ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] I'm your Toy. ผมเป็นของเล่นของคุณ (8P)

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่6 ผู้ช่วย คนรู้จัก เพื่อนสนิท?

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.17K
      125
      20 ต.ค. 61

    ตอนที่6

    ผู้ช่วย คนรู้จัก เพื่อนสนิท?

     

       ผู้ช่วย คนรู้จัก เพื่อนสนิท 


       คำสามคำที่ผมไม่แน่ใจนักว่าควรนิยาม 'เธอ' ไว้ในหมวดไหนดี 


       กับคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับผมที่สุด ให้ความช่วยเหลือผมมากที่สุด และเป็นคนที่มีบุญคุณกับผมมากที่สุดอย่างนี้ ควรจัดว่าให้อยู่ประเภทไหนกันนะ?

     


     

       ...


       "ไปบ้านฉันก่อนไหม?"ผมพูดชวนหลังตัดสินใจ เมื่อเห็นสายตาหลายคู่ที่จ้องมองมาจึงอธิบายเพิ่มเติม


       "ตอนนี้ฝนตกหนักมากคงอีกพักใหญ่กว่าจะหยุด ถ้ายังไงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อที่บ้านฉันก่อนแล้วพอฝนซาค่อยขับรถกลับดีไหม? หรือถ้าไม่สะดวกใจก็ไม่เป็นไร แต่พวกนายควรรีบกลับได้แล้วไม่งั้นเดี๋ยวจะเป็นหวัดเอานะ"ผมพูดเป็นชุด ซึ่งทั้งเจ็ดคนหันมองหน้ากันเหมือนปรึกษา ก่อนจะเป็นซิตซ์ที่เอ่ยปาก

     

       "ก็ไปสิ"

     

       "ถ้างั้นขอรบกวนหน่อยนะครับ"

     

       "เอาสิ..."

     

       "ไปบ้านทอยกัน!"เสียงผสานของจินกับไปป์และคำตอบจากคนอื่นๆ

     

       สรุป มติเป็นเอกฉันท์


       ระยะทางจากสวนสนุกกับบ้านของผมห่างกันราวยี่สิบห้านาที พอพวกเวย์จอดรถผมก็รีบไล่แต่ละคนไปอาบน้ำ ซึ่งทีแรกมีเกี่ยงกันจนผมต้องไล่ให้ไปอาบรายคน เริ่มจากจินที่เปียกสุด ต่อด้วยไปป์ ส่วนคนอื่นๆผมก็ให้ผ้าขนหนูไปเช็ดแก้ขัดก่อน ผมเดินไปชงโกโก้ร้อนโดยมีเวย์กับไนท์มาช่วย ซึ่งซิตซ์ที่รับแก้วไปพูดบ่นเล็กน้อย


       "โกโก้? ไม่มีกาแฟรึไง"


       ผมที่ได้ยินก็เกาแก้มแล้วพูดอย่างลำบากใจ


       "โทษที พอดีฉันไม่ดื่มกาแฟน่ะ"ผมบอกกับซิตซ์ที่ฟังแล้วทำท่ายักไหล่ หันไปมองเวย์ก็พบสีหน้าแปลกใจ


       "ทอยไม่ดื่มกาแฟงั้นเหรอครับ?"


       "อืม คาเฟอีนในกาแฟมันเยอะน่ะ ไม่ดีต่อสุขภาพเท่าไหร่"


       "งั้นเหรอครับ"


       เวย์รับคำเหมือนเข้าใจแต่ผมที่กลับรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายยังติดใจอะไรอยู่


       ช่างเถอะ


       ผมแจกแก้วโกโก้ให้ทุกคนก่อนไปรื้อเอาเสื้อผ้ามาให้แต่ละคนใส่แก้ขัด เพราะจะให้นั่งตากลมโดยไม่ใส่เสื้อเดี๋ยวจะเป็นปอดบวมกันซะเปล่าๆ แต่ผมที่หาเสื้อผ้าให้ใส่ก็ต้องมุ่นคิ้วเมื่อพบว่าไซส์เสื้อผ้าของผมมันเล็กไป ถึงจินกับไนท์จะใส่ได้แต่กับคนอื่นๆดูจะคับไปสักหน่อย ผมเลยเลือกเสื้อยืดที่ไม่เคยใส่มาก่อนให้แทน แต่เมื่อทุกคนมองเห็นลวดลายบนเสื้อก็หันมามองผมคล้ายไม่อยากเชื่อ


       "นี่ทอยใส่เสื้อแบบนี้ด้วยเหรอ?"เสียงหนึ่งในฝาแฝดถามอย่างประหลาดใจหลังกางเสื้อยืดดูซึ่งลวดลายบนเสื้อเป็นภาพกราฟฟิคของการ์ตูนชื่อดังเรื่องหนึ่ง


       "โห เท่ว่ะ สึนะภาคศึกชิงแหวนซะด้วย นี่ทอยชอบดูการ์ตูนเหมือนกันเหรอ?"ไปป์ผิวปากชมอย่างอารมณ์ดีหลังก้มมองลายเสื้อตัวเอง คนอื่นๆที่ได้รับก็มีสีหน้าต่างกันไปแต่ผมรีบแก้ตัวก่อนมีการเข้าใจผิดกัน


       "จริงๆแล้วเสื้อพวกนั้นฉันไม่ได้ซื้อเอง แต่คนรู้จักซื้อมาฝากน่ะ"ผมอธิบายเพิ่มเติม


       "คนรู้จัก?"ไปป์ทวน สีหน้าแปลกใจเรียกร้องให้ผมอธิบาย


       "อืม คนรู้จักฉันเขาชอบอะไรแบบนี้ พอไปงานที่มีเสื้อแบบนี้ขายก็ชอบซื้อมาฝาก แต่ปกติฉันก็ไม่ได้ใส่หรอก เก็บเอาไว้ดูเฉยๆ"


       จริงๆผมก็เสียดายนะแต่เพราะมันไม่ใช่รสนิยมของผมจริงๆ ถึงซื้อมาให้ผมก็ได้แค่เก็บเอาไว้ตั้งโชว์ หลังๆผมปรามจริงจังอีกฝ่ายถึงเลิกเอาเสื้อมาให้...


       "งั้นแก้วนี้ล่ะ?"จินทำเสียงสงสัยพร้อมชูแก้วน้ำที่เป็นลายการ์ตูนเช่นกันพร้อมมองผมอย่างหาคำตอบ


       "อันนั้นคนรู้จักก็ซื้อมาฝากน่ะ"ผมตอบอย่างนึกอ่อนใจ เพราะหลังปรามเรื่องเสื้อ จากเสื้อจึงเปลี่ยนเป็นแก้ว แก้วน้ำแบบมีหูจับหนึ่งเซ็ตลายแมวดำตาเพชรที่คนให้บอกว่าลายกับเหมาะกับผมดี จนผมสงสัยว่าที่ว่าเหมาะนี่กำลังบอกว่าผมดำอยู่รึเปล่า? ยิ่งช่วงนั้นผมเพิ่งไปเดินป่ากลับมาใหม่ๆผิวยังเกรียมแดดอยู่เลย


       "แปลว่าผ้าขนหนูพวกนี้ก็ด้วย?"ซิตซ์กระดิกเท้าเขี่ยผ้าขนหนูสีส้มที่ร่วงจากโซฟาตกลงไปซึ่งผมคลับคลาว่าลายของมันคือสัตว์ประหลาดตัวนึงในการ์ตูนเรื่องโปเกมอนที่พ่นไฟได้ ผมพยักหน้าให้ไม่ได้ต่อว่าเรื่องท่าทางไม่มีมารยาทนั้น แต่เวย์ที่เห็นการกระทำของซิตซ์ก็พูดเตือนจนคนโดนดุต้องก้มเก็บผ้ามาตั้งที่เดิมพร้อมทำหน้าเซ็งๆ


       หลังผลัดเปลี่ยนกันอาบน้ำ ผมที่เข้าอาบน้ำเป็นคนสุดท้ายเมื่ออาบเสร็จก็เดินออกมา แล้วก็ต้องนิ่งอึ้งเมื่อเผชิญกับร่างเปลือยท่อนบนของซิตซ์โดยที่ท่อนล่างของอีกฝ่ายยังคงสวมยีนส์ที่ใส่ตอนเช้าอยู่ ซึ่งผมก็เลิกคิ้วถามอย่างสงสัยว่าทำไมไม่แต่งตัว

     

       "เสื้อเล็ก ใส่ไม่ได้"คำพูดห้วนสั้นของอีกฝ่ายชวนให้ผมนึกสงสัยว่าจะประหยัดคำพูดไปไหนทีคืนนั้น...

     

       ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าผมลองหาเสื้อที่เขาน่าจะใส่ได้ให้ดีกว่า

     

       "เอ้า"ผมยื่นเสื้อเชิ้ตตัวโตที่ผมซื้อมาเอง แต่เป็นเสื้อที่ผิดไซส์ เพราะสั่งออนไลน์พอส่งมาแล้วจะเปลี่ยนกลับไปกลับมาก็ดูยุ่งยากผมเลยเก็บเอาไว้ ไม่นึกว่าจะมีโอกาสได้ใช้เหมือนกัน


       "สีขาวอีกแล้ว?"ผมได้ยินซิตซ์พูดคล้ายเปรยเฉยๆ แต่หางตาเหลือบมองผมซึ่งเสื้อที่ใส่ก็เป็นสีขาว


       "ทนใส่ไปก่อนนะเดี๋ยวฉันไปเป่าเสื้อให้ อีกเดี๋ยวก็แห้ง"ผมพูดบอกซิตซ์เผื่ออีกฝ่ายจะไม่ชอบใส่สีขาว แต่ทำไงได้เมื่อถ้าให้พูดจริงๆเสื้อผ้าในตู้ที่ผมซื้อมาเองล้วนแต่เป็นสีขาวทั้งนั้น ถ้าเป็นสีอื่นรู้ได้เลยว่าไม่ได้ซื้อเอง แต่จะพูดไปซิตซ์ตอนใส่เสื้อสีขาวแบบนี้ก็ดูแปลกตาเหมือนกัน


       เสื้อเชิ้ตสีขาวเนื้อหนาที่ใหญ่ไปสำหรับผมแต่พออยู่บนร่างของซิตซ์กลับพอเหมาะ เนื้อผ้ากระชับจนเห็นรูปไหล่ที่กว้างกำยำ ผิวของซิตซ์ขาวแต่คนละแบบกับเวย์มันออกกร้านๆคล้ำๆ คอปกตั้งขึ้นจนเส้นผมสีแดงเข้าไปอยู่ด้านในคอเสื้อ ผมเห็นซิตซ์ไม่สนใจจัดคอเสื้อก็เดินเข้าไปจัดการให้แทนอย่างเผลอตัว พอเข้าไปอยู่ระยะประชิดผมถึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าส่วนสูงเกือบร้อยแปดสิบของตัวเองเมื่อมาเทียบซิตซ์กลับดูตัวเล็กไปถนัดตา ตอนที่ผมจะถอยหลังออกมาก็ถูกซิตซ์คว้ามือไว้ ผมเงยหน้ามองซิตซ์อย่างแปลกใจ แต่นัยน์ตาสีเทาที่สบมากลับทำให้ผมลืมเลือนสิ่งที่จะพูดไปจนหมด แรงดึงดูดบางอย่างทำให้ผมได้แต่จ้องมองดวงตาสีขี้เถ้านั้นนิ่งค้าง ความรู้สึกคล้ายกับภาพตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ แต่ผมก็ได้สติเมื่อได้ยินเสียงพวกจินพูดโหวกเหวกแถวห้องรับแขก เผลอหันไปมองทางทิศกำเนิดเสียงพอหันกลับมาก็พบซิตซ์ยืนนิ่งมองผมอย่างคล้ายกับคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ทันถามอีกฝ่ายก็ปล่อยแขนผมออกแล้วเดินไปทางห้องรับแขกโดยไม่พูดอะไร


       พอผมเดินเข้าไปบ้างก็พบจินกับหนึ่งในฝาแฝดเล่นดึงแก้มกันอยู่ ไม่สิ... ดึงสุดแรงแบบนั้นคงไม่เรียกว่าเล่นแล้วล่ะ


       ผมมองจินที่ดึงแก้มฝ่ายตรงข้ามจนแทบจะฉีกก็ตกใจว่าทะเลาะอะไรกันแต่พอมองคนอื่นๆที่มองภาพนั้นอย่างเป็นธรรมชาติก็ได้แต่สงสัย ก่อนจะถามผ่าขึ้นกลางวง


       "เล่นอะไรกันอยู่เหรอ?"


       ผมถามนิ่งๆแต่เห็นคนฟังทำท่าสะดุ้งก่อนปล่อยมือออกพร้อมกัน หันมาทางผมซึ่งอยู่ด้วยสายตาเฉยๆก็อ้ำอึ้ง สบตากันก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เหมือนเตี๊ยมกันไว้


       "ไม่มีอะไร ฉันแค่เล่นบริหารใบหน้ากับริกซ์/จินน่ะ!"


       หืม บริหารใบหน้า? บริหารจนเป็นรอยแดงขนาดนั้นน่ะนะ?


       ผมมองใบหน้าของจินและริกซ์ที่ตรงช่วงแก้มเป็นรอยแดงคล้ายรูปนิ้วมือแล้วเลิกคิ้วเมื่อมันเป็นคำแก้ตัวที่ฟังไม่ขึ้นเอาซะเลย แต่ก่อนที่ผมจะได้ถามอะไรอีกก็ถูกอีกเสียงดึงดูดความสนใจไปก่อน


       "ทอย"

     

       เสียงเรียกของหนึ่งในสองแฝด แต่ในเมื่อคนที่อยู่กับจินคือริกซ์ งั้นคนที่เรียกผมก็ต้องเป็นลอสสินะ ผมเห็นสีหน้าที่ดูขัดเขินประหม่าของอีกฝ่ายแล้วถามว่ามีอะไร

     

       "เอ่อ คือ...ขอดูห้องทำงานหน่อยได้ไหม? ฉันอยากเห็นสักครั้งน่ะ"ผมฟังคำขอก็เลิกคิ้ว มองอาการที่เก้อเขินกับสายตาคาดหวังของคนตรงหน้า ก่อนหัวเราะเล็กน้อยพลางเดินนำไป

     

       ห้องที่ผมใช้เขียนนิยายเป็นห้องเล็กๆพอให้ตั้งโต๊ะทำงาน และตู้หนังสือหกตู้ได้อย่างไม่เกะกะตา หนังสือในห้องนอกจากนิยายของตัวเองผมก็ซื้อผลงานเขียนของนักเขียนคนอื่นมาเก็บไว้เหมือนกัน หนังสือเล่มเล็กๆเมื่อรวมตัวกันเป็นสิบเป็นร้อยเล่มมันก็ทำให้ห้องดูแคบลงไปอย่างบอกไม่ถูก

     

       ผมเปิดห้องให้แต่ล่ะคนเข้ามาดู โต๊ะของผมอยู่ติดริมขวามือ บนโต๊ะมีกองกระดาษแล้วก็หนังสือภาพตั้งอยู่กองหนึ่งซึ่งมันเป็นหนังสือที่ผมเอาไว้หาข้อมูลในการเขียนนิยาย บางเล่มผมก็ยืมมาจากห้องสมุด แต่บางเล่มที่ผมคิดว่าน่าจะต้องใช้บ่อยก็เลยไปซื้อมาเก็บไว้

     

       "ทอย นี่ใช่ภาพร่างปกของเรื่องห้วงเวลามนตรารึเปล่า? อันนี้มันภาพร่างของฟรายนี่! นี่นายวาดเองเหรอ?"เสียงของลอสไม่ก็ริกซ์ถามขึ้นอย่างตื่นเต้นขณะมองกองกระดาษที่มีภาพร่างคร่าวๆของตัวละครในนิยายเล่มที่เพิ่งตีพิมพ์ล่าสุด

     

       "เปล่า ผู้ช่วยฉันส่งมาให้ ฉันให้เขาช่วยออกแบบปกกับวาดตัวละครให้ เพราะฉันไม่ถนัดวาดรูปเท่าไหร่ พอเห็นเป็นรูปมีรายละเอียดชัดเจนแบบนี้ฉันจะเขียนได้ถนัดกว่าน่ะ"ผมตอบพลางมองคนอื่นๆที่เดินดูหนังสืออย่างสนใจ แม้แต่ซิตซ์ก็หยิบเล่มนึงจากชั้นมาเปิดดูผ่านๆ

     

       "งั้นเล่มก่อนๆทอยก็ให้คนคนนั้นวาดให้งั้นเหรอ?"เสียงของหนึ่งในบรรดาฝาแฝดดังขึ้นอีกครั้งซึ่งผมอาจรู้สึกไปเองแต่โทนเสียงมันลดต่ำลง

     

       "อืม ฉันก็ให้เขาออกแบบแค่คนเดียวนั่นแหละ"ผมตอบก่อนจะชะงักเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ซึ่งเสียงเรียกเข้าแบบนี้มันของผมแน่ๆ ผมรีบเดินไปหยิบ เมื่อมองเห็นชื่อที่โทรเข้ามาก็หมุนลูกบิดประตูออกมาคุยด้านนอก ผมกดรับก่อนกรอกเสียงทักไป

     

       "ว่าไง อิน"

     

       "ไงพ่อนักเขียน เขียนพล็อตถึงไหนแล้ว? แล้วนี่อยู่ไหน ข้างนอก?"คำถามพร้อมเสียงคุ้นเคยที่ร่าเริงดังมาตามสาย เสียงของอินที่นอกจากจะเป็นแฟนคลับคนแรก เป็นบรรณาธิการ และเป็นเพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ผมมี อินยังเป็นคนสำคัญที่ผมเชื่อถือและไว้ใจได้

     

       "เขียนได้พอสมควรแล้ว อยู่บ้าน"ผมตอบสองประเด็นพร้อมกันแต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายสนใจประเด็นหลังมากกว่า


       "อ้าว อยู่ที่บ้านแล้วทำไมถึงเสียงดังอย่างนั้นล่ะ?"อินทำเสียงข้องใจ ซึ่งเสียงที่ว่าก็เป็นเสียงพวกจินที่อยู่ห้องข้างๆนั่นแหละ


       "วันนี้มี...เพื่อนมาบ้าน"ผมตอบไปเสียงนิ่ง ซึ่งอีกฝ่ายถามกลับมาด้วยเสียงตื่นเต้น


       "เพื่อน? เพื่อนนายคนไหนน่ะ? อ๊ะ หรือว่าคิวเหรอ?" ชื่อที่หลุดปากอินทำให้ผมบีบโทรศัพท์ในมือแน่น


       "ไม่ใช่ เพื่อนใหม่น่ะ เธอไม่รู้จักหรอก"ผมพูดเลี่ยง พยายามเปลี่ยนประเด็นแต่อีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ


       "เพื่อนใหม่ที่ไหน? คบกันเมื่อไหร่? ฉันจะไม่รู้จักได้ยังไงขนาดแฟนเก่านายฉันยังรู้จัก แล้วเพื่อนใหม่ประสาอะไรนายถึงยอมให้เข้าบ้านทั้งที่ไม่เคยให้ฉันเข้าไปสักครั้งยะ!"


       ประเด็นที่อินชอบพูดย้ำอยู่บ่อยครั้งซึ่งทุกครั้งผมจะต้องตอบกลับไปว่า


       "มันต่างกัน เธอเป็นผู้หญิงนะอิน"


       "อ้อ งั้นเพื่อนที่ว่าผู้ชายน่ะสิ? ว้าย หนูทอยพาผู้ชายเข้าบ้าน!"อินแกล้งร้องเสียงแหลม และยังเรียกผมว่าหนูทอยอย่างติดเป็นนิสัย ผมพ่นลมหายใจ ได้ยินเสียงอินหัวเราะก่อนถูกผลักกลับมาประเด็นเดิม


       "ตกลงว่าเพื่อนใหม่นายนี่ใหม่แค่ไหน? ถ้าเป็นเพื่อนใหม่ทำไมคนหวงถิ่นอย่างนายถึงยอมให้เข้าบ้านล่ะยะ? อย่าบอกนะ...ว่ามากกว่าเพื่อน!"คำพูดที่อินแกล้งหยอกเล่นในตอนท้ายทำให้ผมใจกระตุก เพราะถ้าให้พูดกันตามเนื้อผ้าแล้ว ผมกับพวกจินสถานะของพวกเราก็ไม่นับว่า แค่เพื่อน จริงๆ


       "ก็รู้จักกันสี่เดือนแล้ว"


       "สี่เดือน? ไม่เห็นนายเคยพูดถึงเลย?"อินทำเสียงแปลกใจ ซึ่งก็สมควรแปลกใจ เมื่อผมเคยเจอพวกจินครั้งเดียวคือเมื่อสี่เดือนที่แล้ว และมาเจอกันอีกครั้งในเอาเดือนนี้ ถ้าจะพูดถึงระดับความสนิทสนม ผมก็ไม่รู้ว่าควรจัดให้อยู่อยู่ขั้นไหนเหมือนกัน แต่ตัวผมก็ได้ไปพักที่คอนโดพวกเขามาแล้ว


       "พวกฉันไม่ค่อยเจอกันบ่อยเลยไม่ได้พูดถึง"ผมตอบแบบบอกปัดไปอย่างไม่โกหก


       "สนิทกันขนาดพาเข้าบ้านแต่ดันไม่เคยพูดถึงเลย? ฮั่นแน่ อย่างนี้มีซัมติงรองแน่ๆ"อินเหมือนไม่ได้ฟังผมพูดแถมทำน้ำเสียงมีเลศนัยแบบที่ผมไม่ต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร เพียงแต่ครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกก็ได้ที่อีกฝ่ายคิดถูก ผมที่เถียงไม่ออกรีบพูดตัดรำคาญ

     

       "ไหนธุระล่ะ? ถ้าไม่มีฉันจะวางแล้วนะ"

     

       "แหม ใจร้ายจริงนะ ฉันแค่อยากรู้ว่าพล็อตเรื่องใหม่นี่ตกลงแน่นอนรึยัง? แล้วตัวละครจะให้ฉันลองร่างส่งไปให้เลยรึเปล่า? ขืนไม่ถามไว้ พอถึงเวลานายป้อนงานฉันต้องมานั่งแก้หัวบานอีก ฮึ"


       อินทำเสียงขึ้นจมูกทำให้ผมระลึกได้ว่ามีอยู่ครั้งนึงผมโยนงานให้อินวาดตัวละครให้ แต่ไม่พอใจบอกให้ปรับแก้ซึ่งช่วงนั้นอินดันงานยุ่งๆพอผมไปเร่งแม่คุณก็วี๊ดแตก หลังโดนระเบิดไปครั้งนั้นผมก็ตั้งใจไว้ว่าจะไม่เร่งอินแบบไม่จำเป็นอีก

     

       "อืม ก็น่าจะได้แล้ว พล็อตเรื่องเกี่ยวกับโจรสลัด เกาะร้าง นางเงือก ฉันวางแพลนว่าจะไปเก็บข้อมูลอาทิตย์หน้าน่ะ"

     

       "กรี๊ด อิจฉาพ่อคนมีเวลาว่าง คราวนี้ไปไหนอีกเนี่ย ฮึ ถ้าฉันเขียนนิยายแล้วขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแบบนั้นบ้าง คงไม่ต้องมารับจ๊อบวาดปกให้กับนักเขียนแถวนี้หรอก"คำบ่นบวกประชดประชันเรียกเสียงหัวเราะเล็กๆ จากผม ซึ่งก่อนที่ผมจะได้โต้ตอบคำพูดนั้น ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับเสียงร้องสดใสของจินที่ดังขึ้น

     

       "ทอย ฉันหิวอ่า มีอะไรกินมั่งไหม?"จินเดินหน้ายู่มา สองมือลูบท้องบ่งบอกว่าหิวสุดขีด ผมที่จำได้ว่าอีกฝ่ายใช้พลังงานไปมากแค่ไหนก็ยิ้มแล้วพูดบอกขำๆ


       "มีไส้กรอกกับขนมปังแล้วก็ไข่อยู่ในครัว ลองไปหาอะไรกินดูแล้วกัน"จินย่นจมูก ทำสีหน้าเหมือนว่า แค่นั้นไม่พอหรอก ก่อนหันมาขอร้องผม


       "ทอยทำอะไรให้กินหน่อยสิ นะๆๆ ฉันหิวสุดๆ"จินกะพริบตาอ้อน สายตาลูกหมาทำใหผมยิ้มขำยกมือจัดผมที่ชี้โด่ชี้เด่ของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ


       "ให้เวย์ทำดีกว่า ฉันฝีมือไม่ได้เรื่องหรอก"


       "แต่ฉันอยากกินฝีมือทอยนี่"เสียงตัดพ้อของจินทำให้ผมส่ายหัวอย่างอ่อนใจก่อนชะงักเมื่อมีเสียงนิ่งๆดังลอดมาจากมือถือที่ผมถือสายค้างไว้และเกือบลืมไปว่ายังไม่ได้วาง

     

       "ทอย นั่นเสียงใคร?"


       น้ำเสียงจากปลายสายที่ฟังดูแข็งแปลกๆทำให้ผมนึกประหลาดใจ ขณะเดียวกันจินที่อยู่ใกล้ก็เงยหน้ามองอย่างสนใจ


       "ทอยคุยกับใครอยู่เหรอ?"


       ผมมองจิน ก่อนจะตอบไปอัตโนมัติ "คนรู้จักน่ะ"


       "คนรู้จัก?"เสียงจินทวนคำ พร้อมกับอีกเสียงที่แทรกผ่านลำโพงมา


       "คน...รู้...จัก?"


       น้ำเสียงเค้นคำที่คล้ายเข่นเขี้ยวอยู่ในทีของคนปลายสายทำให้ผมนึกในใจว่าแย่แล้ว แต่ก่อนที่ผมจะหาเรื่องตัดบทวาง ระเบิดก็ลงเสียก่อน


       "กล้าดียังไงเรียกฉันว่าคนรู้จักยะ!"


       "เดี๋ยวอิน ใจเย็น..."ผมรีบปรามก่อนที่อีกฝ่ายจะโวยวายแต่น่าเสียดายเพราะไม่ได้ผล


       "ใจเย็น? นายบอกให้ฉันใจเย็น? นี่นายกับฉันรู้จักกันมาเป็นสิบปี สิบปีเชียวนะ! รู้จักกันมาสิบปีแต่สถานะของฉันกลับหยุดอยู่ที่คนรู้จัก? เคยโดนตบด้วยส้นสูงไหม?"


       คำถามชวนให้นึกหวั่น เมื่อผมนึกถึงวีรกรรมของอินที่เคยจัดการกับคนที่มาลวนลามตัวเองโดยการถอดส้นสูงมาตบ คดีนั้นอินรอดไปเพราะถือเป็นการปกป้องตัวเอง แต่คดีนั้นก็ทำให้อินโด่งดังในแวดวงตำรวจในฐานะราชินีเลือดร้อนผู้เกือบเป็นฆาตกร


       "อิน เรื่องนี้ฉันมีเหตุผลนะ"ผมใช้ความนิ่งสยบ อินเริ่มสงบแต่ก็ยังดูไม่พอใจ


       "รีบๆอธิบายมา เอาด่วนๆ!"


       คำย้ำของอินทำให้ถอนใจแล้วเริ่มเกริ่น


       "ก่อนหน้านี้ฉันไปเจอบทความนึง เขาเขียนไว้ว่าผู้ชายกับผู้หญิงไม่อาจเป็นเพื่อนกันได้" ได้ยินปลายสายทำท่าจะค้านผมเลยรีบพูดต่อ "หญิงชายที่คบหากันในฐานะเพื่อนมักก่อให้ปัญหามากกว่าผลดี อาทิ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายนึงมีคนรัก ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนนั้นอาจทำให้คู่รักของแต่ละฝ่ายรู้สึกหึงหวงและหวาดระแวง อันเป็นบ่อเกิดของปัญหาตามมา ฉันเลยคิดว่าเราไม่ควรเป็นเพื่อนกัน"


       "หมายความว่ายังไง?"เสียงอินยังฟังดูข้องใจผมจึงต้องอธิบายต่อ


       "เพราะถ้าฉันกับเธอไม่ได้เป็นเพื่อนกัน แต่สถานะเป็นแค่คนรู้จักทั่วไป ต่อให้เธอมีแฟนก็จะไม่เกิดกรณีแบบที่ว่าขึ้น พวกเราก็ยังสามารถพูดคุยพบเจอได้ในฐานะคนรู้จักโดยที่ไม่เกิดปัญหาไง"


       อินเงียบไป ซึ่งผมก็รอลุ้นว่าคำอธิบายนี้จะรอดหรือจะล่ม จนกระทั่งเสียงปลายสายดังตอบมา


       "ทอย ตรรกะนายนี่...เหลือเชื่อจริงๆ" คำพูดของอินนี่ผมฟังไม่ออกว่ากำลังชื่นชมหรือแดกดันกันแน่ แต่ก็ต้องยิ้มเมื่ออินพูดต่อมา "ได้ ฉันกับนายไม่ใช่เพื่อน เป็นแค่คนรู้จักก็ได้"


       "ขอบใจ..."


       "เปิดสปีกเกอร์ทีฉันอยากคุยกับเพื่อนนายหน่อย"


       ผมยังไม่ทันพูดจบคำอินก็โพล่งเปลี่ยนเรื่อง ซึ่งคำขอของอินทำให้ผมต้องเหลือบมองจินที่ยืนดูอยู่ไม่ไปไหน ทั้งยังมองมาที่ผมตาแป๋วเหมือนอยากรู้ว่ากำลังคุยเรื่องอะไร ผมเองก็ไม่อยากคิด แต่ท่าทางของจินทำให้ผมนึกถึงน้องหมาขึ้นมายังไงบอกไม่ถูก ผมหันกลับมากรอกเสียงถามอิน


       "คุยเรื่องอะไร?"


       "ฉันอยากคุย มีปัญหา? ถ้ามีปัญหาก็เตรียมหาคนรู้จักมาวาดปกใหม่เอาเองแล้วกัน"คำพูดที่ฟังเผินๆไม่มีอะไร แต่ผมมั่นใจว่าอินกำลังขู่ ขู่แบบที่ผมนึกเหนื่อยใจมากกว่านึกกลัว


       "ขอถามทางนี้ก่อนว่าอยากคุยกับเธอไหม"ผมพูดจบก็เลื่อนหูโทรศัพท์ออกห่าง แล้วถามจิน "คนรู้จักฉันอยากคุยด้วย...ได้ไหม?" ผมถามไปก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจินต้องปฏิเสธ ปกติแล้วไม่มีใครอยากคุยกับคนไม่รู้จักหรอก 


       "ได้สิ คุยเลย"


       มองหน้าจินที่ตอบมาสบายๆแล้วผมก็ถอนใจ กดเปิดสปีกเกอร์อย่างจำยอม


       บางที...จินคงไม่ค่อยปกติเท่าไหร่


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×