ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรางรัก ลวงใจ (ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สมาร์ทบุ๊ค)

    ลำดับตอนที่ #3 : ผู้การสาวใจเด็ด1(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.พ. 52


    ตอนที่ 3 ผู้การสาวใจเด็ด 1
     
            เมื่อจบเพลงนั้นองค์หญิง  และผู้พันศรัณย์เดินออกมาจากฟลอร์  มีชายในเครื่องแต่งกาย ด้วยเครื่องแบบของข้าราชการของสวาติติ  ท่าทางสุภาพผู้หนึ่งยืนอยู่ใกล้  ทางเดินเพียงลำพัง เขามีทีท่าเหมือนกับมารอรับเสด็จ  ชายผู้นั้นก้มศีรษะทำความเคารพองค์หญิงทันที องค์หญิงรายาทรงหยุดดำเนิน  ซึ่งทำให้เขาต้องหยุดยืน  อยู่ด้วยทรงหันมารับสั่งกับเขา
           “ ผู้พันคะ....หญิงขอแนะนำค่ะ....นี่นายแพทย์ เลนิน เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่นี่ค่ะ และหมอคะนี่ผู้พันศรัณย์เป็นผู้บังคับบัญชาทหารไทย  ที่นำกำลังมาช่วยเราค่ะ  “
          “ ยินดีที่ได้รู้จักครับหมอ “ เขาก้มศีรษะพร้อมกับยื่นมือ  ส่งให้นายแพทย์เลนิน ทั้งสองเขย่ามือกันนิดหนึ่ง หมอหนุ่มที่เขาคิดว่าคงอายุไม่ห่าง  จากองค์หญิงรายานัก เขาเป็นหมอที่หน้าตาดี  ท่าทางสุภาพเรียบร้อย  สวมแว่นสายตารับกับใบหน้าที่ดูสะอาดสะอ้าน  มีรอยยิ้มเยือนอย่างเป็นกันเอง  อยู่บนริมฝีปากบางๆนั้น
          “ เช่นกันครับ ผมรู้สึกดีใจและขอบคุณ  ที่คุณกรุณามาช่วยเมืองของเรานะครับ ถ้ามีโอกาสคงได้รับใช้นะครับผู้พัน “
          “ ครับผม ขอบคุณหมอล่วงหน้าเลยครับ “
          “ ผมคาดไว้ว่าผู้พันจากเมืองไทย  คงอายุสักห้าสิบ แล้วก็คงมีหน้าตาท่าทางดุเหี้ยมเกรียม  เป็นจินตนาการของหมอ  ที่ผิดคาดอย่างมากเลยครับ ผู้พันยังหนุ่มแล้วก็มาดแมนแฮนซั่ม มากเลยครับ “
         “ หรือครับ ต้องขอบคุณอีกครั้งครับ สำหรับคำชม  และเช่นกันครับ  ถ้าผมไม่เห็นหมอ  ผมก็ต้องคิดว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาล  คงจะอายุสักห้าสิบกว่าๆ สีหน้าเรียบเย็น คงแก่เรียน  แล้วก็ชอบมองรอดแว่นด้วย ผมก็คาดผิดเหมือนกันครับ “
           เมื่อเขากล่าวจบทั้งสองหนุ่ม  ก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน  และมองหน้ากันอย่างรู้สึกถูกชะตา องค์หญิงรายาทอดพระเนตร  มองสองหนุ่มสนทนากัน  ทรงแย้มสรวลน้อยๆ  และก่อนที่จะรับสั่งอะไรขึ้นอีก หมวดราชัยก็เดินเข้ามาหาพร้อมทั้งก้มศีรษะคำนับองค์หญิงน้อยๆ และก้มลงทูลความบางอย่างเบาๆ องค์หญิงรายามีสีพระพักตร์  เรียบตึงขึ้นนิดหนึ่ง  และเหมือนจะพยายามระงับพระอารมณ์  หมวดราชัยมองมาที่เขา และหมอนิดหนึ่งด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย   ไม่ทักทาย  องค์หญิงรับสั่งกับหมวดราชัย  เพียงเบาๆซึ่งเขาไม่ได้ยิน  หมวดราชัยค้อมศีรษะเชิง ทำความเคารพองค์หญิง และหันหลังเดินกลับออกไป  เขามองหน้าหมอนิดหนึ่ง  และแน่ใจว่าเขาเห็นสายตาแปลกๆ  ที่หมอเลนินมององค์หญิง  แต่เขาก็คิดไม่ออกว่า  สายตาของหมอหนุ่มบอกอะไรกับเขา
     
          ตีสี่ของวันใหม่ ผู้พัน ศรัณย์ลงมาจากตึก  และเดินเอื่อยๆมาที่หน้าตึก เขาพบว่าทหารของ สวาติติ กำลังฝึกวิ่งอยู่บนถนน  ที่ตรงข้ามกับหน้าตึกบัญชาการ เขายืนดูการวิ่งนั้นอยู่ครู่ใหญ่  และนึกชมเชยว่าทหารของสวาติติ  ท่าทางเข้มแข็ง  และมีระเบียบพร้อมเพรียงดี  และทำให้เขานึกชมครูฝึกอยู่ในใจ  จนกระทั่งฟ้าเริ่มสว่าง  เขาจึงพบว่าครูฝึกของทหารพวกนี้  คือนายพลตรีหญิงผู้บัญชาการทหารนั่นเอง  เมื่อสั่งเลิกแถวแล้ว องค์หญิงดำเนินกลับมา  ที่ตึกกองบัญชาการ  เขาเห็นว่าทรงมีพระเสโทชุ่มฉลองพระองค์  ทรงใช้ผ้าซับพระพักตร์และพระศอเบาๆ
         " ฝ่าบาท.....ทรงลงมาฝึกทหารเองเลยหรือกระหม่อม "  ผู้พันหนุ่มทูลถาม
         " ใช่ค่ะ.......ก็ปฏิบัติอย่างนี้ทุกวันอยู่แล้ว  ก็เหมือนกับฝึกตัวเองด้วยน่ะค่ะ เดี๋ยวเวลาออกภาคสนามก็วิ่งไม่ทันลูกน้องสิคะ   เอ่อ...ผู้พันคะเวลาที่หญิงแต่งทหาร  คุณอย่าเรียกหญิงว่าองค์หญิงเลยค่ะ ทหารที่นี่จะเรียกหญิงว่าผู้การ และไม่ใช้คำราชาศัพท์กับหญิง  เวลาที่ทำงานหรืออยู่ในกองบัญชาการ  และอีกอย่างหนึ่งนะคะ  คุณกับหญิงเป็นเพื่อนกันแล้วนี่คะ "  เธอกล่าวแล้วยิ้มด้วยสีหน้าสดชื่น 
         " โอเค  ครับ ผู้การ  " 
         " ไม่ใช่ผู้การค่ะ คุณต้องเรียกฉันว่า รายา  " 
         " จะไม่เป็นการสมควรมั้งครับ ถ้าใครจะได้ยิน " 
         " ผู้พันคะ.....ฉันต้องการเพื่อนสักคนนะคะ  ฉันมีลูกน้องมากมาย เป็นหมื่นๆคนแล้ว  ขอให้คุณเป็นเพื่อนฉันสักคนเถอะค่ะ  " องค์หญิงรายารับสั่งกับเขา  และส่งสายตามองมาที่เขาเหมือนจะทรงขอร้อง
         " ถ้าเป็นความประสงค์ของคุณ  ผมก็โอเคครับ รายา  " 
         " ฉันขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักครู่นะคะ  เราจะทานอาหารเช้าด้วยกันที่นี่ค่ะ " 

          เพียงชั่วโมงผ่านไป องค์หญิงรายาในเครื่องแบบนายพลตรีหญิง  เดินกลับเข้ามาในสโมสรนายทหารของกองบัญชาการ  ทหารจัดเตรียมอาหารเช้าไว้ให้แล้วสองที่ ผู้การสาวเชื้อเชิญเขาให้รับประทานอาหารเช้าร่วมกัน โดยมีผู้หมวด ราเมนยืนอยู่ไม่ห่างนัก  ผู้การสาวมีสีหน้าแจ่มใสสดชื่นถามเขายิ้มๆ ว่าเมื่อคืนเขานอนหลับสบายดีมั้ย เขาตอบว่าก็สบายดีพร้อมกับก้มศีรษะให้น้อยๆ เธอเอ่ยออกมากับเขา  ว่าที่นี่ไม่มีแอร์คอนนิชั่น เพราะอากาศที่นี่ไม่ร้อนเท่าไหร่ร้อนจัดๆ ก็ประมาณยี่สิบแปดองศาเท่านั้น  แต่ไม่ทราบว่าคนที่มาจากเมืองไทย  จะร้อนหรือเปล่า เธออยากจะต้อนรับอาคันตุกะให้ดีที่สุด  ก็เลยรู้สึกเป็นกังวล  เธอกล่าวยิ้มๆมีรอยกังวลน้อยๆบนสีหน้า
         " เมื่อเช้าตรู่นี่  คุณบอกผมเองไม่ใช่หรือว่า  เราเป็นเพื่อนกันแล้ว ทำไมตอนนี้จะมาเกรงใจและเห็นผมเป็นอาคันตุกะอีกล่ะครับ   " เขาถามและยิ้มในสีหน้าน้อยๆ
         " อืม....จริงสินะขอโทษค่ะผู้พัน  ฉันไม่มีใครเป็นเพื่อนมานานแล้ว  ก็เลยลืมน่ะค่ะ "  นายพลสาวกล่าวพร้อมกับกลั้วหัวเราะน้อยๆ ทำให้เขาเห็นรอยยิ้มที่สดใสของเธอ  จนอดที่จะเผลอจ้องมองไม่ได้
        " รายาครับ  เอ่อ....ผมขอโทษนะครับ  คุณเรียนจบทางด้านไหนมาหรือครับ "  เขาถามด้วยความรู้สึกเกรงๆ
        " ฉันเรียนทางด้านการทูต  แขนงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศน่ะค่ะ “  
        " ถึงว่าสินะครับ  คุณมีวาทศิลป์ในการเจรจาจริงๆ คุณให้ผมเป็นเพื่อน  เพราะรู้ว่าเพื่อนจะไม่มีวันทิ้งเพื่อน ใช่มั้ยครับ?  " เขาถามพร้อมกับรอยยิ้มเยือน  ในสีหน้าน้อยๆ เหมือนจะเย้านิดๆ
           ผู้การสาวรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันยังไม่ได้ใช้วิชาการอะไร กับคุณสักหน่อยเลย ฉันคิดว่าความจริงใจ  ที่เรามีให้กับทุกคนต่างหากคะ ที่จะทำให้ทุกคนก็จะให้ความจริงใจกับเราด้วย ฉันทราบอย่างหนึ่งนะคะว่าคนไทยเป็นคนที่มีไมตรีจิตโอบอ้อมอารี  ฉันมีเพื่อนเป็นคนไทยหลายคนนะคะ   และเราก็ยังติดต่อกันเสมอๆ และเพื่อนๆก็เคยมาเที่ยวที่นี่กันหลายหน  แต่ตอนนี้ฉันยังไม่ให้ใครมา ก็เพราะบ้านเมืองไม่ค่อยสงบนัก  เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย และฉันก็ไม่ค่อยมีเวลาต้อนรับด้วยน่ะค่ะ “
    เขายิ้มให้เธอบางๆในสีหน้า “ รายาครับ....ผมดีใจ  และก็ภูมิใจมากที่คุณให้เกียรติผม  ได้เป็นเพื่อนกับคุณ ผมจะช่วยคุณทุกเรื่องทุกอย่างผมสัญญานะครับ “  พันเอก ศรัณย์เอ่ยบอก  พร้อมทั้งมองหน้าผู้การสาว
          ผู้บัญชาการสาวจึงเปิดเผยความรู้สึกว่า  วันนี้เป็นวันแรก ในรอบปีที่ผ่านมา  ที่รู้สึกมีความสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วยิ้มให้เขาด้วยสีหน้าที่แจ่มใสสบายใจ  เขาจึงกล่าวเย้าขึ้นด้วยสีหน้าเรียบๆ  แต่แววตาของเขาหยอกเย้า “ เอ่อ....องค์หญิง  ที่ทรงพระสิริโฉมเมื่อคืนนี้  ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงหายไปไหนนะครับ “ 
         ผู้การสาวยิ้มกว้างขึ้นอวดฟันสวยขาว  “ อ๋อ......เธอคงจะกลับไปอยู่ในหนังสือนิทานเรื่อง   ซินเดอเรลล่าแล้วมั้งคะ หมดเวลาเมื่อเที่ยงคืนน่ะค่ะ  พอมาวันนี้ก็ต้องกลับมาในความจริง  ที่หน้าดำ คร่ำเครียด บางครั้งก็สกปรกมอมแมม มีแต่เหงื่อไคล ดินโคลน  เธอผู้นั้นก็คงอยากจะสวยงดงาม  เหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยาย  อย่างเมื่อคืนนี้ทุกๆวันน่ะค่ะ   แต่ก็เป็นแค่ในเทพนิยายเท่านั้น  ซึ่งในความเป็นจริงแล้วซินเดอเรลล่าคนเมื่อคืน   ไม่มีเจ้าชายมารับไปเลี้ยง  ให้สุขสบายหรอกค่ะ “  
          เขารีบแย้งด้วยสีหน้ายิ้มเยือน เหมือนจะเย้า “ แต่เมื่อคืนผมเห็นเจ้าชายนะครับ  ท่านทรงทอดพระเนตรมองเจ้าหญิงแสนสวยพระองค์นั้น  สายพระเนตรของเจ้าชายองค์นั้น  ทรงบอกความในพระทัยอย่างเต็มเปี่ยม  ว่าทรงกำลัง falling in love มากแค่ไหน   และในเร็ววันนี้  ก็คงจะมีข่าวดีๆ สำหรับสองเมืองมิใช่หรือครับ “
          คำกล่าวของเขา มีผลทำให้แก้มของนายพลสาวเข้มขึ้นทันที  เธอแก้ขวยโดยยกข้อมือ ขึ้นดูนาฬิกาแล้วตอบโดยไม่มองหน้าเขา
         “ ไม่หรอกค่ะ คงยังไม่มีข่าวดีแบบนั้นหรอกค่ะ ฉันยังมีภารกิจกับบ้านเมืองมากมาย  ไม่มีเวลามาคิดเรื่องส่วนตัวเลยสักครั้ง  เป็นการจับคู่แห่งความเหมาะสม  ของผู้ใหญ่มากกว่าค่ะ  และฉันก็เบื่อกับการที่มีชีวิต  อยู่โดยไม่มีอิสระแม้แต่เรื่องเดียว  ถ้าคุณเป็นฉันคุณก็จะรู้ค่ะ ว่าการที่เราต้องอยู่ในกรอบทุกอย่าง  ตั้งแต่การกิน อยู่ หลับนอน  และแม้แต่ความคิด  ก็ยังมีคนบอกว่าควรจะเป็นอย่างนั้น  ควรจะเป็นอย่างนี้  ฉันก็เลยรู้สึกอยากจะต่อต้านทุกเรื่อง  ที่คนบอกให้ฉันทำ ให้ฉันเป็น  “ เธอกล่าวกับเขาอย่างเปิดใจ พลางยิ้มน้อยๆ 
         " ความรักเกิดขึ้นจากความรู้สึกของหัวใจ  ใครจะต่อต้านความรู้สึกนั้นได้ล่ะครับ  "  ผู้พันหนุ่มกล่าวคล้ายจะเปรย
         " ฉันอาจจะโชคร้ายกว่าคนอื่นนะคะ ฉันเคยมีความรู้สึกว่ารัก  แต่ก็ถูกห้ามเพราะเขาไม่ใช่คนที่ฉันจะรักได้  ฉันโดนบงการ  แม้กระทั่งเรื่องของหัวใจ  จนทุกวันนี้ฉันก็เลยคิดว่า  ฉันจะไม่แต่งงานเสียเลยดีกว่า  ความรู้สึกเจ็บปวดในครั้งนั้นมันทำให้ฉันสงสารน้อง  ไม่อยากให้เขาต้องผิดหวัง  หรือว่าเจ็บปวดแบบฉัน เขาอ่อนแอเกินไปที่จะรับได้  "  ผู้การสาวกล่าวเป็นนัย 
         " ยอมเสียสละคนที่ตนเองรัก เพียงเพื่อที่ต้องการทำหน้าที่  เจ้าพี่ที่แสนดี  ยอมทำร้ายหัวใจตัวเอง  และทำร้ายคนที่รักคุณด้วยน่ะเหรอครับ ? "  เขากล่าวออกมาคล้ายจะถามความในใจ
          พระพักตร์ของผู้การสาวหม่นเศร้าลงนิดหนึ่ง  แต่ก็รีบกลบเกลื่อน และทำหน้าชื่นขึ้นก่อนที่จะกล่าวว่า ” ฉันไม่ได้เป็นคนดีขนาดนั้นหรอกค่ะ  เพียงแต่ชีวิตของฉัน  มอบให้กับประเทศชาติบ้านเมือง  ไปแล้วทั้งหมดค่ะ  บ้านเมืองที่ล้าหลังต้องพัฒนากันไปเรื่อยๆแบบนี้  ฉันคงไม่มีเวลามาคิดเรื่องของตัวเองหรอกค่ะ  และคุณก็กำลังเข้าใจผิดค่ะ ฉันยังไม่ได้รักใคร  และฉันก็จะไม่รักไม่แต่งงาน ทุกวันนี้ฉันก็แต่งกับงานก็ดีอยู่แล้วนี่คะ “ ผู้การสาวพูดจบพร้อมกับเสียงหัวเราะ  ขื่นๆในลำคอ
         “ ผมก็เคยพูดแบบนี้กับเพื่อนคนหนึ่ง เขาบอกกับผมว่า  ถ้าเรายังไม่พบกับคนที่เรารู้สึก  อินเลฟก็พูดได้  แต่ถ้าพบเมื่อไหร่ เราจะลืมคำพูดนี้ทันที “
         “ ก็อาจจะ....นะคะ อาจจะเป็นอย่างที่เพื่อน  คุณพูดก็ได้ค่ะ  อืม....ขอโทษนะคะผู้พัน  ฉันอาจจะพูดเรื่องส่วนตัวมากเกินไป  และคงทำให้คุณนึกรำคาญฉันแล้วสินะคะ  ความจริงแล้วฉันอยากมีเพื่อนสักคน  ที่เราสามารถจะคุยกันได้ทุกเรื่องน่ะค่ะ  ฉันก็เลยพูดเรื่อยเปื่อยไปหน่อย  เพราะที่นี่ฉันไม่มีเพื่อนสักคน “
          “ รายา....ถ้าคุณคิดว่า  ผมเป็นเพื่อนคนหนึ่งของคุณ  ผมก็อยากให้คุณระบายความในใจ  ให้ผมฟังในฐานะเพื่อน  คุณคุยกับผมได้ทุกเรื่อง  เพราะเราเป็นเพื่อนกันนี่ครับ “
         “ ขอบคุณมากค่ะ ฉันมีคุณเป็นเพื่อนค่ะ  และเราก็จะคุยกันได้ทุกเรื่อง ฉันดีใจมากค่ะ ที่มีเพื่อนในขณะที่ไม่มีเพื่อนเลยสักคน “
          เธอเริ่มพูดเป็นงานเป็นการกับเขา ว่าวันนี้จะประชุมทุกฝ่ายกันสามโมงเช้า  เธออยากให้เขาเสนอความคิดเห็นและวางนโยบายออกมาเลย  และเธอจะกล่าวสนับสนุน  เพราะเวลาที่เธอนำเรื่องปรึกษา  บรรดาเสนาบดีทั้งหลาย  เธอจะถูกขัดแย้งเสมอๆ   เธอมีความคิดว่าควรจะต้องลงพื้นที่  เพื่อกวาดล้างและทำลายแหล่งผลิตพวกนี้  ให้หมดจากพื้นที่ของสวาติติ  ไม่ใช่เพียงแต่ตั้งรับและคอยแต่เพียงผลักดัน  พวกนี้ออกไปจากดินแดนอย่างทุกวันนี้  แต่ก็มีเสียงคัดค้านเรื่องความพร้อม ความไม่พร้อม ทุกคนกลัวแต่ต้องพ่ายแพ้  แต่ก็ไม่คิดหาทางออกอะไร  ความจริงเธอก็รู้ว่ากองทัพของสวาติติ  ยังไม่พร้อม  แต่แผนที่กะไว้ในใจของเธอ  ก็คือไม่ต้องการตั้งรับอยู่อย่างนี้ นายพลสาวกล่าวด้วยสายตาที่มุ่งมั่นจริงจัง เธอต้องการแผนในเชิงรุก  และข้อเสนอแนะที่ดีๆจากเขา  และให้เขาเป็นผู้เสนอที่ในที่ประชุม 
    หมวด ราชัยเลขาของผู้การสาว  เดินเข้ามาหยุดยืนข้างๆโต๊ะอาหาร  ชิดเท้าทำความเคารพนิดหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น
           " รายา.....ทำไมวันนี้มาทานเช้าที่นี่  ไม่ทานที่ตำหนักล่ะ  "  เขาถามเสียงเข้มห้วน
    เธอขมวดคิ้วมองหน้าหมวดหนุ่มทันที " ฉันต้องการมาทานเช้ากับผู้พัน  คุณสงสัยอะไรหรือหมวด  และก็กรุณารักษาวินัยกับผู้บังคับบัญชาด้วย "  ผู้การสาวตอบเสียงเย็นสีหน้าตึงขึ้นทันที 
          " ก็ไม่ได้สงสัยอะไร  แต่ไม่น่าจะเหมาะสม ในฐานะหนึ่งที่เป็นองค์หญิงรัชทายาท ของสวาติติ  "  คำตำหนิของหมวดราชัยที่กล่าวออกมา  เรียบเย็นเช่นเดียวกับสีหน้าของเขา
          " ฉันไม่เคยถือฐานันดร  ในขณะที่แต่งชุดนายพลของสวาติติ  ถ้าฉันแบ่งแยกชนชั้น  คุณจะกล้ามาพูดแบบนี้กับฉันเหรอ  ฉันทานข้าวกับพลทหาร  ในโรงอาหารบ่อยๆทำไมหมวดไม่พูด   แต่ฉันทานเช้ากับผู้พัน  คุณมีสิทธิ์อะไรที่จะมาพูดอย่างนี้  ผู้พันเป็นเพื่อนฉันนะหมวด  และเมื่อคืนที่คุณต่อว่าฉัน  เรื่องเต้นรำก็เหมือนกัน  อย่าพูดอย่างนี้กับฉันอีก เชิญคุณไปได้  "  เสียงของผู้การสาวเข้มขึ้น  ด้วยแรงของอารมณ์ สายตาที่มองหมวดหนุ่มนั้นเย็นชา  และมีแววตำหนิอย่างรุนแรง
           หมวดหนุ่มชักสีหน้าไม่พอใจ  แต่ก็จำต้องชิดเท้าทำความเคารพ  แล้วหันหลังเดินจากไปโดยดี  ผู้การสาวนั่งนิ่งเม้มริมฝีปากเข้าหากันนิดหนึ่ง  อย่างพยายามระงับสติอารมณ์อย่างเต็มที่  สักครู่จึงกล่าวออกมาเบาๆ
            " ฉันต้องขอโทษคุณด้วยนะคะผู้พัน  ที่ทหารของฉันไม่มีมารยาท  ไม่มีระเบียบวินัย  ฉันกำลังแก้ไขนิสัยของเขา  แต่ก็ยากเย็นเหลือเกิน " 
           " ไม่ต้องเป็นกังวลหรอกครับผมเข้าใจ  ขอโทษนะครับรายา  ผมขอพูดตรงๆนะครับ คุณเป็นผู้หญิงที่สวยมากผู้ชายที่อยู่ใกล้ชิดคุณ  ก็คงต้องหวั่นไหวเป็นธรรมดา  และหมวดราชัยเป็นเลขาของคุณ  ได้ใกล้ชิดกับคุณ  ผมคิดว่าหมวดก็คงตกอยู่ในข่ายนั้น  ด้วยไม่ใช่หรือครับ "  เขากล่าวกับเธอพร้อมกับรอยยิ้มในดวงตา จนผู้การสาวหน้าเข้มแก้มเป็นสีชมพูจัดขึ้นทันที  เธอก้มหน้าเปิดสมุดในมือ  แล้วก้มหน้าลงอ่านเหมือนจะแก้เขิน  ก่อนที่จะตอบโดยไม่เงยหน้ามองเขา
           “ คงไม่ใช่อย่างที่คุณคิดทั้งหมดหรอกค่ะ ฉันและหมวดราชัยและก็หมอเลนิน เราเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็กๆน่ะค่ะ  หมวดยังคงถือสนิท  จนบางครั้งก็มากเกินกว่าที่จะรับได้เหมือนกัน  “ คำบอกเล่าของนายพลสาวทำให้เขานึกถึงสายตาของหมอเลนิน  ที่มององค์หญิงรายาเมื่อคืน  สายตาของหมอและสายตาของหมวดราชัย  ที่มองเธอมีความหมายไม่แตกต่างกันเลย  เขาแน่ใจว่าผู้ชายสองคนนี้  มีใจปฏิพัทธ์องค์หญิงเช่นเดียวกัน
           การประชุมบรรดานายทหาร  และเหล่าเสนาบดีเมือง สวาติติ  ได้เริ่มขึ้นในเวลาเก้านาฬิกาตรง เมื่อเธอเดินเข้ามาในห้องประชุม  ทุกคนในสถานที่นั้น  ต่างลุกขึ้นทำความความเคารพ  ผู้บัญชาการสาวในชุดนายทหาร เต็มยศรับการทำความเคารพด้วยการก้มศีรษะลงน้อยๆ  และเปิดประชุมโดยลุกขึ้นกล่าว
            " สวัสดีทุกๆท่าน  ข้าพเจ้าในนามของผู้บัญชาการทหาร  และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ขอเปิดการประชุมร่วมในครั้งนี้  และ   ข้าพเจ้าคงไม่ต้องกล่าวแนะนำ  พันเอกศรัณย์อีก  เพราะว่าเมื่อคืนได้กล่าวแนะนำ  ในงานเลี้ยงไปแล้ว  ข้าพเจ้าจะขอเชิญผู้พัน ศรัณย์  เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธวิธี  ที่จะใช้ในการปรับปรุงแผนการทำงาน  และการทหารบางส่วนของเรา เพื่อให้สอดคล้องกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน  ที่เรากำลังเผชิญอยู่  เชิญค่ะผู้พันศรัณย์ "  นายพลตรีหญิง รายาสวาติติ กล่าวเปิดประชุม
           เขาเดินมาที่โพเดียมโค้งคำนับ  ให้ทุกคนในที่ประชุม " สวัสดีครับทุกๆท่าน กระผมได้ศึกษาแผนที่และภูมิศาสตร์ของเมืองสวาติติ แล้วนะครับ  ก็จะขอแสดงข้อคิดเห็นสักสามข้อนะครับ  และไม่ทราบว่าทุกๆท่าน  จะเห็นด้วยมากน้อยแค่ไหน  ก็ขอให้ท้วงติงได้ครับ  คือในความเห็นของกระผม  คิดว่าภูมิประเทศแถบชายแดนของที่นี่  เป็นภูเขาและป่าทึบซึ่งการที่จะถูกแทรกแซงรุกรานทางพื้นที่  เป็นไปได้ง่ายมาก  และยากต่อการป้องกันพอสมควร  ผมขอเสนอให้มีการจัดตั้งหน่วยข่าวกรองพิเศษ  เพื่อลงพื้นที่หาข่าวที่แน่นอน  ของแหล่งที่ตั้งกองกำลัง  และฐานการผลิต เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจน  เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผน  ใช้จรยุทธ์ได้ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น   และอีกข้อหนึ่งก็คือกำลังพล  ที่ทำหน้าที่อยู่ชายแดนนั้น  ให้สับเปลี่ยนกับกำลังพลภายใน  เพื่อให้เข้ามาฝึกอาวุธ  และเพื่อให้กำลังพล  ได้ผ่อนคลายเหมือนการจัดสับเปลี่ยนกำลังกัน  และอีกอย่างหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ในขณะนี้  ก็คือภายในพระนคร ก็ต้องจัดกำลังพล  ตามจุดสำคัญๆให้เข้มข้นขึ้น  เพื่อป้องกันการก่อการร้าย  และผมคิดว่าองค์หญิงรายา  คือเป้าหมายสำคัญของพวกนี้  เพราะถ้าขาดองค์หญิงไปในขณะนี้  บ้านเมืองอาจจะระส่ำระสาย  และจะเป็นโอกาสทองของพวกนี้ทันที   จึงต้องจัดกำลังเพื่ออารักขาองค์หญิง  และภายในพระนครให้เข้มงวดมากขึ้น และข้อสุดท้ายก็คือ  เมื่อเรามีข้อมูลแน่นอนแล้ว  เราก็จะวางแผนในการใช้ยุทธศาสตร์ ที่อาจจะเปิดเกมรุก หรืออาจจะใช้วิธีกองโจรจัดการกับพวกมัน  เราคงต้องวางแผนในภายหลังอีกครั้ง เมื่อเราพร้อมแล้ว  ผมก็ขอออกความคิดเห็นเพียงเท่านี้  ก่อนครับผม "  ผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพบกไทยกล่าวนำเสนอ ข้อคิดเห็น และวิเคราะห์สถานการณ์
            เหล่านายทหารและเสนาบดี  ได้หันมาปรึกษาหารือกันทันที  สักครู่ใหญ่เมื่อเสียงต่างๆเงียบลง เสนาบดีกลาโหมลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว  "  คณะปกครองของเราคิดว่า  ที่ผู้พันกล่าวก็มีเหตุผลดี  เราทุกคนเห็นด้วย แต่อยากจะทราบว่าคุณและกองกำลังของพวกคุณ  ที่มีแค่สามกองร้อยเท่านั้น  จะช่วยเราอย่างไรได้บ้าง  " เสนาบดีเฒ่าซองปากล่าวจบ  แล้วนั่งลง  และมองหน้าเขาอย่างรอคอยคำตอบ
           " กองกำลังของผม  ถึงจะมีแค่เพียงไม่มากนัก แต่ทหารทุกนายมาจากหน่วยรบพิเศษ  ชำนาญในการรบทุกรูปแบบ เพราะผ่านการฝึก  และผ่านการทดสอบมาเป็นอย่างดี  และทุกคนที่ถูกส่งมาครั้งนี้  ก็ผ่านสมรภูมิรบในต่างประเทศมาแล้ว  ผมมีแผนในการทำงานก็คือ  ทหารของผมจะช่วยฝึกอาวุธ  ที่ทางสวาติติสั่งเข้ามา  และกำลังของผมจะเข้าร่วมผสมกับกองกำลังของสวาติติ  เพื่อร่วมในการลาดตะเวน  ทั้งชายเขตแดนและในพระนคร  ทางผมมีหน่วยหาข่าวซึ่งจะเข้าร่วมกับหน่วยข่าวของทางสวาติติ  ออกไปหาข่าวร่วมกัน  และผมกับผู้การของท่าน  และนายทหารหน่วยรบทุกท่าน จะทำงานและวางแผนร่วมกัน  โดยที่จะมีความเห็นชอบร่วมกัน  ในการตัดสินใจทุกเรื่อง  และขั้นตอนสุดท้ายก็คือการวางแผนโจมตี  ฐานที่ตั้งกองกำลังของนายพล ราเปรียง  และโรงงานผลิตทุกจุด  ที่ตั้งอยู่ในเขตแดนของสวาติติ  ให้ราบคาบ เมื่อกองกำลังของสวาติติพร้อม  "  ผู้พันศรัณย์กล่าวช้าๆ แต่หนักแน่น ผู้บัญชาการสาวมองหน้าเขา 
    เหล่านายทหาร และเสนาบดี  หันหน้าปรึกษาหารือกันอีกครั้ง  ร้อยเอกราชัย ลุกขึ้นกล่าว  ด้วยสีหน้าบ่งบอกความไม่พอใจ
           " ผู้พัน.......ผมคิดว่า  การที่คุณเข้ามากะเกณฑ์  วางแผนการอะไรต่ออะไรของสวาติตินี่  คุณกำลังดูถูกความสามารถ  ของเหล่าทหารของ สวาติตินะ  คุณน่าจะเพียงแค่เข้าร่วมรบ  กับกองกำลังของเราเท่านั้น "  ร้อยเอกราชัยลุกขึ้นกล่าว 
            ผู้พัน ศรัณย์ลุกขึ้นกล่าวอีกครั้ง  " ผมต้องขอประทานโทษทุกท่านนะครับ  ผมไม่มีเจตนาดูถูกความสามารถของทหารสวาติติ  อย่างที่บางท่านเข้าใจ  และไม่ได้คิดว่าทหารของสวาติติ  ไม่มีความสามารถ  แต่ผมต้องขอชี้แจงเจตนารมณ์นะครับว่า  ผมและเหล่าทหารภายใต้บังคับบัญชาของผมนั้น  เข้าใจดีว่า สวาติติเป็นเมืองที่เคยสงบสุขมาช้านาน  ไม่เคยทำศึกสงครามกับใคร  มีกองกำลังไว้เพียงปกป้องราชอาณาจักร  และรักษาความสงบภายในเท่านั้น  แต่ท่านต้องทราบไว้อย่างหนึ่งว่า  ขณะนี้สวาติติกำลังเผชิญหน้า  กับปัญหาที่ยิ่งใหญ่มาก  กองกำลังติดอาวุธพวกนี้  ไม่มีคุณธรรมใดๆทั้งสิ้น  จุดมุ่งหมายคือต้องการดินแดนของพวกท่าน  เป็นฐานการผลิต และเป็นเส้นทางลำเลียงยานรกเพียงสถานเดียว เพราะฉะนั้นพวกนี้จะทำทุกวิถีทาง  ที่จะต้องได้แผ่นดินของท่าน  ในเมื่อการเจรจาไม่เป็นผลก็จะใช้วิธีรุนแรงเพียงอย่างเดียว  ผู้นำของพวกท่านคิดถูกแล้ว  ที่จะต่อสู้กับพวกนี้  เพราะสวาติติไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไป  แต่ขอให้ท่านเข้าใจว่ากองกำลัง  ที่กระผมนำมานี้เป็นหน่วยรบพิเศษ  ที่เป็นมืออาชีพในการรบ  และผ่านสมรภูมิรบมาแล้วในหลายประเทศ  มีความเชี่ยวชาญในการรบ  ทั้งแบบกองโจรและจรยุทธทุกรูปแบบ  หวังว่าทุกท่านคงเข้าใจ  "  ผู้พันศรัณย์กล่าวชี้แจงอย่างมีเหตุมีผล 
    ทุกคนในที่นั้นนิ่งอึ้ง  ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน  แล้วปรึกษาหารือกันเงียบๆอีกครั้ง  ผู้การสาวมองมาที่เขาทั้งสองพยักหน้าให้กันนิดหนึ่ง เสนาบดีซองปาก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว
           " เรายินดีที่ท่านมาช่วยในการครั้งนี้   แต่เราทั้งหมดเคยคิดว่าถ้าการรบครั้งนี้สำเร็จลงแล้ว  เราอาจจะถูกรัฐบาลของท่าน  แทรกแซงทางด้านการเมือง  การทหารของเราตลอดไปหรือไม่  ถ้าภารกิจได้ลุล่วงลงแล้ว  การถอนทหารกลับออกไป  จะเกิดขึ้นช้าเร็วแค่ไหน  สิ่งที่เราไม่เห็นด้วยกับการที่ต้องขอกำลังจากต่างประเทศ  ก็เพราะสาเหตุนี้  "
           " ผมขอยืนยันและรับรอง  ด้วยเกียรติของกองทัพไทยครับ ว่าประเทศของเราไม่มีนโยบาย  ที่จะแทรกแซงการเมืองการทหารของประเทศใด  เราถูกร้องขอให้ออกไปช่วยในหลายประเทศ ทั้งร่วมรบ และทั้งช่วยฟื้นฟูพัฒนา หวังว่าท่านทั้งหลาย  คงจะได้รับข่าวสารมาบ้างว่า  ประเทศไทยได้ถูกร้องขอให้ช่วยในหลายๆประเทศ  และในหลายๆด้านมาแล้ว และเมื่อภารกิจครั้งนี้สำเร็จลุล่วงเมื่อไหร่  เราก็จะถอนกำลังกลับทันทีครับผม "  ผู้พันหนุ่มกล่าวเรียบๆแล้วกลับนั่งลง 
           ผู้บัญชาการสาวลุกขึ้นยืนกล่าวอีกครั้ง “ ถ้าพวกท่านทุกคนที่อยู่ ณ.ที่นี้เข้าใจแล้ว  เราก็จะดำเนินยุทธวิธีตามที่ผู้พันศรัณย์กล่าวมา  เราไม่มีเวลาอีกแล้ว  ที่จะหวาดระแวงต่อไป ขอย้ำว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจลงไปแล้วนั้น  ก็เพื่อ สวาติติ  และประชาชนของเราทั้งสิ้น  ถ้าทุกคนไม่มีปัญหาอะไร  ข้าพเจ้าในฐานะผู้บัญชาการ  และองค์ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งสวาติติ  ขอให้ทุกคนร่วมมือประสานงานกัน  ในครั้งนี้ด้วยความสามัคคี  ไม่แบ่งฝ่ายใด  เพื่อเห็นแก่บ้านเมืองในยามนี้ด้วย  เราทุกคนควรร่วมมือกัน  เพื่อกำจัดศัตรูของเราให้หมดไป  จากแผ่นดินของสวาติติ  ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า  ทุกท่านคงเข้าใจในเจตนาของข้าพเจ้าในครั้งนี้ด้วย ”
           ผู้การสาวกล่าวจบแล้ว  นิ่งดูปฏิกิริยาของเหล่าบรรดา  เสนาบดีเมืองอยู่ครู่หนึ่ง  ในเมื่อเห็นว่าทุกคน ไม่กล่าวโต้แย้งอะไรออกมา  ก็กล่าวปิดประชุมทันที  โดยกล่าวว่าถ้าไม่มีข้อสงสัยใดๆ  ข้าพเจ้าขอปิดประชุมวันนี้เพียงแค่นี้  และจะมีการประชุมนายทหาร  เพื่อวางแผนกันต่อไป เธอกล่าวจบก้มศีรษะน้อยๆ  ทุกคนในที่นั้นลุกขึ้นยืนก้มศีรษะทำความเคารพให้เธอทันที เหล่าเสนาบดีเดินทางกลับ 
     นายพลตรีหญิง รายาเดินลงมาและบอกให้เหล่านายทหารในห้องประชุม ให้ประชุมกันต่อเพื่อหารือวางแผนดำเนินการทันที ทุกคนหันมาทางผู้พันศรัณย์ ถามถึงแผนการต่างๆซึ่งผู้พันและนายทหารทุกคนนำแผนที่มากาง มีการฉายสไลท์แผนภูมิและเริ่มวางแผน โดยมีผู้บัญชาการสาวนั่งฟังอยู่ใกล้ๆ เธอมองผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพไทยที่ชี้แผนที่  และอธิบายถึงแผนการและยุทธวิธีต่างๆด้วยความรอบรู้  และถามเหล่านายทหาร ถึงหน้าที่ต่างๆที่ทำอยู่  และปรับเปลี่ยนการทำงานใหม่บางอย่าง  ให้อำนาจในการตัดสินใจแก่ทุกคน  และขอให้ทุกคนเสนอแนวความคิด  และถามถึงพื้นที่ที่มีกำลังพลของสวาติติตั้งอยู่  จากผู้บังคับหน่วยของแต่ละหน่วย  และขอทหารที่อาสา  จะไปเป็นหน่วยข่าวกรอง  ซึ่งต้องการคนที่ชำนาญพื้นที่ และเก่งที่จะเอาตัวรอด  ในสถานการณ์คับขัน  เมื่อผู้พันและนายทหารหน่วยต่างๆ  ร่วมปรึกษาหารือกัน  และวางแผนการต่างๆเรียบร้อยแล้ว  ผู้บัญชาการสาวจดบันทึก  ลงในสมุดที่เธอถืออยู่ประจำ
           ผู้พันศรัณย์เงยหน้าขึ้น  มองมาที่เธอเป็นระยะ เธอยิ้มให้เขาน้อยๆ และสบตากันโดยบังเอิญหลายครั้ง  จนผู้บัญชาการสาว  กลัวการบังเอิญนั้นอีก  จึงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นจากสมุดเล่มนั้น  คงก้มหน้าจดบันทึกสรุปแผนงาน จนหมวดราเมนเดินเข้ามากระซิบกระซาบกับเธอ   ผู้บัญชาการสาวลุกออกไปจากห้องนั้นไปเงียบๆ  ผู้พันศรัณย์สังเกตเห็น  แต่เขาก็ถูกซักถามถึงแผนงานต่างๆ  จากบรรดานายทหาร  ที่เข้าร่วมการประชุมจนลืมนึกถึงเธอไปสนิท
          จนเกือบจะบ่ายโมง  การประชุมวางแผนงานก็เสร็จสิ้นลง  นายทหารทั้งหมด รวมทั้งผู้พันศรัณย์  ถูกเชิญให้ร่วมรับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน  เมื่อนายทหารทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหารพร้อมกันแล้ว  ต่างก็สนทนากันในเรื่องต่างๆต่อ และเมื่อทุกคนมองไปที่หัวโต๊ะอาหาร  ที่เคยมีผู้บัญชาการนั่งอยู่  นายทหารหนุ่มผู้หนึ่ง  หันมาถามพลทหาร  ที่ยืนคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆโต๊ะ   
          " ท่านผู้การล่ะ ? " 
          " ท่านนำทหารออกไปที่หมู่บ้านเพิงคาครับผม  มีการปะทะกันเมื่อเที่ยงครับ  ท่านได้รับวิทยุขอกำลังเสริมมา  แล้วก็ขึ้นรถออกไปเลยครับ  มีทหารไปด้วยห้านาย และทหารติดตามไปอีกคันหนึ่งครับผม "  พลทหารผู้นั้นรายงาน 
    ผู้พันศรัณย์ลุกพรวดขึ้นยืนทันที  ที่ได้ยิน แล้วกล่าวออกมาอย่างตกใจ  " ทำไมผู้การรายา  ต้องออกสนามไปอย่างนี้ ท่านเป็นเป้าหมายที่สำคัญมากนะ  "
          นายทหารอีกผู้หนึ่ง  กล่าวกับผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพไทย  " ท่านออกไปจุดปะทะแทบจะทุกครั้ง  ไม่เคยมีใครห้ามท่านได้  แต่ผู้การท่านเก่งมาก  ใช้อาวุธได้ดีเยี่ยม ทุกคนก็เป็นห่วงท่าน  แต่ก็ห้ามท่านไม่ได้หรอกครับผู้พัน " 
          สีหน้าของพันเอกศรัณย์  เป็นกังวลขึ้นมาทันที เขาขอรถจิ๊ปพร้อมกับกำลังทหารจำนวนหนึ่ง  และกล่าวขอโทษทุกคน  โดยบอกกับบรรดานายทหารอย่างออกตัวว่า  เขาอยากออกไปดูเหตุการณ์  ที่เกิดขึ้นจริงๆด้วยตัวเอง  แต่ใจจริงนั้นรู้สึกเป็นห่วงนายพลสาว  ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก  เขาสั่งการและรีบลุกเดินอย่างรวดเร็ว  ออกไปที่หน้าตึกบัญชาการทันที  รถจิ๊ป ทหารจอดรออยู่  มีพลทหารพร้อมอาวุธอยู่ในรถแล้วสี่นาย จ่าสมหวังยืนรอเขาอยู่แถวนั้นพอดี และรีบวิ่งมากระโดดขึ้นรถอย่างรวดเร็วว่องไว พลขับถามก่อนที่จะออกรถว่า  เขาต้องการไปไหน  เขากล่าวถึงหมู่บ้านเพิงคา ที่มีการปะทะกัน และยังกล่าวบ่นว่า  ไม่รู้มีการปะทะกันยังไงบ้าง หนักแค่ไหน  ทำไมผู้การต้องไปเองอย่างนี้ เขาไม่เข้าใจเลยเสี่ยงเปล่าๆเสี่ยงมากด้วย  ถ้าถูกจับไปเป็นตัวประกันจะทำยังไง  ผู้พันศรัณย์กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
         พลขับรีบขับออกไปโดยเร็ว  ผู้พันศรัณย์มองพื้นที่สองข้างทาง  ที่มีแต่ต้นไม้ขึ้นหนาทึบ  และถนนลูกรังสีแดงเต็มไปด้วยฝุ่นตรลบ เมื่อรถวิ่งผ่าน แสงแดดแผดกล้าระยิบระยับ   ชั่วโมงกว่าผ่านไปเสียงปืนดังใกล้เข้ามา  ซึ่งแสดงว่าใกล้จะถึงหมู่บ้านเพิงคาแล้ว  เสียงปืนที่ดังขึ้นตลอดเวลานั้น  เขาคิดว่าการปะทะคงจะรุนแรงพอสมควร  แล้วนี่เจ้าหญิงผู้แสนสวยเมื่อคืนจะเป็นยังไงมั่งนะ  เขานั่งคิด พลขับหยุดรถทันที  และตะโกนบอกว่ามีรถจี๊ปทหารของสวาติติ จอดอยู่ข้างหน้าคงเป็นรถคันที่นายพลสาวใจเด็ด  โดยสารมาเป็นแน่  ทั้งหมดกระโดดลงจากรถ  แล้วซุ่มดูเหตุการณ์  พันเอกศรัณย์ทำสัญญาณ  และค่อยๆวิ่งเข้าไปอย่างเงียบเชียบ เร้นกายไปตามต้นไม้ใหญ่ แล้วค่อยๆย่ำเท้าไปเรื่อยๆ จนเกือบถึงหมู่บ้านเพิงคา ศพทหารของสาวติติสองศพ  ถูกยิงตายนอนอยู่ใกล้กัน เมื่อเกือบจะถึงทางเข้าหมู่บ้าน  ทุกคนนอนราบลงกับพื้นเมื่อเห็นทหารป่าในชุดดำ  กำลังระดมยิงไปที่หลังหมู่บ้าน  ส่วนที่กลางหมู่บ้านนั้นมีศพชาวบ้าน  นอนตายอยู่อย่างเกลื่อนกลาด  รวมทั้งศพของทหารของสวาติติ อีกหลายศพ เขาเพ่งมองไปที่ศพของทหาร  พร้อมทั้งภาวนาในใจ  ขออย่าให้เป็นท่านนายพลคนสวยเลย
          “ จ่าหวัง.......ยิงคุ้มกันไว้นะ  ฉันจะอ้อมไปทางด้านหลัง ดูสิว่าผู้การอยู่ทางนั้นหรือเปล่า พวกมันยังไม่เห็นพวกเรา “ เขาสั่งจ่าสมหวังและนำพลทหารของ สวาติติ ไปด้วยหนึ่งนาย  อีกสี่นายให้อยู่กับจ่าหวัง 
            ผู้พันศรัณย์  และพลทหารของสวาติติ  พยายามหลีกเร้นกายไปตามต้นไม้ใหญ่  จนไปถึงบ้านหลังเล็กๆของชาวบ้าน  และค่อยๆแฝงกายไปตามฝาบ้าน  ไก่ที่หนีไปอยู่บนต้นไม้  ตกใจบินเสียงดังพรึ่บพรั่บขึ้นพร้อมกัน  เขารีบนอนราบลงกับพื้นทันที  เสียงปืนระดมยิงมาตรงที่เขา  ราวกับห่าฝน ทหารของสวาติติที่ยังเหลืออยู่ทางด้านซ้าย ก็ยิงปะทะออกมาอีก  เมื่อเห็นว่ามีกองกำลังเสริมมาช่วย  เขาและพลทหารที่ติดตามมารีบคลานไปกับพื้นเพื่อหาที่หลบ มีศพของทหารสวาติติ  นอนตายเกลื่อนอีกหลายนาย เขายิ่งเพิ่มความเป็นห่วง  ผู้การสาวมากขึ้น เสียงรองเท้าทหารวิ่งตรงมาที่เขาซ่อนตัวอยู่  ผู้พันมองออกไปพร้อมกับยิงทันที  ทหารป่าถูกกระสุนปืนล้มลงเป็นใบไม้ร่วง  เขารีบวิ่งต่อไปเหล่าทหารป่าวิ่งเข้ามาอีก  พลทหารที่มากับเขายิงเข้าใส่ปะทะ  เสียงปืนจากฝ่ายของจ่าหวัง  ยิงล้อมหลังเข้ามา ทหารป่าอีกกลุ่มยิงต่อสู้กับทหารที่เขานำมา เขาวิ่งไปแอบที่เนินหินหลังหมู่บ้าน  และก็พบกับผู้การสาว ที่หลบซ่อนตัวอยู่เพียงลำพัง  เธอตกใจเสียงของเขา และพยายามยกปืนขึ้น  แต่ก็ไม่อาจทำได้ 
         " รายา.......คุณเป็นยังไงบ้าง ? "  เขารีบวิ่งตรงเข้าไปที่เธอ
         " ฉันถูกยิงค่ะแต่คงแค่ถาก  พวกเราเป็นยังไงบ้าง ? "  เธอถามและนิ่วหน้านิดหนึ่ง อย่างรู้สึกเจ็บปวด ใช้มือจับหัวไหล่ที่โดนยิงของตนเองไว้แน่น  เลือดไหลออกมาตามง่ามนิ้วของเธอเป็นสาย 
         " ผมยังไม่เจอใครเลย มีแต่ศพทหารของสวาติติ และชาวบ้าน คงมีทหารของสวาติติ  ที่ยังพอมีอยู่ไม่กี่นาย ผมเห็นยิงออกมาปะทะกันอยู่ตอนที่ผมเข้ามา ศพพวกมันคงถูกลากไปหมดน่ะ ตอนนี้พวกมันคงมีกันมาก เราต้องรีบไปอยู่ตรงนี้ไม่ได้  กำลังเราน้อยผมมาเพียงหกนายเท่านั้น  รวมทั้งผมด้วย พวกนั้นคงต้องตรึงข้างนอกไว้  เราต้องรีบไปจากตรงนี้นะครับ "  เขาประคองเธอซึ่งมีเลือดไหลลงมาจากหัวไหล่ซ้าย 
         " ไปค่ะ....เราต้องไปทางนี้ค่ะ โชคดีเราอาจจะเจอหน่วยลาดตะเวน  ของเราอีกหน่วยหนึ่งซึ่งอยู่ข้างหน้า อีกราวสองกิโล เรามีแค้มป์อยู่ที่นั่นค่ะ "  ผู้การสาวบอกทาง
         " เลือดคุณออกมากนะ ให้ผมห้ามเลือดให้ก่อนดีกว่านะครับ ? "  ผู้พันศรัณย์ถาม
         " เราไปจากตรงนี้ก่อนดีกว่าค่ะ " ผู้การสาวรีบออกเดินใช้มือกุมหัวไหล่ไว้  พันเอกศรัณย์รีบเข้าประคองเธอทันทีแล้วพาเธอออกเดิน
          เขาสั่งพลทหารของสวาติติที่ตามมา " ทหารยิงคุ้มกันไว้นะ ผมจะพาผู้การไปก่อน " เสียงปืนของทหารป่า และจากหน่วยที่มากับเขายิงต่อสู้กัน มีพลทหารของสวาติติผู้ที่ตามมาระวังหลังที่เหลืออยู่เพียงนายเดียว มีเสียงปืนไล่หลังมาแสดงว่ามีทหารป่าของนายพล ราเปรียง ตามมาอีก
          เกือบครึ่งชั่วโมงพวกทหารป่าห้าคนตามมาทัน และเขาคิดว่าคงไม่ทันแน่ ถ้าจะต้องพาผู้การสาววิ่งต่อไปในขณะนี้  พันเอกศรัณย์ประคองเธอให้นอนลง ส่วนเขาและพลทหารผู้นั้นแอบอยู่บนเนินดิน  แล้วยิงต่อสู้กับพวกทหารป่าพวกนั้นทันที ผู้พันศรัณย์ยิงล้มไปได้สามคน  แต่พลทหารของสวาติติ  ที่มาด้วยลุกขึ้นยิงพวกทหารป่า แต่ถูกยิงล้มคว่ำลงและเสียชีวิตทันที  เหลือทหารป่าอีกสองคนที่ยังตามมา ผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพบกไทย  แอบซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบ  พวกนั้นเข้าใจว่าทุกคน  คงตายหมดแล้ว  จึงเดินเข้ามาเพื่อสำรวจ  จึงถูกผู้พันศรัณย์ส่องร่วงไปหนึ่ง  และปืนสั้นของผู้การสาวซึ่งกัดฟันยิงไปอีกหนึ่ง เขารีบวิ่งกลับไปที่ผู้การสาว  ที่ยังนอนถือปืนสั้นเอาไว้
           เขาวิ่งกลับมาที่เธอ และมองเลือดที่ไหลปรี่  ลงมาจากไหล่ของเธอจนชุ่มเสื้อ “ รายา...เลือดคุณออกมาก ขอโทษนะครับผมจะห้ามเลือดให้ “ เขาดึงผ้าพันคอสีดำที่พันคอออกมา  แล้วดึงซิปที่เสื้อทหารตัวนอกของเธอลงนิดหนึ่ง และเปิดเสื้อของผู้การสาวออกเขาเห็นเสื้อยืดขาวตัวในชุ่มโชกเลือด จึงใช้มีดกรีดเสื้อยืดตรงหัวไหล่ของเธอออก เขารีบใช้ผ้าพันคอ รัดแผลที่หัวไหล่ไว้และผูกจนแน่นพลางกล่าวกับเธอ
         ” เลือดคุณออกมาก  จนมองไม่ออกว่าเพียงถาก หรือมีกระสุนฝังในอยู่ “ เขามองหน้าหญิงสาว  ที่กัดฟันไว้แน่น สีหน้าบ่งบอก  ถึงการเจ็บปวดแต่ไม่ปริปากร้อง “ คุณทนไหวมั้ย เราพักสักครู่ก็แล้วกันนะ “ เขากล่าวแล้วประคองเธอให้นั่งลง เธอหลับตาและเงียบลงเอนศีรษะพิงไหล่เขาไว้ เขามองใบหน้าสวย  ที่หลับตาพริ้มอยู่กับไหล่เขา  ในใจเขานั้นแสนสงสารในความเจ็บปวดของเธอ 
          เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง แสงอาทิตย์เริ่มจะลับขอบฟ้าลงแล้ว อากาศรอบตัวเย็นลงและเริ่มจะขมุกขมัว ผู้การรายาเริ่มรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น " เราออกเดินทางกันเถอะค่ะผู้พัน "  เธอกล่าวกับเขาเสียงสั่นพร่า
         " ก็ได้ครับถ้าคุณไปไหว " 
         " ไหวค่ะ "  เธอฝืนใจตอบทั้งที่ใจสั่นระริกจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ เธอก้าวออกเดินโดยมีผู้พันเข้าประคอง แต่สติของผู้การสาวดับวูบลง ผู้พันศรัณย์รู้สึกว่าผู้การสาว  ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดมาที่เขา เขามองใบหน้าเธอก็รู้ว่าเธอหมดสติไปแล้ว เขารีบวางเธอลง  และประคองเธอไว้ในอ้อมแขน จับชีพจรที่คอของเธอก็รู้ว่าเธอเพียงแค่หมดสติ
         " รายา......รายา......คุณเป็นยังไงบ้าง  บอกผมสิ พูดกับผมสิรายา  "  เขาประคอง ใบหน้าสวยๆของเธอ เขย่าเบาๆ แต่ผู้การสาวนิ่งเงียบ  ทำให้ผู้พันหนุ่มเริ่มใจคอไม่ดี  เลือดของเธอยังไหลรินออกมาตลอดเวลา 
           เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมง  ที่ผู้การสาวสลบแน่นิ่งไป  เขาจับเธอให้พิงไหล่ของเขาไว้  ส่วนตัวเองยังคงนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ แสงจันทร์ข้างขึ้นทอแสงนวล  รอดใบไม้ที่หนาทึบส่องลงมา  จนเห็นใบหน้าสวยซึ้งของเธอ  ผู้พันหนุ่มจับประคองใบหน้านั้นแล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
         " รายา  ทำไมคุณถึงได้ใจเด็ดเดี่ยวอย่างนี้ คุณอย่าเป็นอะไรนะรายา ผมอยากจะให้คุณรออยู่ที่นี่  แล้วออกไปหาใครมาช่วย แต่ก็ไม่กล้าทิ้งคุณไว้ตามลำพัง  ผมจะทำยังไงดีเลือดคุณออกมาเหลือเกิน " เขาเขย่าร่างเธออีกครั้ง จนเธอเริ่มรู้สึกตัวลืมตาขึ้นอีกครั้ง  เธอยกมือขึ้นสัมผัสแก้มเขาเบาๆ
        " ผู้พัน.......ช่วยพาฉัน  ออกไปจากที่นี่   ได้มั้ย  เราอยู่....แบบนี้.. ไม่ได้  ช่วย....พาฉัน.......ออกไป " เธอกล่าว แล้วกัดฟันสีหน้าของเธอแสดงความเจ็บปวด  เสียงพูดกระท่อน  กระแท่นขาดเป็นห้วงๆ 
         " ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด  คุณหมายความว่ายังไงรายา  บอกให้ผมเข้าใจหน่อยได้มั้ย   แล้วคุณจะเดินไหวเหรอ ? "  เขาประคองเธอให้ลุกขึ้น  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×