คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ทรงลงโทษหมวดราชัย(รีไรท์)
ตอนที่ 12 ทรงลงโทษหมวดราชัย
ในตอนสายของวันรุ่งขึ้น การประชุมของเสนาบดีเมือง ที่ครบวาระประชุมอีกครั้ง ได้เริ่มต้นขึ้น เหล่าเสนาบดีกระทรวง และข้าราชการผู้ใหญ่ เดินเข้ามานั่งในห้องประชุมอย่างพร้อมเพียงกันแล้ว องค์หญิงดำเนินเข้ามาในห้องประชุม ทุกคนที่อยู่ณ.ที่นั้น ลุกขึ้นยืนทำความเคารพ หมวดราชัยทำหน้าที่เลขานุการ โดยนั่งอยู่ทางเบื้องซ้ายเยื้องไปทางด้านหลังขององค์หญิง พันเอกศรัณย์นั่งอยู่ด้านหน้า และเห็นพระอิริยาบถอันสง่างาม และทรงมีความมั่นพระหทัยขององค์หญิง ทรงมีพระดำรัสเปิดประชุม
“ สวัสดีทุกท่านที่เข้าร่วมประชุมในวันนี้ ข้าพเจ้าในฐานะองค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ขอเปิดการประชุม และขอเชิญทุกท่านที่มีข้อราชการที่สงสัย ต้องการจะซักถาม ได้มีโอกาสถามข้าพเจ้าได้ เชิญทุกท่าน " องค์หญิงประทับยืนขึ้นกล่าว ทุกคนในที่นั้นทำความเคารพเธอและนั่งลง
เสนาบดีฝ่ายปกครอง ท่านซองปาลุกขึ้นกราบทูลถาม " เกล้าหม่อมฉันขอกราบทูลถามองค์หญิง เกี่ยวกับการที่พระองค์ให้สัมปทานบริษัทฝรั่ง ในการขุดหาแร่รัตนมณีของเมืองเรา ซึ่งพวกเสนาบดีคณะปกครองทั้งหลาย ยังข้องใจว่าทำไมเราจึงต้องให้คนต่างชาติ เข้ามาทำการครั้งนี้ ขอให้องค์ผู้สำเร็จราชการ ทรงประทานชี้แจงถึงพระราชวินิจฉัยให้พวกเราทราบด้วยพระเจ้าค่ะ "
องค์หญิง รายาทรงลุกขึ้นประทับยืน และทรงเริ่มรับสั่งชี้แจง " เมื่อหกเดือนก่อน พวกท่านคงจำได้ว่า ข้าพเจ้าได้เดินทางไปต่างประเทศ เนื่องในการเจรจาจัดซื้ออาวุธ และข้าพเจ้าได้พบกับเพื่อน ที่เรียนด้วยกันที่อังกฤษ เขาเป็นนักธรณีวิทยา และมีเครื่องมือในการค้นหาแร่บนพื้นผิวโลก ด้วยวิธีการค้นหาจากดาวเทียมสำรวจ และจากผลของการสำรวจของดาวเทียม เขาแน่ใจว่าในพื้นที่ของแคว้นเรา ซึ่งก็เป็นเขตติดต่อกับแคว้นไพลินยา มีหินที่มีค่าซึ่งก็คงอาจจะเป็นเพชร หรือ ว่าทับทิม ที่เราก็รู้ว่าเรามีทรัพยากรนี้อยู่แล้ว เขาคาดว่าเราจะพบกับไพลิน หรือเพชรเหมือนที่แคว้นไพลินยา เพราะเรามีอาณาเขตใกล้เคียงกัน แต่ข้อมูลการค้นพบครั้งนี้ ข้าพเจ้าดูแล้วก็ทราบว่า เราไม่มีศักยภาพเพียงพอในด้านวิทยาการ และเครื่องมือที่ทันสมัยเลย เพราะแร่นี้อยู่ลึกลงไปในชั้นดิน ประมาณเกือบสี่สิบเมตร ข้าพเจ้าจึงได้ลองติดต่อประสานงานกับบริษัทในต่างประเทศ ที่เคยได้รับสัมปทานจากแคว้นไพลินยา ให้เขาดูข้อมูลที่เรามีอยู่ ซึ่งเขาสนใจมาก และเสนอที่จะขอมาลงทุนกับเรา ซึ่งเราและเขาจะร่วมมือกันในการทำงาน เรามีสัญญาที่รัดกุม และไม่มีทางเสียเปรียบในทุกๆด้าน ซึ่งความจริงแล้วข้าพเจ้า ก็เคยเรียนท่านทั้งหลายในที่ประชุม ไปแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าพวกท่านสงสัยสิ่งใดนอกเหนือ จากที่ข้าพเจ้าได้ชี้แจงไปแล้ว "
เสนาบดีซองปาบิดาของหมวดราชัย ลุกขึ้นยืนทำความเคารพแล้วกล่าวขึ้นอีกครั้ง " แต่พวกเราคิดว่า ถ้าเราจะลองใช้กำลังคนของเรา ในการขุดแบบของเรา ทรัพยากรในแผ่นดินก็จะเป็นของเราทั้งหมด และอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่จำต้องแบ่งให้ใคร จะไม่เป็นการดีกว่าหรือ พระเจ้าค่ะ "
" ท่านซองปา.....เราเองก็อยากจะทำอย่างที่ท่านคิด แต่เราเคยไปดูเหมืองขุดที่ใหญ่ๆมาแล้ว มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไม่มีเครื่องมือที่ทันสมัย หรือมีคนที่เชี่ยวชาญมาช่วย ก็เปรียบเสมือนแท่นที่ขุดเจาะน้ำมัน ถ้าเรามีน้ำมันก็ต้องอาศัยประเทศที่เขามีวิทยาการ มาตั้งแท่นเครื่องขุดเจาะมีการลงทุนที่สูงมาก แล้วถ้าเราไม่มีปัญญา ที่จะขุดมันขึ้นมา มันก็จะเป็นเพียงทรัพย์ในดินอยู่อย่างนั้น จะมีประโยชน์อะไรหรือ ? " องค์หญิงทรงรับสั่งอธิบายและรับสั่งย้อนถาม
" ทำไมเราจะขุดมันขึ้นมาไม่ได้ ในเมื่อเรามีแรงคนมากมาย เราก็ต้องใช้ความพยายามทำให้สำเร็จ ถึงแม้ว่าอาจจะช้าไปสักหน่อย " เสนาบดีเฒ่าแย้ง
" ท่านจะใช้แรงคนหรือรถขุดที่เรามีอยู่ ขุดลงไปในใต้ดินที่ลึกถึงสี่ห้าสิบเมตร โดยไม่มีเครื่องจักร หรือเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย อย่างเช่นเครื่องชี้นำทางว่าแร่อยู่ตรงไหน เราจะสุ่มเสี่ยงขุดไปเรื่อยๆเลยหรือยังไง เราไม่มีความรู้ในเรื่องชั้นดิน ชั้นหิน มีแต่แรงคนและการขุดแบบเก่าๆ มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะดินที่เราขุดขึ้นมา อาจจะถล่มลงไปทับพวกคนงาน แล้วเมื่อเราขุดลึกลงไปมากๆก็จะกลายเป็นบ่อน้ำกว้าง ต้องมีการวางท่อระบายน้ำและสูบออก ยิ่งยากแก่กำลังคนของเรา แต่ทางบริษัทที่เราให้สัมปทานเขา เขามีเครื่องมือมีวิทยาการที่ทันสมัย ใช้คอมพิวเตอร์ที่มีโครงข่ายกับสัญญาณดาวเทียมค้นหาแหล่งแร่ ได้อย่างแม่นยำซึ่งเราไม่มี เราให้เขาเพียงสามสิบเปอร์เซ็นต์ จากทรัพย์สินที่เราจะได้ และเขาจะต้องสร้างถนนเข้าไป ที่ที่จะขุดเจาะ เราก็จะได้ถนนอีกด้วย และประชาชนของเรา ก็จะมีงานทำ ความเป็นอยู่ของราษฎรก็จะดีขึ้น เพราะในสัญญานั้น เราบังคับให้เขาจ้างคนงานของเราเท่านั้น ท่านและทุกคนคิดว่าข้าพเจ้าตัดสินใจให้ผู้อื่นมาถือกรรมสิทธิ์ ในทรัพยากรของเรา โดยที่เราจะต้องเสียเปรียบเขานั้นหรือ ข้าพเจ้าคิดและทำสัญญากับเขาอย่างรอบคอบแล้ว ซึ่งสัญญานั้นเราก็ส่งให้ท่านดูแล้วทุกคนไม่ใช่หรือ ถ้าตรงไหนคิดว่าเราต้องเสียเปรียบ เราก็เปิดโอกาสให้ทุกท่านแย้งได้อยู่แล้ว แต่เกือบสามเดือนแล้วก็ไม่มีใครแย้งขึ้นมาเลยนี่ และในเมื่อเราให้โอกาสทุกท่านแล้ว แต่เมื่อไม่มีใครขัดแย้ง ข้าพเจ้าก็ได้เซ็นสัญญาไปแล้ว ท่านถามคำถามใหม่มาได้เลย " องค์หญิงรายารับสั่งอย่างมีเหตุมีผล และตัดบทกับคำถามนั้น
" แล้วใครจะเป็นผู้ตรวจสอบทรัพย์สินที่ขุดได้หรือ พระเจ้าค่ะ " ท่านเสนาบดีอีกท่านทูลถามขึ้น
" ก็พวกท่านไงล่ะ ท่านต้องแต่งตั้งคณะผู้ตรวจสอบ ดูแลการทำงานตรงนี้ขึ้นมา ข้าพเจ้าจะเป็นประธานเอง ท่านหาคนที่คิดว่าจะทำงานตรงนี้ได้อย่างเหมาะสม ซื่อสัตย์สุจริตและคนที่ทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ ข้าพเจ้าทราบดีว่าท่านทุกคนในที่นี้ เป็นผู้ที่หวังดีต่อบ้านเมือง แต่งานนี้เป็นงานหนักเป็นงานภาคสนาม ต้องใช้ผู้ที่แข็งแรง และอดทนพอสมควรที่จะไปทำงานกรำแดด กรำฝนอยู่ได้ ท่านคงต้องเลือกคนที่เหมาะสม ที่มีคุณสมบัติอย่างที่ข้าพเจ้ากล่าว ตั้งเป็นหน่วยงานหน่วยหนึ่งเข้ามา บริหารจัดการรับผิดชอบงานตรงนี้ ซึ่งต้องมีบุคลากรอีกหน่วยหนึ่ง ที่ต้องคอยประสานงานกับทางบริษัทของเขาได้ด้วย ขอให้ท่านทั้งหมดพิจารณา เลือกคณะทำงานขึ้นมาก็แล้วกัน จะเป็นกี่คนก็แล้วแต่ท่านจะเลือกสรรกัน ข้าพเจ้าจะพิจารณาในบุคคลนั้นๆอีกครั้ง ในภายหลัง "
" ทางพวกเราขอเวลา คัดสรรคณะผู้ที่จะประสานงาน และควบคุมดูแลตรงนี้พระเจ้าค่ะ "
" ตกลงตามนี้นะ.....แต่ในขั้นตอนนี้ ก็ยังมีเวลาที่ท่านจะเลือกสรร เพราะเมื่อเครื่องจักรเข้ามาติดตั้งเมื่อไหร่ ท่านก็ต้องเริ่มพิจารณาหาบุคลากร ก็คงต้องอยู่ในดุลยพินิจของพวกท่านก็แล้วกัน แต่อย่านานนัก เพราะบริษัทที่ได้สัมปทานจะเดินทางเข้ามา ภายในเดือนนี้แล้ว พวกท่านมีอะไรที่ข้องใจ เรื่องใดอีกกรุณาถามข้าพเจ้าได้เลย " องค์หญิงรับสั่ง
" พวกเราทราบมาว่าฝ่าบาท จะทรงสร้างโรงเรียน ในเขตพระราชฐานและใกล้กับพระราชวังหลวงด้วย ใช่มั้ยพระเจ้าค่ะ "
" ใช่.....มันเป็นโครงการของเรา ที่จะสร้างโรงเรียนในเขตพระราชฐานนี่ เพื่อให้ลูกหลานของทหาร และข้าราชบริพาร เหล่าเสนาบดีได้เรียนหนังสือ เป็นโรงเรียนนำร่องที่ข้าพเจ้าต้องการมากที่สุด แต่ที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้นำเรื่องนี้เข้าประชุม ก็เพราะกำลังรอดูงบประมาณแผ่นดินอยู่ พวกท่านคงทราบว่า เราได้ใช้งบประมาณในการซื้ออาวุธให้กับกองทัพไปมากพอสมควร ก็เลยดูงบประมาณในปีหน้าว่าจะพอทำได้หรือไม่ เพราะเราต้องการอาคารที่ถาวร และสิ่งก่อสร้างก็จะต้องเป็นอาคารที่สวยงาม เพราะอยู่ในเขตพระราชฐาน พวกท่านมีความเห็นยังไงหรือ เ กี่ยวกับจุดประสงค์นี้ของข้าพเจ้า " รับสั่งแล้วมองหน้าเหล่าเสนาบดี
" ที่ที่เป็นเขตพระราชฐาน ไม่สมควรที่จะมีเด็กมาเจี๊ยวจ๊าว ไม่น่าจะเหมาะสม น่าจะเป็นพื้นที่ที่ห่างไกลออกไปสักหน่อยนะพระเจ้าค่ะ " เสนาบดีเมืองอีกคนถวายความเห็น
" เขตพระราชฐานนี่ กว้างใหญ่ไพศาลนัก มีเนื้อที่เกือบพันไร่ ทางด้านหลังวังก็มีเนื้อที่มากมาย ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า เป็นที่อยู่ของสิงสาราสัตว์นาๆชนิด การสร้างโรงเรียนให้ลูกหลานของพวกท่าน จะไม่เป็นการดีกว่าหรือ ข้าพเจ้าก็จะดูว่าไม่ให้สถานที่ตั้งโรงเรียนนั้น ใกล้พระบรมมหาราชวังจนเกินไป ข้าพเจ้าเห็นว่าการศึกษาสำคัญมากนะ เราจะได้เริ่มมีการพัฒนาการเรียนรู้ของประชาชนด้วย ถ้าเรามีที่เรียนก็ไม่ต้องส่งลูกหลานของพวกท่าน ไปเรียนที่เมืองไทยอีก ครอบครัวจะได้อยู่ใกล้ชิดกัน อบอุ่นดีกว่าที่จะต้องเดินทางไปอยู่ที่อื่น ทั้งที่พวกเขายังเป็นเด็ก เพราะในตอนที่ข้าพเจ้าเป็นเด็ก แล้วถูกส่งไปเรียนต่างแดนนั้น ได้มีความรู้สึกว่าตนเองไม่มีความสุข ทรมานใจมากมาย อยากกลับบ้านคิดถึงพ่อแม่ เวลามีปัญหาอะไรก็ไม่มีใครที่จะหันไปปรึกษาได้ เราไม่อยากให้เด็กๆประสบกับปัญหาเหมือนกับเรา แต่ถ้าทุกคนไม่เห็นด้วย เราก็จะสร้างให้ไกลออกไปอีกหน่อย แต่การเดินทางของพวกลูกหลานท่าน ก็จะลำบากขึ้นไปอีก " องค์หญิงทรงรับสั่งอธิบาย
ทุกคนหันไปหารือกันสักครู่ และก็กล่าวเห็นด้วย " ข้าพเจ้าในนามของเหล่าเสนาบดี ขอกราบละอองพระบาทที่ทรงพระกรุณากับลูกหลาน ของพวกข้าพระพุทธเจ้า ที่จะมีที่เรียนและไม่ต้องลำบาก ในการเดินทางไปเรียนที่อื่น ขอให้เป็นไปตามพระประสงค์พระเจ้าค่ะ "
" ก็ขอขอบใจ ที่พวกท่านเข้าใจในเจตนาของข้าพเจ้า อีกต่อไปลูกหลานของพวกท่าน จะได้เป็นกำลังของแผ่นดิน เมื่อมีความรู้แล้ว ก็จะได้ไปเป็นครูอาจารย์สอนทำหน้าที่ให้ความรู้ต่อไป แล้วก็มากินเงินเดือนจากเราอีกต่อหนึ่ง หรืออาจจะไปสร้างโรงเรียนของตนเอง เพื่อเปิดสอนหนังสือเองก็ย่อมทำได้ ข้าพเจ้าอยากให้เรามีโรงเรียนทั่วทุกตำบล ทุกหัวเมืองของเรา การศึกษาจะทำให้บ้านเมืองของเราเจริญเร็วขึ้น เมื่อราษฎรมีความรู้ ก็จะไม่ตกเป็นเครื่องมือของผู้ที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมือง พวกท่านคงเข้าใจในเจตนาของข้าพเจ้านะ "
เสนาบดีอีกผู้หนึ่งลุกขึ้นแล้วกราบทูลถาม " หม่อมฉันและทุกคนในที่นี้ ขอประทานอภัยกราบทูลถามว่า ถ้าพระองค์หญิงรัชทายาททรงอภิเษกสมรสแล้ว และถ้าพระองค์ทรงมีพระประสูติกาล ใครจะทำหน้าที่ผู้บัญชาการทหารแทนพระองค์หญิง พระเจ้าค่ะ "
คำถามที่กราบทูลถามตรงๆ ทำให้ทรงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ทรงมีสีพระพักตร์แดงเข้มขึ้นทันที ทรงทอดพระเนตรไปที่ผู้พันพระคู่หมั้นนิดหนึ่ง และทอดพระเนตรเห็นว่า เขาก็กำลังมองมาที่พระองค์เช่นกัน ทรงรวบรวมสมาธิและรับสั่งตอบด้วยพระสุรเสียงเรียบๆ ซึ่งเขารู้ดีว่าทรงพยายามข่มความประหม่าอาย และซ่อนอาการนั้นไว้อย่างมิดชิด และรับสั่งตอบ
" เมื่อข้าพเจ้าอภิเษกแล้ว พระสวามีก็คือคนคนเดียวกับข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้ามีประสูติกาล พระสวามีท่านก็จะเป็นผู้ที่บัญชาการแทนข้าพเจ้า " ทรงรับสั่งตอบด้วยพระอาการที่ทำให้เป็นปรกติที่สุด ทั้งๆที่ในพระทัยนั้นทรงนึกเขินอายผู้พันหนุ่มนัก
" แต่ผู้พันเป็นทหารแห่งกองทัพบกไทยนะพระเจ้าค่ะ " มีผู้ที่กราบทูลแย้งขึ้น
" ถ้าอภิเษกสมรสเมื่อไหร่ ท่านก็จะเป็นคนของที่นี่ เป็นคนของสวาติติใช่หรือไม่ แล้วท่านจะเคลือบแคลงสิ่งใดอีก หรือคิดว่ามีใคร ที่จะต้องการมาทำหน้าที่นี้แทนข้าพเจ้า และท่านเสนาบดีทุกท่านในที่นี้เห็นว่า ทำหน้าที่ได้ดีกว่าข้าพเจ้า และคู่หมั้นของข้าพเจ้า ก็ขอให้ทุกท่านเสนอความคิดเห็นของท่านมาได้เลย เราจะรับฟัง และพิจารณาให้อย่างยุติธรรมในเมื่อถึงเวลานั้น " องค์หญิงรับสั่ง และทอดพระเนตรมองหน้าเหล่าเสนาบดีทุกคน
" หามิได้กระหม่อม หม่อมฉันและทุกท่านในที่นี้ มิบังอาจที่จะหาใครมาแทนพระองค์ แต่ถ้าพระองค์หญิงมีพระวินิจฉัยว่า ผู้พันพระคู่หมั้นจะทรงปฏิบัติภารกิจแทนพระองค์ได้ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตต่อบ้านเมืองนี้ พวกเกล้าหม่อมฉันทุกคนก็ยินดี พระเจ้าค่ะ " เสนาบดีผู้นั้นนั่งลง และพูดคุยกับผู้ที่นั่งประชุมอยู่ข้างๆ
ผู้พันหนุ่มลุกขึ้นในที่ประชุมทันที และหันหน้ามาค้อมศีรษะทำความเคารพ ทุกคนในที่ประชุม และกล่าวขึ้นท่ามกลางเหล่าเสนาบดีทั้งปวงในที่ประชุม
" กระผมต้องขออภัยทุกๆท่านในที่นี้ด้วย กระผมในฐานะพระคู่หมั้นของพระองค์หญิง ขอเรียนชี้แจงกับบรรดาท่านเสนาบดีที่ประชุมอยู่ ณ.ที่นี้ว่า ถึงแม้การอภิเษกครั้งนี้ของข้าพเจ้ากับพระองค์หญิง จะเป็นเรื่องของกฎหมายที่นี่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้รักพระองค์หญิงรายา และเมื่อข้าพเจ้ารักพระองค์หญิง ก็ต้องรักและหวังดีต่อบ้านเมืองของพระองค์หญิงด้วย และก็ไม่ได้คิดหวังผลประโยชน์อะไรจากบ้านเมืองนี้ทั้งสิ้น แต่ข้าพเจ้าอยากช่วยคนที่ข้าพเจ้ารักเท่านั้น แล้วเวลาจะพิสูจน์คำพูดของข้าพเจ้า " ผู้พันกล่าวพร้อมทั้งมองหน้า เหล่าเสนาบดีทุกคนในที่นั้น ด้วยสายตาที่แสดงออกถึงความจริงใจ และก้มศีรษะให้ทุกคนน้อยๆอีกครั้ง
องค์หญิงรายาทรงมีสีพระพักตร์แดงเข้มขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากคำกล่าวอย่างเปิดเผยของผู้พันหนุ่ม
เมื่อการชี้แจงขององค์หญิงเรียบร้อยลงแล้ว ทุกคนต่างพากันคุยกระซิบกระซาบ ปรึกษาหารือกันเสียงงึมงำ สักครู่ทุกคนก็มีสีหน้าที่ชื่นมื่นขึ้น เพราะเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่องค์หญิงรับสั่งมาทั้งหมด องค์หญิงทรงกล่าวปิดประชุม พันเอกศรัณย์พระคู่หมั้นเดินเข้ามายืนใกล้กับองค์หญิง เหล่าเสนาบดีเดินเข้ามาทำความเคารพองค์หญิงและพระคู่หมั้น
" พวกเกล้าหม่อมฉันต้องขอประทานอภัย ที่ต้องรบกวนฝ่าบาทให้ทรงมีพระราชวินิจฉัย พวกเกล้าหม่อมฉันเข้าใจดีแล้วว่า ฝ่าบาทเป็นองค์พระอัจฉริยะของสวาติติ ในการอภิเษกสมรสของฝ่าบาทและพระคู่หมั้นนั้น พวกเราทุกคนเห็นสมควร จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสให้ยิ่งใหญ่ และจะกราบทูลเชิญประมุขของราชอาณาจักรต่างๆ ให้เสด็จมาร่วมในพระราชพิธีอภิเษกสมรสของฝ่าบาท เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติ ขององค์หญิงรัชทายาทด้วยพระเจ้าค่ะ ควรมิควรแล้วแต่จะทรงโปรด " ท่านเสนาบดีมินซา ฝ่ายพลเรือนกราบทูล
" อย่าให้เป็นการเอิกเกริกเลย ข้าพเจ้าและคู่หมั้นเห็นสมควรว่า เราจะจัดอย่างเรียบง่ายเป็นการภายในเท่านั้น เพราะว่าบ้านเมืองเราก็ยังไม่สงบเรียบร้อย เกรงว่าจะต้องมีการรักษาความปลอดภัย กันมากมายยุ่งยากเปล่าๆ และเราเองได้กราบบังคมทูลละอองธุลีพระบาทไปแล้ว ซึ่งก็ทรงโปรดเกล้าประราชทานพระบรมราชานุญาติ " องค์หญิงรายารับสั่งพร้อมทั้งทรงสบพระเนตร กับพระคู่หมั้นอย่างขอความเห็น ซึ่งพันเอกศรัณย์ก็ก้มศีรษะน้อยๆ เป็นการรับข้อวินิจฉัยขององค์หญิง
" พระคู่หมั้นทรงเป็นบุรุษที่โชคดีที่สุด ที่จะได้ทรงอภิเษกสมรสกับองค์หญิงของเรานะกระหม่อม ผมไปประเทศไทยบ่อยๆ ชอบประเทศไทยมาก คนไทยเป็นคนอารมณ์ดี เรากำลังจะตั้งสถานกงสุลในเมืองไทย พระคู่หมั้นคงช่วยเราได้มากในเรื่องนี้ " เสนาบดีกระทรวงต่างประเทศกล่าวกับพระคู่หมั้น
ผู้พันหนุ่มก้มศีรษะรับคำชมนั้น “ ถ้าผมจะช่วยในกิจการของสวาติติทางใดได้บ้าง ก็ยินดีช่วยเต็มที่ครับ “
ทั้งสองเดินออกจากห้องประชุม ทุกคนในที่นั้นส่งเสด็จ ผู้พันศรัณย์และองค์หญิงรายากลับมาที่ห้องทำงานอีกครั้ง
" รายา......ผมคิดไม่ถึงว่า คุณจะพูดได้เหมือนนักปกครองเก่งๆคนหนึ่งเลยนะ คุณสามารถตอบโต้คำถามได้อย่างชาญฉลาด โน้มน้าวความคิดของคนพวกนั้นได้อย่างยอดเยี่ยม " ผู้พันศรัณย์กล่าวชม
" ขอบคุณค่ะที่ชม ฉันหายใจไม่ทั่วท้องทุกครั้ง ที่บรรดาเสนาบดีเมือง ให้ฉันชี้แจงเรื่องงานบ้านงานเมือง ฉันต้องทำการบ้านมาทั้งคืน ไม่รู้ว่าพวกเขาจะสอบสวนถามปัญหาอะไรฉันบ้าง พวกนั้นเห็นฉันยังเป็นเด็ก ในบางครั้งดูเหมือนเขาไม่เชื่อมั่นในความคิดของฉัน แต่ฉันก็รู้ว่าเขาหวังดีต่อบ้านเมือง บางทีคำพูดของเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ ฉันถึงได้ชวนคุณมานั่งเป็นเพื่อนด้วย เพราะคิดว่าเขาจะต้องพูดเรื่องการแต่งงานด้วยแน่ " ผู้การสาวกล่าวกับเขาเหมือนจะปรับทุกข์
" คุณเหมือนนายกรัฐมนตรีหญิงไงล่ะ ที่ต้องถูกอภิปรายในสภาน่ะ ต่อไปนี้ผมก็จะมานั่งเป็นเพื่อนคุณทุกครั้งตลอดไปนะครับ คุณจะได้รู้สึกไม่โดดเดี่ยวไงดีมั้ย รายา " เขากล่าวให้กำลังใจ
" คุณไม่เบื่อหรือคะ อีกหน่อยก็เบื่อ ชวนยังไงก็คงไม่อยากมาด้วยแน่ "
" ไม่เบื่อหรอกรายา ผมจะเป็นกำลังใจให้คุณนะ ตลอดไปด้วย " เขากล่าวแล้วมองหน้านายพลสาว สื่อความหมายจากดวงตาให้เธอได้รับรู้ความจริงใจของเขา
" ฉันจะคอยดูค่ะ "
" ผมจะให้คุณดูผมไป จนคุณเบื่อที่จะดูเลยละเจ้าหญิง แต่อยากถามอะไรคุณสักข้อได้มั้ย ผมอยากรู้....ว่าคุณจะเป็นพระมารดาของเด็กตัวเล็กๆได้จริงหรือ ? " ผู้พันหนุ่มกล่าวถามเธอในตอนท้าย ซึ่งคำถามของเขาทำให้เธอมีแก้มแดงปลั่งขึ้นทันที เธอกัดริมฝีปากข่มความอาย และก้มหน้าลงเปิดแฟ้มงานตรงหน้าอ่าน ทำทีคล้ายกับไม่ได้ยินคำถามของเขา
วันรุ่งขึ้นในห้องประชุมเล็ก นายพลตรีหญิง และผู้พันหนุ่มแห่งกองทัพไทย และเหล่านายทหารกำลังดูแผนที่ และวางแผนในการทำศึก ป้องกันเขตชายแดนและกวาดล้างกองกำลังของนายพล ราเปรียง ออกไปจากพื้นที่ ผู้หมวดราเมนเดินเข้ามาขออนุญาต และกล่าวกับผู้การสาว
" มีนายฝรั่งมาขอเข้าพบครับผม เขาบอกว่ามาจากบริษัทอีตันครับท่าน "
" อืม....บริษัทอีตันเหรอ เชิญเขาที่ห้องรับรองนะเดี๋ยวฉันไป "
ผู้การกล่าวกับทุกคนที่กำลังประชุมอยู่ " ขอโทษนะทุกท่าน ฉันคงต้องขอตัวไปรับรองแขกก่อน เชิญประชุมกันต่อก็แล้วกัน ผู้พัน.....คุณคงต้องไปกับฉันค่ะเชิญค่ะ....." เธอกล่าวกับผู้พันหนุ่มในตอนท้าย ร้อยเอกราชัยทำสีหน้าไม่พอใจ เขากระแทกกองหนังสือตรงหน้าเสียงดังปัง และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงและสีหน้าไม่พอใจ ทุกคนที่อยู่ในที่นั้นต่างเงยหน้าขึ้นมองหมวดราชัยอย่างตกใจ
" ผู้การ......ตอนนี้ยังไม่ได้อภิเษก ทำไมต้องให้คนนอก เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของสวาติติด้วย ผมเห็นว่าไม่มีความจำเป็นเลยนี่ "
" แต่ตอนนี้ผู้พันศรัณย์เป็นคู่หมั้นของฉัน ฉันต้องการให้ท่านช่วยฉัน รับแขกบ้านแขกเมืองกับฉัน เพื่อที่จะได้รู้เรื่องงานต่างๆ ที่จะต้องทำร่วมกัน และอีกเพียงไม่กี่วันฉันก็จะเข้าพิธีแล้ว ผู้พันจะเป็นคนสวาติติ งานของฉันก็คืองานของท่านด้วย " นายพลสาวกล่าวเสียงเข้ม ต่อหน้านายทหารทุกคน
" ในเมื่องานอภิเษกยังไม่เกิดขึ้น ผู้พันก็ยังไม่ใช่คนของ สวาติติ " หมวดราชัยกล่าวแย้งขึ้นอีก
" คุณต้องการอะไรจากการโต้แย้งนี้หรือหมวด " เสียงและสีหน้าของเธอเรียบตึง สายตาที่มองหมวดราชัยแสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผย
" ผมต้องการความถูกต้อง ซึ่งการอภิเษกอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ใครจะรู้ " เขากล่าวด้วยน้ำเสียงและมองไปที่พันเอกศรัณย์ ด้วยแววตาที่จงเกลียดจงชังอย่างไม่ปิดบัง
" ฉันตัดสินได้เอง ว่าอะไรถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง และการอภิเษกก็จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หรือคุณคิดว่าจะทำให้ไม่เกิดขึ้นได้ " เสียงเข้มห้วนนั้นย้อนถามขึ้นทันที
" ผู้การดูจริงจังกับการอภิเษกสมรส เพราะกฎมากเกินไปนะครับ หรือว่า...เพราะคืนนั้นมีสิ่งที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น อย่างไม่ถูกต้องด้วยกันแน่ " เขากล่าวอย่างลุแก่โทสะ ด้วยสีหน้าเยาะเย้ยถากถาง
ผู้การสาวหน้าร้อนผ่าวขึ้นทันที ทั้งที่พยายามระงับอารมณ์อย่างเต็มที่ แต่สีหน้าที่ดูแคลนและเย้ยหยันของเขา ทำให้เธอเดินก้าวเข้าไปประชิดตัวเขา แล้วใช้ฝ่ามือฟาดลงบนแก้มเขาเต็มแรง ทุกคนที่อยู่ในที่นั้น รวมทั้งผู้พันศรัณย์ต่างตกตะลึง หมวดราชัยยกมือขึ้นลูบแก้มตนเอง แววตาที่เขามองเธอนั้นร้าวรานเจ็บปวด
ผู้การสาวกล่าวตามมาด้วยเสียงที่เข้มห้วน และจริงจัง “ จะเกิดอะไรขึ้น ก็อยู่ที่ฉันและผู้พันศรัณย์เท่านั้นที่รู้ คุณในฐานะที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉัน ไม่มีสิทธิ์ที่จะดูถูกผู้บังคับบัญชา ฉันขอสั่งกักบริเวณคุณสิบห้าวัน " เธอกล่าวจบแล้วหันไปที่หมวดราเมน ซึ่งยังคงยืนตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า " หมวดราเมน...ให้ทหาร นำหมวดราชัยไปกักบริเวณเดี๋ยวนี้ " เสียงเข้มนั้นออกคำสั่งแล้วก้าวเดินออกไป ทุกคนในที่นั้นนิ่งเงียบ หมวดราชัยทำท่าทางฮึดฮัด แต่ก็ไม่อาจที่จะกล้าขัดคำสั่ง ทหารสองนายเข้าคุมตัวเขาไว้ทันที
ผู้พันศรัณย์เดินตามเธอออกไป เขารู้ว่าเธอพยายามที่จะระงับอารมณ์อย่างเต็มที่ เธอเดินกลับไปที่ห้องทำงานส่วนตัวและนั่งลงเงียบๆ หลับตาเอนหลังพิงกับพนักเก้าอี้ เขาเดินมานั่งลงตรงหน้าโต๊ะทำงานของเธอ เธอสูดหายใจลึกๆ แล้วถามเขาว่า เธอรุนแรงกับราชัยเกินไปมั้ย
ผู้พันหนุ่มกล่าวกับเธอเรียบๆว่า “ ระเบียบวินัยของทหาร ต้องแยกกับเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัว และคุณก็ทำถูกต้องแล้ว ในฐานะผู้บังคับบัญชา คุณต้องทำใจให้เข้มแข็งนะรายาผมเป็นกำลังใจให้คุณนะ ” เธอมองหน้าเขาด้วยสายตาขอบคุณ เธอนั่งเงียบๆรวบรวมพลังใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับเขายังห้องรับรอง นายฝรั่งลุกขึ้นยืนทันทีที่เห็นว่านายพลหญิงและนายทหารหนุ่มเดินเข้ามา เขาลุกขึ้นยืนทำความเคารพ
" ถวายบังคมองค์หญิงนายพล พระเจ้าค่ะ " เขากราบทูลเป็นภาษาอังกฤษ
ผู้การสาวตอบเป็นภาษาอังกฤษ " สวัสดีค่ะ........มิสเตอร์ วินสัน ดิฉันขอแนะนำนี่คือผู้พันศรัณย์ คู่หมั้นของฉันและนี่คือมิสเตอร์วินสัน นายช่างใหญ่ของบริษัทอีตัน ที่ได้รับสัมปทานจากเราค่ะ ผู้พัน " ผู้การสาวกล่าวตอบรับแล้วแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกัน
" สวัสดีครับผู้พัน ยินดีมากครับที่ได้รู้จักกับคู่หมั้นของเจ้าหญิง คุณเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลกเชียวนะครับ " ทั้งสองต่างสัมผัสมือกัน
" สวัสดีครับมิสเตอร์ วินสันยินดีที่ได้รู้จักครับ " เขาตอบเป็นภาษาอังกฤษเช่นเดียวกัน พร้อมกับยิ้มและจับมือเขย่าทักทาย นายพลสาวเชื้อเชิญให้ทุกคนนั่งลง
" เชิญนั่งค่ะ คุณมาก่อนกำหนดนะคะมิสเตอร์ วินสัน ความจริงฉันคาดว่าอีกประมาณ สองอาทิตย์คุณถึงจะเข้ามา "
" คือก่อนที่หม่อมฉันจะนำเครื่องจักรกลเข้ามา หม่อมฉันต้องขอมาสำรวจเส้นทางที่จะทำถนน ก่อนพระเจ้าค่ะ วันนี้หม่อมฉันต้องกราบทูลขอ ให้เจ้าหญิงนายพลส่งคนพาเราไปดูพื้นที่ ก่อนที่จะได้เริ่มลงมือทำถนนเข้าไปในพื้นที่ที่ได้รับสัมปทาน พระเจ้าค่ะ "
" ก็ดีค่ะ ฉันจะให้คนพาคุณไปดูนะคะ ฉันให้คนงานของฉันเซอร์เวย์พื้นที่ และ แผ้วถางเคลียร์พื้นที่ที่จะทำถนนไว้ให้จนเกือบจะเรียบร้อยแล้ว คุณนำรถเกรดเข้ามาเกรดได้เลยค่ะ " นายพลหญิงกล่าวยิ้มๆ
" โอ.....ยอดเยี่ยมมากพระเจ้าค่ะ งานของเราจะได้ดำเนินได้เร็วขึ้น " มิสเตอร์วินสันกล่าวชม เมื่อรู้ว่าเส้นทางได้ถูกแผ้วถางไว้ให้แล้ว
" ฉันก็อยากให้งานสำเร็จเป็นรูปธรรมเร็วๆ ทางเราจะจัดหน่วยคุ้มครองคณะทำงานให้ตลอดเวลา ที่คุณทำงานอยู่ที่นี่ ไม่ต้องกังวลค่ะ " ผู้การสาวกล่าว
" ขอบพระทัยพระเจ้าค่ะ ฝ่าบาททรงเป็นเจ้าหญิงนายพลที่ทรงพระปรีชามาก ทรงรอบคอบในการทำงานทุกขั้นตอน หม่อมฉันต้องขอชื่นชม และต้องขอประทานอนุญาตแสดงความยินดีกับพระคู่หมั้นของฝ่าบาทด้วย ที่จะได้อภิเษกกับเจ้าหญิง ที่ทรงพระปรีชาและทรงมีอัจฉริยภาพสูงยอดเยี่ยมที่สุด "
" ขอบคุณครับ " ผู้พันกล่าวขอบคุณ ก้มศีรษะลงนิดหนึ่งรับคำชมนั้น
" หม่อมฉันจะเดินทางไปสำรวจวันนี้ หม่อมฉันจะได้เริ่มลำเลียงเครื่องมือในการก่อสร้าง และจะเริ่มสร้างแค้มป์ที่พัก และจะได้ให้คนงานที่จะดำเนินงานสร้างถนน เดินทางเข้ามาทำเลย ซึ่งตอนนี้พวกเครื่องมือก็ได้เตรียมไว้พร้อมแล้วที่ฝั่งไทย ส่วนเครื่องจักรที่จะทำการขุดเจาะนั้น กำลังส่งมาทางเรือ จะมาถึงก็พอดีกับสร้างถนนเรียบร้อยพระเจ้าค่ะ " นายช่างฝรั่งชาวอเมริกันกะเวลา
" ดีค่ะ.....ฉันจะให้เจ้าหน้าที่ พาคุณไปสำรวจนะคะ มิสเตอร์ " ผู้การกล่าวกับนายฝรั่ง
" ขอประทานอภัย หม่อมฉันอยากทราบว่า ทำไมเจ้าหญิงนายพลไม่ทรงทำเมืองนี้ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวล่ะพระเจ้าค่ะ เมืองของเจ้าหญิงอันซีน สวยงามมาก " นายฝรั่งทูลถามอย่างสงสัย
" ฉันเคยคิดค่ะ แต่ฉันตัดสินใจทุกอย่างไม่ได้ด้วยตนเองทั้งหมด ต้องเสนอให้เสนาบดีเมืองเห็นชอบด้วย ซึ่งทุกคนล้วนเป็นคนหัวเก่า ไม่ชอบความวุ่นวาย และไม่อยากเห็นที่นี่ต้องสูญเสียสภาพสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่ไป เรายังคงต้องพิจารณากันอีกหลายขั้นตอน และตอนนี้เราก็ยังไม่พร้อมที่จะรองรับนักท่องเที่ยว เรายังไม่มีโรงแรมดีๆให้นักท่องเที่ยวได้เข้าพัก ไม่มีถนนดีๆ ให้รถได้เดินทางเข้ามาอย่างสะดวกสบาย และก็ยังไม่ปลอดภัยนักด้วยค่ะ และในความคิดส่วนตัวของฉัน ฉันก็ยังต้องการให้ที่นี่ คงสภาพนี้อยู่ต่อไป มากกว่าจะให้มันเปลี่ยนแปลงไปเร็วนัก "
" หม่อมฉันเข้าใจความรู้สึกหวงแหน ในทรัพยากรธรรมชาติของพระองค์ดีกระหม่อม เมืองนี้เป็นเมืองที่น่าจะเก็บไว้เป็นมรดกของโลก ทั้งทางธรรมชาติ และวัฒนธรรม " เขากล่าวอย่างชื่นชม หมวดราเมนเดินเข้ามาแล้วก้มลงรายงานกับผู้การสาวเบาๆ เธอพยักหน้ารับ หมวดราเมนเดินกลับออกไป เธอหันมากล่าวกับนายช่างฝรั่ง
" อีกสักครู่ฉันจะให้คนนำทางพาคุณไปนะคะ มิสเตอร์ วินสัน และถ้าคุณต้องการอะไรให้บอกมาได้เลยนะคะ หรือบอกกับคู่หมั้นของฉันก็ได้ค่ะ ฉันคงต้องขอตัวก่อนนะคะ “ เธอหันมากล่าวกับคู่หมั้น “ ผู้พันคะ.....คุณอยู่สนทนากับ มิสเตอร์วินสันก่อนนะคะ " เธอกล่าวแล้วรีบลุกเดินออกไปทันทีที่กล่าวจบ
พันเอก ศรัณย์ เดินกลับออกมาจากห้องรับรองที่สวยงามหรูหราแห่งนั้น เมื่อมีคณะผู้นำทางนายฝรั่งมาพาเขาออกไปสำรวจ เขาพบกับหมวดราเมนที่ยืนรอเขาอยู่ และเดินเข้ามาทำความเคารพเขา และกล่าวกับเขาว่า
" ผู้พันครับ .....เร็วๆเถอะครับ ตอนนี้กำลังมีการปะทะกัน ผู้การออกไปที่จุดปะทะแล้วครับ ที่ทางใต้ของหน่วยลาดตะเวนที่เก้าครับผม ผู้การท่านยังไม่แข็งแรงเลย แต่ออกไปกับนายทหารและก็พลทหารอีกจำนวนหนึ่ง ไปบัญชาการเองครับท่าน "
" ผู้การนี่ดื้อจริงๆ หมวดสั่งให้เตรียมรถเดี๋ยวนี้ " เขาสั่งหมวดราเมน และเรียกจ่าหวังที่ยืนคอยเขาอยู่
ทหารทั้งสัญญาบัตรคือผู้พัน ศรัณย์ และนายทหารอีกสองนาย ทหารชั้นประทวนอีกหกนายรวมทั้งจ่าหวัง วิ่งขึ้นรถตามคำสั่ง
" ไปที่ทางใต้ของหน่วยลาดตะเวนที่เก้านะ แนวปะทะอยู่ตรงไหนนะจ่าหวังขอแผนที่ทีสิ " เขาหยิบแผนที่ที่จ่าหวังส่งให้ขึ้นมากางดู
จิ๊ปทหารสิงห์ทะเลทรายสองคันวิ่งไปเกือบชั่วโมง ก็ได้ยินเสียงปืน ผู้พันสั่งให้หยุดรถและลงเดินเท้า
" พลวิทยุ.........เรียกหน่วยลาดตะเวนที่เก้าสิ รายงานด้วยว่าเรานำกำลังมาสมทบและมาถึงแนวปะทะแล้ว " ผู้พันสั่งพลวิทยุ เสียงปืนยิงต่อสู้ดังขึ้นอีกหลายชุด ผู้พันหนุ่มสั่งให้ทุกคนเดินเท้าเข้าไปอย่างเงียบๆ และให้พลวิทยุเรียก
" นี่อินทรีย์เรียกพิลาปขาวได้ยินแล้วตอบด้วยเปลี่ยน "
" ไม่มีเสียงตอบครับ ผู้พัน " พลวิทยุรายงาน เขาขมวดคิ้วสีหน้าเครียดขึ้นทันที เขาทำสัญญาณให้กระจายกำลัง
เสียงปืนดังขึ้นอีกทำให้ทุกคนรีบหมอบลง เสียงรองเท้าวิ่งย่ำออกมาจากจุดปะทะ ผู้พันศรัณย์ลุกขึ้นมองและทำสัญญาณให้ยิงพวกทหารป่าที่วิ่งออกมา
มีแสงไฟลุกโชติช่วงขึ้นเสียงปะทุดังขึ้นเป็นระยะ ทหารของพันเอกศรัณย์ ยิงใส่พวกทหารป่าที่ถอยร่นลงมาจนหมด กำลังของทหารสวาติติบางส่วน เดินถือปืนอย่างระวังออกมา ทหารของผู้พันทำเสียงสัญญาณให้ทหารจากสวาติติรู้ว่าเป็นพวกเดียวกัน ทหารเหล่านั้นรีบวิ่งตรงมาที่หน่วยของผู้พัน
" ผู้การล่ะ ผู้การอยู่ที่ไหน ? " ผู้พันศรัณย์รีบถามทันที
" ผู้การกำลังบัญชาการให้ทหาร เผาโรงงานผลิตยานรกอยู่ครับผม และให้หน่วยของผมออกมาไล่ล่าพวกทหารป่าที่ถอยร่นลงมา และลาดตะเวนรอบนอกด้วยครับผม " ทหารกล่าวรายงาน
เมื่อได้ยินทหารของสวาติติรายงาน ผู้พันศรัณย์รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที เขารีบเดินไปตามทางที่ทหารเดินนำไป ภาพที่เขาเห็นก็คือ นายพลหญิงยืนบัญชาการให้ทหารเผาทำลายโรงงานขนาดย่อมอยู่บนรถ แสงไฟและเสียงประทุดังเป็นระยะ มีศพของทหารป่านอนตายเกลื่อน ทหารของสวาติติที่ได้รับบาดเจ็บ กำลังถูกลำเลียงขึ้นรถผู้การสาวกำลังสั่งการ
ผู้พันศรัณย์เดินเข้าไปหาเธอบนรถ " ผู้การ......คุณไม่เคยเชื่อเรื่องที่ผมขอร้องเลยนะ แผลคุณหายดีแล้วหรือ ที่ออกมาปะทะกับข้าศึกอย่างนี้ คุณมาขึ้นรถกลับเดี๋ยวนี้เลย " เขาเดินไปกล่าวเบาๆ แต่เสียงเข้มเฉียบ ใบหน้าเรียบเฉยปราศจากรอยยิ้ม และจับต้นแขนของเธอไว้
" ฉันกำลังจะกลับ เสร็จภารกิจแล้ว ปล่อยแขนฉัน " เธอตอบเสียงห้วนๆเช่นกัน พยายามดึงแขนออกจากการเกาะกุมของเขา แต่มือของผู้พันศรัณย์ที่จับเธอไว้มั่นนั้น ยังจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
" ไม่ปล่อย...เดินมากับผม ไม่งั้นผมจะอุ้มคุณไปขึ้นรถเดี๋ยวนี้ " เสียงของผู้พันหนุ่ม และสีหน้าของเขาดูจริงจังจนเธอจำต้องเดินตามเขามา ด้วยเกรงว่าผู้ใต้บังคับบัญชาจะเห็น พันเอกศรัณย์สั่งให้ทหารที่มากับเขาทั้งหมด ไปช่วยทหารที่กำลังเผาโรงงานผลิตยานรกอยู่ และมองหน้าผู้การสาวเหมือนบังคับกลายๆ ให้เธอขึ้นรถมากับเขาโดยเขาเป็นผู้ขับ
" รายา.....คุณทำไมไม่บอกผม ว่ามีการปะทะกับข้าศึก คุณให้ผมรับแขกของคุณ แล้วคุณก็ออกมาแทนที่คุณจะบอกผม ให้ผมเป็นคนนำกำลังมาเอง คุณยังไม่หายเจ็บนะเพิ่งอาทิตย์กว่าๆเท่านั้น ถ้าแผลเกิดอักเสบขึ้นมาจะทำยังไง แต่คุณไม่เคยฟังใครทั้งสิ้นเลย รายาอย่าทำอย่างนี้อีกได้มั้ย ผมขอร้อง " เขากล่าวกับเธออย่างนึกโมโห
" ก็มันเป็นหน้าที่ของฉันนะคะผู้พัน เราจะลุกออกมาพร้อมกันได้ยังไงคะ และฉันจะบอกคุณตอนนั้นก็ไม่สะดวกฉันไม่อยากให้แขกของเรารู้ เขาอาจจะตกใจก็ได้ ฉันก็เลยตัดสินใจยกกำลังมาช่วยหน่วยนี้เอง แล้วฉันก็ค่อยยังชั่วแล้วด้วย คุณจะให้ฉันนอนอยู่กับที่ ทั้งๆที่มีภารกิจมากมายอย่างนี้หรือคะ? "
" ก็ผมนี่ไง....คุณก็ใช้ผมสิ ผมมาช่วยคุณนะ ผมเป็นห่วงคุณนะรายา ผมจะทำยังไง.....ให้คุณฟังผมบ้าง บอกผมสิรายา ถ้าคุณโดนยิงหรือว่าถูกพวกมันจับตัวไป ผมจะทำยังไงคุณไม่รักผม ผมก็รู้แต่คุณต้องรักตัวเองบ้างเข้าใจมั้ย คุณเจ็บ ผมก็เจ็บด้วย ผมทรมานมากนะ วันที่ผมเห็นคุณบาดเจ็บน่ะ ผมคิดแต่ว่าให้ผมเจ็บเองเสียดีกว่า " ผู้พันหนุ่มกล่าวรำพันหันมามองหน้าเธอ สีหน้าเครียดขรึม
ผู้การสาวมองหน้าด้านข้างของเขา เธอเห็นสีหน้าที่มองตรงไปข้างหน้าของเขา ยามที่เขาหันมามองเธอ สายตาของเขามีความจริงใจ ที่สาดฉายออกมาจากดวงตาสีสนิมคมกล้านั้น น้ำเสียงที่หนักแน่นจริงจังของเขา กล่าวออกมาด้วยอารมณ์ที่รุนแรง ที่มีทั้งอ่อนหวานและดุดันอยู่ในน้ำเสียง
" ฉันขอโทษค่ะที่ทำให้คุณเป็นห่วง ฉันขอบคุณคุณมากนะคะ คุณดีกับฉันมากค่ะ แต่ฉันเคยชินกับภารกิจแบบนี้มานานแล้ว จนไม่ได้คิดว่าใครจะคิดเป็นห่วง เพราะคิดว่ามันเป็นหน้าที่ของฉัน ที่ต้องปกป้องบ้านเมือง อย่าโกธรฉันเลยนะคะ ต่อไปนี้ฉันจะบอกคุณก่อน ถ้ามีภารกิจที่ต้องออกมาปะทะแบบนี้ " ผู้การสาวกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแสดงออกถึงการขอโทษ
" ต่อไปนี้ขอให้คุณปฏิบัติงาน อยู่ที่กองบัญชาการเท่านั้น ผมจะเป็นคนออกมาปฏิบัติการภาคสนามเอง คุณเข้าใจมั้ยผู้การ ? " เขายังทำน้ำเสียงเข้ม ทั้งที่หัวใจของเขาอ่อนยวบลง เมื่อได้ยินคำอธิบายอ่นๆของเธอ
" แต่ฉันต้องมาค่ะ ที่นี่เป็นประเทศของฉัน ฉันอุทิศชีวิตให้บ้านเมืองไปแล้ว ถ้าฉันจะต้องตายอยู่ที่ไหนก็คงต้องตายค่ะ อย่าห้ามฉันเลยนะคะ " เสียงในตอนท้ายประโยคเว้าวอน
" อย่าใช้คารมนักการทูตกับผม ไม่สำเร็จหรอก คุณต้องอยู่ข้างในกองบัญชาการเท่านั้น ผมทราบนะว่ากฎของที่นี่เมื่อแต่งงานแล้ว ภรรยาต้องเชื่อฟังที่สามีพูดใ ช่มั้ย .... ? " เขาหันหน้ามาถามเธอ
ความคิดเห็น