คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : องค์หญิงแห่งสวาติติ (รีไรท์)
ตอนที่ 2 องค์หญิงแห่งสวาติติ
ในพระบรมมหาราชวังก็กำลังวุ่นวายในการจัดการแต่งพระองค์ให้กับองค์หญิง เตรานี พระธิดาองค์เล็กของสมเด็จเจ้าหลวงนาดิฟกับพระชายา อองสา องค์หญิงพระองค์เล็กทรงทำพระพักตร์บึ้งตึงรับสั่งบ่นพวกข้าหลวงด้วยทรงต้องการให้ฉลององค์นั้นรัดรูปกว่านี้ รับสั่งติว่าหลวมและไม่ทรงโปรด และทรงต้องการให้ช่างแต่งพระพักตร์แต่งถวายให้เข้มกว่านี้พร้อมทั้งทรงติว่าแต่งถวายให้จืดชืด ทรงขว้างฉลององค์ให้ข้าหลวงนำไปแก้ไขมาใหม่ สีพระพักตร์บึ้งตึงไม่พอพระทัย สุรเสียงเกรี้ยวกราด ข้าหลวงรีบงันงกหยิบฉลององค์ออกไปให้ช่างแก้ไข ช่างแต่งพระพักตร์รนลานแต่งเติมให้ใหม่ทันที เธอผู้นั้นคิดในใจว่าพระพักตร์ก็ทรงสิริโฉมคมเข้ม พระวรกายก็ทรงงดงามทุกสัดส่วน แต่ทรงเจ้ายศเจ้าอย่างนักจะทรงแต่งจนเป็นนางละครเลยหรือไงกันยังทรงพระเยาว์อยู่แท้ๆ พระชันษายังไม่ถึงยี่สิบเลยด้วยซ้ำ
พระชายาหม่อมอองสาดำเนินเข้ามาในห้องแต่งพระองค์เมื่อทรงได้ยินสุรเสียงเกรี้ยวกราดของพระธิดา แล้วรับสั่งขึ้นเมื่อทอดพระเนตรมองเห็นเจ้าหญิงเตรานี ในกระจก " งามเหลือเกินแล้วลูก พักตร์ของหญิงงามมากจ๊ะแม่ว่าดีแล้วนะจ๊ะถ้าเข้มไปกว่านี้จะทำให้พระพักตร์ไม่หวานนะจ๊ะ " พระชายาอองสาพระมารดารับสั่งออกมาอย่างทรงชื่นชม และติงในตอนท้ายอย่างรู้ในพระอารมณ์ของพระธิดาดี
" งามแล้วจริงหรือเพคะท่านแม่ หญิงรู้สึกว่าจะอ่อนไปเพคะ " รับสั่งถามพระมารดา แล้วแย้มสรวลทอดพระเนตรมองกระจก
" ดีแล้วลูก ลูกของแม่งามมากเลยลูก วันนี้เสด็จพระองค์ชายได้ทรงทอดเนตรเห็นลูกของแม่ พระองค์ท่านต้องทรงตกตะลึงในสิริโฉมของลูกแน่จ๊ะเชื่อแม่สิ " พระมารดารับสั่งอย่างทรงรู้พระทัย
ทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรพระมารดาด้วยรอยสรวลทันที เพียงแวบเดียวเท่านั้นสีพระพักตร์ก็ทรงสลดวูบลง " ท่านแม่เพคะ.....ถึงเจ้าพี่อิงภูจะทรงตะลึงหรือทรงต้องพระหทัยในตัวลูกยังไง ก็คงไม่มีความหมายอะไรหรอกเพคะ เพราะยังไงเจ้าพี่ก็คงต้องอภิเษกสมรสกับเจ้าพี่หญิงอยู่ดี "
“ อย่ารับสั่งแบบนี้นะลูกหญิง แล้วก็อย่าทำพักตร์เศร้าอย่างนี้สิจ๊ะไม่งามเลย อะไรๆก็ไม่แน่นอนหรอกจ๊ะ หญิงก็ต้องทำความสนิทสนมกับเจ้าพี่ไว้ให้มากๆ ถ้าพระองค์ชายทรงต้องพระหทัยในตัวลูกละก็ พระองค์ท่านก็จะทรงหันมาสนพระทัยลูกหญิงเองแหละจ๊ะ เพราะพระองค์หญิงรายาก็ทรงบ่ายเบี่ยงไม่ยอมรับการทาบทามสู่ขอของพระองค์ท่านอยู่แล้ว ทัยเย็นๆนะลูก ลูกอาจจะได้เป็นพระชายาของแคว้นไพลินยาก็ได้นะ “ พระชายาอองสารับสั่งเหมือนจะทรงให้กำลังพระทัย แย้มสรวลน้อยๆกับพระธิดา
“ จริงหรือเพคะท่านแม่ที่เจ้าพี่อิงภูจะหันมาสนพระทัยลูก ก็ขนาดเจ้าพี่หญิงทรงบ่ายเบี่ยงแต่เจ้าพี่ภูก็ยังทรงมีความหวังเพราะพี่หญิงยังไม่ทรงอภิเษกกับผู้ใด และถึงยังไงเจ้าพี่อิงภูก็ยังทรงโปรดพี่หญิงอยู่ดี ท่านไม่เคยทอดสายพระเนตรมองลูกเลยสักครั้งนะเพคะ “ เจ้าหญิงเตรานีรับสั่งด้วยพระพักตร์หม่นหมอง
" ทำพระทัยเย็นๆสิจ๊ะลูกหญิง เรื่องความพอพระหฤทัยของพระองค์ชายต้องใช้เวลาบ้างนะลูก ที่เสด็จพระองค์หญิงไม่ทรงยอมอภิเษกด้วยก็อาจจะเพราะทรงรู้ว่าน้องหญิงของพระองค์ทรงมีพระทัยปฏิพัทธ์เสด็จพระองค์ชายก็เป็นได้นะลูก ท่านทรงเป็นเจ้าพี่ที่ทรงประเสริฐมากนะลูกนะ ทรงมีพระเมตตากับทุกคน แม้แต่กับแม่เองพระองค์ท่านก็ยังทรงให้ความเคารพเสมอแม่เป็นพระมารดา ทั้งที่แม่ยังไม่ได้อิสริยยศใดๆจากเสด็จพ่อของลูกเลย " พระชายาอองสารับสั่งเทิดทูนองค์หญิงรายากับพระธิดา
ส่วนที่ห้องแต่งพระองค์ขององค์หญิงรายา ก็กำลังวุ่นวายเช่นกันช่างแต่งพระพักตร์มีท่าทางท้อน้อย และจำต้องกราบทูลเบาๆ “ ทรงเงยพักตร์ขึ้นนิดนะเพคะ อีกนิดเดียวเองเพคะฝ่าบาท " ช่างแต่งพระพักตร์ กราบทูลท้วงเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็จำไม่ได้เพราะพระองค์หญิง ทรงก้มพระพักตร์ทรงอักษรหนังสือในพระหัตถ์อยู่อย่างสนพระทัย
“ จ๊ะๆ ....ใกล้จะเสร็จหรือยังจ๊ะ ฉันเมื่อยแล้วนะนี่ แล้วก็อย่าแต่งให้ฉันเข้มเหมือนนางละครนะฉันไม่ชอบ “ ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรมองพระองค์เองในกระจกเงา แล้วตรัสรับสั่งกับช่าง ช่างทาลิปสติคแต่งริมพระโอษฐ์ถวายเสร็จเรียบร้อยพอดีแล้วกราบทูลด้วยสายตาชื่นชม
“ ฝ่าพระบาททรงพระสิริโฉมเหลือเกินเพคะ พระพักตร์ทรงใสเนียนมาก พระเนตรก็ทรงคมซึ้งหวานมากเหลือเกินเพคะ ใครต่อใครเห็นฝ่าบาทในวันนี้รับรองว่าต้องตกตะลึงในพระสิริโฉมแน่เลยเพคะ “
" ขอบใจจ๊ะที่ชม.....แต่ฉันมองตัวเองแล้วเหมือนไม่ใช่หน้าของฉันเลยนะนี่ รู้สึกแก้มแดงเข้มไปมั้งจ๊ะ " รับสั่งเมื่อทอดพระเนตรในกระจกเงา พลางใช้พระหัตถ์ทรงแตะพระปรางสีพระพักตร์กังวลน้อยๆ
" ไม่แดงหรอกเพคะสีชมพูกุหลาบหวานเพคะแล้วก็เป็นงานกลางคืนนะเพคะต้องให้เข้มสักนิดไม่งั้นพอเข้าแสงไฟแล้วจะดูจืดนะเพคะ และก็เป็นเพราะทุกวันฝ่าบาทไม่ทรงที่จะแต่งพระพักตร์เลยนี่เพคะ พอทรงแต่งก็เลยทรงรู้สึกว่าเข้มเพคะ " ช่างกราบทูลยิ้มๆ
" ให้ฉันแต่งหน้า ทาปาก แล้วแต่งเครื่องแบบทหารน่ะรึ คงจะแปลกพิลึกเชียวละทหารแก้มแดงปากแดงน่ะมีที่ไหนล่ะจ๊ะ " องค์หญิงรับสั่งแล้วแย้มสรวลน้อยๆ
" ไม่ทรงแปลกหรอกเพคะ ฝ่าพระบาทจะได้ทรงเป็นนายทหารหญิงที่สวยที่สุดในโลกไงเพคะ " ช่างแต่งพระพักตร์กราบทูลกับพระองค์หญิงอย่างขำๆเช่นกัน
" ไม่ละจ๊ะ... แค่นี้ทหารที่มาจากเมืองไทยเห็นฉันเป็นผู้บัญชาการทหาร เขาก็นิ่งอึ้งจนพูดไม่ออกอยู่แล้ว ถ้าขืนฉันแต่งหน้าทาปากด้วยเขาคงถอนกำลังกลับเมืองแน่เลยจ๊ะ " พระองค์หญิงรับสั่งแล้วสรวลน้อยๆ ก้มพระพักตร์ทรงอักษร หนังสือที่ทรงถืออยู่อีกครั้ง
เมื่อทรงพระภูษาและฉลองพระองค์เรียบร้อยแล้วทรงประทับยืนอยู่หน้ากระจกเงาบานสูงรับสั่งกับพระพี่เลี้ยงปารอง และช่างแต่งพระองค์ว่าทรงทอดพระเนตรมองพระองค์เองในกระจกแล้ว ทรงเห็นคนในกระจกเหมือนคนแปลกหน้าเหมือนไม่ใช่ตัวตนของพระองค์เองเลย ทรงหมุนองค์แล้วรับสั่งว่าท่านไม่ทรงเหมาะกับเครื่องทรงสวยๆแบบนี้ ไม่เหมือนองค์หญิงเตรานีที่ทรงแต่งอะไรก็ดูสวยน่ารักไปหมด รับสั่งคล้ายทรงปรารภช่างแต่งพระองค์รีบกราบทูลว่า
“ไม่จริงเพคะฝ่าบาท หม่อมฉันขอกราบทูลตามตรงในฐานะที่เป็นช่างนะเพคะ ว่าพระองค์ทรงพระสิริโฉมแบบทรงงามสง่า แต่พระองค์หญิงเตรานี ทรงพระสิริโฉมน่ารักแบบเด็กสาวที่ยังไม่ทรงสง่างามเพคะ พระองค์หญิงทรงมีพระพักตร์ที่ทรงสิริโฉมหวานซึ้งกว่า และทรงมีพระอิริยาบถสง่างามทั้งพระวรกาย ไม่ว่าจะทรงแต่งเครื่องแบบหรือว่าแต่งแบบไหนเพคะ “ ช่างแต่งพระพักตร์ กราบทูลตามความคิดของตนเอง
ทรงส่ายพระพักตร์น้อยๆแล้วแย้มสรวลให้ช่าง “ ฉันจะลอยแล้วจ๊ะ..ก็คงจะขอสวยเพียงนานๆครั้งเท่านั้นไม่มีโอกาสแบบนี้บ่อยๆหรอกจ๊ะเมืองเราไม่ค่อยได้จัดงานจัดการต้อนรับใครเป็นทางการนัก “
พระพี่เลี้ยงปารองเดินเข้ามาโอบกอดพระองค์ไว้แล้วกราบทูลกล่าวเบาๆ " ฝ่าบาทของปารองช่างทรงพระสิริโฉม งามสง่าสมกับเป็นกษัตริยาเพคะ " พระพี่เลี้ยงปารองกล่าวแล้วมองทั่วพระวรกาย แล้วยิ้มน้อยๆอย่างมีความสุข
เกือบจะหนึ่งทุ่มตรง พันเอก ศรัณย์แต่งกายเรียบร้อยในชุดนายทหารสีขาวประดับยศ นั่งรอหมวด ราเมนอยู่ที่เก้าอี้รับแขกในห้องพัก จ่าสมหวังเดินถือรองเท้าที่ขัดจนมันวับมาวางให้ แล้วกล่าวกับเจ้านายอย่างหยอกเย้าว่านานๆ จะเห็นผู้พันแต่งชุดเต็มยศสีขาวนี่สักที เท่ แล้วก็หล่อมากเลย เขากล่าวขอบใจจ่าหวังที่ชมและกล่าวว่าดีนะที่ผู้บัญชาการให้นำเครื่องแบบขาวเต็มยศนี้ติดมาด้วย ความจริงแล้วไม่คิดที่จะเอามา แต่ผู้บัญชาการท่านสั่งให้เอามาเผื่อจะมีงานเลี้ยงรับรองอะไรหรืออาจจะต้องเข้าเฝ้า ต้องแต่งให้สมเกียรติของทหารไทยเพราะเราเป็นอาคันตุกะต้องให้เกียรติเจ้าของนครเขาด้วย จ่าสมหวังเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัยใคร่รู้ ยิ้มอย่างประจบน้อยๆว่าเขาได้ยินมาว่าผู้บัญชาการที่นี่เป็นผู้หญิงจริงหรือเปล่า ผู้พันศรัณย์กล่าวตอบลูกน้องว่าจริงวันนี้ได้พบมาแล้ว เขาตอบจ่าเรียบๆแต่อมยิ้มอยู่ในสีหน้า จ่าหวังถามผู้พันว่าแก่มากมั้ย คงจะแก่เจ้าระเบียบขี้บ่นพูดมากด้วยใช่มั้ย จ่าสมหวังถามแล้วทำท่าคอย่นประกอบท่าทางทะเล้นของเขา ผู้พันหนุ่มตอบด้วยสีหน้ายิ้มๆว่า ที่ไหนได้ล่ะทั้งสาวทั้งสวยอายุสักยี่สิบต้นๆเท่านั้น และยังบอกลูกน้องอีกว่า เห็นแล้วตกตะลึงพูดไม่ออกไปตั้งนานและเธอก็คงรู้ว่าเขาตกตะลึง และกล่าวอย่างชื่นชมให้ลูกน้องฟังว่าท่าทางของผู้บัญชาการที่นี่เป็นผู้หญิงเก่ง คล่องแคล่ว รอบรู้ สวยสง่าซึ่งทำให้เขาทึ่งในตัวเธอจริงๆ
" เจ้านายของไอ้หวังก็คงมีกำลังใจที่จะอยู่เมืองนี้อีกนานเลยนะครับ ที่ได้ทำงานร่วมกับผู้บัญชาการสาวๆสวยๆอย่างนี้น่ะ " จ่าสมหวังกล่าวเย้าเจ้านายด้วยสีหน้าทะเล้นทะลึ่งตามแบบฉบับ
" ทะลึ่งแล้วจ่า ท่านน่ะยศนายพลนะแล้วที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านใช่เมืองเรา ขืนไปทำอะไรรุ่มร่ามอาจจะไม่ได้กลับเมืองไทยแบบครบอาการสามสิบสองน่ะสิ "
" เจ้านายก็ ที่เมืองไทยก็สาวๆติดกันตรึมก็ไม่เห็นจะรักจะชอบใครเป็นตัวเป็นตนสักคน มาที่นี่หาเมียนายพลพากลับไปเมืองไทยก็คงจะดีนะครับ ผู้คนเมืองเราจะได้ตะลึงกันทั้งประเทศ "
" เพ้อเจ้ออีกแล้วจ่าหวัง เลิกพูด ๆหน้าต่างมีหูประตูมีช่องนะจ่า ต้องระวังคำพูดให้มากๆสักหน่อยด้วยท่านผู้บัญชาการยิ่งกำชับเรื่องระเบียบวินัยของทหารกับฉันก่อนมาด้วยนะ เพราะที่นี่เขาเป้นเมืองที่มีจารีตประเพณีที่เราก็ยังไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก " ผู้พูดส่ายหน้าน้อยๆหัวเราะในลำคออย่างขำๆในคำพูดของลูกน้องและปรามสำทับทิ้งท้ายไปด้วย
ก่อนที่ทั้งสองจะกล่าวอะไรออกมาอีก เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นจ่าสมหวังรีบเดินไปเปิดประตู ผู้หมวดราเมนเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มก่อนที่จะชิดเท้าทำความเคารพแล้วกล่าวเชื้อเชิญ " เชิญครับท่านจวนจะได้เวลาแล้วครับ "
พันเอกศรัณย์และผู้หมวดราเมนเดินทางด้วยรถยนต์ที่มีพลขับขับพามา เมื่อถึงหน้าตึกใหญ่ที่ก่อสร้างด้วยศิลปะแบบยุโรปซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่บนเนื้อที่กว้างขวางกะประมาณด้วยสายตาหลายร้อยไร่ และอาคารนี้ได้ตกแต่งผสมผสานศิลปตะวันออกกับศิลปะตะวันตกได้อย่างลงตัวกลมกลืน อ่างน้ำพุสีขาวใบใหญ่กลางสนามหญ้าเขียวขจีหน้าอาคารทำให้สถานที่แห่งนั้นมีบรรยากาศเหมือนอยู่ในยุโรปและโรแมนติคมากขึ้น ยามที่ละอองน้ำกระทบกับแสงไฟหลากสีที่สาดส่องขึ้นมาจากรอบๆฐานของน้ำพุทำให้เขารู้สึกเย็นฉ่ำชื่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด เสาหินแบบโรมันที่หน้าตึกโบราณแห่งนั้นใหญ่โตขนาดสองคนโอบ มีลวดลายปูนปั้นเป็นใบไม้ห้อยระย้าอ่อนช้อยงดงามจากด้านบนลงมา รูปปั้นหญิงชายเปลือยตั้งเรียงรายเป็นระยะงดงามคลาสสิค ทำให้เขารู้สึกทึ่งในความงดงามของนครเล็กๆที่ค่อนข้างลึกลับนี้อย่างมาก หมวดชรานำเขาเดินขึ้นบันไดหลายสิบจากด้านหน้าตึกเข้ามาถึงภายในตึกทาร์มารา ก็ถึงห้องโถงที่กว้างใหญ่จุคนได้หลายร้อยคนโดยประมาณ มีเหล่าข้าราชการ บรรดานายทหาร และพระบรมวงศ์สานุวงศ์ทั้งหญิงชายที่ยืนอยู่ในห้องนั้นและบางคนก็พากันทยอยเดินทางเข้ามาถึงมีจำนวนอยู่มากแล้ว ทุกคนในที่นั้นแต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามและดูเหมือนจะแยกกันตามฐานะอาชีพของแต่ละคน ต่างคนต่างจับเป็นกลุ่มคุยกันเงียบๆและเหมือนกำลังรอคอย หมวดราเมนพาเขาเดินเข้าไปภายในและยืนอยู่เป็นเพื่อนเขา ซึ่งเหล่าบุคคลภายในห้องนั้นต่างก็จับจ้องมองมาที่เขาและพูดคุยกันเบาๆ
เขาสังเกตว่าห้องโถงที่ใหญ่โตโอฬารนั้นภายในตกแต่งด้วยศิลปะแบบยุโรปโบราณสวยงามเกินพรรณนา ทุกอย่างตั้งแต่เพดานที่สูงโค้งแขวนดวงไฟเจียระไนช่อใหญ่มโหฬารส่งแสงสว่างสีส้มสว่างมลังเมลือง ทำให้บรรยากาศในห้องนั้นหรูหราอลังการ ช่อดอกไม้ที่จัดแต่งไว้ที่มุมบันไดทั้งสองข้างสวยงามอ่อนช้อย เขาชำเลืองมองไปรอบๆห้องนั้นอย่างรู้สึกตื่นตาในความงดงาม เพียงครู่ทุกคนที่ยืนอยู่ในห้องโถงนั้นก็พายืนนิ่งสงบและเดินมาเหมือนจะจัดแถวทันที เมื่อมีบุรุษผู้หนึ่งก้าวขึ้นบันไดเข้ามาภายในห้องโถงนั้น มีทหารองครักษ์เดินตามมาด้วยสองนาย และทุกคนในแถวที่ตั้งรับนั้นต่างทำความเคารพเมื่อชายหนุ่มผู้นั้นเดินผ่าน ซึ่งเขาก็ทำตามทุกคนในที่นั้นด้วย เขาสังเกตว่าชายผู้นั้นแต่งกายเหมือนเจ้านายชั้นสูงด้วยเสื้อคอตั้งแขนยาวสีน้ำเงินเข้ม กางเกงขายาวสีขาว เหรียญตราที่ประดับที่อกด้านซ้าย และสร้อยสังวาลที่ห้อยดาวแปดแฉกประดับเพชรส่งประกายแสงวาบเหมือนเป็นตราสัญลักษณ์ประจำตัว
หมวดราเมนกระซิบบอกเขา “ องค์รัชทายาทเมืองไพลินยาครับผู้พัน ทรงเป็นคู่หมายของพระองค์หญิงรายาแต่ยังไม่เป็นทางการครับ “
เขาลอบสังเกตองค์รัชทายาทองค์นั้นและเห็นว่า ทรงเป็นบุรุษที่คงจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เขาลอบมองพระพักตร์ใสขาวอมชมพูเรียบเนียน ริมฝีปากสีชมพูเข้มตามธรรมชาติหยักสวย มีไรพระมัสสุเขียวๆอยู่เหนือริมพระโอษฐ์ดวงพระเนตรสีน้ำตาลอ่อนคมวาว พระวรกายสูงสง่าพระฉวีขาวจนเป็นสีชมพู เขาลงความเห็นในใจว่าทรงเป็นบุรุษเพศที่เรียกได้ว่าอย่างธรรมดาสามัญว่าหล่อมากทีเดียว ก่อนที่เขาจะนึกอะไรต่อไปอีก เสียงของทหารฝ่ายพระราชพิธีก็ดังขึ้น
“ องค์หญิงรายาเสด็จ “
ทุกคนในที่นั้นซึ่งเขาเห็นว่าได้เงยหน้าขึ้นมองไปที่บันไดรูปโค้งกว้างที่ทอดยาวลงมายังห้องโถงนั้นพร้อมกันทันที เมื่อเขามองตามไปก็ปรากฎพระวรกายของเจ้าหญิงผู้งามสง่าซึ่งกำลังทรงดำเนินลงบันไดมาช้าๆ หญิงสาวผู้นั้นคือเจ้าฟ้าหญิงรายาสวาติติมกุฎราชกุมารีองค์รัชทายาทแห่งสวาติติ ทรงฉลองพระองค์อย่างงดงามตามราชเพณีด้วยฉลองพระองค์ตัวสั้นสีทองรัดรึงแบบเกาะอก พระภูษายาวสีแดงอมม่วงทอประดับด้วยดิ้นทองเมื่อต้องกับแสงไฟก็ปรากฎแสงเลื่อมลายล้อแสงไฟอย่างงดงาม มีผ้าทรงสะพักสีทองคล้องอยู่ที่พระพาหาทั้งสองข้างทางด้านพระปฤษฎางค์ พระศอมีวงทองคำเป็นแผ่นแบนๆทรงคล้องไว้รอบพระศอ รับกับปั้นเหน่งทองคาดไว้รอบพระกฤษฎี พระเกศาถูกรวบเกล้าขึ้นสูง อวดพระพักตร์ที่ทรงพระสิริโฉมอ่อนหวานเหมือนภาพวาด และมีองค์หญิงอีกพระองค์ที่ทรงฉลองพระองค์คล้ายกันแต่ทั้งชุดเป็นสีชมพูสด และพระพักตร์ที่ทรงสิริโฉมนั้นทรงแต่งเข้มกว่า ดำเนินตามลงมาช้าๆทิ้งระยะห่างพอสมควร เจ้าชายหนุ่มแห่งแคว้นไพลินยาดำเนินขึ้นไปที่บันไดพร้อมทั้งส่งพระหัตถ์ประทาน ซึ่งองค์หญิงรัชทายาทแห่งสวาติติก็ทรงยื่นพระหัตถ์ถวายเจ้าชายหนุ่ม และดำเนินลงมาพร้อมกันทั้งสองเจ้าฟ้า ซึ่งสาตาทุกคู่ที่จ้องมองอยู่ซึ่งรวมทั้งเขาด้วยต้องลงความเห็นในใจว่าทั้งสองพระองค์ทรงงดงามและทรงเหมาะสมกันอย่างไม่มีข้อติ เมื่อสอมพระองค์ดำเนินลงมาถึงพื้นห้องแล้ว ทุกคนที่ยืนเข้าแถวรอรับอยู่นั้นต่างพากันถวายความเคารพลงพร้อมกันทันที เมื่อทั้งสองพระองค์ที่ดำเนินคู่กัน มีเจ้าหญิงองค์น้องดำเนินทิ้งระยะมาทั้งเบื้องหลัง และเมื่อดำเนินผ่านกลุ่มบุคคลที่ยืนแถวถวายการต้อนรับอยู่ ได้ทรงหยุดปฏิสันถารกับผู้ที่มาตั้งแถวรับเสด็จเป็นระยะ และเมื่อดำเนินเข้ามาใกล้เขาพอสมควร สายพระเนตรขององค์หญิงและพระพักตร์ที่ทรงแย้มสรวลกับเขานั้น ทำให้เขาต้องตกอยู่ในอาการตื่นตะลึงอีกครั้งจนเกือบที่จะลืมถวายความเคารพ ทรงมีรอยสรวลน้อยๆบนสีพระพักตร์เมื่อดำเนินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
พันเอกศรัณย์ก้มศีรษะลงและกราบทูล “ กราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระเจ้าค่ะ “
“ สวัสดีอีกครั้งค่ะผู้พัน “ รับสั่งกับเขาแล้วแย้มสรวลน้อยๆพร้อมกับส่งพระหัตถ์ประทานให้ เขาจับปลายพระหัตถ์ของพระองค์เบาๆและก้มศีรษะลง
เขากราบทูลด้วยสีหน้าที่เปื้อนยิ้ม “ ฝ่าพระบาททรงทำให้เกล้าหม่อมฉันแปลกใจถึงสองครั้งในวันเดียวกัน พะเจ้าค่ะ “ ทรงแย้มสรวลกับเขาน้อยๆดวงพระเนตรวาววับ
ทรงรับสั่งแนะนำเขากับองค์รัชทายาทแห่งแคว้นไพลินยา
“ ผู้พันคะ......นี่เจ้าฟ้าชาย อิงภูองค์รัชทายาทแห่งแคว้นไพลินยาค่ะ และเจ้าพี่เพคะนี่คือพันเอก ศรัณย์เป็นผู้บังคับบัญชาทหารไทยที่นำกำลังมาช่วยสวาติติเพคะ " องค์หญิง รายาทรงรับสั่งแนะนำ
เขารีบโค้งคำนับถวายความเคารพ “ กราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พะยะค่ะ “
เจ้าชายอิงภูค้อมพระเศียรรับการถวายความเคารพเขาน้อยๆทรงยื่นพระหัตถ์ส่งประทานมาให้เขาสัมผัส และตรัสรับสั่ง " ฉันในนามตัวแทนของแคว้นไพลินยาต้องขอขอบคุณรัฐบาลไทยมาก ที่ได้ส่งกำลังมาช่วยน้องๆของฉัน ฉันจะไม่ลืมบุญคุณครั้งนี้ของรัฐบาลไทยเลย "
เจ้าฟ้าชายอิงภูตรัสรับสั่งกับเขา ด้วยพระพักตร์ที่มีรอยสรวลทำให้ใบพระพักตร์นั้นทรงเสน่ห์มากขึ้นตามความเห็นของเขา ส่วนองค์ชายอิงภูทอดพระเนตรมองหน้าเขาและคิดในพระทัย ผู้พันหนุ่มไทยคนนี้มีดวงตาที่คมเข้มมีแววเฉลียวฉลาด สีหน้าขรึมๆของเขาน่าค้นหามีเสน่ห์ไม่ใช่น้อย
เขาก้มศีรษะลงน้อยๆก่อนที่จะกราบทูล “ รัฐบาลไทยตระหนักดีถึงภัยอันร้ายแรงของขบวนการนี้พระเจ้าค่ะ และต้องการที่จะปราบปรามยาเสพติดให้หมดไปจากแผ่นดิน ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นเรื่องของทุกคนที่จะต้องช่วยกันด้วยพระเจ้าค่ะ ไม่งั้นสังคมโลกในอนาคตของเราคงถึงขึ้นวิกฤติ ในประเทศไทยก็มีการปราบปรามกันอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พระเจ้าค่ะ "
องค์หญิงทรงเบี่ยงพระวรกายนิดหนึ่งและรับสั่งแนะนำ " ผู้พันคะ......แล้วนี่เจ้าหญิงเตรานีสวาติติ พระขนิษฐาของฉันค่ะ "
" ถวายบังคมฝ่าบาท " เขากล่าวและก้มศีรษะน้อยๆให้เจ้าหญิงเตรานี
" สวัสดีค่ะผู้พัน ฉันนึกว่าผู้พันคงต้องแก่แล้วก็ท่าทางดุ แต่ผิดคาดทีเดียวผู้พันยังหนุ่มมากเลยค่ะ แล้วท่าทางก็ไม่ดุด้วยและก็ยังคมสันหล่อมากด้วยค่ะ " เจ้าหญิงเตรานีรับสั่งอย่างเป็นกันเอง ทอดพระเนตรมองเขาด้วยสายพระเนตรที่ชื่นชมอย่างเปิดเผย
องค์หญิงรายาทรงมีพระราชดำรัสแนะนำ พันเอก ศรัณย์กับพระบรมวงศานุวงศ์ และบรรดาเสนาบดีกระทรวงและนายทหารชั้นสูงของสวาติติ พันเอก ศรัณย์โค้งน้อยๆให้กับทุกๆคนในที่นั้น และเมื่อถึงเวลาทรงเชื้อเชิญทุกคนให้ร่วมรับประทานอาหารซึ่งจัดไว้ในห้องใหญ่อีกห้องหนึ่ง องค์หญิงทรงประทับนั่งลงที่โต๊ะพระกระยาหารมีเขานั่งอยู่ทางเบื้องขวาของพระองค์และเจ้าชายอิงภูอยู่ทางเบื้องซ้ายติดกับพระองค์เช่นกัน และองค์หญิงเตรานีประทับนั่งต่อจากเจ้าชายแห่งแคว้นไพลินยา ทุกคนในที่นั้นทำความเคารพก่อนที่จะนั่งลงร่วมโต๊ะพระกระยาหารค่ำ
เจ้าหญิงทรงประทับยืนและมีพระดำรัส ขอบคุณประเทศไทยอย่างเป็นทางการและทรงเชิญชวนทุกคนดื่มให้กับความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศและทรงหันมาชนแก้วกับเขา และหันไปชนแก้วกับองค์ชายอิงภูก่อนที่จะทรงดื่ม เขาถวายหนังสือของรัฐบาลแก่พระองค์หญิงรายา ซึ่งทรงรับมาถือไว้ในพระหัตถ์และในเวลาต่อมาก็ทรงส่งให้หมวดราเมนซึ่งยืนอยู่ทางด้านหลังรับไป และเมื่อถึงเวลาทรงรับสั่งเชื้อเชิญให้ทุกคนรับประทานอาหาร และทรงหันพระพักตร์มารับสั่งเชื้อเชิญกับเขาเป็นพิเศษ ด้วยรอยแย้มสรวลบนสีพระพักตร์หวานนั้น รับสั่งแนะนำอาหารต่างๆตรงหน้าและเชิญให้เขาลองชิม เมื่อรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ถูกเชื้อเชิญเข้าไปในห้องรับรองอีกห้องหนึ่ง ซึ่งมีเสียงดนตรีจากวงดนตรีสากลขับกล่อมเพื่อให้ทุกคนได้สังสรรค์กันตามอัธยาศัย พันเอก ศรัณย์ ได้รับการทักทายอย่างอบอุ่นจากบรรดาเหล่าพระบรมวงศ์สานุวงศ์ เสนาบดี และข้าราชการระดับสูงของสวาติติ ซึ่งมีเจ้าหญิงรายาทรงร่วมปฏิสันถารด้วย
พันเอกศรัณย์มองเจ้าหญิงรายาแห่งสวาติติ และเห็นพระอริยาบถของพระองค์ที่ทรงสง่างาม ทรงมีปฏิสันถารพร้อมทั้งแย้มพระสรวลน้อยๆกับทุกคนอย่างทรงเป็นกันเอง ทรงตรัสรับสั่งอธิบายถึงข้อราชการอย่างคล่องแคล่วเมื่อมีผู้กราบทูลถาม
ทรงหันพระพักตร์มารับสั่งถามเขาเมื่อทรงประทับยืนอยู่กับเขาเพียงลำพัง " ผู้พันคะ.....อาหารของเราคุณพอจะรับทานได้มั้ยคะ ? "
" ก็อร่อยมากพระเจ้าค่ะ รสชาติคล้ายๆอาหารไทยบางอย่าง และบางอย่างก็เหมือนอาหารฝรั่งพระเจ้าค่ะ " เขากล่าวเรียบๆ ยิ้มและก้มศีรษะน้อยๆ
" ห้องพักที่ฉันจัดให้ คุณคงพออยู่ได้นะคะถ้าไม่สะดวกเรื่องอะไรก็กรุณาบอกนะคะอย่าเกรงใจ "
" ฝ่าบาท.......ไม่ต้องทรงเป็นห่วงหม่อมฉันหรอกพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันเป็นทหารนอนกลางดินกินกลางทรายเป็นเรื่องปรกติอยู่แล้ว ห้องที่ทรงจัดประทานให้ ออกจะสบายมากไปเสียด้วยพระเจ้าค่ะ " เขากราบทูลยิ้มๆ
" ฉันเกรงใจค่ะ คุณอยู่ที่เมืองไทยอาจจะสะดวกสบายกว่านี้ และคุณก็ต้องจากครอบครัวมาคงจะทำให้ผู้พันอาจจะเหงาสักหน่อย เพราะที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรที่เป็นเครื่องบันเทิงให้คลายเหงาเหมือนอยู่ที่เมืองไทย " องค์หญิงรับสั่งแย้มพระสรวลน้อยๆ
" ที่นี่เงียบสงบดีมากพระเจ้าค่ะ หม่อมฉันชอบบรรยากาศที่นี่มากและก็เคยชินกับความเหงาอยู่แล้ว เพราะต้องเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่โน่น ที่นี่อยู่เสมอๆ ไม่ค่อยมีเวลาจะได้อยู่บ้านมากนัก ปีหนึ่งอาจจะอยู่บ้านจริงๆสักแค่เดือนสองเดือนเท่านั้นพระเจ้าค่ะ "
ทรงทำสีพระพักตร์แปลกพระทัย และรับสั่งอย่างทรงเห็นใจว่าครอบครัวของเขา คงต้องทำใจได้เข้มแข็งมากเลยที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันเหมือนอย่างครอบครัวอื่น ทรงรับสั่งปรารภว่าเขาคงต้องเป็นห่วงทางบ้านมากสินะ ผู้พันศรัณย์ทูลตอบด้วยสีหน้าเรียบๆ สายตาของเขามีรอยยิ้มประดับ และกราบทูลว่าเขายังไม่ได้แต่งงานก็เลยไม่ต้องห่วงใครหรือใครจะมาเป็นห่วง จะมีคนห่วงก็มีคุณพ่อคุณแม่เท่านั้น ท่านอยากให้ไปประจำการในหน่วยหรือในกระทรวงแต่เขาชอบที่จะทำงานแบบนี้มากกว่า เขากราบทูลพร้อมกับค้อมศีรษะถวายน้อยๆ มองพระพักตร์องค์หญิง รายานิดหนึ่ง
" ขอโทษค่ะ ฉันต้องขอโทษที่คิดว่าคุณคงแต่งงานมีครอบครัวแล้วและต้องจากครอบครัวมา " องค์หญิงรับสั่งขอโทษ
" ไม่เป็นไรมิได้พระเจ้าค่ะ " เขาก้มศีรษะน้อยๆให้เธอ แววหวานในดวงตาของผู้พันหนุ่ม ทำให้องค์หญิงพระปรางเข้มขึ้นและร้อนผ่าวทันที แต่ทรงเสทอดพระเนตรมองไปที่พระขนิษฐาที่ดำเนินตรงเข้ามาหา
" พี่หญิงเพคะ...หญิงขอประทานอนุญาตสนทนากับผู้พันด้วยได้มั้ยเพคะ ? " เจ้าหญิงเตรานีดำเนินเข้ามาร่วมวงสนทนา
" เชิญสิจ๊ะ หญิงเตจะได้รู้จักผู้พันไว้จ๊ะ ท่านมาช่วยเราท่านเป็นผู้มีบุญคุณกับเรานะจ๊ะ " องค์หญิงรายารับสั่งแล้วแย้มสรวลน้อยๆกับน้องสาว
องค์หญิงเตรานี รับสั่งกับเขาทันทีที่ได้รับอนุญาต “ ผู้พันคะ....หญิงอยากไปเที่ยวเมืองไทยจังค่ะ ที่เมืองไทยมีอะไรน่าเที่ยวมากมายไม่เงียบเหงาเหมือนที่นี่ สวาติติล้าหลังโบราณ หญิงเบื่อค่ะ ดีนะคะที่พี่หญิงกำลังจะพัฒนาให้ที่นี่เจริญขึ้นเสียที จะได้มีอะไรที่น่าทำน่าอยู่มากกว่าทุกวันนี้น่ะค่ะ ผู้พันคิดเหมือนหญิงมั้ยคะ “ เจ้าหญิงองค์น้องรับสั่งอย่างฉะฉานเปิดเผย และตรงไปตรงมา
“ ไม่น่าฟังเลยจ๊ะหญิง “ องค์หญิงรายารับสั่งขัดขึ้นคล้ายจะทรงตำหนิกลายๆกับพระขนิษฐา
ผู้พันศรัณย์ทูลตามความเห็นว่าที่นี่สงบน่าอยู่มาก เป็นเมืองที่ผ่านเข้ามาแล้วน่าทึ่งในความงดงามทั้งทางธรรมชาติและทางศิลปะ และเขาเคยไปมาหลายเมืองหลายประเทศในภูมิภาคแถบนี้ไม่มีที่ไหน ที่จะมีธรรมชาติงดงามและสมบูรณ์เหมือนที่นี่ องค์หญิงเตรานีรับสั่งย้อนถามว่าเขาชอบบรรยากาศเงียบเหงาอย่างนี้หรือ ท่านไม่ทรงไม่โปรดเลยและท่านต้องการที่จะเสด็จประพาสที่กรุงเทพฯบ้าง แต่องค์หญิง รายาก็ยังไม่ทรงอนุญาต ทรงรับสั่งกับเขาเชิงทรงปรารภกลายๆ ซึ่งทำให้องค์หญิงรายาต้องรับสั่งกับพระขนิษฐา
“ ให้พี่จัดการเรื่องอะไรให้เรียบร้อยก่อนนะจ๊ะ พี่สัญญาจ๊ะ.....ว่าจะพาหญิงไปชอปปิ้งที่กรุงเทพฯจ๊ะ แต่ตอนนี้พี่ยุ่งมากเลยนะ แล้วเจ้าพ่อก็ยังทรงพระประชวรอยู่อย่างนี้เราจะไปได้ยังไงจ๊ะ หญิงรออีกหน่อยนะพี่สัญญาจ๊ะว่าพี่จะพาหญิงไปแน่นอน “ ทรงรับสั่งกับองค์หญิงเตรานีอย่างอ่อนโยน และทอดพระเนตรมองพระขนิษฐาเหมือนกับว่าพระขนิษฐายังทรงพระเยาว์นัก
เจ้าฟ้าชายอิงภูดำเนินเข้ามาสมทบอีกพระองค์หนึ่ง แล้วรับสั่งเย้าองค์หญิงเตรานีทันทีที่ทรงดำเนินเข้ามา ว่าวันนี้องค์หญิงเตรานีแต่งพระองค์ได้งดงามและดูเป็นสาวเต็มตัว องค์หญิงเตรานีทรงทูลตอบด้วยพระพักตร์บึ้งน้อยๆเหมือนจะทรงกระเง้ากระงอดทันที ว่าพระองค์มีพระชนม์สิบเก้าชันษาแล้ว แต่เจ้าอิงภูไม่เคยสนพระทัยทอดเนตรมองท่านเลยต่างหาก เพราะทรงสนพระทัยแต่องค์หญิงรายาเพียงพระองค์เดียว
" โถ........พี่เพิ่งรู้นะว่าหญิงเตเป็นสาวแล้วก็สวยด้วย และก็ยังทรงงอนเก่งอีกต่างหาก " รับสั่งเย้าด้วรอยสรวล แล้วทอดพระเนตรมององค์หญิงเตรานีด้วยสายพระเนตรอ่อนโยน เหมือนพี่ชายที่มองน้องสาวเล็กๆ
" ก็เจ้าพี่เด็จมาทีไร ก็เด็จมาหาแต่เจ้าพี่หญิงนี่เพคะจะทอดเนตรเห็นหญิงเสียเมื่อไหร่ล่ะเพคะ " รับสั่งต่อว่าอีกครั้งด้วยพระพักตร์ที่ทรงบึ้งตึงน้อยๆ
รับสั่งขององค์หญิงเตรานีทำให้องค์ชายอิงภูต้องรับสั่งออกมาด้วยรอยสรวลน้อยๆ “ พี่ต้องมาเรื่องงานเรื่องอะไรจิปาถะ แล้วพี่ก็ต้องคอยมาดูแลพี่หญิงของน้องด้วยไงจ๊ะ พี่หญิงของน้องวันๆหนึ่งทรงแต่งานทำให้พี่เป็นห่วง หญิงเตต้องช่วยพี่หญิงของน้องทรงงานบ้างนะจ๊ะ อีกหน่อยจะได้ทรงพระปรีชาเหมือนพี่หญิงไงจ๊ะ “ องค์ชายอิงภูรับสั่งคล้ายจะทรงตักเตือนน้อยๆ ในพระกระแสรับสั่งนั้นแสดงถึงความอาทรในองค์หญิงรายาอย่างลึกซึ้ง
องค์หญิงเตรานีทรงรับสั่งโพล่งออกมาทันทีด้วยความน้อยพระทัยในเจ้าชายหนุ่ม “ อีกหน่อยถ้าเจ้าพี่ภูอภิเษกสมรสกับเจ้าพี่หญิง ก็จะได้ทรงดูแลกันตลอดเวลาอยู่แล้วนี่เพคะ ถึงตอนนั้นเจ้าพี่ภูคงจะทรงลืมเต ลืมว่ายังมีน้องอยู่อีกคนหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วทุกวันนี้เจ้าพี่ก็ทรงลืมอยู่แล้ว “ เมื่อรับสั่งตัดพ้อแล้วทรงทอดพระเนตรมองพระพักตร์ขององค์ชายอิงภูด้วยสายพระเนตรที่น้อยพระทัยอย่างเปิดเผยและไม่ทรง ปิดบังความรู้สึก
องค์หญิงรายามองพระพักตร์พระขนิษฐาแล้วทรงขมวดพระขนงน้อยๆ " หญิงเต......ทำไมรับสั่งออกมาอย่างนี้จ๊ะไม่งามสักนิดเลยนะ แล้วเรื่องอะไรที่ยังไม่เกิดหญิงอย่ารับสั่งออกมาอีก เพราะจะทำให้ทุกคนเสียหายนะจ๊ะ " ทรงรับสั่งปรามทันที
องค์หญิงเตรานีทูลเถียงทันที “ ก็ที่หญิงพูดเป็นเรื่องจริงนี่เพคะ เรื่องที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงยังไงเจ้าพี่หญิงก็ต้องเษก สมรสกับเจ้าพี่ภูอยู่ดี ใครๆก็บอกอย่างนี้ทั้งนั้น “ เจ้าหญิงเตรานีรับสั่งอย่างตรงๆ สีพระพักตร์แสดงออกถึงความสะเทือนพระทัยออกมาให้ทุกคนเห็น
พันเอกศรัณย์พอจะเข้าใจได้แล้วว่า เจ้าหญิงองค์น้องคงมีพระหทัยปฏิพัทธ์ต่อองค์ชายอิงภูเป็นแน่ แต่เจ้าหญิงองค์พี่กลับไม่ทรงแสดงความใดๆในพระหทัยอะไรออกมาให้เห็น แม้แต่สายพระเนตรที่ทอดมองเจ้าชายหนุ่ม ก็ราบเรียบไม่ทรงแสดงความรู้สึกใดๆออกมาเหมือนจะเก็บความในพระทัยไว้ได้อย่างแนบเนียน เจ้าชายหนุ่มทอดพระเนตรมองสีพระพักตร์ขององค์หญิงรายา เหมือนจะทรงต้องการอ่านความรู้สึกขององค์หญิงรายาในขณะนั้นเช่นกัน โดยที่ไม่ทรงรับสั่งใดๆออกมา
" หญิงเต " เจ้าหญิงองค์ใหญ่ทรงขานพระนามพระขนิษฐาเบาๆ แต่สุรเสียงนั้นเข้มนักจนองค์หญิงผู้น้องเงียบพระสุรเสียงที่กำลังทรงต่อว่าต่อขานนั้นทันที
เจ้าชายอิงภู ทรงรู้สึกถึงสถานการณ์นั้นไม่ค่อยดีนักและกระทบถึงพระองค์ด้วย จึงรีบทรงเปลี่ยนเรื่องสนทนาเหมือนจะทรงตัดบททันที
“ หญิงเตพี่ว่าเราไปหาน้ำผลไม้มาดื่มกันดีกว่านะพี่รู้สึกกระหาย ไปจ๊ะ.... “ รับสั่งชวนองค์หญิงเตรานี แล้วหันพระพักตร์มาตรัสถามองค์หญิงรายา “ น้องหญิงรายาจะทรงเสวยอะไรดีจ๊ะพี่จะไปหามาให้จ๊ะ “ เจ้าอิงภูรับสั่งถามด้วยพระสุรเสียงทอดอ่อน มองพระพักตร์ขององค์หญิงรายาอย่างรู้สึกเกรงพระทัย
" ขอบพระทัยเพคะ แต่หญิงยังดื่มอยู่เลย " ทรงยกแก้วไวน์ที่ทรงถือไว้ในพระหัตถ์ให้ทอดพระเนตร เจ้าอิงภูจึงดำเนินพาองค์หญิงผู้น้องดำเนินจากไปเพื่อหลีกเลี่ยงข้อสนทนาที่ขัดแย้งนั้น
เจ้าหญิงรายา ทรงพยักพระพักตร์น้อยๆกับผู้พันหนุ่มเชิงชวนเชิญนิดหนึ่งแล้วดำเนินนำออกมา ผู้พันศรัณย์รู้ว่าเจ้าหญิงทรงต้องการให้เขาเดินตามพระองค์ออกมา องค์หญิงทรงดำเนินออกมาประทับยืนที่ระเบียงของห้องนั้นที่ยื่นออกมาเหมือนจุดชมวิว
พันเอกศรัณย์เดินมาหยุดยืนใกล้ๆแล้วค้อมศีรษะลงน้อยๆก่อนที่จะเอ่ยกราบทูลขึ้นเบาๆกับพระองค์หญิงว่า
“ ยามค่ำคืนที่นี่ช่างงดงามเหลือเกิน “
ทรงหันมาแย้มสรวลน้อยๆกับเขาและรับสั่งว่า “ ดีใจมากค่ะที่ได้ยินคำนี้จากคุณ และก็สบายใจขึ้นอีกมากที่คุณไม่คิดว่าที่นี่เงียบเหงาหรือว่าล้าหลังนัก ซึ่งความจริงก็เงียบเหงาแล้วก็ล้าหลังจริงๆ “
รับสั่งแล้วทรงทอดพระเนตรเหม่อมองออกไปภายนอก เมื่อมองลงไปที่สนามหญ้าหน้าอาคารที่ประดับด้วยเสาไฟรูปร่างคลาสสิคที่ห้อยโคมไฟไว้สว่างไสว น้ำพุกลางสนามเปลี่ยนสีไปตามแสงไฟงดงามโรแมนติค เขาจึงกราบทูลว่า
“ความคิดในจิตใจของแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกพระเจ้าค่ะ บางคนก็ต้องการที่จะอยู่กับธรรมชาติมากกว่าที่ที่เจริญทางวัตถุและมีแต่ความสับสนวุ่นวาย บรรยากาศที่นี่แทบจะหาไม่ได้แล้วในภูมิภาคของโลก เกล้าหม่อมฉันรู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสมาสัมผัสกับบรรยากาศแบบนี้ นับว่าเป็นบุญวาสนากับตัวเองพระเจ้าค่ะ “ ผู้พันหนุ่มทูลกับพระองค์หญิง
“ ฉันรักและหวงแหนบรรยากาศนี้เหลือเกินค่ะผู้พัน อยากจะเก็บไว้ให้นานแสนนานแต่ฉันก็รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ “
“ ถ้าฝ่าบาทไม่คิดว่าจะนำความเจริญทางวัตถุเข้ามาเร็วนัก ทุกอย่างก็จะยังคงอยู่แบบนี้และค่อยเป็นค่อยไปทีละน้อยพระเจ้าค่ะ “
“ แต่ดูเหมือนคนที่นี่จะอยากให้ความเจริญเข้ามาให้เร็วที่สุด ทุกคนอยากให้ที่นี่เหมือนกรุงเทพฯ มีทุกสิ่งทุกอย่างที่ไฮเทค มีวิทยาการล้ำสมัย มีสถานบันเทิงต่างๆที่มอบความสนุกสนานแปลกใหม่ให้กับชีวิต จะมีคนเพียงส่วนน้อยที่คอนเวอร์เซทีฟแบบฉัน “
“ ฝ่าบาทคงไม่ทรงโปรดบรรยากาศที่กรุงเทพฯ “
“ ไม่หรอกค่ะไม่ใช่อย่างนั้น ฉันเคยอยู่ที่กรุงเทพฯเรียนมัธยมที่นั่นก่อนที่จะไปต่อที่อังกฤษ ฉันชอบเมืองไทยมากค่ะ ที่นั่นสนุกมีสีสัน ฉันมีเพื่อนคนไทยมากมาย ตอนนั้นฉันยังเป็นวัยรุ่นฉันไม่อยากกลับมาที่นี่เลย หญิงเตก็คงคิดเหมือนฉันในตอนนั้นเหมือนกันว่าบ้านเมืองเราเงียบเหงาล้าหลัง แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลานึกถึงความสนุกในอดีตอีกเลยเพราะต้องมีภาระหน้าที่มากมายจนไม่เหลือเวลาที่จะเหงาอีกแล้วละค่ะ และความสุขความสนุกสนานในครั้งก่อนนั้นก็กลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำที่ประทับใจไม่รู้ลืมของฉันค่ะ “ องค์หญิงรับสั่งแล้วแย้มพระสรวลน้อยๆ จนเห็นไรพระทนต์ที่ขาวสวย แต่แววพระเนตรนั้นหม่นลง
" องค์หญิงทรงเคยเสด็จไปประทับที่เมืองไทยด้วยหรือกระหม่อม หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ "
" เคยสิคะหญิงเรียนมัธยมปลายที่นั่นก่อนที่จะไปต่อปริญญาตรีที่อังกฤษ และกำลังต่อปริญญาโทแต่ก็ยังไม่ทันจบ เสด็จพ่อเริ่มทรงพระประชวรลง ปัญหาต่างๆภายในมากมาย ทรงมีพระบรมราชโองการให้กลับมาดูแลบ้านเมืองแทนพระองค์ และก่อนที่จะกลับมาก็เลยตัดสินใจไปทำการสมัครฝึกวิชาทหารกับหน่วยรบหน่วยหนึ่งที่อังกฤษ เพราะต้องตัดสินใจลงมาบัญชาการทหารด้วยตัวเอง " ทรงรับสั่งเล่าความหลังประทานแก่เขา
" ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยได้ถูกต้องแล้วกระหม่อม แต่ฝ่าบาทก็คงต้องทรงใช้ความอดทนมากเหลือเกินใช่มั้ยพระเจ้าค่ะ "
" ใช่ค่ะ......ฉันต้องอดทนมากเหลือเกิน มีเสนาบดีผู้ใหญ่บางท่านไม่เห็นด้วยกับการที่ฉันตัดสินใจร้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลไทย ฉันถูกมองว่ากำลังชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้านทำนองแบบนั้น ฉันมีปัญหารอบด้านมีข้าราชการผู้ใหญ่บางท่านที่เห็นแก่เงินทรยศเราไปเข้ากับนายพล ราเปรียง นำความลับภายในออกไปให้ศัตรูทำให้เราต้องรักษาความปลอดภัยภายในและถวายอารักขาให้กับสมเด็จเจ้ามากขึ้น "
" หม่อมฉันคิดว่าเราคงต้องจัดรูปแบบในการรักษาความปลอดภัยภายใน และต้องจัดตั้งหน่วยข่าวกรองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอีกอย่างหนึ่งก็คือต้องรีบฝึกอาวุธให้กับทหารที่อยู่ภายในพระนครก่อน เพื่อส่งไปสับเปลี่ยนกำลังพลจากชายแดนเข้ามาเพื่อฝึกอาวุธและยุทธวิธีต่างๆและกำลังพลก็จะได้ผ่อนคลายด้วยกระหม่อม " เขาทูลกับเจ้าหญิงด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
" เป็นความคิดที่ดีมากค่ะ ฉันต้องขอขอบคุณผู้พันมากและฉันคิดว่าการที่ฉันตัดสินใจในครั้งนี้คงไม่ผิด ฉันต้องใช้ชีวิตเป็นเดิมพันกับการตัดสินใจครั้งนี้เลยค่ะผู้พัน " รับสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนเศร้าจนทำให้เขารู้สึกเห็นพระทัยองค์หญิงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เขาค้อมศีรษะให้องค์หญิงรายานิดหนึ่ง และทูลท่านว่าเขาก็เช่นกันจะขอเอาชีวิตถวายเป็นเดิมพันเพื่อช่วยเจ้าหญิงนักพัฒนาองค์นี้ ให้ทรงสำเร็จในอุดมการณ์ คำกล่าวของเขาเหมือนคำสัญญา องค์หญิงรายาทรงหันพระพักตร์มาทอดพระเนตรมองหน้าเขาทันที และรับสั่งด้วยความที่ทรงซาบซึ้งว่า
“ หญิงไม่ทราบว่าจะพูดว่ายังไงดีอยากจะบอกมากกว่าคำว่าซาบซึ้งและขอบคุณ คำพูดของผู้พันทำให้หญิงรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมาก ทุกวันที่ผ่านมาหญิงคิดแต่ว่าหญิงเพียงคนเดียวคิดการมากมายในสมองจะให้สำเร็จเกินครึ่งก็คงจะยาก จะนำพาบ้านเมืองให้รอดปลอดภัยไปได้สักกี่วันก็ไม่รู้ บางครั้งหญิงอยากหลับแล้วไม่ต้องตื่นขึ้นมารับรู้อะไรอีกเลย แต่พอตื่นขึ้นมาก็ต้องยอมรับกับความจริงที่ต้องสู้ทั้งที่รู้สึกเหนื่อยและท้อเหลือเกิน “ ทรงแทนพระองค์ว่าหญิงกับเขาและด้วยด้วยสุรเสียงที่ทรงอ่อนเศร้า สายพระเนตรที่ทรงทอดมองหน้าเขาเหมือนจะถ่ายทอดถึงความรู้สึกภายในพระหทัยที่ทรงเป็นกังวลกับสถานการณ์บ้านเมือง
เขาจึงกราบทูลว่า “ หม่อมฉันเข้าใจดีกับการที่ฝ่าบาททรงต้องต่อสู้ทั้งศึกภายในและภายนอก ฝ่าบาททรงมีพระภาระที่หนักมากแต่ก็ทรงแข็งแกร่งมากเหลือเกิน เป็นธรรมดาพระเจ้าค่ะที่บางครั้งคนเราก็ต้องทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ แต่ฝ่าบาทต้องไม่ทรงท้อแท้ ต้องทรงต่อสู้เพื่อแผ่นดินของฝ่าบาท และเพื่อประชาชน พระเจ้าค่ะ “ เขาทูลให้กำลังพระทัยองค์หญิงด้วยเสียงที่หนักแน่น
" ค่ะ......ขอบคุณมากที่ผู้พันให้แนวคิด และให้กำลังใจ หญิงจะไม่ท้อแท้จะสู้ต่อไปค่ะ " รับสั่งแล้วแย้มสรวลให้เขา
องค์ชายอิงภูดำเนินเข้ามาที่ทั้งสองหนุ่มสาวยืนสนทนากันอยู่ ทรงมีพระกระแสรับสั่ง “ ขอโทษนะหญิง ขอโทษนะผู้พันที่มาขัดจังหวะการสนทนา “ ทรงหันมาก้มพระเศียรให้ผู้พันศรัณย์น้อยๆ “ หญิงจ๊ะ...พี่จะมาชวนหญิงไปเปิดฟลอร์นะจ๊ะ “ เจ้าชายอิงภูรับสั่งพร้อมทั้งยื่นพระหัตถ์ส่งประทานให้องค์หญิงรายา องค์หญิงทรงแย้มสรวลและย่อพระวรกายลงน้อยๆส่งพระหัตถ์ถวาย สายพระเนตรของเจ้าชายหนุ่มที่จ้องมองพระพักตร์องค์หญิงรายาบอกความในพระหทัยอย่างเต็มเปี่ยม จนองค์หญิงรายามีสีพระพักตร์เข้มขึ้นอย่างทรงรู้สึกเก้อเขิน
องค์หญิงรายาทรงหันมาทอดพระเนตรมองหน้าเขานิดหนึ่งแล้วรับสั่งด้วยรอยสรวลน้อยๆ " ขอตัวสักครู่นะคะผู้พัน เชิญตามสบายนะคะ " รับสั่งแล้วดำเนินเคียงคู่กันไปที่กลางห้องโถง เขาเดินตามพระปฤษฎางค์ของทั้งสองพระองค์เข้ามาภายในด้วย
ทั้งสองหนุ่มสาวเลือดขัตติยา ทรงดำเนินไปเปิดฟลอร์เต้นรำ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่มองอย่างรู้สึกชื่นชมในความงดงามและเหมาะสมกันอย่างเหลือเกิน รวมทั้งเขาเองก็คิดอย่างนั้นด้วย ทั้งสองเจ้าฟ้าแย้มสรวลให้กันและทรงรับสั่งกันเบาๆสายพระเนตรของเจ้าชายหนุ่มที่ทอดพระเนตรมองพระพักตร์ขององค์หญิง หวานซึ้งระยิบระยับบอกถึงความสนิทเสน่หาที่ทรงมอบให้กับองค์หญิงแสนสวยโดยไม่คิดที่จะทรงปิดบัง ส่วนองค์หญิงรายาเพียงแต่แย้มสรวลน้อยๆทรงรับสั่งด้วยเบาๆ ดวงพระเนตรขององค์หญิงระยิบระยับหวาน เขามองเห็นความงดงามของทั้งสองพระองค์อย่างนึกชื่นชมในใจ และไพล่มองไปที่องค์หญิงเตรานี ซึ่งกำลังทรงทอดพระเนตรไปที่คู่เต้นรำกลางฟลอร์ด้วยสีพระพักตร์หมองเศร้า ทรงมีพระปฏิสันถารกับเหล่าข้าราชการ แต่ก็ทรงชำเลืองพระเนตรไปที่ฟลอร์เต้นรำนั้นตลอดเวลา
องค์หญิงเตรานีทรงดำเนินตรงมาที่เขาและรับสั่งด้วยรอยแย้มสรวลน้อยๆ “ ผู้พันคะ....เต้นรำกับหญิงนะคะ “ ซึ่งทำให้เขาต้องก้มศีรษะลงน้อยๆ ทรงยื่นพระหัตถ์ส่งประทานให้เขา ทำให้เขาต้องค้อมศีรษะลงทำความเคารพก่อนที่จะรับพระหัตถ์ขององค์หญิงไว้ ทั้งสองออกมาเต้นรำกันใกล้กับคู่ขององค์หญิงรายาและองค์ชายอิงภู
" ผู้พันคะ ...... ผู้พันแต่งงานหรือยังคะ ? " องค์หญิงเตรานีรับสั่งถามเขาตรงๆ
" หม่อมฉันยังไม่ได้สมรส กระหม่อม "
" ผู้พันออกจะสมาร์ต ทำไมยังโสดคะไม่น่าเชื่อเลย ? "
" ขอบพระทัยที่รับสั่งชม กระหม่อม แต่ที่หม่อมฉันยังไม่แต่งงานก็เพราะยังไม่พบผู้หญิงที่จะเข้าใจงานของหม่อมฉัน ซึ่งไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่กับที่นัก คงจะไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะทนการที่แต่งงานแล้วต้องอยู่คนเดียวนานๆได้ ก็เลยยังไม่คิดที่จะหาคนมาร่วมชะตากรรมน่ะกระหม่อม " เขาทูลตอบตามความจริง พร้อมทั้งลอบพิจารณามองพระพักตร์องค์หญิงเตรานี แล้วคิดในใจว่าท่านทรงยังเป็นวัยรุ่น ที่คิดยังไงก็ทรงรับสั่งออกมาอย่างนั้น
ทรงแย้มสรวลอย่างทรงนึกขันคำพูดของเขา “ เตเห็นที่เมืองไทยมีผู้หญิงสวยๆมากมาย ผู้พันไม่มีผู้หญิงที่เป็นแฟนหรือว่าคู่รักบ้างหรือคะ “ รับสั่งถามแย้มสรวลน้อยๆแต่สายพระเนตรของพระองค์ทรงทอดมองเลยบ่าเขาไป ที่คู่ขององค์ชายอิงภูและองค์หญิงรายา ซึ่งทั้งสองเจ้าฟ้านั้นเหมือนจะกำลังทรงตกอยู่ในห้วงของความเกษมสำราญ ทรงเคลิบเคลิ้มอยู่กับเสียงดนตรีในอ้อมพระกรของกันและกัน องค์หญิงเตรานีทอดพระเนตรด้วยสายพระเนตรที่เศร้าสร้อยน้อยพระทัย เขาทูลตอบองค์หญิงเตรานี พยายามที่จะดึงความสนพระทัยของพระองค์กลับมา
“ ก็มีบ้างกระหม่อม แต่พอคบกันนานๆแล้วไม่มีเวลาให้กัน และไม่ค่อยได้พบกันก็เลิกกันไปโดยปริยายน่ะกระหม่อม “
องค์หญิงรายาทอดพระเนตรมาที่คู่ของเขา และรับสั่งกับองค์ชายอิงภู " เจ้าพี่เพคะหญิงอยากให้เจ้าพี่ทรงเปลี่ยนคู่เต้นรำกับหญิง หญิงจะเต้นรำคู่กับอาคันตุกะของหญิงบ้างน่ะเพคะ " รับสั่งแล้วทอดพระเนตรมองพระพักตร์ขององค์ชาย
" หญิง.......พี่รู้ว่าหญิงทรงต้องการให้พี่เต้นรำกับน้องเตใช่มั้ย หญิง....ทำไมต้องทรงทำเหมือนผลักไสพี่ให้น้องเตจ๊ะ ทั้งๆที่หญิงก็ทรงทราบว่าพี่รักหญิง และหญิงก็รักพี่ไม่ใช่เหรอ ? " เจ้าฟ้าชายอิงภูรับสั่งอย่างทรงตัดพ้อ
" เจ้าพี่เพคะอย่าทรงรับสั่งอย่างนี้สิเพคะ ฟังแล้วเหมือนหญิงผิดมากเหลือเกิน " องค์หญิงรับสั่งเบาๆสีพระพักตร์หม่นลงน้อยๆ
" หญิงรายาพี่จะคอยหญิงคนเดียวคอยจนกว่าหญิงจะทรงเห็นใจพี่ " สุรเสียงและพระพักตร์หมองเศร้าลงเหมือนหนึ่งจะทรงน้อยพระทัย
“ อย่าทรงคอยเลยเพคะ อาจจะไม่มีวันของเราก็ได้นะเพคะ “
“ รายา.....เรารักกันไม่ใช่หรือจ๊ะ ยังจะมีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าความรักของเราอีกหรือจ๊ะ “
“ ก็ภารกิจของบ้านเมืองไงเพคะ เราทั้งสองต่างก็มีภารกิจต่อบ้านเมืองมากมาย หญิงคงไม่มีบุญที่จะได้อภิเษกกับเจ้าพี่หรอกเพคะ “
“ รายา.....นั่นมันเป็นความคิดของหญิงเพียงคนเดียวนะ ไม่เห็นมีใครคิดแบบนั้นสักหน่อย หญิงไม่ทรงต้องการที่จะรวมเมืองของเราเป็นเมืองเดียวกัน แล้วเราสองคนก็ช่วยกันพัฒนาทำให้เมืองของเรายิ่งใหญ่เทียบกับเมืองอื่นในภูมิภาคนี้หรอกหรือจ๊ะ “
“ ให้โชคชะตาตัดสินเราดีกว่านะเพคะ หม่อมฉันไม่อยากที่จะคิดให้เลยเถิดไปถึงขนาดนั้น การที่เราจะรวมแคว้นของเราเป็นแคว้นเดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายสักนิดนี่เพคะ มันเหมือนเรื่องที่จะเป็นไปได้แต่เวลาที่จะทำจริงๆแล้ว เหล่าเสนาบดีของทั้งสองแคว้นจะยอมที่จะมาบริหารบ้านเมืองร่วมกันหรือเพคะ มันมีเรื่องยุ่งยากที่จะตามมาอีกมากมาย แต่ถ้าเจ้าพี่อภิเษกกับน้องเตและเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันตลอดไปยังง่ายกว่านี่เพคะ “
“ หญิง....อย่ารับสั่งแบบนั้นสิจ๊ะ พี่ไม่เชื่อเรื่องโชคชะตาพี่เชื่อในอานุภาพของความรักมากกว่าจ๊ะ และก็อย่าผลักไสพี่ให้พี่ไปรักใครเลย หญิงทำแบบนี้เหมือนจะดูถูกน้ำใจพี่นะจ๊ะ “
“ ขอประทานอภัยเพคะท่านพี่ .แล้วเวลาก็จะตัดสินโชคชะตาเองไม่ใช่เหรอเพคะ ความรักเป็นเพียงเรื่องของความรู้สึกเท่านั้น อย่าทรงรอหญิงเลยเพคะมันคงจะนานเกินไป ไพลินยาคงต้องการพระราชินีที่ไม่ใช่ราชินีของสวาติติจริงมั้ยเพคะ “
“ รายา....หัวใจของเธอไม่มีพี่อยู่เลยกระนั้นหรือ ถึงได้รับสั่งได้ง่ายดายแบบนี้ “ ทรงรับสั่งอย่างตัดพ้อ
องค์หญิงไม่ทรงรับสั่งตอบกลับทรงก้มพระพักตร์ลงนิ่งๆ และทรงเปลี่ยนคู่มาเต้นรำกับเขาโดยที่ให้องค์หญิงผู้น้องได้เต้นรำกับองค์ชายอิงภูแทนพระองค์ ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นรับสั่งถามเขา ” ผู้พัน......คงไม่รำคาญหญิงนะคะ “
“หม่อมฉันยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติกับหม่อมฉันมากกว่า พระเจ้าค่ะ “
" ทหารไทยสุภาพเป็นสุภาพบุรุษ น่ารักมากเหลือเกินค่ะ "
" ขอบพระทัยที่รับสั่งชมพระเจ้าค่ะ "
ผู้พันหนุ่มจับพระหัตถ์นุ่มๆนั้นไว้เบาๆ แตะพระวรกายอย่างสุภาพ ส่วนพระองค์หญิงทรงแตะบ่าเขาไว้ด้วยพระพักตร์แดงระเรื่อสายพระเนตรทรงแวววาวระยิบระยับ พระปรางทรงเข้มขึ้นน้อยๆ รับสั่งถามเขา
“ คุณเต้นรำบ่อยๆมั้ยคะ “
เขายิ้มน้อยๆทูลว่า “ ก็ไม่บ่อยนักกระหม่อม เพราะหม่อมฉันไม่ค่อยชอบออกงานสังคมเท่าไหร่ และก็นานมากแล้วที่เต้นรำครั้งสุดท้าย และวันนี้หม่อมฉันรู้สึกว่าประหม่ามาก ที่ได้เต้นรำกับองค์หญิงที่ทรงพระสิริโฉมแห่งสวาติติ เหมือนกับว่าขณะนี้หม่อมฉันนั้นกำลังอยู่ในความฝันพระเจ้าค่ะ “ เขามองพระพักตร์ที่แสนงดงาม อย่างรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
ทรงรับสั่งเหมือนจะเย้าทันทีว่า “ นักรบชาวไทยคงไม่ได้รบเก่งอย่างเดียวแล้วละมังคะ ยังมีคำพูดที่หวานละมุนน่าฟังมากด้วยนะคะ หญิงดีใจมากค่ะที่ได้มีเพื่อนที่น่ารักอบอุ่นอย่างผู้พัน “ รับสั่งตอบและทรงรู้สึกเขินอายน้อยๆ
" เป็นความจริงจากความรู้สึกของหม่อมฉัน ฝ่าบาททรงพระสิริโฉมมาก หม่อมฉันจะเก็บความภูมิใจที่ได้เต้นรำกับฝ่าบาทในวันนี้ไว้ในความทรงจำตลอดไปพระเจ้าค่ะ " เขากล่าวพร้อมกับสบพระเนตรหวานซึ้งขององค์หญิงรายาสวาติติ
" ขอบคุณมากค่ะ ผู้พันศรัณย์ "
ความคิดเห็น