ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรางรัก ลวงใจ (ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สมาร์ทบุ๊ค)

    ลำดับตอนที่ #16 : รักข้ามขอบฟ้า(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.09K
      4
      18 ก.พ. 52

    ตอนที่  16 รักข้ามขอบฟ้า

          ทรงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที  "  หญิงไปอ่านหนังสือดีกว่านะคะ  หญิงอ่านค้างไว้ค่ะ  เพื่อนๆที่มาจากเมืองไทยซื้อหนังสือที่น่าสนใจ  มาให้หญิงตั้งหลายเล่ม  น่าอ่านทั้งนั้นเลยค่ะคุณจะอ่านมั้ยคะ ? “
         " ที่รัก......."  ทรงดึงองค์หญิงเข้ามากอด และประทับพระโอษฐ์จุมพิตทันที องค์หญิงทรงอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมพระกรพระสวามี ทรง ยอมรับจุมพิตจากเขาอย่างเต็มพระทัย กายสั่นสะท้านระริกไหว พระหทัยเต้นถี่แรง เลือดในกายสาวฉีดพล่าน  กลิ่นกายจากบุรุษเพศ ของเขาหอมมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด ทรงหลับพระเนตรพริ้ม และเลื่อนพระหัตถ์ขึ้นประคองแก้มเขาไว้ อย่างรัญจวนในพระหทัยยิ่งนัก  แต่แล้วก็ทรงรีบดันพระอุระของพระสวามีออกเบาๆ  เบี่ยงพระวรกายออกมาทันที  แล้วหันพระปฤษฎางค์ให้  พร้อมทั้งรับสั่งทวงสัญญา
        " ผู้พันคะ....คุณสัญญากับหญิงแล้วไงคะ  ?”
        " รายา.....ผมทรมานมากนะ แต่ก็จะขอเพียงแค่นี้เท่านั้น  ได้โปรดอย่าห้ามผมเลยนะที่รัก  "  รับสั่งเสียงแผ่วเศร้า มีผลทำให้องค์หญิงรายา ทรงหันกลับมาและทรงเข้าสวมกอดเขา และแนบพระปรางลงกับพระอุระของพระสวามี
        “ หญิงเห็นแก่ตัวมากเกินไปหรือเปล่าคะ “ ทรงเงยพระพักตร์รับสั่งถามด้วยสุระเสียงแผ่วเบา
    เขาไม่ตอบเพียงจุมพิตเบาๆบนกลีบพระโอษฐ์ เหมือนจะทรงห้ามไม่ให้รับสั่ง สายพระเนตรของทั้งสองพระองค์ ถ่ายทอดความในพระทัย
              
          บ่ายคล้อยแล้วองค์หญิงรายา ทรงพระอักษรอยู่ในห้องทรงงาน  ผู้พันพระสวามีทรงพระอักษรหนังสือ ที่พระองค์หญิงทรงถวายให้  แล้วบรรทมหลับสนิทลง ทรงตกพระทัยตื่นจากบรรทม  เมื่อทรงรู้สึกว่าองค์หญิงประทับนั่งลงข้างๆ และทรงดึงหนังสือที่อยู่ในพระหัตถ์ออก  ทรงก้มลงทอดพระเนตรมองหน้าพระสวามี แล้วทรงแย้มสรวลให้  
        " ขอโทษค่ะที่ทำให้คุณตื่น คุณหิวมั้ยคะ หญิงชงกาแฟไว้ให้ไปทานกันเถอะค่ะ " 
         พระสวามีทรงแย้มสรวลรับ  และทรงดึงองค์หญิงเข้ามากอดไว้ ทรงเอนองค์ลงกับพระอุระของพระสวามี  เงยพักตร์ขึ้นทอดพระเนตร มองหน้าพระสวามี สายพระเนตรขององค์หญิงบอกความในพระทัย
        " รายา......ทำไมคุณไม่บอกรักผม เพียงเพราะกลัวว่า ผมจะรังแกคุณเท่านั้นหรือ  บอกรักผมสิจ๊ะ....สายตาคุณฟ้องนะว่าคุณก็รักผม  " รับสั่งถามออดอ้อน คลอเคลียพระปรางลงกับพระเกศา 
         องค์หญิงทรงนิ่งเงียบอยู่ในอ้อมพระอุระ  ไม่รับสั่งโต้แย้งคำพูดของพระสวามีเหมือนเคย  ทรงนิ่งเงียบจนต้องรับสั่งถามซ้ำอีกครั้ง   " รายา....คุณรักผมใช่มั้ย  ? " 
         "  ไปทานกาแฟกันเถอะค่ะ "  รับสั่งแล้วรีบประทับยืนขึ้นและดำเนินนำ  ทำให้พระสวามีจำต้องทรงดำเนินตาม
         ทั้งสองพระองค์ประทับนั่ง ลงบนโต๊ะเล็กๆบนเทอเรส  ที่ยื่นออกไปทางด้านหลังของพระตำหนัก  และมองเห็นสระบัว   ที่กำลังมีดอกสีม่วง สีขาวสวยสะพรั่งและกำลังชูดอกขึ้นเหนือน้ำ  องค์หญิงทรงรินพระสุธารสกาแฟ จากเหยือกลงในถ้วยกาแฟถวายให้  ทรงหยิบขนมในจานป้อนใส่พระโอษฐ์พระสวามี  ทั้งสององค์สบเนตรกัน  องค์หญิงทรงหลบสายพระเนตร ลงมองถ้วยกาแฟ จนพระสวามีต้องรับสั่งถามอย่างแคลงพระทัย  ในสายพระเนตรของพระองค์
         " คุณมีอะไรจะบอกผมหรือ  รายาบอกผมสิครับ ? "  รับสั่งถามพร้อมทั้งขมวดพระขนง  อย่างทรงสงสัย
         องค์หญิงยังทรงนิ่งเงียบ  มองสบเนตรนิดหนึ่ง  แล้วก้มพระพักตร์ลงน้อยๆ  " ไม่มีอะไรค่ะ ไม่มีอะไร  หญิงเพียงคิดว่า สักวันคุณจะเบื่อที่นี่  แล้วก็จากหญิงไป "  องค์หญิงทรงหลีกเลี่ยงที่จะทรงตอบ 
        " ทำไม........คุณถึงคิดว่าผมจะเบื่อที่นี่ล่ะ  "
        " ไม่ทราบสิคะ  ความคิดของคนต่างเมือง  หญิงเดาไม่ออก " 
        " รายา...คนในโลกนี้มีความรู้สึกไม่ต่างกันหรอก  รัก เกลียด โกธร โลภ หลง  รายา....ผมถามจริงๆ คุณเคยรักใครมั้ย  รักครั้งแรกน่ะ ? "
        "  อืม....หญิงไม่แน่ใจมากกว่าค่ะ  หญิงถูกล้อมกรอบกับเรื่องความรักมากที่สุด  ทำให้หญิงสับสนกับความรู้สึก ที่มีต่อเพศตรงข้าม คือรักแบบเพื่อน รักแบบพี่ชาย  หรือว่ารักแบบคนรัก มีผู้ชายไม่กี่คนเท่านั้นที่ใกล้ชิดกับหญิง มีหมอเลนิน ราชัย  เจ้าพี่ภู ความสับสนในความรู้สึก ที่ปนเปกัน  ทำให้หญิงไม่แน่ใจว่าหญิงรักใครแบบไหน  หญิงถูกห้ามจนหญิงไม่เชื่อ ในความรู้สึกของตัวเองอีกเลย  “
        " รายา....แล้วขณะนี้ล่ะ คุณแน่ใจแล้วหรือยังว่ารักผมแบบไหน  เพื่อน พี่ หรือว่าคนที่คุณมอบหัวใจให้  “   
        " มันสำคัญสำหรับคุณมากหรือคะ  หญิงให้สัญญากับคุณแล้วนะคะ  ว่าหญิงจะไม่แต่งงานกับใครอีก คุณจะเป็นคนคนเดียวเท่านั้นสำหรับหญิง  "  ทรงรับสั่งแล้วเม้มริมพระโอษฐ์นิดหนึ่ง 
        " รายา........ผมเป็นทหารนะ ไม่ใช่นักการทูตเหมือนคุณ ผมไม่อาจจะเข้าใจในความหมาย หรือความในใจของคุณได้เลย ทำไมไม่บอกกับผมตรงๆ  ทุกอย่างที่คุณบอกผม  ผมก็จะเชื่อคุณ เพราะผมรักคุณไง รายา  จะให้ผมบอกกับคุณยังไง คุณจะเปิดใจกับผมสักที ในชีวิตผมผมไม่เคย ที่จะอ้อนวอนให้ผู้หญิงคนไหนเปิดใจกับผมเลย เพราะผมไม่ได้รักใครมากอย่างนี้  เพียงแต่เคยต้องตาต้องใจเท่านั้น  " พระสวามีรับสั่งออกมา อย่างรู้สึกอึดอัดที่ไม่ทรงเข้าใจ ในท่าทีขององค์หญิง
        " ขอโทษค่ะ.....ที่หญิงทำให้คุณไม่สบายใจ  " 
        " ลืมมันเสียเถอะ... สักวันหนึ่ง  ถ้าผมโชคดีไม่ตายไปเสียก่อนก็คงได้รู้  "  รับสั่งด้วยเสียงที่ราบเรียบ  จนองค์หญิงไม่อาจจะเดาได้ว่า  รับสั่งนั้นเป็นรับสั่งที่ทรงประชดหรือเปล่า  
          ตกค่ำพระสวามีทรงเปียโน และร้องเป็นเพลงรักหวานซึ้งขึ้น องค์หญิงทรงประทับนั่งฟังอยู่ใกล้ๆและเอนพระเศียร ลงบนพระอังสาพระสวามี ทรงนิ่งฟังอย่างมีความสุข
              
                                        รัก....ข้ามขอบฟ้า รักคือสื่อภาษาสวรรค์
                                   อาจมีใจคนละดวง ต่างเก็บอยู่คนละทรวง
                                   ไม่ห่วงถ้ามีสัมพันธ์
                                        ขอบฟ้า เหนืออาณาใดกั้น
                                   ใช่รักจะดั้น ยากกว่านกโบยบิน
                                   รักข้ามแผ่นน้ำ รักข้ามแผ่นดิน
                                   เมื่อความรักดิ้น ฟ้ายังสิ้นความกว้างไกล
                                        ขอบฟ้าถึงโค้งมาคลุมครอบ
                                   อ้าแขนรายรอบ โอบโลกไว้ภายใน
                                   เหมือนอ้อมกอดรัก แม้ได้โอบใคร
                                   ชาติภาษาไม่สำคัญ เท่าใจตรงกัน
                                        ขอบฟ้า แม้จะคนละฟาก
                                   ห่างไกลกันมาก แต่ก็ฟ้าเดียวกัน
                                   รักข้ามขอบฟ้า ข้ามมาผูกพัน
                                   ผูกใจรักมั่น สองดวงให้เป็นดวงเดียว......
                 
         "  เพราะมากค่ะ มีความหมายลึกซึ้งเหลือเกินนะคะ  สำหรับเรา ? "  ทรงหันพระพักตร์มารับสั่งถาม 
         "  ผมร้องเพลงนี้ออกมาจากหัวใจนะที่รัก  "  รับสั่งแล้วทรงจรดพระนาสิก บนพระปรางขององค์หญิงเบาๆ 
         " ขอบคุณค่ะ หญิงจะจดจำเพลงของคุณไว้ในหัวใจเสมอ  " เงยพระพักตร์ขึ้นรับสั่ง แย้มพระสรวลกับเขา
         " ผมจะร้องให้คุณฟังบ่อยๆนะ  ถ้าคุณชอบ  ถ้าไปเมืองไทยจะ หาแผ่นเพลงนี้มาให้คุณ เพราะนักร้องคงร้องเพลงนี้ ได้เพราะกว่าผมน่ะจ๊ะ " 
         "  แต่หญิงอยากฟังคุณร้องมากกว่าค่ะ  หญิงฟังแล้วมีความสุขมากเหลือเกินค่ะ  " 
         "  ขอบคุณที่คุณมีความสุข  " 
         "  คุณจะไปจากหญิงมั้ยคะ ?  " สุรเสียงทรงออดอ้อน
         "  ไม่จ๊ะ...ผมจะอยู่ที่นี่ อยู่กับคุณตลอดไป  " รับสั่งกระซิบตอบ 
         "  ผู้พันคะ.......หญิงมีคุณในวันนี้  หญิงรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ไม่เคยมีมาก่อน  อย่าไปจากหญิงนะคะ  "  รับสั่งเพียงแค่นั้น  แล้วทรงหันมาโอบกอด และซุกพระพักตร์ไว้กับพระอุระ
         “  นอกจากความตายเท่านั้นจ๊ะที่รัก  ที่จะมาพรากผมไปจากคุณ  เรียกผมว่า " ศรัณย์ " ได้มั้ยที่รัก  จะได้ฟังดูไม่ห่างเหินแบบนี้ ? " 
         " ค่ะ....ศรัณย์ หญิงมีความสุขมากค่ะที่มีคุณ " ทรงโอบพระกร รอบพระวรกายของพระสวามีอิงแอบพระพักตร์และหลับพระเนตรลง
         " รายา.....คุณก็อ่อนหวาน เหมือนผู้หญิงได้เหมือนกันนะ "
         " ศรัณย์คะ......หญิงอยากเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง  สักวันหนึ่งเมื่อเราเสร็จสิ้นภารกิจบ้านเมือง  และเสด็จพ่อทรงหาย จากพระประชวรแล้ว  เราจะไปหาที่อยู่สักที่หนึ่ง  และอยู่ด้วยกัน  อย่างสามัญชนดีมั้ยคะ ? " 
        " ความจริงก็เป็นความคิดที่ดีนะ แต่เมื่อไหร่ล่ะครับรายา  ภารกิจบ้านเมืองของคุณจะเสร็จสิ้น  ผมยังไม่เห็นว่าจะเสร็จอะไรสักอย่าง คุณก็รู้ว่างานบ้านงานเมือง มีแต่จะเพิ่มขึ้น  มันไม่มีวันเสร็จหรอกจ๊ะ  นอกจากจะมีใคร มารับภารกิจนี้จากคุณไปแทน  และผมก็ไม่เห็นจะมีใครเลย "  รับสั่งทั้งที่อยู่ในอ้อมพระกรของกันและกัน
         " มันคงเป็นแค่ความฝัน ของผู้หญิงคนหนึ่ง  ที่อยากจะแหวกวงล้อม จากกรอบที่ขังของตัวเอง   แต่ก็ได้เพียงคิดเพียงฝัน และยังคงเดินวนเวียน อยู่ในกรอบนี้เท่านั้น  หญิงใฝ่ฝันอยากมีชีวิตเหมือนเพื่อนๆ  ที่ไปไหน เมื่อไหร่ก็ได้  ทานข้าว  ดูหนัง ฟังเพลง ไปช๊อปปิ้ง  แต่งตัวสวยๆตามสมัย ไปท่องเที่ยวสุดสัปดาห์ที่ไม่มีใครคอยติดตาม ช่างมีอิสรเสรีอย่างน่าอิจฉา "  พระสุรเสียงรำพันฝัน
         " รายา.....คนที่อยากเป็นเจ้าหญิงเหมือนคุณ  มีมากมายเป็นร้อยๆล้านๆคนทั่วโลก  เพราะเขาไม่รู้ว่าการเป็นเจ้าหญิงน่ะ  ลำบากลำบนแค่ไหน  สามัญชนอย่างผม มาเป็นคนหนึ่งในราชวงศ์ของคุณ  ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองก็ต้องมา อยู่ในกรอบเหมือนกัน  แต่ก็เพราะรักก็ยอมแล้ว ที่จะต้องอยู่อย่างนี้  "  รับสั่งกล่าวแล้วแย้มพระสรวลน้อยๆ
        " หญิงคงทำให้คุณต้องมา ลำบากด้วยใช่มั้ยคะ  ?  "
        " รายา....ไม่ได้ลำบากหรอก เพียงแต่ชีวิตผมเปลี่ยนไปน่ะ แต่ผมก็มีความสุข ที่ได้อยู่ใกล้ๆคุณนะ  "  รับสั่งทอดสุรเสียงอ่อนซึ้ง
        " ศรัณย์คะ.....รอหญิงอีกสักพักนะคะ ให้เหตุการณ์ทุกอย่างดีขึ้นกว่านี้ อีกสักนิดนะคะ  หญิงจะบอกคุณค่ะบอกถึงเหตุผลบางอย่าง ที่หญิงไม่อาจจะ.... "   ทรงหยุดที่จะรับสั่งคำใดต่อเงยพระพักตร์ขึ้น 
        " รายา....ผมจะรอ ถ้าเหตุผลของคุณ ทำให้คุณสบายใจ  " เขาเข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร
         องค์หญิงรายาทรงกอดพระสวามี  แนบพระปรางกับพระปรางของสวามี  แล้วทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตร มองพระพักตร์พระสวามี  อย่างทรงรู้สึกซาบซึ้งในน้ำพระทัยนัก
         ค่ำวันนั้น  ทั้งสองพระองค์ทรงเต้นรำ ด้วยกันท่ามกลางแสงเทียน  ภายในห้องที่ปิดไฟมืดหมดทุกดวง กลิ่นเทียนหอม หอมกรุ่นละมุน บรรยากาศที่โรแมนติคหวาน  ทำให้พระหทัยของทั้งสองพระองค์ หวานหวามอาบสุข  อบอวลด้วยกลิ่นอายแห่งรัก  พระสวามีทรงตระกองกอด พระองค์ไว้ในวงพระกร  องค์หญิงซบพระพักตร์แนบพระปราง ของพระสวามี พระหัตถ์ทรงเกาะกุมกันไว้  เสียงเพลงรักแผ่วหวานซึ้ง  ทำให้เหมือนกับทรงประทับอยู่บนวิมาน ทั้งสองพระองค์สบพระเนตรกันนิ่งนาน เหมือนจะบอกทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่ในพระหทัย  โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย รับสั่งคำใดๆออกมาอีกเลย  เวลาแห่งห้วงของความสุข ทำให้ทั้งสองพระองค์  ทรงดื่มด่ำซาบซึ้งในพระหฤทัย 
         "  ศรัณย์คะ......เราจะอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตมั้ยคะ "  ทรงรับสั่งกระซิบแผ่ว
         "  อยู่สิจ๊ะ ผมจะอยู่กับคุณ จนลมหายใจสุดท้าย  ถามอะไรอย่างนี้จ๊ะ  " 
         "  หญิงอาจจะเป็นคน ที่ทำให้ชีวิตของคุณ  มีเงื่อนไขมากมาย  สักวันหนึ่ง.....คุณก็อาจเบื่อหญิง เบื่อที่นี่  " องค์หญิงรับสั่งอยู่กับพระอุระของพระสวามี 
         " ไม่หรอก  อย่าคิดว่าจะมีวันนั้น  ผมไม่จากคุณไปไหนหรอกจ๊ะ....ผมเข้าใจคุณนะรายา  ผมรักคุณมากนะ สิ่งที่คุณไม่ให้ผม  มันก็ไม่ได้สำคัญ จนผมต้องจากไปนี่จ๊ะ  ผมก็จะอยู่เคียงข้างคุณ  และเป็นกำลังใจให้คุณนะที่รัก  "  รับสั่งแล้วใช้สองพระหัตถ์  ประคองพระพักตร์ขององค์หญิงขึ้น ก้มลงจุมพิตพระโอษฐ์นั้น  องค์หญิงทรงรับจุมพิต จากพระสวามีอย่างเต็มพระหทัย 
         " ขอบคุณค่ะ  ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณให้หญิง "  ทรงรับสั่งเบาๆ อยู่กับพระอุระของพระสวามี

         วันที่สามนางกำนัล  ยกห่อของขวัญทั้งหมดขึ้นมา ทูลถวายให้บนห้อง  องค์หญิงทรงชวนพระสวามีแกะห่อของขวัญ ห่อเล็กที่สุดที่ทรงแกะออก เป็นของเจ้าอิงภู  ข้างในเป็นกล่องกำมะหยี่สีแดงรูปหัวใจ  เมื่อเปิดออกดูก็พบว่าเป็นเข็มกลัดเพชร  รูปหัวใจเพชรสีชมพูน้ำงาม  บอกถึงมูลค่ามากมาย  กระดาษคล้ายนามบัตรชิ้นเล็กๆตกลงมาจากก้นกล่อง  ทรงเปิดอ่านข้อความสั้นๆนั้น  “ แทนใจรักของพี่ “ ลงพระนาม อิงภู
        พระสวามีทรงทอดพระเนตร  เห็นว่าพระหัตถ์ขององค์หญิงสั่นน้อยๆ  ทรงเม้มริมพระโอษฐ์นิดหนึ่ง  แล้วปิดกล่องเข็มกลัดเพชร  ก้มพระพักตร์ลงซ่อน สายพระเนตรของพระองค์ลง
        “  ของขวัญชิ้นนี้ คงมีความหมายกับคุณมากสินะ  “  คำรับสั่งที่เปรยขึ้นนั้นเรียบๆก็จริง  แต่ก็ทรงรู้ว่าเป็นรับสั่งประชด
        “  เปล่าค่ะ เพียงแต่หญิงรู้สึกว่า  เจ้าพี่ภูน่าจะเก็บไว้ประทาน  ให้คนอื่นที่เหมาะสมมากกว่าหญิงน่ะค่ะ “
        “  แล้วทำไมคุณถึงต้อง ทำหน้าเศร้าแบบนี้ด้วยล่ะ “ พระสวามีทรงประคองพระพักตร์ พระองค์หญิงขึ้น รับสั่งถาม
    สุรเสียงเครือสะท้านขึ้นน้อยๆ  “ เพราะหญิงรู้สึกว่า หญิงทำร้ายจิตใจของคนที่รักหญิง  หวังดีกับหญิงเสมอมาน่ะค่ะ “
        “ แล้วหัวใจของคุณล่ะ  ถูกทำร้ายเพราะต้องมาแต่งงาน กับผมหรือเปล่ารายา “
         ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นสบพระเนตรกับพระสวามี  และโถมองค์เข้ากอดพระสวามีไว้   “ ไม่ค่ะศรัณย์  หญิงตัดสินใจถูกแล้วค่ะ ที่แต่งงานกับคุณ  หญิงไม่ได้ฝืนใจ ที่จะแต่งงานกับคุณ หญิงมีความสุขอบอุ่นมากนะคะที่ได้อยู่กับคุณ “ 

         สามวันที่ทั้งสองพระองค์  ทรงต้องประทับอยู่ด้วยกันตามลำพัง  ตามประเพณีของสวาติติผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันที่สี่องค์หญิงและพระสวามี  ทรงบรรทมตื่นแต่เช้า องค์หญิงลงมาฝึกทหารตามปรกติ  ที่เคยทรงปฏิบัติ และกลับเข้าพระตำหนักไปเปลี่ยนเครื่องทรง  พันเอกศรัณย์พระสวามีเสด็จไปที่เรือนนอนของทหารในบังคับบัญชา เพื่อทรงตรวจตราความเรียบร้อย บัญชาการสั่งให้ทหาร ทำความสะอาดเรือนนอน  และให้ดายหญ้ารอบๆเรือนนอนให้เตียน  จ่าหวังทหารคนสนิท  เดินเข้ามารับใช้ใกล้ชิด   แล้วเอ่ยออกมาอย่างทะเล้น 
        "  พระสวามีผู้พัน....ทรงเป็นผู้ชายที่น่าทรงอิจฉาที่สุดเลย   กระหม่อมรู้สึกทรงอิจฉาผู้พันจริงๆ  "   
        " เจอหน้าก็เริ่มทะลึ่งเชียว  ถ้ามันลำบากมากนัก  ก็พูดธรรมดาน่ะ ฟังแล้วเวียนหัว  สามวันมานี่มีเหตุการณ์อะไรบ้าง รายงานมาสิจ่า  "  ผู้พันหนุ่มกล่าวดุๆแต่ก็อย่างรู้สึกขำๆ  ในคำราชาศัพท์ของจ่าหวัง
        " ก็มีหน่วยของเรา  ร่วมกับหน่วยลาดตะเวน  ที่เจ็ดของสวาติติ  ออกลาดตะเวนและหาข่าว  และมีข่าวว่าทางนายพล ราเปรียง  กำลังรวบรวมพวกชน กลุ่มน้อยมาฝึกอาวุธ  คิดว่าพวกมันคงต้องมี แผนการร้ายแน่ๆครับ  "  จ่าหวังรายงาน 
        " จ่าหวังเรียกฝ่ายข่าวกรอง  มาพบฉันที่กองบัญชาการด้วย วันนี้เลยนะ  "  ผู้พันหนุ่มสั่ง
        " ครับผม....ผู้พันครับ....ผู้พันหน้าตาสดใสขึ้นนะครับ  ไม่เจอแดด เจอลม เสียสามวันนี่  แต่ก็ยังดูกระชุ่มกระชวยดีอยู่นะครับ "  จ่าหวังตอบรับ  และถามทิ้งท้ายอย่างล้อเลียน
        " เริ่มแล้ว  เริ่มทะลึ่ง เดี๋ยวก็โดนจนได้  "  เขากล่าวทำท่าฮึ่มๆ
        " โธ่ผู้พัน.......ผมดีใจต่างหาก  ที่เจ้านายของผมได้เป็นพระสวามี  อีกหน่อยก็ได้เป็นเจ้าครองนครนี้  ผมจะได้เป็นข้าราชบริพารไงครับ  ได้รับใช้ใกล้ชิดเจ้านาย มีบุญที่สุดเลยละครับ  "  จ่าหวังกล่าวอย่างรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
        " จ่าไม่กลับไปอยู่เมืองไทยหรือไง  ?  "  เจ้านายถามลูกน้อง  อย่างอยากรู้ความรู้สึก
        " ผู้พันอยู่ที่ไหน ผมก็อยู่ที่นั่นแหล่ะครับ ผมไม่ทิ้งเจ้านายหรอก  ผมจะไปพาลูกพาเมียมาอยู่ที่นี่เลย "
        " ก็ดีฉันจะได้มีเพื่อนคุย  แล้วบริษัทอีตันทำถนนไปถึงไหนแล้วล่ะ  มีทหารไปคุ้มกันหรือเปล่า เหตุการณ์ปรกติดีมั้ย ?  "
        " แค่สามวันเอง  เพิ่งจะเริ่มเกรดครับเจ้านาย  มีหน่วยคุ้มกันไปผลัดเปลี่ยนเวรกันตลอดครับ  แล้วเมื่อวานนี้ผมไปที่แค้มป์มา ผมเจอคุณนิตยาด้วยครับ   เธอร้องไห้ร้องห่มกับผม  เห็นบอกว่าจะลาออกกลับเมืองไทย แต่รอที่จะพบเจ้านายอยู่ครับ เธอทำท่าน่าสงสารนะครับ  "  จ่าหวังรายงาน
         "  อย่าให้เขามาหาฉัน  ฉันไม่อยากมีปัญหากับผู้การ  "  เขากล่าวเสียงเรียบๆ  ขมวดคิ้วนิดหนึ่ง 
         "  แต่งงานได้สามวัน  ก็เกียมัวเสียแล้วเจ้านายเรา ผู้การท่านหึงเป็นด้วยหรือครับ  เห็นทำสีหน้าเย็นๆ  เหมือนท่านไม่รู้สึกอะไร "  จ่าหวังกล่าวเปรยๆขึ้นอย่างล้อเลียน
         "  จ่า......ผู้หญิงไม่ว่าจะสูงส่งขนาดไหน  ก็หึงเป็นทั้งนั้น  ยิ่งผู้การด้วยละ ทั้งประชดประชันถากถางฉันเรื่องนี้ จนฉันไม่รู้จะทำยังไง อธิบายยังไงๆก็ยังประชดประชันอยู่ดี  "  เขากล่าวกับจ่าหวังด้วยน้ำเสียงปลื้มน้อยๆ แทนที่จะหงุดหงิด 
         "  แสดงว่าผู้การหลงรักเจ้านายแล้วแหงๆเลย  ไม่ใช่ยอมแต่งงาน เพราะกฎอย่างเดียวหรอก แต่ทั้งรักทั้งเต็มใจเลยละ "  จ่าหวังกล่าวแล้วยิ้มๆอย่างทะเล้น
         " รู้ดีอีกแล้วจ่า "  
         " จริงๆนะครับเมื่อวันแต่งงานน่ะ  ตอนที่เจ้านายเต้นรำกับผู้การ  ผมไปยืนแอบมองอยู่ที่ข้างประตู ผู้การมองหน้าเจ้านาย  สายตาของท่านบอกว่ารักเจ้านายจริงๆนะครับ "  จ่าหวังเล่าแล้วทำท่าทางฝันหวาน
         " รู้ไปหมดทุกเรื่อง "  ผู้เป็นเจ้านายกล่าวขึ้น  แล้วส่ายหน้าน้อยๆแต่ก็ด้วยรอยยิ้มที่เอิบอิ่มสุขสม   
         " ท่านนายพลคุณพ่อของผู้พัน  ท่านปลื้มใจนะครับ  ที่ลูกชายของท่านได้แต่งงานกับเจ้าหญิง  ท่านบอกกับผมว่าอยาก ให้เจ้านายมีหลานให้ท่านอุ้มเร็วๆ  "  จ่าหวังกล่าวถึงบิดา
         " จ่า.......ฉันจะเข้ากองบัญชาการ  ให้ฝ่ายข่าวกรองไปพบฉันด้วย  "  ผู้พันศรัณย์สั่งสีหน้าเครียดขึ้นนิดหนึ่ง  จ่าหวังทำท่างงๆกับท่าทีของเจ้านาย  ที่จู่ๆก็ทำสีหน้าเครียดขึ้นอย่างไม่มีเหตุมีผล  
         ผู้พันขับรถกลับมา ที่กองบัญชาการ  เขาเข้ามาในห้องทำงาน ของผู้บัญชาการสาว  ซึ่งกำลังอ่านแฟ้มรายงานอยู่เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา  สีหน้าเครียดน้อยๆ
        " ศรัณย์คะ....หญิงได้รับรายงานว่า  นายพลราเปรียง กำลังรวบรวมกำลังจะบุกเรา  " 
        " ผมก็เพิ่งได้รับรายงานเหมือนกัน  ผมให้เรียกฝ่ายข่าวเข้ามาแล้วละ  เราจะฟังข่าวกรองรายงานก่อน  และค่อยประเมินสถานการณ์  แล้ววางแผนตั้งรับอีกที  " 
        " ทำไมเราต้องตั้งรับ เราจะบุกพวกมัน  ก่อนที่มันจะบุกมา หญิงไม่ชอบการตั้งรับ แบบทุกวันนี้เลย  และจะไม่คอย ให้มันมาบุกเราก่อนอีกแล้ว "  
        " รายา.......เราต้องฟังฝ่ายข่าวก่อน  แล้วค่อยประเมินกำลังพลของพวกมัน   และดูว่าเราจะใช้ยุทธวิธียังไง ที่เราจะเสียกำลังพล ของเราให้น้อยที่สุด  เราต้องทำอย่างรัดกุม  คุณอย่าเพิ่งใจร้อนนะครับ  " 
        " โอ เคค่ะ  "  เธอนั่งลงครุ่นคิด  แล้วเอ่ยขึ้นอย่างนึกได้  เธอยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ที่เกือบจะสามโมงเช้า  "  คุณทานเช้าแล้วหรือยังคะ  หญิงแย่มากเลยที่ปล่อยให้คุณหิว  " 
        " แล้วคุณล่ะทานอะไรหรือยัง  ผมทายว่ายัง คุณเองก็ลืมอาหารทุกมื้อ เพราะเคร่งเครียดแต่กับงาน  "  เขาถามอย่างต่อว่า
        " หญิงลืมค่ะ  หมวดราเมนมาเรียกครั้งหนึ่งแล้วค่ะ พออ่านรายงานก็ลืมเลย ไปค่ะไปทานเช้ากัน  "  เธอกล่าวแล้วรีบลุกขึ้นทันที

         เกือบเที่ยง ฝ่ายข่าวกรองที่ถูกเรียกตัว เข้ามารายงานตัวในกองบัญชาการ  แต่ผู้พันศรัณย์ไม่อยู่ในกองบัญชาการ นายพลสาวเรียกหมวดราเมนเข้ามาถาม
        "  หมวด  ผู้พันศรัณย์ไปไหนช่วยตามให้หน่อย " 
        "  ไม่ทราบว่าไปไหนครับ ขับรถจิ๊ปออกไปกับจ่าหวัง ไม่ทราบว่าไปที่แค้มป์บริษัทอีตัน  หรือว่าไปที่ศูนย์ฝึกครับผม  " 
        "  วิทยุเรียนเชิญท่านด่วน " ผู้การสาวสั่ง สีหน้าหงุดหงิดน้อยๆ
         เพียงสิบห้านาทีผู้พัน ก็ปรากฏกายขึ้นที่กองบัญชาการ  ผู้การสาวถามทันที 
        " ไปคุมงานที่แค้มป์มาหรือคะ  เป็นไงคะคงจะเรียบร้อยดีสินะคะ  ขอโทษที่ต้องเรียกตัวด่วน  ฝ่ายข่าวมารออยู่ในห้องประชุมเล็กค่ะ "  เธอกล่าวเหน็บเขา  แล้วไม่รอคำตอบ  ลุกเดินไปที่ห้องประชุม
         พันเอกศรัณย์อ้าปาก จะตอบคำถามแต่ไม่ทัน  เขาเดินตามเธอเข้าไปในห้องประชุม  ฝ่ายข่าวนั่งรออยู่แล้ว ทหารฝ่ายข่าวที่แต่งกายแบบชาวบ้าน  ลุกขึ้นทำความเคารพทั้งสองผู้บังคับบัญชา ผู้การสาวเอ่ยขึ้นก่อน
        " สวัสดีจ่า.มิงเว  ข่าวที่ส่งมา  เป็นข่าวที่เชื่อถือได้แค่ไหน ?  "
        " ข่าวที่ได้มาแน่นอนครับท่าน   เพราะผมและพรรคพวก  เข้าไปอยู่กับพวกกระเหรี่ยงที่เป็นพวกของมัน  ผมได้ยินว่า  พวกมันให้กองกำลังทหารป่า ออกไปกวาดต้อน  บังคับพวกชนกลุ่มน้อย  และพวกชาวเผ่าหลายเผ่า ตามชายแดนใกล้เคียง  บังคับให้มาฝึกอาวุธเพื่อโจมตีสวาติติครับผม  เพราะมันต้องการพื้นที่ชายแดนของเรา ที่มีน้ำครับผม  เพราะตอนนี้ทหารของเราผลักดัน  จนพวกมันถอยร่น ออกไปนอกชายเขตแดน  ที่ที่มันอยู่ตอนนี้ไม่มีน้ำครับ  มีแต่น้ำบ่อ ที่จะแห้งขอดตอนหน้าแล้งครับผม " 
         " กำลังพลของพวกมันในตอนนี้ มีทั้งหมดเท่าไหร่  พอจะประมาณได้มั้ย ?  "  ผู้พันกล่าวถาม
         " ที่พอจะเห็นก็กะได้คร่าวๆนะครับ  ก็คงประมาณสามถึงสี่พันกว่าคน  แต่ก็ไม่แน่ใจว่า ยังมีมากกว่านี้อีกหรือไม่ครับท่าน  เพราะมีการซุ่มฝึกทหาร  กันหลายที่ครับผม  แต่อาวุธของพวกมันทันสมัย มากครับ  และก็มีอานุภาพ  ทำลายล้างสูงมากครับผม  แต่ผมไม่ทราบแผนการของมัน  ว่าจะวางแผนทำยังไงต่อไป  พวกมันมีการประชุมลับ กันทุกคืนครับผม  "  
         " ดูในแผนที่แล้ว  พอที่จะชี้จุดที่ตั้งของพวกมันได้มั้ยจ่า  "  ผู้พันกล่าวถามกับจ่าฝ่ายข่าวของสวาติติ
         ฝ่ายข่าวและทั้งสองผู้บังคับบัญชา  เดินไปที่แผนที่  เมื่อดูแผนที่แล้วจ่ามิงเว  ชี้ไปตามแนวตะเข็บชายแดน นายพลสาวอธิบายถึงภูมิประเทศ  ให้ผู้พันพระสวามีฟัง ถึงจุดต่างๆประกอบด้วย
        " หญิงคิดว่าถ้าเรา จะใช้กำลังบุกพวกมัน  โดยไม่ให้พวกมันตั้งตัวได้ทัน  จะดีมั้ยคะ ?  " 
        " ก็เป็นความคิดที่ดี  แต่เราต้องพร้อมที่สุด เพราะพวกนั้นเก่งและชำนาญ พื้นที่ในป่ามากกว่าเรา  และทางเราก็ยังมีจุดอ่อน  ที่เรายังไม่รู้ถึงที่ตั้งกองกำลัง  ที่แน่นอนของพวกมัน  ถ้าเราผลีผลามเข้าไป  อาจจะโดนพวกมันโอบล้อม  เราจะสูญเสียกำลังพลเปล่าๆ เราคงต้องใช้ยุทธวิธี แบบกองโจรเล่นงานกับมัน ต้องสืบ ให้รู้ว่าคลังแสงของพวกมัน  อยู่ตรงไหนได้ก่อน "
         " แล้วยังไงต่อคะ ? "  ผู้การสาวกล่าวถาม 
           ผู้พันไม่กล่าวแผนการอะไรตรงนั้น  สั่งบอกให้หน่วยฝ่ายข่าว ผู้นั้นรออยู่ก่อน  และเดินนำผู้บัญชาการกลับไปที่ห้องทำงาน แล้วปรึกษากันเพียงลำพัง 
         " เราจะส่งทหารฝ่ายสงครามพิเศษ  ไปแทรกซึมปะปนอยู่กับชาวบ้านก่อน  แล้วสืบให้รู้ว่าคลังแสงของพวกมันซ่อนอยู่ตรงไหน  เราค่อยหาทางทำลายคลังแสงของพวกมัน  เพื่อตัดกำลังทางอาวุธ  และอีกอย่างก็คือ  ค่อยๆอพยพชาวบ้าน ตามแนวชายแดน  เข้ามาในเขตที่ปลอดภัย   โดยปล่อยข่าวว่า เรามีงานให้ทำที่เหมืองใหม่ของบริษัทฝรั่ง  เพื่อไม่ให้พวกมันสงสัย ในการอพยพผู้คนของเรา  เพื่อที่การโจมตีของเราจะสะดวกกว่านี้  และเราจะตั้งแค้มป์ ไว้ในจุดที่ล่อแหลม  เพื่อล่อให้มันโจมตี แต่เราจะซุ่มกำลังไว้ตามรายทาง  เพื่อดักซุ่มรอพวกมัน  และกำลังที่เหลือส่วนใหญ่ของพวกเรา  จะเข้าโจมตีฐานของมันพร้อมกัน และต่อจากนี้  เราจะเริ่มทยอยนำกำลังพลไปสับเปลี่ยน  โดยไม่ให้พวกมันรู้  คุณเห็นด้วยกับแผนนี้มั้ยผู้การ  " 
         นายพลสาวมองแผนที่บนโต๊ะทำงาน  แล้วครุ่นคิดในแผนการของผู้พัน ศรัณย์แล้วเอ่ยถาม  " เราจะเคลื่อนกำลังพลยังไง  ที่ไม่ให้พวกมันรู้ตัวก่อนคะผู้พัน " 
        " เราจะเริ่มเคลื่อนย้ายกำลังพล  ให้มันเห็นว่าเราเพียงแต่  สับเปลี่ยนกำลังเท่านั้น  แต่กำลังพลของเราที่จะปฏิบัติการจริง  จะซ่อนตัวไปกับรถทำถนนของบริษัท อีตัน  โดยทำทีเป็นคนงานบ้าง  หรือซ่อนตัวไปกับรถขนอุปกรณ์การก่อสร้างบ้าง  เพื่อพรางตาไม่ให้พวกมันรู้ว่า  เรานำกำลังพลหน่วยรบพิเศษ ที่เรากำลังฝึกไปที่ชายแดน  คงต้องขอความร่วมมือ กับทางบริษัทอีตันด้วยแล้วละครับ  "  ผู้พันศรัณย์กล่าวแผนการทั้งหมดให้เธอฟัง
         " เมื่อเช้าคุณไปที่แค้มป์ มาแล้วไม่ใช่หรือคะ  งั้นคุณก็ไปขอร่วมมือ จากเขาด้วยก็แล้วกัน  "  เธอกล่าวด้วยเสียงเรียบๆจนผู้พันหนุ่มไม่อาจเดาความหมาย  ในคำพูดของเธอได้  เขาทำสีหน้างง
        " ผมยังไม่ได้ไปที่แค้มป์  มิสเตอร์ วินสันเลยนะครับผู้การ  " 
        " ก็คุณหายไปไหนมาล่ะคะ  ที่ฉันต้องวิทยุตามตัวน่ะ "  ผู้การกล่าวสอบสวนทันที
        " ผมไปที่สนามฝึกยิงปืน  ไปดูทหารซ้อมอาวุธมาครับผม ไม่บังอาจไปนอกสถานที่หรอกครับผม ถ้าท่านผู้การภรรยาไม่ได้สั่ง  " ผู้พันกล่าวพร้อมกับก้มศีรษะน้อยๆ  ยิ้มในสีหน้าให้นายพลหญิง  ผู้บัญชาการ  อย่างล้อเลียน
        " นึกว่าคุณจะไปตรวจที่แค้มป์  ว่าคนงานที่นั่นอยู่สุขสบายดีหรือเปล่า ไม่เป็นห่วงคนของคุณหรือคะ ? " ผู้การสาวกล่าวถาม ด้วยน้ำเสียงเรียบๆเป็นปรกติ  แต่ไม่เงยหน้าขึ้นจากสมุดที่กำลังเขียนอยู่
        " ผมไม่มีคนของผมที่นั่น  คนของผมอยู่ที่นี่ "  เขากล่าวด้วยเสียงเรียบๆเช่นเดียวกัน  แต่ความหมายในคำพูดทำให้ผู้การสาว  ต้องเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขานิดหนึ่ง  แก้มเป็นสีเข้มขึ้น 
        " กะล่อน "  เธอเอ่ยขึ้นเบาๆ 
        " ถ้าผู้การกล่าวหา  ว่าผมกะล่อนอีก ผมจะจูบผู้การในห้องทำงานตรงนี้  "  เขากล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉยและจริงจังพร้อมทั้งเลิกคิ้ว  มองหน้าแดงกล่ำของผู้การสาว
         นายพลสาวนิ่งเงียบ ค้อนเขาน้อยๆ หน้าบึ้งนิดๆ  แต่แววตาของเธอมีแววขัน  ทั้งสองเดินกลับไปในห้องแผนที่อีกครั้ง 
         " จ่ามิงเว.........ฝ่ายข่าวกรองของเรา  ตอนนี้มีทั้งหมดกี่คน ?  " นายพลสาวกล่าวถาม
         " สิบแปดคนครับผม  ผมเป็นหัวหน้าหน่วยครับผม  ตอนนี้ทุกคนอยู่ในพื้นที่ ปฏิบัติภารกิจอยู่ครับ  ผมรวบรวมข้อมูล ทั้งหมดรีบมารายงานเบื้องต้น  ให้ทราบครับผม  "
         " ดีมาก ฉันอยากให้จ่า  เร่งหาข่าวเกี่ยวกับคลังแสง  และที่มั่นของกองกำลัง ของพวกมันให้ฉันด้วย  ขอให้ช่วยกันสืบค้น ให้แน่ชัดแล้วรีบส่งข่าวด่วนเลยนะ  และขอให้จ่าช่วยบอก พวกเราทุกคนด้วยนะ  ว่าฉันขอบใจและขออวยพร ให้ทุกคนปลอดภัย  เชิญจ่ากลับได้ "  ผู้การสาวกล่าวแล้วยิ้มให้จ่ามิงเว ซึ่งเขารีบรับคำสั่ง ทำความเคารพผู้บัญชาการ  ทั้งสองแล้วเดินกลับออกไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×