ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรางรัก ลวงใจ (ตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์สมาร์ทบุ๊ค)

    ลำดับตอนที่ #12 : ทรงลงโทษหมวดราชัย(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.97K
      5
      13 ก.พ. 52

             ตอนที่ 12  ทรงลงโทษหมวดราชัย  
            
              ในตอนสายของวันรุ่งขึ้น  การประชุมของเสนาบดีเมือง ที่ครบวาระประชุมอีกครั้ง ได้เริ่มต้นขึ้น  เหล่าเสนาบดีกระทรวง และข้าราชการผู้ใหญ่  เดินเข้ามานั่งในห้องประชุมอย่างพร้อมเพียงกันแล้ว องค์หญิงดำเนินเข้ามาในห้องประชุม ทุกคนที่อยู่ณ.ที่นั้น  ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ  หมวดราชัยทำหน้าที่เลขานุการ  โดยนั่งอยู่ทางเบื้องซ้ายเยื้องไปทางด้านหลังขององค์หญิง  พันเอกศรัณย์นั่งอยู่ด้านหน้า และเห็นพระอิริยาบถอันสง่างาม  และทรงมีความมั่นพระหทัยขององค์หญิง  ทรงมีพระดำรัสเปิดประชุม
         “ สวัสดีทุกท่านที่เข้าร่วมประชุมในวันนี้ ข้าพเจ้าในฐานะองค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขอเปิดการประชุม และขอเชิญทุกท่านที่มีข้อราชการที่สงสัย  ต้องการจะซักถาม  ได้มีโอกาสถามข้าพเจ้าได้ เชิญทุกท่าน  "  องค์หญิงประทับยืนขึ้นกล่าว ทุกคนในที่นั้นทำความเคารพเธอและนั่งลง 
          เสนาบดีฝ่ายปกครอง ท่านซองปาลุกขึ้นกราบทูลถาม  " เกล้าหม่อมฉันขอกราบทูลถามองค์หญิง เกี่ยวกับการที่พระองค์ให้สัมปทานบริษัทฝรั่ง  ในการขุดหาแร่รัตนมณีของเมืองเรา ซึ่งพวกเสนาบดีคณะปกครองทั้งหลาย ยังข้องใจว่าทำไมเราจึงต้องให้คนต่างชาติ  เข้ามาทำการครั้งนี้  ขอให้องค์ผู้สำเร็จราชการ  ทรงประทานชี้แจงถึงพระราชวินิจฉัยให้พวกเราทราบด้วยพระเจ้าค่ะ "
    องค์หญิง รายาทรงลุกขึ้นประทับยืน และทรงเริ่มรับสั่งชี้แจง  "  เมื่อหกเดือนก่อน พวกท่านคงจำได้ว่า ข้าพเจ้าได้เดินทางไปต่างประเทศ  เนื่องในการเจรจาจัดซื้ออาวุธ  และข้าพเจ้าได้พบกับเพื่อน ที่เรียนด้วยกันที่อังกฤษ  เขาเป็นนักธรณีวิทยา และมีเครื่องมือในการค้นหาแร่บนพื้นผิวโลก ด้วยวิธีการค้นหาจากดาวเทียมสำรวจ และจากผลของการสำรวจของดาวเทียม  เขาแน่ใจว่าในพื้นที่ของแคว้นเรา ซึ่งก็เป็นเขตติดต่อกับแคว้นไพลินยา มีหินที่มีค่าซึ่งก็คงอาจจะเป็นเพชร  หรือ ว่าทับทิม  ที่เราก็รู้ว่าเรามีทรัพยากรนี้อยู่แล้ว  เขาคาดว่าเราจะพบกับไพลิน หรือเพชรเหมือนที่แคว้นไพลินยา  เพราะเรามีอาณาเขตใกล้เคียงกัน  แต่ข้อมูลการค้นพบครั้งนี้   ข้าพเจ้าดูแล้วก็ทราบว่า เราไม่มีศักยภาพเพียงพอในด้านวิทยาการ และเครื่องมือที่ทันสมัยเลย เพราะแร่นี้อยู่ลึกลงไปในชั้นดิน ประมาณเกือบสี่สิบเมตร  ข้าพเจ้าจึงได้ลองติดต่อประสานงานกับบริษัทในต่างประเทศ ที่เคยได้รับสัมปทานจากแคว้นไพลินยา  ให้เขาดูข้อมูลที่เรามีอยู่  ซึ่งเขาสนใจมาก  และเสนอที่จะขอมาลงทุนกับเรา  ซึ่งเราและเขาจะร่วมมือกันในการทำงาน  เรามีสัญญาที่รัดกุม และไม่มีทางเสียเปรียบในทุกๆด้าน  ซึ่งความจริงแล้วข้าพเจ้า ก็เคยเรียนท่านทั้งหลายในที่ประชุม ไปแล้วครั้งหนึ่ง  ไม่ทราบว่าพวกท่านสงสัยสิ่งใดนอกเหนือ จากที่ข้าพเจ้าได้ชี้แจงไปแล้ว " 
          เสนาบดีซองปาบิดาของหมวดราชัย  ลุกขึ้นยืนทำความเคารพแล้วกล่าวขึ้นอีกครั้ง  " แต่พวกเราคิดว่า  ถ้าเราจะลองใช้กำลังคนของเรา ในการขุดแบบของเรา ทรัพยากรในแผ่นดินก็จะเป็นของเราทั้งหมด และอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่จำต้องแบ่งให้ใคร จะไม่เป็นการดีกว่าหรือ พระเจ้าค่ะ  " 
         " ท่านซองปา.....เราเองก็อยากจะทำอย่างที่ท่านคิด  แต่เราเคยไปดูเหมืองขุดที่ใหญ่ๆมาแล้ว  มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัย  หรือมีคนที่เชี่ยวชาญมาช่วย ก็เปรียบเสมือนแท่นที่ขุดเจาะน้ำมัน ถ้าเรามีน้ำมันก็ต้องอาศัยประเทศที่เขามีวิทยาการ  มาตั้งแท่นเครื่องขุดเจาะมีการลงทุนที่สูงมาก แล้วถ้าเราไม่มีปัญญา ที่จะขุดมันขึ้นมา  มันก็จะเป็นเพียงทรัพย์ในดินอยู่อย่างนั้น จะมีประโยชน์อะไรหรือ ? "  องค์หญิงทรงรับสั่งอธิบายและรับสั่งย้อนถาม 
         " ทำไมเราจะขุดมันขึ้นมาไม่ได้  ในเมื่อเรามีแรงคนมากมาย เราก็ต้องใช้ความพยายามทำให้สำเร็จ  ถึงแม้ว่าอาจจะช้าไปสักหน่อย " เสนาบดีเฒ่าแย้ง
         " ท่านจะใช้แรงคนหรือรถขุดที่เรามีอยู่  ขุดลงไปในใต้ดินที่ลึกถึงสี่ห้าสิบเมตร  โดยไม่มีเครื่องจักร  หรือเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย  อย่างเช่นเครื่องชี้นำทางว่าแร่อยู่ตรงไหน  เราจะสุ่มเสี่ยงขุดไปเรื่อยๆเลยหรือยังไง  เราไม่มีความรู้ในเรื่องชั้นดิน ชั้นหิน  มีแต่แรงคนและการขุดแบบเก่าๆ  มันแทบจะเป็นไปไม่ได้  เพราะดินที่เราขุดขึ้นมา อาจจะถล่มลงไปทับพวกคนงาน  แล้วเมื่อเราขุดลึกลงไปมากๆก็จะกลายเป็นบ่อน้ำกว้าง  ต้องมีการวางท่อระบายน้ำและสูบออก ยิ่งยากแก่กำลังคนของเรา แต่ทางบริษัทที่เราให้สัมปทานเขา เขามีเครื่องมือมีวิทยาการที่ทันสมัย  ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีโครงข่ายกับสัญญาณดาวเทียมค้นหาแหล่งแร่  ได้อย่างแม่นยำซึ่งเราไม่มี  เราให้เขาเพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์  จากทรัพย์สินที่เราจะได้  และเขาจะต้องสร้างถนนเข้าไป  ที่ที่จะขุดเจาะ  เราก็จะได้ถนนอีกด้วย และประชาชนของเรา ก็จะมีงานทำ  ความเป็นอยู่ของราษฎรก็จะดีขึ้น  เพราะในสัญญานั้น เราบังคับให้เขาจ้างคนงานของเราเท่านั้น  ท่านและทุกคนคิดว่าข้าพเจ้าตัดสินใจให้ผู้อื่นมาถือกรรมสิทธิ์ ในทรัพยากรของเรา  โดยที่เราจะต้องเสียเปรียบเขานั้นหรือ  ข้าพเจ้าคิดและทำสัญญากับเขาอย่างรอบคอบแล้ว  ซึ่งสัญญานั้นเราก็ส่งให้ท่านดูแล้วทุกคนไม่ใช่หรือ  ถ้าตรงไหนคิดว่าเราต้องเสียเปรียบ เราก็เปิดโอกาสให้ทุกท่านแย้งได้อยู่แล้ว  แต่เกือบสามเดือนแล้วก็ไม่มีใครแย้งขึ้นมาเลยนี่  และในเมื่อเราให้โอกาสทุกท่านแล้ว แต่เมื่อไม่มีใครขัดแย้ง ข้าพเจ้าก็ได้เซ็นสัญญาไปแล้ว ท่านถามคำถามใหม่มาได้เลย  " องค์หญิงรายารับสั่งอย่างมีเหตุมีผล  และตัดบทกับคำถามนั้น
           "  แล้วใครจะเป็นผู้ตรวจสอบทรัพย์สินที่ขุดได้หรือ พระเจ้าค่ะ "  ท่านเสนาบดีอีกท่านทูลถามขึ้น
          " ก็พวกท่านไงล่ะ ท่านต้องแต่งตั้งคณะผู้ตรวจสอบ ดูแลการทำงานตรงนี้ขึ้นมา ข้าพเจ้าจะเป็นประธานเอง ท่านหาคนที่คิดว่าจะทำงานตรงนี้ได้อย่างเหมาะสม ซื่อสัตย์สุจริตและคนที่ทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ  ข้าพเจ้าทราบดีว่าท่านทุกคนในที่นี้  เป็นผู้ที่หวังดีต่อบ้านเมือง แต่งานนี้เป็นงานหนักเป็นงานภาคสนาม ต้องใช้ผู้ที่แข็งแรง และอดทนพอสมควรที่จะไปทำงานกรำแดด กรำฝนอยู่ได้ ท่านคงต้องเลือกคนที่เหมาะสม  ที่มีคุณสมบัติอย่างที่ข้าพเจ้ากล่าว ตั้งเป็นหน่วยงานหน่วยหนึ่งเข้ามา  บริหารจัดการรับผิดชอบงานตรงนี้  ซึ่งต้องมีบุคลากรอีกหน่วยหนึ่ง  ที่ต้องคอยประสานงานกับทางบริษัทของเขาได้ด้วย ขอให้ท่านทั้งหมดพิจารณา เลือกคณะทำงานขึ้นมาก็แล้วกัน จะเป็นกี่คนก็แล้วแต่ท่านจะเลือกสรรกัน ข้าพเจ้าจะพิจารณาในบุคคลนั้นๆอีกครั้ง  ในภายหลัง  " 
         " ทางพวกเราขอเวลา คัดสรรคณะผู้ที่จะประสานงาน  และควบคุมดูแลตรงนี้พระเจ้าค่ะ  "
         " ตกลงตามนี้นะ.....แต่ในขั้นตอนนี้ ก็ยังมีเวลาที่ท่านจะเลือกสรร เพราะเมื่อเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งเมื่อไหร่  ท่านก็ต้องเริ่มพิจารณาหาบุคลากร ก็คงต้องอยู่ในดุลยพินิจของพวกท่านก็แล้วกัน  แต่อย่านานนัก เพราะบริษัทที่ได้สัมปทานจะเดินทางเข้ามา ภายในเดือนนี้แล้ว  พวกท่านมีอะไรที่ข้องใจ  เรื่องใดอีกกรุณาถามข้าพเจ้าได้เลย " องค์หญิงรับสั่ง
         " พวกเราทราบมาว่าฝ่าบาท จะทรงสร้างโรงเรียน ในเขตพระราชฐานและใกล้กับพระราชวังหลวงด้วย ใช่มั้ยพระเจ้าค่ะ " 
         " ใช่.....มันเป็นโครงการของเรา ที่จะสร้างโรงเรียนในเขตพระราชฐานนี่  เพื่อให้ลูกหลานของทหาร และข้าราชบริพาร เหล่าเสนาบดีได้เรียนหนังสือ  เป็นโรงเรียนนำร่องที่ข้าพเจ้าต้องการมากที่สุด แต่ที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้นำเรื่องนี้เข้าประชุม ก็เพราะกำลังรอดูงบประมาณแผ่นดินอยู่  พวกท่านคงทราบว่า เราได้ใช้งบประมาณในการซื้ออาวุธให้กับกองทัพไปมากพอสมควร  ก็เลยดูงบประมาณในปีหน้าว่าจะพอทำได้หรือไม่  เพราะเราต้องการอาคารที่ถาวร และสิ่งก่อสร้างก็จะต้องเป็นอาคารที่สวยงาม เพราะอยู่ในเขตพระราชฐาน  พวกท่านมีความเห็นยังไงหรือ เ กี่ยวกับจุดประสงค์นี้ของข้าพเจ้า  "  รับสั่งแล้วมองหน้าเหล่าเสนาบดี
         " ที่ที่เป็นเขตพระราชฐาน ไม่สมควรที่จะมีเด็กมาเจี๊ยวจ๊าว  ไม่น่าจะเหมาะสม น่าจะเป็นพื้นที่ที่ห่างไกลออกไปสักหน่อยนะพระเจ้าค่ะ " เสนาบดีเมืองอีกคนถวายความเห็น 
         "  เขตพระราชฐานนี่ กว้างใหญ่ไพศาลนัก มีเนื้อที่เกือบพันไร่  ทางด้านหลังวังก็มีเนื้อที่มากมาย ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า  เป็นที่อยู่ของสิงสาราสัตว์นาๆชนิด การสร้างโรงเรียนให้ลูกหลานของพวกท่าน จะไม่เป็นการดีกว่าหรือ  ข้าพเจ้าก็จะดูว่าไม่ให้สถานที่ตั้งโรงเรียนนั้น  ใกล้พระบรมมหาราชวังจนเกินไป  ข้าพเจ้าเห็นว่าการศึกษาสำคัญมากนะ เราจะได้เริ่มมีการพัฒนาการเรียนรู้ของประชาชนด้วย ถ้าเรามีที่เรียนก็ไม่ต้องส่งลูกหลานของพวกท่าน ไปเรียนที่เมืองไทยอีก ครอบครัวจะได้อยู่ใกล้ชิดกัน  อบอุ่นดีกว่าที่จะต้องเดินทางไปอยู่ที่อื่น  ทั้งที่พวกเขายังเป็นเด็ก  เพราะในตอนที่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก แล้วถูกส่งไปเรียนต่างแดนนั้น  ได้มีความรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสุข  ทรมานใจมากมาย  อยากกลับบ้านคิดถึงพ่อแม่  เวลามีปัญหาอะไรก็ไม่มีใครที่จะหันไปปรึกษาได้  เราไม่อยากให้เด็กๆประสบกับปัญหาเหมือนกับเรา  แต่ถ้าทุกคนไม่เห็นด้วย  เราก็จะสร้างให้ไกลออกไปอีกหน่อย  แต่การเดินทางของพวกลูกหลานท่าน  ก็จะลำบากขึ้นไปอีก "  องค์หญิงทรงรับสั่งอธิบาย 
          ทุกคนหันไปหารือกันสักครู่  และก็กล่าวเห็นด้วย  "  ข้าพเจ้าในนามของเหล่าเสนาบดี ขอกราบละอองพระบาทที่ทรงพระกรุณากับลูกหลาน  ของพวกข้าพระพุทธเจ้า ที่จะมีที่เรียนและไม่ต้องลำบาก ในการเดินทางไปเรียนที่อื่น  ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์พระเจ้าค่ะ " 
         " ก็ขอขอบใจ  ที่พวกท่านเข้าใจในเจตนาของข้าพเจ้า  อีกต่อไปลูกหลานของพวกท่าน  จะได้เป็นกำลังของแผ่นดิน เมื่อมีความรู้แล้ว ก็จะได้ไปเป็นครูอาจารย์สอนทำหน้าที่ให้ความรู้ต่อไป  แล้วก็มากินเงินเดือนจากเราอีกต่อหนึ่ง หรืออาจจะไปสร้างโรงเรียนของตนเอง  เพื่อเปิดสอนหนังสือเองก็ย่อมทำได้  ข้าพเจ้าอยากให้เรามีโรงเรียนทั่วทุกตำบล ทุกหัวเมืองของเรา  การศึกษาจะทำให้บ้านเมืองของเราเจริญเร็วขึ้น  เมื่อราษฎรมีความรู้  ก็จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง พวกท่านคงเข้าใจในเจตนาของข้าพเจ้านะ "
          เสนาบดีอีกผู้หนึ่งลุกขึ้นแล้วกราบทูลถาม  " หม่อมฉันและทุกคนในที่นี้  ขอประทานอภัยกราบทูลถามว่า ถ้าพระองค์หญิงรัชทายาททรงอภิเษกสมรสแล้ว และถ้าพระองค์ทรงมีพระประสูติกาล ใครจะทำหน้าที่ผู้บัญชาการทหารแทนพระองค์หญิง พระเจ้าค่ะ " 
          คำถามที่กราบทูลถามตรงๆ ทำให้ทรงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่  ทรงมีสีพระพักตร์แดงเข้มขึ้นทันที  ทรงทอดพระเนตรไปที่ผู้พันพระคู่หมั้นนิดหนึ่ง และทอดพระเนตรเห็นว่า เขาก็กำลังมองมาที่พระองค์เช่นกัน  ทรงรวบรวมสมาธิและรับสั่งตอบด้วยพระสุรเสียงเรียบๆ ซึ่งเขารู้ดีว่าทรงพยายามข่มความประหม่าอาย และซ่อนอาการนั้นไว้อย่างมิดชิด และรับสั่งตอบ
          " เมื่อข้าพเจ้าอภิเษกแล้ว พระสวามีก็คือคนคนเดียวกับข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้ามีประสูติกาล พระสวามีท่านก็จะเป็นผู้ที่บัญชาการแทนข้าพเจ้า  " ทรงรับสั่งตอบด้วยพระอาการที่ทำให้เป็นปรกติที่สุด ทั้งๆที่ในพระทัยนั้นทรงนึกเขินอายผู้พันหนุ่มนัก
         " แต่ผู้พันเป็นทหารแห่งกองทัพบกไทยนะพระเจ้าค่ะ "  มีผู้ที่กราบทูลแย้งขึ้น
         " ถ้าอภิเษกสมรสเมื่อไหร่  ท่านก็จะเป็นคนของที่นี่ เป็นคนของสวาติติใช่หรือไม่ แล้วท่านจะเคลือบแคลงสิ่งใดอีก หรือคิดว่ามีใคร ที่จะต้องการมาทำหน้าที่นี้แทนข้าพเจ้า และท่านเสนาบดีทุกท่านในที่นี้เห็นว่า ทำหน้าที่ได้ดีกว่าข้าพเจ้า และคู่หมั้นของข้าพเจ้า ก็ขอให้ทุกท่านเสนอความคิดเห็นของท่านมาได้เลย เราจะรับฟัง และพิจารณาให้อย่างยุติธรรมในเมื่อถึงเวลานั้น  " องค์หญิงรับสั่ง และทอดพระเนตรมองหน้าเหล่าเสนาบดีทุกคน  
         " หามิได้กระหม่อม  หม่อมฉันและทุกท่านในที่นี้  มิบังอาจที่จะหาใครมาแทนพระองค์  แต่ถ้าพระองค์หญิงมีพระวินิจฉัยว่า  ผู้พันพระคู่หมั้นจะทรงปฏิบัติภารกิจแทนพระองค์ได้  ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อบ้านเมืองนี้  พวกเกล้าหม่อมฉันทุกคนก็ยินดี พระเจ้าค่ะ  " เสนาบดีผู้นั้นนั่งลง และพูดคุยกับผู้ที่นั่งประชุมอยู่ข้างๆ 
          ผู้พันหนุ่มลุกขึ้นในที่ประชุมทันที  และหันหน้ามาค้อมศีรษะทำความเคารพ ทุกคนในที่ประชุม และกล่าวขึ้นท่ามกลางเหล่าเสนาบดีทั้งปวงในที่ประชุม
         " กระผมต้องขออภัยทุกๆท่านในที่นี้ด้วย กระผมในฐานะพระคู่หมั้นของพระองค์หญิง  ขอเรียนชี้แจงกับบรรดาท่านเสนาบดีที่ประชุมอยู่ ณ.ที่นี้ว่า  ถึงแม้การอภิเษกครั้งนี้ของข้าพเจ้ากับพระองค์หญิง จะเป็นเรื่องของกฎหมายที่นี่  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้รักพระองค์หญิงรายา และเมื่อข้าพเจ้ารักพระองค์หญิง ก็ต้องรักและหวังดีต่อบ้านเมืองของพระองค์หญิงด้วย  และก็ไม่ได้คิดหวังผลประโยชน์อะไรจากบ้านเมืองนี้ทั้งสิ้น  แต่ข้าพเจ้าอยากช่วยคนที่ข้าพเจ้ารักเท่านั้น  แล้วเวลาจะพิสูจน์คำพูดของข้าพเจ้า "  ผู้พันกล่าวพร้อมทั้งมองหน้า เหล่าเสนาบดีทุกคนในที่นั้น ด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความจริงใจ  และก้มศีรษะให้ทุกคนน้อยๆอีกครั้ง
    องค์หญิงรายาทรงมีสีพระพักตร์แดงเข้มขึ้นอีกครั้ง  เนื่องจากคำกล่าวอย่างเปิดเผยของผู้พันหนุ่ม     
           เมื่อการชี้แจงขององค์หญิงเรียบร้อยลงแล้ว  ทุกคนต่างพากันคุยกระซิบกระซาบ ปรึกษาหารือกันเสียงงึมงำ สักครู่ทุกคนก็มีสีหน้าที่ชื่นมื่นขึ้น  เพราะเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่องค์หญิงรับสั่งมาทั้งหมด  องค์หญิงทรงกล่าวปิดประชุม  พันเอกศรัณย์พระคู่หมั้นเดินเข้ามายืนใกล้กับองค์หญิง  เหล่าเสนาบดีเดินเข้ามาทำความเคารพองค์หญิงและพระคู่หมั้น
           " พวกเกล้าหม่อมฉันต้องขอประทานอภัย  ที่ต้องรบกวนฝ่าบาทให้ทรงมีพระราชวินิจฉัย  พวกเกล้าหม่อมฉันเข้าใจดีแล้วว่า ฝ่าบาทเป็นองค์พระอัจฉริยะของสวาติติ  ในการอภิเษกสมรสของฝ่าบาทและพระคู่หมั้นนั้น  พวกเราทุกคนเห็นสมควร  จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสให้ยิ่งใหญ่  และจะกราบทูลเชิญประมุขของราชอาณาจักรต่างๆ ให้เสด็จมาร่วมในพระราชพิธีอภิเษกสมรสของฝ่าบาท  เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ ขององค์หญิงรัชทายาทด้วยพระเจ้าค่ะ  ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรด  " ท่านเสนาบดีมินซา ฝ่ายพลเรือนกราบทูล
          " อย่าให้เป็นการเอิกเกริกเลย  ข้าพเจ้าและคู่หมั้นเห็นสมควรว่า  เราจะจัดอย่างเรียบง่ายเป็นการภายในเท่านั้น  เพราะว่าบ้านเมืองเราก็ยังไม่สงบเรียบร้อย  เกรงว่าจะต้องมีการรักษาความปลอดภัย กันมากมายยุ่งยากเปล่าๆ  และเราเองได้กราบบังคมทูลละอองธุลีพระบาทไปแล้ว  ซึ่งก็ทรงโปรดเกล้าประราชทานพระบรมราชานุญาติ  "  องค์หญิงรายารับสั่งพร้อมทั้งทรงสบพระเนตร กับพระคู่หมั้นอย่างขอความเห็น  ซึ่งพันเอกศรัณย์ก็ก้มศีรษะน้อยๆ  เป็นการรับข้อวินิจฉัยขององค์หญิง 
         " พระคู่หมั้นทรงเป็นบุรุษที่โชคดีที่สุด  ที่จะได้ทรงอภิเษกสมรสกับองค์หญิงของเรานะกระหม่อม ผมไปประเทศไทยบ่อยๆ ชอบประเทศไทยมาก คนไทยเป็นคนอารมณ์ดี  เรากำลังจะตั้งสถานกงสุลในเมืองไทย พระคู่หมั้นคงช่วยเราได้มากในเรื่องนี้  " เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศกล่าวกับพระคู่หมั้น 
           ผู้พันหนุ่มก้มศีรษะรับคำชมนั้น “ ถ้าผมจะช่วยในกิจการของสวาติติทางใดได้บ้าง  ก็ยินดีช่วยเต็มที่ครับ  “
    ทั้งสองเดินออกจากห้องประชุม  ทุกคนในที่นั้นส่งเสด็จ  ผู้พันศรัณย์และองค์หญิงรายากลับมาที่ห้องทำงานอีกครั้ง
          " รายา......ผมคิดไม่ถึงว่า คุณจะพูดได้เหมือนนักปกครองเก่งๆคนหนึ่งเลยนะ คุณสามารถตอบโต้คำถามได้อย่างชาญฉลาด  โน้มน้าวความคิดของคนพวกนั้นได้อย่างยอดเยี่ยม "  ผู้พันศรัณย์กล่าวชม 
         " ขอบคุณค่ะที่ชม  ฉันหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้ง  ที่บรรดาเสนาบดีเมือง  ให้ฉันชี้แจงเรื่องงานบ้านงานเมือง  ฉันต้องทำการบ้านมาทั้งคืน  ไม่รู้ว่าพวกเขาจะสอบสวนถามปัญหาอะไรฉันบ้าง พวกนั้นเห็นฉันยังเป็นเด็ก ในบางครั้งดูเหมือนเขาไม่เชื่อมั่นในความคิดของฉัน  แต่ฉันก็รู้ว่าเขาหวังดีต่อบ้านเมือง  บางทีคำพูดของเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ ฉันถึงได้ชวนคุณมานั่งเป็นเพื่อนด้วย  เพราะคิดว่าเขาจะต้องพูดเรื่องการแต่งงานด้วยแน่   "  ผู้การสาวกล่าวกับเขาเหมือนจะปรับทุกข์
         " คุณเหมือนนายกรัฐมนตรีหญิงไงล่ะ  ที่ต้องถูกอภิปรายในสภาน่ะ  ต่อไปนี้ผมก็จะมานั่งเป็นเพื่อนคุณทุกครั้งตลอดไปนะครับ  คุณจะได้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวไงดีมั้ย รายา  "  เขากล่าวให้กำลังใจ
         " คุณไม่เบื่อหรือคะ  อีกหน่อยก็เบื่อ ชวนยังไงก็คงไม่อยากมาด้วยแน่  "
         " ไม่เบื่อหรอกรายา ผมจะเป็นกำลังใจให้คุณนะ ตลอดไปด้วย  "  เขากล่าวแล้วมองหน้านายพลสาว สื่อความหมายจากดวงตาให้เธอได้รับรู้ความจริงใจของเขา
        " ฉันจะคอยดูค่ะ "
         " ผมจะให้คุณดูผมไป จนคุณเบื่อที่จะดูเลยละเจ้าหญิง  แต่อยากถามอะไรคุณสักข้อได้มั้ย  ผมอยากรู้....ว่าคุณจะเป็นพระมารดาของเด็กตัวเล็กๆได้จริงหรือ  ? "  ผู้พันหนุ่มกล่าวถามเธอในตอนท้าย ซึ่งคำถามของเขาทำให้เธอมีแก้มแดงปลั่งขึ้นทันที  เธอกัดริมฝีปากข่มความอาย และก้มหน้าลงเปิดแฟ้มงานตรงหน้าอ่าน  ทำทีคล้ายกับไม่ได้ยินคำถามของเขา    
         วันรุ่งขึ้นในห้องประชุมเล็ก  นายพลตรีหญิง และผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพไทย  และเหล่านายทหารกำลังดูแผนที่ และวางแผนในการทำศึก  ป้องกันเขตชายแดนและกวาดล้างกองกำลังของนายพล ราเปรียง ออกไปจากพื้นที่  ผู้หมวดราเมนเดินเข้ามาขออนุญาต  และกล่าวกับผู้การสาว
         " มีนายฝรั่งมาขอเข้าพบครับผม  เขาบอกว่ามาจากบริษัทอีตันครับท่าน  " 
         " อืม....บริษัทอีตันเหรอ  เชิญเขาที่ห้องรับรองนะเดี๋ยวฉันไป " 
         ผู้การกล่าวกับทุกคนที่กำลังประชุมอยู่   " ขอโทษนะทุกท่าน  ฉันคงต้องขอตัวไปรับรองแขกก่อน  เชิญประชุมกันต่อก็แล้วกัน  ผู้พัน.....คุณคงต้องไปกับฉันค่ะเชิญค่ะ....."  เธอกล่าวกับผู้พันหนุ่มในตอนท้าย  ร้อยเอกราชัยทำสีหน้าไม่พอใจ  เขากระแทกกองหนังสือตรงหน้าเสียงดังปัง  และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่พอใจ  ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างเงยหน้าขึ้นมองหมวดราชัยอย่างตกใจ
          " ผู้การ......ตอนนี้ยังไม่ได้อภิเษก ทำไมต้องให้คนนอก เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของสวาติติด้วย  ผมเห็นว่าไม่มีความจำเป็นเลยนี่  " 
         " แต่ตอนนี้ผู้พันศรัณย์เป็นคู่หมั้นของฉัน  ฉันต้องการให้ท่านช่วยฉัน รับแขกบ้านแขกเมืองกับฉัน เพื่อที่จะได้รู้เรื่องงานต่างๆ ที่จะต้องทำร่วมกัน  และอีกเพียงไม่กี่วันฉันก็จะเข้าพิธีแล้ว ผู้พันจะเป็นคนสวาติติ งานของฉันก็คืองานของท่านด้วย  "  นายพลสาวกล่าวเสียงเข้ม  ต่อหน้านายทหารทุกคน
         " ในเมื่องานอภิเษกยังไม่เกิดขึ้น ผู้พันก็ยังไม่ใช่คนของ สวาติติ  "  หมวดราชัยกล่าวแย้งขึ้นอีก
         " คุณต้องการอะไรจากการโต้แย้งนี้หรือหมวด  " เสียงและสีหน้าของเธอเรียบตึง สายตาที่มองหมวดราชัยแสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผย 
         " ผมต้องการความถูกต้อง  ซึ่งการอภิเษกอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ใครจะรู้  " เขากล่าวด้วยน้ำเสียงและมองไปที่พันเอกศรัณย์  ด้วยแววตาที่จงเกลียดจงชังอย่างไม่ปิดบัง 
         " ฉันตัดสินได้เอง ว่าอะไรถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง และการอภิเษกก็จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน  หรือคุณคิดว่าจะทำให้ไม่เกิดขึ้นได้  " เสียงเข้มห้วนนั้นย้อนถามขึ้นทันที
         " ผู้การดูจริงจังกับการอภิเษกสมรส  เพราะกฎมากเกินไปนะครับ   หรือว่า...เพราะคืนนั้นมีสิ่งที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น อย่างไม่ถูกต้องด้วยกันแน่  " เขากล่าวอย่างลุแก่โทสะ ด้วยสีหน้าเยาะเย้ยถากถาง 
          ผู้การสาวหน้าร้อนผ่าวขึ้นทันที  ทั้งที่พยายามระงับอารมณ์อย่างเต็มที่  แต่สีหน้าที่ดูแคลนและเย้ยหยันของเขา ทำให้เธอเดินก้าวเข้าไปประชิดตัวเขา แล้วใช้ฝ่ามือฟาดลงบนแก้มเขาเต็มแรง ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น  รวมทั้งผู้พันศรัณย์ต่างตกตะลึง  หมวดราชัยยกมือขึ้นลูบแก้มตนเอง  แววตาที่เขามองเธอนั้นร้าวรานเจ็บปวด
         ผู้การสาวกล่าวตามมาด้วยเสียงที่เข้มห้วน และจริงจัง “ จะเกิดอะไรขึ้น  ก็อยู่ที่ฉันและผู้พันศรัณย์เท่านั้นที่รู้  คุณในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉัน  ไม่มีสิทธิ์ที่จะดูถูกผู้บังคับบัญชา  ฉันขอสั่งกักบริเวณคุณสิบห้าวัน  "  เธอกล่าวจบแล้วหันไปที่หมวดราเมน  ซึ่งยังคงยืนตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า   " หมวดราเมน...ให้ทหาร  นำหมวดราชัยไปกักบริเวณเดี๋ยวนี้  "  เสียงเข้มนั้นออกคำสั่งแล้วก้าวเดินออกไป  ทุกคนในที่นั้นนิ่งเงียบ หมวดราชัยทำท่าทางฮึดฮัด แต่ก็ไม่อาจที่จะกล้าขัดคำสั่ง ทหารสองนายเข้าคุมตัวเขาไว้ทันที
          ผู้พันศรัณย์เดินตามเธอออกไป เขารู้ว่าเธอพยายามที่จะระงับอารมณ์อย่างเต็มที่ เธอเดินกลับไปที่ห้องทำงานส่วนตัวและนั่งลงเงียบๆ หลับตาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้  เขาเดินมานั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของเธอ เธอสูดหายใจลึกๆ แล้วถามเขาว่า  เธอรุนแรงกับราชัยเกินไปมั้ย 
          ผู้พันหนุ่มกล่าวกับเธอเรียบๆว่า   “ ระเบียบวินัยของทหาร  ต้องแยกกับเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว  และคุณก็ทำถูกต้องแล้ว  ในฐานะผู้บังคับบัญชา  คุณต้องทำใจให้เข้มแข็งนะรายาผมเป็นกำลังใจให้คุณนะ  ” เธอมองหน้าเขาด้วยสายตาขอบคุณ เธอนั่งเงียบๆรวบรวมพลังใจอยู่ครู่หนึ่ง  แล้วลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเขายังห้องรับรอง นายฝรั่งลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นว่านายพลหญิงและนายทหารหนุ่มเดินเข้ามา เขาลุกขึ้นยืนทำความเคารพ
         " ถวายบังคมองค์หญิงนายพล  พระเจ้าค่ะ  "  เขากราบทูลเป็นภาษาอังกฤษ
          ผู้การสาวตอบเป็นภาษาอังกฤษ  " สวัสดีค่ะ........มิสเตอร์ วินสัน  ดิฉันขอแนะนำนี่คือผู้พันศรัณย์ คู่หมั้นของฉันและนี่คือมิสเตอร์วินสัน นายช่างใหญ่ของบริษัทอีตัน  ที่ได้รับสัมปทานจากเราค่ะ ผู้พัน  " ผู้การสาวกล่าวตอบรับแล้วแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกัน
         " สวัสดีครับผู้พัน ยินดีมากครับที่ได้รู้จักกับคู่หมั้นของเจ้าหญิง คุณเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกเชียวนะครับ "  ทั้งสองต่างสัมผัสมือกัน 
         " สวัสดีครับมิสเตอร์ วินสันยินดีที่ได้รู้จักครับ " เขาตอบเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน พร้อมกับยิ้มและจับมือเขย่าทักทาย นายพลสาวเชื้อเชิญให้ทุกคนนั่งลง 
         " เชิญนั่งค่ะ คุณมาก่อนกำหนดนะคะมิสเตอร์ วินสัน  ความจริงฉันคาดว่าอีกประมาณ สองอาทิตย์คุณถึงจะเข้ามา  "  
         " คือก่อนที่หม่อมฉันจะนำเครื่องจักรกลเข้ามา  หม่อมฉันต้องขอมาสำรวจเส้นทางที่จะทำถนน ก่อนพระเจ้าค่ะ  วันนี้หม่อมฉันต้องกราบทูลขอ  ให้เจ้าหญิงนายพลส่งคนพาเราไปดูพื้นที่  ก่อนที่จะได้เริ่มลงมือทำถนนเข้าไปในพื้นที่ที่ได้รับสัมปทาน พระเจ้าค่ะ "
         " ก็ดีค่ะ ฉันจะให้คนพาคุณไปดูนะคะ ฉันให้คนงานของฉันเซอร์เวย์พื้นที่  และ แผ้วถางเคลียร์พื้นที่ที่จะทำถนนไว้ให้จนเกือบจะเรียบร้อยแล้ว คุณนำรถเกรดเข้ามาเกรดได้เลยค่ะ  "  นายพลหญิงกล่าวยิ้มๆ
          " โอ.....ยอดเยี่ยมมากพระเจ้าค่ะ  งานของเราจะได้ดำเนินได้เร็วขึ้น "  มิสเตอร์วินสันกล่าวชม  เมื่อรู้ว่าเส้นทางได้ถูกแผ้วถางไว้ให้แล้ว 
          " ฉันก็อยากให้งานสำเร็จเป็นรูปธรรมเร็วๆ  ทางเราจะจัดหน่วยคุ้มครองคณะทำงานให้ตลอดเวลา  ที่คุณทำงานอยู่ที่นี่  ไม่ต้องกังวลค่ะ " ผู้การสาวกล่าว
          " ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ  ฝ่าบาททรงเป็นเจ้าหญิงนายพลที่ทรงพระปรีชามาก  ทรงรอบคอบในการทำงานทุกขั้นตอน  หม่อมฉันต้องขอชื่นชม  และต้องขอประทานอนุญาตแสดงความยินดีกับพระคู่หมั้นของฝ่าบาทด้วย  ที่จะได้อภิเษกกับเจ้าหญิง  ที่ทรงพระปรีชาและทรงมีอัจฉริยภาพสูงยอดเยี่ยมที่สุด "
        "  ขอบคุณครับ "  ผู้พันกล่าวขอบคุณ ก้มศีรษะลงนิดหนึ่งรับคำชมนั้น 
        " หม่อมฉันจะเดินทางไปสำรวจวันนี้  หม่อมฉันจะได้เริ่มลำเลียงเครื่องมือในการก่อสร้าง และจะเริ่มสร้างแค้มป์ที่พัก  และจะได้ให้คนงานที่จะดำเนินงานสร้างถนน  เดินทางเข้ามาทำเลย ซึ่งตอนนี้พวกเครื่องมือก็ได้เตรียมไว้พร้อมแล้วที่ฝั่งไทย  ส่วนเครื่องจักรที่จะทำการขุดเจาะนั้น  กำลังส่งมาทางเรือ  จะมาถึงก็พอดีกับสร้างถนนเรียบร้อยพระเจ้าค่ะ " นายช่างฝรั่งชาวอเมริกันกะเวลา
         " ดีค่ะ.....ฉันจะให้เจ้าหน้าที่  พาคุณไปสำรวจนะคะ มิสเตอร์  "  ผู้การกล่าวกับนายฝรั่ง 
         " ขอประทานอภัย  หม่อมฉันอยากทราบว่า  ทำไมเจ้าหญิงนายพลไม่ทรงทำเมืองนี้ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวล่ะพระเจ้าค่ะ   เมืองของเจ้าหญิงอันซีน  สวยงามมาก " นายฝรั่งทูลถามอย่างสงสัย
         " ฉันเคยคิดค่ะ  แต่ฉันตัดสินใจทุกอย่างไม่ได้ด้วยตนเองทั้งหมด  ต้องเสนอให้เสนาบดีเมืองเห็นชอบด้วย  ซึ่งทุกคนล้วนเป็นคนหัวเก่า ไม่ชอบความวุ่นวาย  และไม่อยากเห็นที่นี่ต้องสูญเสียสภาพสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ไป  เรายังคงต้องพิจารณากันอีกหลายขั้นตอน   และตอนนี้เราก็ยังไม่พร้อมที่จะรองรับนักท่องเที่ยว เรายังไม่มีโรงแรมดีๆให้นักท่องเที่ยวได้เข้าพัก  ไม่มีถนนดีๆ ให้รถได้เดินทางเข้ามาอย่างสะดวกสบาย  และก็ยังไม่ปลอดภัยนักด้วยค่ะ  และในความคิดส่วนตัวของฉัน ฉันก็ยังต้องการให้ที่นี่  คงสภาพนี้อยู่ต่อไป  มากกว่าจะให้มันเปลี่ยนแปลงไปเร็วนัก  "  
         " หม่อมฉันเข้าใจความรู้สึกหวงแหน  ในทรัพยากรธรรมชาติของพระองค์ดีกระหม่อม  เมืองนี้เป็นเมืองที่น่าจะเก็บไว้เป็นมรดกของโลก  ทั้งทางธรรมชาติ และวัฒนธรรม  " เขากล่าวอย่างชื่นชม  หมวดราเมนเดินเข้ามาแล้วก้มลงรายงานกับผู้การสาวเบาๆ  เธอพยักหน้ารับ หมวดราเมนเดินกลับออกไป  เธอหันมากล่าวกับนายช่างฝรั่ง
        " อีกสักครู่ฉันจะให้คนนำทางพาคุณไปนะคะ มิสเตอร์ วินสัน  และถ้าคุณต้องการอะไรให้บอกมาได้เลยนะคะ หรือบอกกับคู่หมั้นของฉันก็ได้ค่ะ  ฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ  “  เธอหันมากล่าวกับคู่หมั้น  “ ผู้พันคะ.....คุณอยู่สนทนากับ มิสเตอร์วินสันก่อนนะคะ  "  เธอกล่าวแล้วรีบลุกเดินออกไปทันทีที่กล่าวจบ  
          พันเอก ศรัณย์ เดินกลับออกมาจากห้องรับรองที่สวยงามหรูหราแห่งนั้น  เมื่อมีคณะผู้นำทางนายฝรั่งมาพาเขาออกไปสำรวจ   เขาพบกับหมวดราเมนที่ยืนรอเขาอยู่  และเดินเข้ามาทำความเคารพเขา และกล่าวกับเขาว่า  
         " ผู้พันครับ .....เร็วๆเถอะครับ  ตอนนี้กำลังมีการปะทะกัน  ผู้การออกไปที่จุดปะทะแล้วครับ  ที่ทางใต้ของหน่วยลาดตะเวนที่เก้าครับผม  ผู้การท่านยังไม่แข็งแรงเลย แต่ออกไปกับนายทหารและก็พลทหารอีกจำนวนหนึ่ง  ไปบัญชาการเองครับท่าน  "
         " ผู้การนี่ดื้อจริงๆ  หมวดสั่งให้เตรียมรถเดี๋ยวนี้ " เขาสั่งหมวดราเมน และเรียกจ่าหวังที่ยืนคอยเขาอยู่ 
    ทหารทั้งสัญญาบัตรคือผู้พัน ศรัณย์ และนายทหารอีกสองนาย  ทหารชั้นประทวนอีกหกนายรวมทั้งจ่าหวัง  วิ่งขึ้นรถตามคำสั่ง
         " ไปที่ทางใต้ของหน่วยลาดตะเวนที่เก้านะ  แนวปะทะอยู่ตรงไหนนะจ่าหวังขอแผนที่ทีสิ "  เขาหยิบแผนที่ที่จ่าหวังส่งให้ขึ้นมากางดู
           จิ๊ปทหารสิงห์ทะเลทรายสองคันวิ่งไปเกือบชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงปืน  ผู้พันสั่งให้หยุดรถและลงเดินเท้า  
         " พลวิทยุ.........เรียกหน่วยลาดตะเวนที่เก้าสิ  รายงานด้วยว่าเรานำกำลังมาสมทบและมาถึงแนวปะทะแล้ว " ผู้พันสั่งพลวิทยุ เสียงปืนยิงต่อสู้ดังขึ้นอีกหลายชุด  ผู้พันหนุ่มสั่งให้ทุกคนเดินเท้าเข้าไปอย่างเงียบๆ และให้พลวิทยุเรียก
        "  นี่อินทรีย์เรียกพิลาปขาวได้ยินแล้วตอบด้วยเปลี่ยน "
        " ไม่มีเสียงตอบครับ ผู้พัน  "  พลวิทยุรายงาน เขาขมวดคิ้วสีหน้าเครียดขึ้นทันที  เขาทำสัญญาณให้กระจายกำลัง  
           เสียงปืนดังขึ้นอีกทำให้ทุกคนรีบหมอบลง  เสียงรองเท้าวิ่งย่ำออกมาจากจุดปะทะ ผู้พันศรัณย์ลุกขึ้นมองและทำสัญญาณให้ยิงพวกทหารป่าที่วิ่งออกมา 
            มีแสงไฟลุกโชติช่วงขึ้นเสียงปะทุดังขึ้นเป็นระยะ  ทหารของพันเอกศรัณย์ ยิงใส่พวกทหารป่าที่ถอยร่นลงมาจนหมด กำลังของทหารสวาติติบางส่วน  เดินถือปืนอย่างระวังออกมา  ทหารของผู้พันทำเสียงสัญญาณให้ทหารจากสวาติติรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน  ทหารเหล่านั้นรีบวิ่งตรงมาที่หน่วยของผู้พัน 
         " ผู้การล่ะ ผู้การอยู่ที่ไหน ?  "  ผู้พันศรัณย์รีบถามทันที
        " ผู้การกำลังบัญชาการให้ทหาร  เผาโรงงานผลิตยานรกอยู่ครับผม  และให้หน่วยของผมออกมาไล่ล่าพวกทหารป่าที่ถอยร่นลงมา  และลาดตะเวนรอบนอกด้วยครับผม "  ทหารกล่าวรายงาน
          เมื่อได้ยินทหารของสวาติติรายงาน  ผู้พันศรัณย์รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที เขารีบเดินไปตามทางที่ทหารเดินนำไป ภาพที่เขาเห็นก็คือ  นายพลหญิงยืนบัญชาการให้ทหารเผาทำลายโรงงานขนาดย่อมอยู่บนรถ  แสงไฟและเสียงประทุดังเป็นระยะ  มีศพของทหารป่านอนตายเกลื่อน  ทหารของสวาติติที่ได้รับบาดเจ็บ  กำลังถูกลำเลียงขึ้นรถผู้การสาวกำลังสั่งการ
          ผู้พันศรัณย์เดินเข้าไปหาเธอบนรถ  " ผู้การ......คุณไม่เคยเชื่อเรื่องที่ผมขอร้องเลยนะ  แผลคุณหายดีแล้วหรือ ที่ออกมาปะทะกับข้าศึกอย่างนี้  คุณมาขึ้นรถกลับเดี๋ยวนี้เลย  "  เขาเดินไปกล่าวเบาๆ  แต่เสียงเข้มเฉียบ ใบหน้าเรียบเฉยปราศจากรอยยิ้ม  และจับต้นแขนของเธอไว้
         " ฉันกำลังจะกลับ  เสร็จภารกิจแล้ว ปล่อยแขนฉัน "  เธอตอบเสียงห้วนๆเช่นกัน  พยายามดึงแขนออกจากการเกาะกุมของเขา  แต่มือของผู้พันศรัณย์ที่จับเธอไว้มั่นนั้น  ยังจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
         " ไม่ปล่อย...เดินมากับผม  ไม่งั้นผมจะอุ้มคุณไปขึ้นรถเดี๋ยวนี้  " เสียงของผู้พันหนุ่ม  และสีหน้าของเขาดูจริงจังจนเธอจำต้องเดินตามเขามา  ด้วยเกรงว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะเห็น  พันเอกศรัณย์สั่งให้ทหารที่มากับเขาทั้งหมด ไปช่วยทหารที่กำลังเผาโรงงานผลิตยานรกอยู่  และมองหน้าผู้การสาวเหมือนบังคับกลายๆ ให้เธอขึ้นรถมากับเขาโดยเขาเป็นผู้ขับ 
         " รายา.....คุณทำไมไม่บอกผม  ว่ามีการปะทะกับข้าศึก คุณให้ผมรับแขกของคุณ  แล้วคุณก็ออกมาแทนที่คุณจะบอกผม ให้ผมเป็นคนนำกำลังมาเอง  คุณยังไม่หายเจ็บนะเพิ่งอาทิตย์กว่าๆเท่านั้น ถ้าแผลเกิดอักเสบขึ้นมาจะทำยังไง  แต่คุณไม่เคยฟังใครทั้งสิ้นเลย  รายาอย่าทำอย่างนี้อีกได้มั้ย  ผมขอร้อง " เขากล่าวกับเธออย่างนึกโมโห 
         " ก็มันเป็นหน้าที่ของฉันนะคะผู้พัน  เราจะลุกออกมาพร้อมกันได้ยังไงคะ และฉันจะบอกคุณตอนนั้นก็ไม่สะดวกฉันไม่อยากให้แขกของเรารู้  เขาอาจจะตกใจก็ได้  ฉันก็เลยตัดสินใจยกกำลังมาช่วยหน่วยนี้เอง  แล้วฉันก็ค่อยยังชั่วแล้วด้วย  คุณจะให้ฉันนอนอยู่กับที่  ทั้งๆที่มีภารกิจมากมายอย่างนี้หรือคะ?  "  
         " ก็ผมนี่ไง....คุณก็ใช้ผมสิ ผมมาช่วยคุณนะ ผมเป็นห่วงคุณนะรายา ผมจะทำยังไง.....ให้คุณฟังผมบ้าง บอกผมสิรายา  ถ้าคุณโดนยิงหรือว่าถูกพวกมันจับตัวไป  ผมจะทำยังไงคุณไม่รักผม  ผมก็รู้แต่คุณต้องรักตัวเองบ้างเข้าใจมั้ย คุณเจ็บ ผมก็เจ็บด้วย  ผมทรมานมากนะ วันที่ผมเห็นคุณบาดเจ็บน่ะ  ผมคิดแต่ว่าให้ผมเจ็บเองเสียดีกว่า "  ผู้พันหนุ่มกล่าวรำพันหันมามองหน้าเธอ  สีหน้าเครียดขรึม 
          ผู้การสาวมองหน้าด้านข้างของเขา  เธอเห็นสีหน้าที่มองตรงไปข้างหน้าของเขา  ยามที่เขาหันมามองเธอ สายตาของเขามีความจริงใจ  ที่สาดฉายออกมาจากดวงตาสีสนิมคมกล้านั้น  น้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจังของเขา กล่าวออกมาด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ที่มีทั้งอ่อนหวานและดุดันอยู่ในน้ำเสียง
         " ฉันขอโทษค่ะที่ทำให้คุณเป็นห่วง  ฉันขอบคุณคุณมากนะคะ  คุณดีกับฉันมากค่ะ  แต่ฉันเคยชินกับภารกิจแบบนี้มานานแล้ว  จนไม่ได้คิดว่าใครจะคิดเป็นห่วง  เพราะคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของฉัน  ที่ต้องปกป้องบ้านเมือง อย่าโกธรฉันเลยนะคะ  ต่อไปนี้ฉันจะบอกคุณก่อน  ถ้ามีภารกิจที่ต้องออกมาปะทะแบบนี้ "  ผู้การสาวกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแสดงออกถึงการขอโทษ
         " ต่อไปนี้ขอให้คุณปฏิบัติงาน อยู่ที่กองบัญชาการเท่านั้น  ผมจะเป็นคนออกมาปฏิบัติการภาคสนามเอง  คุณเข้าใจมั้ยผู้การ ? "  เขายังทำน้ำเสียงเข้ม  ทั้งที่หัวใจของเขาอ่อนยวบลง เมื่อได้ยินคำอธิบายอ่นๆของเธอ
         " แต่ฉันต้องมาค่ะ  ที่นี่เป็นประเทศของฉัน ฉันอุทิศชีวิตให้บ้านเมืองไปแล้ว  ถ้าฉันจะต้องตายอยู่ที่ไหนก็คงต้องตายค่ะ  อย่าห้ามฉันเลยนะคะ  " เสียงในตอนท้ายประโยคเว้าวอน
         " อย่าใช้คารมนักการทูตกับผม  ไม่สำเร็จหรอก คุณต้องอยู่ข้างในกองบัญชาการเท่านั้น  ผมทราบนะว่ากฎของที่นี่เมื่อแต่งงานแล้ว  ภรรยาต้องเชื่อฟังที่สามีพูดใ ช่มั้ย .... ? "  เขาหันหน้ามาถามเธอ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×