ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรางรัก ลวงใจ (ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สมาร์ทบุ๊ค)

    ลำดับตอนที่ #6 : กฏมณเฑียรบาล(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.พ. 52


    ตอนที่ 6  กฎมณเฑียรบาล

          เสียงเคาะประตูห้องดังถี่  จนพันเอกศรัณย์รู้สึกตัวตื่นขึ้น  เขาลุกเดินมาเปิดประตูห้องก็พบกับหมวดราเมนยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องพัก  หมวดทำความเคารพโดยชิดเท้าและก้มศีรษะให้เขานิดหนึ่ง แล้วกล่าวขึ้น
         " ผู้พันครับ...สมเด็จเจ้าหลวงทรงมีพระบรมราชโองการ ให้ผู้พันเข้าเฝ้าด่วนครับผม " 
         เขามองหน้าหมวด ราเมน  นิ่งอยู่ชั่วครู่อย่างรู้สึกงงๆก่อนที่จะเอ่ยถาม  " เดี๋ยวนี้เลยหรือผู้หมวด ? " 
        " ครับผม เดี๋ยวนี้เลย "  เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยก้มศีรษะลงน้อยๆ
        " อืม...แล้วผมต้องแต่งตัวอะไรเข้าเฝ้าล่ะหมวด ผมไม่ได้เตรียมตัวเลย "  เขาถามด้วยสีหน้าที่เป็นกังวลและบ่นขึ้นเบาๆ 
        " ก็เครื่องแบบทหารอย่างที่ผู้พันแต่งก็ได้น่ะครับ  อย่าช้าเลยครับพระองค์ท่านทรงรอ  "  หมวดราเมนเร่ง
        “ หมวด...บอกผมหน่อยได้มั้ย ว่าผมผิดอะไรหรือเปล่าที่ผมไปช่วยองค์หญิงออกมาน่ะ  ผมรู้สึกว่าทุกคนมองผมแปลกๆไปกันหมด   แม้แต่หมวดเองก็เถอะ  แล้วนี่สมเด็จยังทรงให้หาอีก “ เขาจ้องมองหมวดชราอย่างรอคำตอบ
          แต่สีหน้าของหมวดชรานิ่งสงบ “  ผมคงตอบอะไรผู้พันไม่ได้หรอกครับ ผู้พันก็คงได้ทราบเอง  เมื่อได้เข้าเฝ้าแล้วครับผม “
    คำตอบของหมวดราเมนไม่ได้ทำให้ความกระจ่างอะไรกับเขาแม้แต่น้อย กลับทำให้กังวลใจมากขึ้น ว่าต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเขาแน่  ทำให้เขาถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง  พร้อมทั้งครุ่นคิดหาคำตอบให้กับตนเอง   แต่ก็ไม่อาจจะหาคำตอบใดๆได้เลย  และยังคิดต่อไปอีกว่าเขาอาจจะต้องถูกลงโทษที่บังอาจแตะเนื้อต้องตัวองค์หญิงรัชทายาท  ซึ่งอาจจะเป็นกฎมณเฑียรบาลของที่นี่ก็ได้  ถ้ามีกฎแบบนี้จริงเขาก็จะยอมรับผิด ในเมื่อเขาไม่มีทางหลีกเลี่ยง สมเด็จท่านอาจจะทรงเห็นใจเขาบ้างก็ได้
         เขาหันหลังเดินกลับเข้ามาในห้อง พึมพำกับตนเองเบาๆ  ” แม่ดอกฟ้ารายา....ผู้สูงศักดิ์  เมื่อคืนได้ตกอยู่บนอกของชาวดิน ป่านนี้จะรู้มั้ยว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นกับชาวดินคนนี้  “
         พันเอกศรัณย์ รีบแต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารอย่างเร่งรีบ แล้วมองตนเองกระจกเงาบานใหญ่สำรวจความเรียบร้อยตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปกับผู้หมวดราเมน  ซึ่งเดินนำหน้าเขาไปเรื่อยๆ เมื่อเลี้ยวลงบันไดออกไปยังหน้าตึกกองบัญชาการ  รถจิ๊ปทหารรอเขาอยู่ พลขับขับพาเขาและหมวดราเมนไปเพียงไม่ถึงสิบห้านาที  ก็มาถึงหน้าพระบรมมหาราชวังรูปทรงแบบยุโรปที่สวยงามสง่า  รถผ่านประตูที่มีทหารราชองครักษ์ยืนเฝ้าประตูอยู่ทั้งสองด้าน  ทหารทำความเคารพเขาและหมวดราเมน  รถแล่นมาช้าๆผ่านเข้าไปตามถนนภายใน  ผ่านพระราชอุทยานด้านหน้า  แสงแดดอ่อนแสงลงทุกที จนแสงสีทองลำสุดท้ายกำลังจะลาลับขอบฟ้าไป  ดอกไม้ในพระราชอุทยานเริ่มส่งกลิ่นหอมอ่อนๆโชยกรุ่นเข้ามาต้องจมูก  หอมเย็น จนเขาต้องสูดลมหายใจเข้าอย่างรู้สึกชื่นใจนัก  และทำให้ความเครียดของเขาพอจะเบาบางลงบ้าง
          เมื่อถึงประตูชั้นในอีกชั้น  เขาและหมวดราเมนลงจากรถ  ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์สองนายหน้าประตูทำความเคารพเขาแล้ว  ขออนุญาตตรวจอาวุธตามตัวเขาจนทั่ว  และทำความเคารพเขาอีกครั้งก่อนที่จะอนุญาตให้เขาเดินตามหมวดราเมนเข้าไปภายใน  ซึ่งหมวดชรายืนคอยเขาอยู่  และเดินออกนำเขาไปทันทีเหมือนต้องการหลีกเลี่ยงที่จะสนทนากับเขา  เขามองอาณาเขตลานหน้าพระบรมมหาราชวัง ที่ตกแต่งด้วยไม้ใบหลากสี ปลูกและตัดแต่งเป็นระเบียบงดงาม  พระบรมมหาราชวังใหญ่โตสง่างามด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรปโบราณอัครสถาน  ที่มองแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะตั้งอยู่ในเมืองเล็กๆที่เงียบสงบแห่งนี้เลย  กระถางลายครามใบใหญ่ปลูกไม้ดัดไว้เรียงรายตามทางเดินเข้าสู่ตัวพระราชวัง  ดูงดงามยิ่งนัก สนามหญ้าที่เขียวขจีถูกตัดแต่งเรียบเป็นระเบียบ  แสงไฟจากโคมไฟที่ห้อยลงมาจากเสารูปทรงโบราณ สองข้างทางเดิน และรอบบริเวณสนามหน้าพระราชวัง ถูกเปิดขึ้นและส่องแสงมลังเมลืองไปทั่วบริเวณ ทำให้บรรยากาศ งดงาม  เหมือนกับว่าเขากำลังเดินอยู่ในพระราชวังของประเทศอังกฤษ  แผ่นศิลาแผ่นใหญ่ที่ปูอยู่รอบบริเวณทางเดิน ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าที่นี่เหมือนปราสาทในเทพนิยาย ยอดโดมของพระบรมมหาราชวังที่เป็นยอดแหลมเริ่มถูเงาแห่งรัตติกาลเข้าปกคลุม ความสวยอลังการของพระบรมมหาราชวังแห่งนี้  ทำให้เขายิ่งรู้สึกว่าตัวเองลีบเล็กลง  เมื่อย่างเท้าขึ้นบันไดขึ้นไปหลายสิบขั้น  อากาศเย็นลงอย่างรวดเร็วจนเขารู้สึกสะท้าน  แต่ก็ยังน้อยกว่าความเย็น ที่วาบลงถึงไขสันหลังเมื่อคิดว่าเขากำลังจะได้เข้าเฝ้าเจ้ามหาชีวิตแห่งนครสวาติติ
          เมื่อเขาเดินขึ้นบันไดหลายขั้นหน้าตัวตึกใหญ่ มีทหารราชองครักษ์ในเครื่องแต่งแบบเต็มยศมานำเดินไปอีกสองนายเขาและหมวดชราเดินตามไปช้าๆ ตามทางเดินที่ปูด้วยหินอ่อนสีชมพูมันวาว เสียงรองเท้ากระทบพื้นทำให้เกิดเสียงก้องเป็นจังหวะท่ามกลางความเงียบ  ทหารมหาดเล็กยืนรักษาการอยู่เป็นจุดๆ เมื่อถึงพระทวารชั้นในมีทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์แต่งกายเต็มยศยืนอยู่หน้าพระทวารชั้นใน ทหารชิดเท้าเรียบอาวุธทำความเคารพเมื่อเขาและหมวดราเมนเดินผ่าน เขาและหมวดราเมนตอบรับการทำความเคารพ  ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์นายหนึ่งมาเดินนำเขาและหมวดราเมนขึ้นบันไดไปชั้นบนของตัวตึก  และเดินเลี้ยวเข้าไปในห้องที่จัดไว้คล้ายกับห้องนั่งเล่น มีเก้าอี้แบบหลุยส์ตั้งเป็นหมู่ใหญ่ นางข้าหลวง และพยาบาลที่นั่งอยู่ที่พื้นรีบคลานเข่าออกไป นางข้าหลวงบอกให้คอยสักครู่และเดินค้อมกายเข้าไปข้างในเพียงครู่เดียว พระชายาอองสาก็เสด็จพระดำเนินออกมาจากห้องชั้นใน เขาและหมวดราเมนรีบถวายความเคารพ
         " คุณผู้พันเชิญด้านในค่ะ พระองค์ท่านทรงประทับคอยคุณอยู่ในห้องทรงพระอักษร ตามฉันมาค่ะ "  พระชายาอองสารับสั่งแล้วทรงดำเนินพาเขาเดินเข้าไปข้างใน  หมวดราเมนบอกกับเขาว่าจะรอเขาอยู่แถวๆนั้น
          พระชายาดำเนินพาเขาเดินเข้าไปภายใน ซึ่งมีห้องอีกห้องหนึ่ง  ซึ่งเมื่อเขาก้าวเข้าไปก็พบว่าห้องนี้คงเป็นห้องทรงงาน  เพราะมีหนังสือเป็นตู้เรียงรายอยู่ทั้งสองข้างผนังมากมายจัดเรียงเป็นระเบียบงดงาม  โต๊ะเขียนหนังสือตัวใหญ่ตั้งอยู่ด้านในสุด  แต่ผู้เป็นประมุขของเมืองสวาติติทรงประทับนั่งเป็นสง่าอยู่ที่พระเก้าอี๊ตัวยาว  ซึ่งตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งของห้องใกล้กับโต๊ะทรงพระอักษร  พระชายาอองสาทรงพาเขามาส่งและดำเนินกลับออกไป  เมื่อเขาเดินมาใกล้พอสมควรก็คุกเข่าลงและคลานด้วยเข่าเข้าไปใกล้พอสมควรและนั่งราบลงกับพื้น  พร้อมทั้งก้มลงกราบลงที่พื้นด้วยหัวใจที่เต้นระทึก เหมือนกับผู้ต้องหาที่รอฟังศาลอ่านคำพิพากษา เขาเงยหน้าขึ้นนิดหนึ่ง แล้วกราบบังคมทูลด้วยเสียงที่ต้องบังคับตนเองอย่างเต็มที่ไม่ให้สั่น
         " ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้าพันเอกศรัณย์ วุฒิชัย มาเข้าเฝ้าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทตามพระราชโองการ พระพุทธเจ้าค่ะ  " 
         " สวัสดีผู้พัน....เชิญนั่งสิ  นั่งเสียบนเก้าอี้นี่จะได้คุยกันได้สะดวก  ? "  พระสุรเสียงเบาๆนั้นทรงอำนาจ มีพระราชดำรัสขึ้นพร้อมทั้งทรงผายพระหัตถ์เชื้อเชิญให้เขานั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว ตรงหน้าพระพักตร์
           เขาหมอบกราบลงอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้ อย่างรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
         สมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟ กษัตริย์แห่งราชอาณาจักรสวาติติ ทรงมีพระวรกายงามสง่าแต่ขณะนี้ทรงซูบพระองค์ พระฉวีขาว พระพักตร์ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา แต่สายพระเนตรของพระองค์ยังทรงคมกล้า  พระสุรเสียงที่ทรงเปล่งออกมานั้นเหมือนจะทรงเหนื่อยและหอบน้อยๆ
         ” ฉันได้รับทราบประวัติของคุณมาบ้างจากหนังสือที่ส่งมาจากรัฐบาลไทย วันนี้ฉันยินดีมากนะที่ได้พบคุณ เพราะยังไม่มีโอกาศที่จะได้ขอบคุณในไมตรีจิตของคุณที่มาช่วยเราเลย “ ทรงหยุดไปชั่วครู่แล้วรับสั่งต่อ  “ เอ่อ...แต่ที่ฉันต้องเชิญคุณมาในวันนี้ซึ่งออกจะด่วนซักหน่อย  ฉันคงต้องขอโทษด้วยนะผู้พัน เพราะมีเรื่องสำคัญมาก คือฉันจะขอให้คุณเล่าเรื่องเมื่อคืนนี้ให้ฉันฟังโดยละเอียดจะได้มั้ย   “ สมเด็จเจ้านาดิฟ ตรัสรับสั่งแล้วทรงใช้พระหัตถ์ทาบพระอุระไว้ เหมือนจะทรงเหนื่อย
          เขาตัดสินใจและทำใจแล้วทุกอย่างว่าอะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด  ในเมื่อเขาทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ  เขาอาจจะถูกส่งตัวกลับประเทศในสถานเบา  และถ้าเป็นสถานหนักเขาก็อาจจะโดนเก็บเสียที่นี่ก็ได้  ในเมื่อไม่มีทหารของเขาสักคนที่รู้ที่เห็นว่าเขามาที่นี่  เขาอาจจะเป็นคนไทยที่มาหายไปอย่างไร้ร่องรอยในนครแห่งนี้  แม่ดอกฟ้ารายา....เพื่อพระองค์ที่ทรงมาสถิตในหัวใจอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว  ถ้าจะต้องตายเพราะช่วยพระองค์หม่อมฉันก็คงต้องยอม  แล้วพระองค์จะทรงรู้เรื่องนี้มั้ยนะ เขาได้แต่รำพึงอยู่ในใจ ก่อนที่จะกราบบังคมทูล 
         " พระเจ้าค่ะ "  ผู้พันศรัณย์รับพระกระแสรับสั่งแล้ว กราบบังคมทูลถวายรายงานเรื่องทั้งหมดโดยละเอียดถวายแด่ สมเด็จเจ้านาดิฟ  พระองค์ท่านทรงสดับเงียบๆสีพระพักตร์ทรงเครียดขึ้น ทรงถอนพระหทัยน้อย ๆหลายครั้ง เขากราบบังคมทูลกับพระองค์ในตอนท้ายว่า
         “ เรื่องที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบบังคมทูลมาทั้งหมดนี้  เป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดพระเจ้าค่ะ  ข้าพระพุทธเจ้ามิได้บังอาจที่จะถือโอกาสล่วงเกินพระองค์หญิงรายา  ในขณะที่ทรงบาดเจ็บเลยเป็นความสัตย์จริงของข้าพระพุทธเจ้าพระเจ้าค่ะ  แต่ถ้าข้าพระพุทธเจ้าทำผิดอาญาแผ่นดินโดยไม่ได้ตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม  ข้าพระพุทธเจ้าก็ขอน้อมเกล้ารับพระอาญาตามแต่พระราชวินิจฉัยพระเจ้าค่ะ พระอาญามิพ้นเกล้าควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรดพระเจ้าค่ะ “ เขากราบบังคมทูลถวายรายงานเรื่องราวทั้งหมดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่หนักแน่นจริงจัง
    สมเด็จเจ้าหลวงทอดพระเนตรมองหน้าผู้พันศรัณย์ตรงๆ แววพระเนตรของพระองค์หม่นลง
         “ ก่อนอื่นฉันต้องขอบใจ  ที่ผู้พันได้ช่วยชีวิตของลูกหญิงไว้  คุณมีบุญคุณกับสวาติติมากนะผู้พัน ถ้าคุณไม่เข้าไปช่วยลูกหญิงก็อาจจะไม่รอด  และที่ฉันเชิญคุณเข้ามาถามนี้ก็ไม่ได้คิดว่าคุณจะล่วงเกินลูกหญิงรายาหรอกนะ  มันไม่ใช่เหตุผลนั้น  แต่ฉันคิดว่าคุณคงไม่ทราบว่าการที่คุณบอกว่า  ลูกหญิงบอกกับคุณหลายครั้งว่าให้รีบพากลับออกมาก่อนที่จะสว่างนั้น  คุณคงไม่รู้ว่าลูกหญิงหมายความถึงอะไร ใช่มั้ย ? ”
         " ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้าข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบจริงๆ ว่าพระองค์หญิงรับสั่งเช่นนั้นหลายครั้งด้วยเหตุผลอะไรพระเจ้าค่ะ   เพราะในขณะนั้นพระองค์หญิงทรงบาดเจ็บมาก  และบางครั้งก็ไม่ทรงรู้สึกพระองค์ ทรงหมดพระสติไปหลายครั้งพระเจ้าค่ะ  ข้าพระพุทธเจ้ามัวแต่กังวลกับพระอาการที่มีพระโลหิตออกมาก  และเกรงกับอันตรายจากทหารป่า คิดแต่เพียงว่าจะต้องถวายความอารักขาให้ทรงได้รับความปลอดภัยก่อนอื่น  เกล้าหม่อมฉันก็เลยไม่ได้ทูลถามถึงเหตุผลใดๆกับพระองค์ท่านพระเจ้าค่ะ  แต่พระองค์หญิงก็ทรงพยายามที่จะรับสั่ง บอกอะไรกับข้าพระพุทธเจ้าหลายครั้งพระเจ้าค่ะ  "  เขากราบบังคมทูล พร้อมกับทำสีหน้าฉงนน้อยๆ 
         สมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟทรงมีพระกระแสรับสั่งกับเขาว่า  พระองค์ท่านต้องบอกกับเขาเอง  เพราะคงไม่มีใครกล้าบอก มันเป็นเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าแก่ของสวาติติ  และเป็นกฎมณเฑียรบาลของเรา  กฎนี้ใครๆในสวาติติก็จะรู้ดีว่า  หญิงใดที่อยู่ตามลำพังกับชายสองต่อสอง โดยข้ามคืนจนถึงรุ่งสว่างของอีกวันหนึ่งต้องแต่งงานกัน ภายในเจ็ดวันหรืออย่างช้าสิบห้าวันโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น  ถึงชายนั้นจะมีภรรยาอยู่แล้วหรือหญิงนั้นจะมีสามีอยู่แล้วก็ตาม  ทั้งสองจะต้องละทิ้งทั้งหมดและจะต้องแต่งงานกันในทันที  ถ้าหญิงชายที่ทำผิดกฎหมายข้อนี้  ไม่ทำตามกฎมณเฑียรบาลนี้ให้ขับออกจากสวาติติ  นี่เป็นกฎหมายของราชอาณาจักรสวาติติ  ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าแก่มากและยังไม่ได้ยกเลิก และกฎหมายนี้ก็ครอบคลุมถึงทุกคนที่อยู่ในสวาติติ  แม้แต่ทุกคนในราชวงศ์ก็อยู่ภายใต้กฎหมายนี้ด้วย  โดยไม่มีการยกเว้นใดๆ   สมเด็จเจ้านาดิฟตรัสรับสั่งกับเขาช้าๆ ทรงถอนพระหทัยหลายครั้ง  แต่พระสุรเสียงนั้นราบเรียบเหมือนกับว่าพระองค์กำลังทรงหนักพระหฤทัยนัก
           พันเอก ศรัณย์ฟังพระกระแสนั้นนิ่งๆ และเงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์ของเจ้าหลวงด้วยอาการที่ตกตะลึงทันทีที่จบพระกระแส  เขานั่งนิ่งขึงอยู่เป็นนานจนสมเด็จเจ้านาดิฟ ทรงต้องตรัสถามเขา พร้อมทั้งทรงทอดพระเนตรมองหน้าเขานิ่งๆ
         “ คุณคิดยังไงกับเรื่องที่ฉันบอกผู้พัน บอกฉันได้มั้ย ? ”  ทรงทอดพระเนตรมองหน้าผู้พันหนุ่มที่มีสีหน้าเหมือนจะตกตะลึงพรึงเพริด  ทรงพิจารณาใบหน้าเขาและทรงมีพระราชดำริในพระหทัย  ผู้พันศรัณย์...นายทหารหนุ่มผู้นี้มีหน้าตาคมสัน สายตาของเขาซื่อ แต่ก็ฉายแววเฉลียวฉลาด  บุคลิกท่าทางสุภาพ คำพูดคำจาฉะฉานแต่ก็อ่อนน้อมถ่อมตน และมีความจริงใจแฝงอยู่ในคำพูดที่อาจหาญของเขา 
         "  พระอาญามิพ้นเกล้าข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกตกใจ มากพระเจ้าค่ะ  ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบข้อบังคับหรือกฎหมายข้อนี้เลย   แต่ถึงจะทราบมาก่อนก็คงไม่สามารถที่จะพาพระองค์หญิงเสด็จกลับออกมาได้ในคืนนั้น  เพราะเป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไปพระเจ้าค่ะ   ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่งพระเจ้าค่ะ  ที่ข้าพระพุทธเจ้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฝ่าพระบาทและพระองค์หญิงทรงต้องระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท  "  เขากราบบังคมทูลตามตรง 
         " ผู้พันศรัณย์......คุณคงรู้นะว่าอะไรจะเกิดขึ้นนับจากนี้  ลูกหญิงจะต้องเสด็จออกจากสวาติติ  เพราะผิดกฎหมายข้อนี้  และคุณก็คงต้องถูกส่งกลับประเทศไทย  เรื่องอะไรๆที่กำลังจะเริ่มต้นไปในทางที่ดีตามที่ลูกหญิงตั้งพระทัยไว้  ก็คงจะพลิกผันไป มันคงจะเป็นชะตาของบ้านเมืองละมังนะ  “
          เขาฟังสุรเสียงรับสั่งที่แผ่วเศร้านั้นแล้วรู้สึกใจหายวูบลงทันที  เขารู้สึกมึนงง สับสน และพยายามลำดับเหตุการณ์ และเริ่มรู้ว่าเขากับองค์หญิง คงต้องออกไปจากราชอาณาจักรสวาติติ  และใครกันจะมาทรงงานแทนพระองค์ในขณะที่สวาติติกำลังคับขัน  สวาติติคงจะวุ่นวายด้วยไม่มีใครจะบัญชาการ  ทั้งการทหารและการบ้านการเมืองการปกครอง  เรื่องเมื่อวานที่เกิดขึ้นกับองค์หญิงก็นับว่าร้ายแรงพอสมควรอยู่แล้ว  สำหรับผู้ที่จงรักภักดีต่อพระองค์  แต่เรื่องที่ตามมากลับกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่  ที่กระทบกระเทือนกับความอยู่รอดของทุกคนในสวาติติก็ว่าได้   ถึงว่าสิ.....หมวดราชัยถึงได้เป็นเดือดเป็นแค้นเขานัก  แล้วยังพระพี่เลี้ยงปารองที่พอรู้เรื่องจากปากเขา  ถึงกับร้องไห้โฮออกมา  หมอเลนินถึงจะไม่แสดงออกถึงความรู้สึกใดให้เห็น  แต่สายตาของหมอที่มองเขาก็มองเหมือนกับสำรวจตรวจตรา  หมวดราเมนนั้นก็มีสีหน้าเคร่งเครียดตั้งแต่เช้า  คงตั้งแต่ที่เห็นว่าเขาและองค์หญิงอยู่ในกระท่อมกันตามลำพัง
          เขาเงยหน้าขึ้นและกราบบังคมทูล   “  ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า  ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเสียใจที่ทำให้ฝ่าพระบาทและพระองค์หญิงรายาต้องทรงระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาทพระเจ้าค่ะ  ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่าจะกราบบังคมทูลยังไงกับเรื่องนี้  และข้าพระพุทธเจ้าขอรับพระราชอาญาที่ได้กระทำผิดกฎมณเฑียรบาลของสวาติติพระเจ้าค่ะ ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรด “
    ทรงทอดพระเนตรมองหน้าเขาเหมือนจะทรงพิจารณา และมีพระราชดำรัสถาม
         "  ในเมื่อคุณยอมรับโทษ ก็ต้องถูกส่งตัวกลับเมืองไทย  และหญิงรายาก็ต้องถูกเนรเทศไปจากสวาติติเช่นกัน  ซึ่งอาจจะต้องไปประทับอยู่ที่อังกฤษ  เพราะเรามีบ้านและมีพระญาติทางฝ่ายพระราชมารดาของลูกหญิงอยู่ที่นั่น  "
           พระกระแสรับสั่งของสมเด็จเจ้านาดิฟ  ทำให้เขาถึงกับนิ่งงันไปชั่วครู่ ความรู้สึกสับสนว้าวุ่นเกิดขึ้นในสมองจนเขาแทบจะลำดับอะไรไม่ถูก  เขาได้แต่ถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่  และเขาจะต้องทำอะไรนับจากนี้ เขาอยากจะยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองสักฉาด  เพื่อให้รู้ว่าตนเองนั้นหลับหรือตื่นหรือว่ากำลังฝันกันแน่  แต่ที่เขายังรู้สึกอยู่ตลอดเวลาก็คือ  เขาก็ยังไม่หายซาบซึ้งกับการที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับองค์หญิงผู้เลอโฉม  พระพักตร์ของพระองค์ลอยเด่นอยู่ในความทรงจำทั้งยามที่เขาหลับและตื่น  พยายามแล้วว่าจะไม่คิดอะไรเลยเถิดมากไปมากกว่านี้  เพราะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้  แต่กระแสพระราชดำรัสขององค์เจ้าหลวงนี่ล่ะ  จะให้เขากราบบังคมทูลยังไง  เขาต้องกลับเมืองไทยใช่มั้ย  แล้วองค์หญิงล่ะก็คงต้องทรงเสด็จไปประทับที่อังกฤษหรือ  ทำไมเรื่องมันเลวร้ายขนาดนี้  และถ้าสวาติติไม่มีองค์หญิงจะทำยังไง  ใครกันล่ะที่จะดำเนินงานสานต่อเรื่องอะไรต่ออะไรของบ้านเมือง  เขาทำการทุกอย่างลงไปเมื่อวานมันผิดหรือถูกกันแน่
          “ ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้านึกไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะร้ายแรงขนาดนี้  ถ้าข้าพระพุทธเจ้าต้องถูกส่งตัวกลับ  ทางรัฐบาลและทางกองทัพก็คงต้องส่งคนอื่นมาบัญชาการแทนข้าพระพุทธเจ้า  แต่สำหรับพระองค์หญิงที่จะต้องทรงถูกเนรเทศ  แล้วผู้ใดกันพระเจ้าค่ะที่จะมาทำหน้าที่ผู้บัญชาการทหาร  และปกครองสวาติติแทนพระองค์หญิงในขณะนี้  ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบจริงๆพระเจ้าค่ะ  พระอาญามิพ้นเกล้าข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกเสียใจจริงๆพระเจ้าค่ะ  “
          “  ผู้พัน.....ฉันก็คิดเหมือนผู้พันเช่นกัน  ใครกันล่ะจะมาปกครองบ้านเมืองและทหารในยามนี้  นอกเสียจากว่าคุณจะยอมแต่งงานกับหญิงรายาเท่านั้น  ที่เรื่องทุกอย่างก็จะดำเนินไปด้วยดี  แต่ฉันก็ไม่ได้คิดจะบังคับใจคุณหรอกนะผู้พัน คุณตัดสินใจได้อย่างอิสระตามที่คุณคิดนะ  “
         พระกระแสรับสั่งของสมเด็จเจ้าหลวง นาดิฟ  ทำให้เขายิ่งตกอยู่ในอาการตกตะลึงอีกครั้ง จนเกือบจะอ้าปากค้าง เขาจ้องมองพระพักตร์ของสมเด็จนิ่งอึ้ง  ก่อนที่รวบรวมสมาธิเพื่อที่จะกราบทูล แต่ก็ยังตะกุกตะกัก
         “ เอ่อ.....เอ่อ.....ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้ามิบังอาจคิดใฝ่สูงถึงขนาดนั้นพระเจ้าค่ะ  “
         “ ผู้พันศรัณย์......ความจริงแล้ว ฉันกับเจ้าพี่กสินธรเจ้าเมืองไพลินยา  ได้มีสัญญากันในฐานะบ้านพี่เมืองน้องว่าจะให้หญิงรายาอภิเษกกับเจ้าฟ้าชายอิงภู  ซึ่งเป็นสัญญาปากเปล่าที่เราเคยทำกันไว้ตั้งแต่องค์รัชทายาททั้งสองยังทรงพระเยาว์  แต่เมื่อฉันป่วยลงก็ทำให้หญิงรายาไม่อาจจะอภิเษกในขณะนี้ได้  เพราะต้องปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างแทนฉัน  ความจริงแล้วตั้งแต่ฉันยังไม่ป่วย  หญิงรายาก็บ่ายเบี่ยงที่จะอภิเษกกับชายอิงภูมาตั้งแต่เรียนจบปริญญาตรี  ทรงขอผัดผ่อนให้จบโทเสียก่อน ฉันก็ไม่รู้ว่าลูกหญิงรักเจ้าอิงภูหรือเปล่า  เขาไม่เคยพูดเรื่องความรักกับฉัน  และบอกแต่เพียงว่าเขายังมีหน้าที่ต่อบ้านเมือง  และไม่ต้องการอภิเษกในขณะนี้ ฉันสงสารลูกมากและคิดจนหมดหนทางที่จะคิดอะไรต่อ  ถึงได้เรียกคุณมาช่วยฉันคิดนี่ไงล่ะ “
         “ ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า สำหรับข้าพระพุทธเจ้าแล้วยินดีทุกอย่างที่จะได้มีโอกาสช่วยสวาติติ  และพระองค์หญิง อย่างที่ข้าพระพุทธเจ้าได้กราบทูลสัญญากับพระองค์หญิงไปแล้วพระเจ้าค่ะ “
         “ แม้แต่จะต้องแต่งงานกับหญิงรายารึ “
         “ เอ่อ....อื่อ.... ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระพุทธเจ้าคิดว่าใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทต้องมีพระราชดำรัสถามพระประสงค์ของพระองค์หญิงรายาก่อนพระเจ้าค่ะ  ข้าพระพุทธเจ้าเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา ที่มาจากต่างแดนเรื่องนี้จะทำให้พระองค์หญิงทรงต้องระคายเคืองพระยุคลบาท  ข้าพระพุทธเจ้าเกรงว่าพระองค์หญิงรายาจะทรงไม่ต้องพระประสงค์  ที่จะต้องอภิเษกสมรสกับข้าพระพุทธเจ้าก็ได้พระเจ้าค่ะ  ” เขากราบบังคมทูลตรงๆตามที่คิด 
          ทรงประทับนิ่งไปชั่วครู่ทอดพระเนตรมองหน้าเขานิดหนึ่ง  ตรัสรับสั่งขึ้นว่า “ หญิงรายาคงรู้แล้วว่าตกอยู่ในฐานะที่ทำผิดกฎมณเฑียรบาล  คงจะรู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะต้องพระประสงค์หรือไม่ก็ต้องทำตามกฎหมายที่มีอยู่  “ ทรงนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วมีพระราชดำรัสขึ้นอีก  “ ในเมื่อเรื่องที่เกิดขึ้นมานี้เป็นลิขิตของพระเจ้า ลูกหญิงทรงเป็นขัตติยะนารีก็ต้องยอมรับในกฎหมายบ้านเมือง ก็คงจะมีแต่คุณเท่านั้นแหละผู้พันว่าจะคิดยังไง  “ 
          พันเอกศรัณย์กราบบังคมทูลสมเด็จ พร้อมกับมองพระพักตร์ของพระองค์นิดหนึ่ง  “ ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้าข้าพระพุทธเจ้านั้นไม่กล้าแม้แต่จะคิด  ถ้าข้าพระพุทธเจ้ารับสนองกระแสพระราชดำรัสในทันที ข้าพระพุทธเจ้าก็คงเหมือนกับว่า เป็นคนที่ฉกฉวยโอกาสคงจะไม่เป็นบังควรพระเจ้าค่ะ  ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกลำบากใจ ที่จะกราบบังคมทูลอะไรออกมาพระเจ้าค่ะ พระอาญามิพ้นเกล้าควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรด “
          ทรงแย้มสรวลขึ้นเป็นครั้งแรกก่อนที่จะมีพระราชดำรัสว่า  “ ผู้พัน....ฉันรู้สึกประทับใจในคำพูดของคุณนะ  และก็เข้าใจดีว่าคุณรู้สึกยังไง  แต่ฉันก็คงต้องแล้วแต่ความสมัครใจของคุณด้วย เพราะคุณอาจจะมีคนรักอยู่แล้วและเรื่องนี้จะต้องทำให้คุณลำบากใจ  เพราะคุณก็อุตส่าห์เสียสละมาช่วยบ้านเมืองของฉัน  แต่กลับต้องมาพบกับปัญหาที่คุณเองไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น  และคุณก็ทำทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจ  แต่ก็ต้องมากลายเป็นความผิดไปเสียอีก  “ ทรงรับสั่งแล้วประทับนิ่งๆเป็นครู่เหมือนจะทรงครุ่นคิด
         "  ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า หามิได้พระเจ้าค่ะ  ข้าพระพุทธเจ้ายังมิได้มีผู้หญิงที่ตนเองรักอยู่เลย  แต่ข้าพระพุทธเจ้ารู้สึกตะขิดตะขวงใจมากเหลือเกิน ยังรู้สึกสับสนและคิดแต่ว่าข้าพระพุทธเจ้าไม่คู่ควรเหมาะสมกับพระองค์หญิงรายาแม้แต่น้อย   แต่ถ้าข้าพระพุทธเจ้าสมรสกับพระองค์หญิงแล้ว  จะทำให้พระองค์หญิงทรงได้ประทับอยู่ที่เมืองนี้ต่อไปนั้น  ข้าพระพุทธเจ้าขอน้อมรับใส่เกล้าสนองพระราชดำริ ที่จะสมรสกับพระองค์หญิงรายาตามกฏมณเฑียรบาลพระเจ้าค่ะ พระอาญามิพ้นเกล้าควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรด "  พันเอก ศรัณย์กราบบังคมทูล อย่างระมัดระวังในถ้อยคำของตน 
          ทรงมีพระราชดำรัสกับเขาว่า  พระองค์ทรงยินดีที่จะรับเขาเป็นพระชามาดา  และในสายพระเนตรของพระองค์นั้นก็มองเห็นว่าเขาเป็นคนที่พูดตรงๆดี  ทรงมีพระราชดำรัสว่าการแต่งงานครั้งนี้  มีข้อแม้ว่าเขาจะต้องกลายเป็นคนของเมืองนี้ตลอดไป  ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครขององค์หญิง  ซึ่งพระองค์ท่านกำลังจะอภิเษกองค์หญิงให้ขึ้นครองราชย์แทนพระองค์ในอีกไม่ช้านี้  เขาจะต้องเป็นพระสวามีที่คอยปกป้องดูแลองค์หญิง และราชอาณาจักรแห่งนี้ร่วมกับองค์หญิงรายาแทนพระองค์  มีพระราชดำรัสถามเขาว่าเขาคิดว่าจะอยู่เมืองนี้ได้ตลอดหรือไม่
          เขากราบบังคมทูลตามตรงว่า  ถ้าเขาตัดสินใจที่จะสมรสกับพระองค์หญิงแล้ว  ก็หมายถึงเขาขอถวายชีวิตนี้ให้กับพระองค์หญิง และเมืองสวาติติตลอดไป  แต่ก่อนที่จะมีการใดๆขอให้พระองค์หญิงทรงเต็มพระหทัยที่จะรับเขาได้ก่อนดีกว่า  พระองค์เจ้านาดิฟ ทรงมีพระราชดำรัสว่าเวลาที่จะตัดสินใจนั้นน้อยเต็มที  ท่านทรงแน่พระหทัยว่าองค์หญิงคงต้องทำตามกฎมณเฑียรบาล   ทรงตรัสว่าให้โอกาสเขาไปคุยกับองค์หญิงก่อนก็แล้วกัน  แล้วพระองค์ท่านจะให้หาอีกครั้งซึ่งคงต้องเป็นภายในวันสองวันนี้  เพราะงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงนั้น เป็นงานพระราชพิธีใหญ่ต้องเตรียมการหลายอย่าง  แต่ตอนนี้พระองค์ท่านจะต้องออกแถลงการณ์การหมั้นไว้ก่อน เพื่อกันข้อครหา สมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟ ตรัสรับสั่งด้วยพระพักตร์ที่เขามองแล้วดูเหมือนว่าพระองค์จะทรงคลายความกังวลพระทัยลงมาก เพราะพระองค์ทรงมีพระพักตร์ที่ทรงพระสำราญ สายพระเนตรทรงแจ่มใสขึ้น  
         " พระเจ้าค่ะ พระอาญามิพ้นเกล้าข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานอภัย ขอพระบรมราชานุญาติกราบบังคมทูลถาม ถึงพระอาการของฝ่าพระบาท ที่ทรงพระประชวรอยู่ในขณะนี้พระเจ้าค่ะ ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรดพระเจ้าค่ะ "  พันเอก ศรัณย์กราบบังคมทูลถาม
    ทรงมีพระราชดำรัสตอบเขาเบาๆ  ด้วยพระพักตร์ที่เปี่ยมด้วยพระเมตตา  “ ฉันมีอาการของโรคหัวใจเส้นเลือดที่หัวใจตีบ ผ่าตัดแล้วแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ทรงๆ ทรุดๆ  เพียงแต่ว่ามีชีวิตมีลมหายใจไปวันหนึ่งๆเท่านั้น  แต่สองสามวันมานี่  ได้ยาจากหมอที่เป็นเพื่อนกันที่อังกฤษส่งมาให้  ก็รู้สึกว่าอาการค่อยยังชั่วขึ้นนิดหน่อย  แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังเหนื่อยมากอยู่  ฉันไม่ได้ทำงานมาเกือบสองปีแล้ว  สงสารหญิงรายาเหลือเกินที่ทรงงานหนักมาก  ฉันรู้ว่าลูกไม่มีเวลาให้กับตัวเองเลย  ไม่มีเวลาแม้จะได้พักผ่อนเหมือนคนอื่นก็แทบจะไม่มี  และเขาก็ยังต้องเสียสละความสุขส่วนตัวทุกอย่าง ฉันก็ได้แต่หวังว่า  ถ้าเขาอภิเษกก็คงจะดีจะได้มีคนคอยดูแลเขาบ้าง ฉันก็คงจะหมดห่วงลง และก็คงตายตาหลับเสียที  “ รับสั่งเบาๆทรงเริ่มเหนื่อยมากขึ้น 
         " พระอาญามิพ้นเกล้าข้าพระพุทธเจ้าเห็นพระหทัยในพระองค์หญิงมาก  ที่ทรงงานหนักเหลือเกินถ้าจะช่วยแบ่งเบาพระภาระอันใดได้  ข้าพระพุทธเจ้าก็รู้สึกยินดีที่จะได้มีโอกาสช่วยถวายงาน  ขอให้ฝ่าพระบาทอย่าทรงพระกังวลเลยพระเจ้าค่ะ  ข้าพระพุทธเจ้าขอให้ฝ่าพระบาททรงรักษาพระวรกาย ให้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง เพื่อที่จะทรงเป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรของประชาราษฎรต่อไปพระเจ้าค่ะ "  เขากราบบังคมทูลด้วยน้ำเสียงที่ทอดอ่อน จนสมเด็จเจ้านาดิฟทรงแย้มสรวลน้อยๆ พยักพระพักตร์ให้กับเขา 
         " ขอบใจนะผู้พัน  ฉันดีใจที่ได้พบคุณและชื่นชมในความมีน้ำใจของคุณ  แล้วเราจะได้คุยกันอีกในโอกาสต่อไป รอให้ลูกหญิงออกจากโรงพยาบาลก่อนก็แล้วกัน เชิญคุณกลับไปพักผ่อนเถอะ ขอบใจมากนะสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง  "  สมเด็จเจ้านาดิฟตรัสด้วยเสียงเนือยๆ  ทรงมีพระอาการเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×