทุกคนไปยังทางที่คิดว่าไซเลนไดร์ไป
ความคิดเห็น