ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] I'm your Toy. ผมเป็นของเล่นของคุณ (8P)

    ลำดับตอนที่ #10 : ตอนที่9 สิ่งที่ผมอยากถ่ายทอด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.59K
      114
      20 ต.ค. 61

    ตอนที่9

    สิ่งที่ผมอยากถ่ายทอด

     

       ความรู้สึกเป็นสิ่งที่อยู่ภายใน หากไม่พูดมันออกไปก็ยากที่จะสื่อถึงกัน


       อีกฝ่ายคงไม่อาจรับรู้ ไม่อาจเข้าใจ หากเราไม่ถ่ายทอดมันออกไป



     

       ...


       เมื่อเวย์ยืนยันจะเช็ดตัวให้ ผมที่เห็นว่าคงหนีไม่พ้นจึงได้แต่ยอมแพ้ แต่ขณะกำลังจะถอดเสื้อออกกลับถูกเวย์ห้ามเอาไว้


       "ไม่ต้องถอดหรอกครับ แค่... เอ่อ แค่ดึงเสื้อขึ้นก็พอครับ ทอยไม่สบายอยู่ ถ้าตากลมนานๆเดี๋ยวอาการจะแย่กว่าเดิม"ผมฟังคำเวย์ก็ยอมลดมือลง ถึงจะไม่เข้าใจว่าในห้องที่ไม่เปิดแอร์แบบนี้มันจะทำให้อาการผมแย่ขึ้นได้แค่ไหนแต่ผมก็ไม่ได้ขัดอะไรปล่อยเวย์เช็ดแขนสองข้าง จับชายเสื้อดึงขึ้นถึงอกเพื่อให้เวย์เช็ดง่ายๆ ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายมีธุระด่วนต้องไปทำต่อรึเปล่า? เจ้าตัวถึงได้รีบเช็ดแบบรีบๆชนิดเร็วกว่าตอนเช็ดแขนให้ผมซะอีก พอเช็ดด้านหน้าเสร็จเวย์ก็บอกให้ผมหันหลังให้ ซึ่งตอนลงผ้าความเย็นทำให้ผมสะดุ้งน้อยๆ เวย์ที่สังเกตเห็นก็วางมือเบาลงและเช็ดอย่างช้าๆผิดกับก่อนหน้านี้


       "ผิวทอยสวยดีนะครับ"ระหว่างที่เช็ดหลังผมอยู่จู่เวย์ก็พูดชมขึ้นมาทำให้ผมที่ไม่เห็นด้วยต้องเถียงกลับไปอย่างนึกขำ


       "ฮะๆ ผิวฉันออกจะดำ ดูสวยตรงไหนกัน?"ผมนึกตลกกับคำชมเวย์ เพราะผมเป็นคนที่โดนอินตราหน้าว่าเป็นคนผิวหยาบกร้านและดำเหมือนถ่าน ซึ่งผมก็ไม่แก้ตัว เมื่อมันคล้ายจะเป็นความจริง

     

       ผมเป็นนักเขียนประเภทที่ชอบออกเดินทางหาประสบการณ์เก็บข้อมูลเพื่อเขียนนิยายด้วยตัวเอง เพราะผมชอบความสมจริงมากเวลาจะเขียนแต่ละเรื่องจึงมักค้นข้อมูลเรื่องที่ว่าอย่างละเอียดยิบ อย่างเรื่อง Divine Stone มนตราศิลาศักดิ์สิทธิ์ ที่ผมตีพิมพ์ไปเมื่อหลายปีก่อน เรื่องนี้ทำให้ผมต้องไปเก็บข้อมูลจากพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง และไปหาพวกประวัติบันทึกการสำรวจของนักโบราณคดีจากหอสมุดมาอ่านประกอบการเขียน เพื่อที่เวลาเขียนบรรยายคนอ่านจะได้เห็นภาพตาม แล้วก็เรื่องที่แล้ว ห้วงเวลามนตรา ที่ผมเพิ่งตีพิมพ์ไป ตัวเอกของเรื่องเป็นลูกชายร้านซ่อมนาฬิกาโบราณและมีพรสวรรค์ทางด้านนี้ ซึ่งผมต้องไปตระเวนหาร้านซ่อมนาฬิกาเก่าๆแล้วหาข้อมมูลเพิ่มจากพวกสารคดีและหนังสือวารสาร นอกจากนี้บางเรื่องที่ฉากอยู่ในป่าผมก็ออกไปหาประสบการณ์โดยตรงด้วยการไปเดินป่า ผมยังเคยไปตั้งแคมป์ในป่าเกือบหนึ่งเดือนเต็มๆเพื่อหาข้อมูลด้วยซ้ำ ซึ่งตอนที่กลับมานี่ตัวดำสนิทชนิดอินเก็บไปแซวอยู่นานเลยทีเดียว


       คิดๆไปแล้วช่วงหลังๆมานี่ผมก็ไม่ได้ไปไหนเท่าไหร่ผิวเองก็ขาวขึ้นพอสมควร แต่ว่าเดิมทีผมก็ไม่ใช่คนขาวอยู่แล้วจะให้พูดว่าตัวเองผิวขาวก็คงไม่ได้ล่ะมั้ง?


       "ทอยไม่ได้ดำสักหน่อยครับ แบบทอยเขาเรียกผิวสีน้ำผึ้งต่างหาก"เวย์เถียงแทนขณะที่มือยังคงเช็ดแผ่นหลังผมอย่างเชื่องช้า "อีกอย่างถ้าสีผิวอย่างทอยเรียกดำ...แล้วอย่างไปป์จะเรียกว่าอะไรล่ะครับ?"ท่อนท้ายเวย์ลดเสียงจนคล้ายกระซิบ ซึ่งเสียงพูดเจือขำขัน แต่ผมที่ฟังอยู่ถึงกับตาโต หันกลับไปมองอีกฝ่ายอย่างอึ้งๆ แต่สิ่งที่เห็นก็มีเพียงรอยยิ้มบาง ผมหันกลับมาทางเดิมก่อนจะว่าขึ้น


       "พูดแบบนี้...ไม่กลัวไปป์โกรธเอาเหรอ?"ผมไม่แน่ใจนักว่าน้ำเสียงตอนที่ถามเป็นยังไง แต่เวย์คล้ายเงียบไปอึดใจ


       "ไปป์ไม่โกรธหรอกครับ"เวย์ตอบสั้นๆน้ำเสียงยังคงอ่อนโยน ซึ่งก่อนที่ผมจะพูดอะไรอีกฝ่ายก็ว่าขึ้นต่อ "ที่จริงเมื่อก่อนตอนเด็กๆผมเคยถามไปป์ครับ ว่าไม่โกรธเหรอที่โดนจินล้อเรื่องสีผิว เพราะตอนนั้นไปป์เป็นเด็กผิวคล้ำคนเดียวในห้อง ถึงผมจะรู้ดีว่าที่จินพูดเป็นแค่การหยอกเล่น แต่ก็แอบกลัวว่าไปป์จะเก็บไปคิดจริงจัง"เวย์เล่าพลางใช้ผ้าเช็ดหลังผมอย่างเชื่องช้าและนุ่มนวล ผมนิ่งฟังอย่างนึกอยากรู้คำตอบ


       "ตอนนั้นไปป์หัวเราะครับ บอกผมว่าอย่าคิดมากเขาเข้าใจ พอผมถามว่าจะให้ผมเตือนจินเรื่องนี้ไหม ไปป์บอกไม่ต้องเดี๋ยวจัดการเอง แล้ววันถัดมาตอนจินพูดล้อว่าไปป์ดำทอยรู้ไหมครับว่าไปป์จัดการยังไง?"เวย์ถาม ซึ่งผมที่ไม่รู้ก็ส่ายหัว ได้ยินเสียงเวย์หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะเล่าต่อ "ไปป์บอกกับจินว่าเขายินดีเป็นนมรสช็อคโกแลตในหมู่นมจืด ตอนที่ฟังไปป์พูดครั้งแรกจินทำหน้างงอย่างไม่เข้าใจ แต่พอพูดล้อหลายครั้งแล้วได้คำตอบมาแบบเดิมจินเลยเลิกล้อไปเองในที่สุด"ผมกะพริบตา นึกตะลึงกับความคิดและวิธีการของไปป์ซึ่งตอนนี้เองที่เวย์พูดเสริม


       "ไปป์บอกพวกผมอยู่เสมอครับว่าชอบและภูมิใจกับสีผิวของตัวเอง เขาว่าเวลาที่มารวมกลุ่มกับพวกผมแล้วทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นช็อคโกแลตที่เคลือบอยู่บนไอศกรีมวนิลา ทั้งเท่และโดดเด่นสุดๆ"คำเปรียบเปรยที่ทำให้ผมหลุดหัวเราะ เมื่อนึกภาพออก ซึ่งพอฟังเรื่องเล่าจากเวย์แล้วผมก็นึกถึงคนที่อารมณ์ดีอยู่เสมอคนนั้น นึกถึงรอยยิ้มที่ชวนผมรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เห็น


       "ไปป์นี่มองโลกแง่ดีในจังนะ"ผมพูดเปรยอย่างนึกชื่นชมและอิจฉาอีกฝ่ายในเวลาเดียวกัน คนที่มองโลกในแง่ดีย่อมมีแต่ความสุข เพราะเขาจะเอาความทุกข์เป็นบทเรียนและแรงผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า ผมเอง...ถ้าทำได้สักเศษเสี้ยวแบบไปป์ได้ก็คงดี


       "ที่จริงผิวแบบไปป์เขาเรียกผิวแทนครับ พอโตขึ้นจินเลยเปลี่ยนมาอิจฉาไปป์แทนเพราะอยากมีผิวสีแบบนั้นบ้าง แต่ถ้าจินอยากได้ผิวสีแบบไปป์คงต้องไปอบเอาอย่างเดียว"เวย์เล่าพลางหัวเราะ ผมนึกขำตามแล้วคิดในใจว่าที่เป็นอยู่ก็ดีอยู่แล้ว


       พูดกันอีกสองสามคำเวย์ก็เช็ดหลังให้ผมเสร็จ ซึ่งผมนึกแปลกใจว่าทำไมมันถึงได้ช้ากว่าตอนเช็ดด้านหน้า แต่ความแปลกใจนั้นก็อยู่ได้ไม่นานเมื่อเวย์มองลงต่ำยังส่วนที่เป็นกางเกง ซึ่งคราวนี้ผมส่ายหัวจริงจัง แล้วพูดอย่างชัดเจนว่าจะเช็ดเอง ยังดีเวย์ที่ครั้งนี้ไม่ได้ตื๊อบังคับและขอตัวออกไปข้างนอกโดยทิ้งให้ผมเช็ดที่เหลือต่อเอง


       ผมที่เช็ดตัวเสร็จหมดแล้วก็เคลื่อนตัวลงจากเตียงก่อนยกกะลังมังออกไปเก็บข้างนอก ถึงแขนจะล้าๆแต่ก็ไม่ถึงกับแบกน้ำหนักแค่นี้ไม่ไหว แต่ตอนที่ผมก้าวออกไปกลับได้ยินบทสนทนาที่ไม่นึกฝัน


       "ฉันไม่ยกทอยให้แน่!"


       เสียงแรกที่ได้ยินเป็นเสียงของจินไม่ผิดแน่ แต่น้ำเสียงแข็งกร้าวกับเนื้อความที่ทำให้ผมมุ่นคิ้ว ไม่ทันจะประมวลผลคำพูดของจินเสร็จก็มีอีกเสียงดังขึ้น


       "อย่าโวยวายน่าจิน" เสียงนี้ถ้าจำไม่ผิด...ไปป์? 


       ผมขยับตัวเพื่อแอบมองสถานการ์ในห้องนั่งเล่นที่คล้ายกลายเป็นที่ประชุมเฉพาะกิจไปโดยที่ผมยังไม่สามารถคาดเดาได้หัวข้อการประชุมครั้งนี้คืออะไร


       "นั่นสิ คนตัดสินใจไม่ใช่นายสักหน่อย"


       "ใช่ อย่าทำตัวหวงก้างสิ ทอยไม่ใช่ของนายสักหน่อย"


       สองเสียง สองที่มา ถ้าผมไม่ได้มองอยู่คงนึกว่าเป็นคนคนเดียวพูดซ้ำสองครั้ง ซึ่งคำพูดของสองแฝดจี้ให้จินประกาศกร้าว


       "แต่ฉันเจอทอยก่อน!"


       ผม...?


       "ไม่เอาน่าจิน พวกเราก็เจอทอยพร้อมๆกันนั่นแหละ"ไปป์พูดแย้งยิ้มๆ แต่คนฟังทำหน้าไม่ยินยอม


       "แต่ว่า..."


       "เฮ้ เรื่องนี้มันต้องแข่งกันอย่างยุติธรรมสิ หรือว่านายกลัว?"หนึ่งในแฝดว่าขึ้นด้วยท่าทียั่วยุ ซึ่งเป็นไปตามคาดเมื่อจินเถียงกลับ


       "ฉันไม่กลัวอยู่แล้ว!"


       "ปลาติดเบ็ดแล้ว... แต่ให้ตายสิ เอาจริงงั้นเหรอ? ที่ว่านายจะเอาด้วยน่ะเวย์"ไปป์ที่หันไปถามคนที่นั่งบนโซฟา เนื่องจากโซฟามันอยู่เฉียงกับจุดที่ผมยืนทำให้ผมเห็นแค่เส้นผมสีน้ำตาลทองกับเสี้ยวหน้าที่ประดับรอยยิ้ม


       "ผมคงยอมแพ้ไม่ได้หรอกครับ"คำตอบรับอย่างนุ่มนวลที่เรียกเสียงถอนใจจากไปป์ ก่อนอีกฝ่ายจะเปลี่ยนเป้าหมาย หันไปถามคนที่นอนเหยียดขาอยู่บนโซฟาตัวยาว


       "แล้วนายล่ะซิตซ์ เอาไง?"ผมพยายามชะเง้อมองตามสายตาไปป์แต่ก็เห็นเพียงกลุ่มผมสีแดงลางๆ ซึ่งคำตอบของอีกฝ่ายคือ...


       "หึ"เสียงหัวเราะในลำคอที่เป็นเอกลักษณ์ดังขึ้นเพียงสั้นๆแต่สื่อได้ดียิ่งกว่าคำพูดอะไรทั้งหมด


       "โอเค... ถึงจะผิดคาดที่นายเล่นด้วย แต่คงไม่เท่ากับอีกคน พูดตามตรงคนที่ฉันคาดไม่ถึงสุดๆนี่..."ไปป์เบนสายตาไปยังคนผมดำคนเดียวในกลุ่มที่ยืนพิงผนังพลางก้มอ่านหนังสือนิยายปกสีน้ำตาลอย่างเงียบๆ ซึ่งเหมือนจะรู้ว่าโดนกล่าวถึงเจ้าตัวจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนมองก่อนก้มลงกลับไปอ่านต่อ


       "อ๊า นี่มันยิ่งกว่าตลกร้าย ทั้งกลุ่มดันเล็งจีบคนเดียวกัน นี่มันหายนะชัดๆ!"ไปป์ยีหัวไปมาด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม แต่ท่าทางนั้นมันชวนให้คนมองรู้สึกตลกมากกว่ากลุ้มตาม


       "ถ้านายไม่ชอบ ก็หยุดแค่นี้สิ"หนึ่งแฝดกล่าวขึ้นอย่างนิ่งๆ ซึ่งคนฟังหยุดยีหัวตัวเองเงยหน้าสวนกลับไป


       "นายนั่นแหละลอส คิดดีแล้วรึไงที่มาร่วมวงน่ะ"จากคำพูดไปป์ทำให้ผมรู้ว่าคนที่พูดเมื่อกี้คือลอส ผมมองไปที่ลอสซึ่งเบนสายตาไปมองแฝดตนที่ทำท่านิ้วโป้งเชือดคอส่งมาแล้วยกยิ้มแทนคำตอบ


       "แล้วไง ตกลงว่าเรื่องทอยจะเอากันจริงๆใช่ไหม?"จินพูดด้วยน้ำเสียงบูดๆ ก่อนแว่วเสียงไปป์ตอบรับ


       "คงต้องตามนั้น"


       บทสนทนาหลังจากนั้นผมไม่ได้ฟัง เพราะหมุนตัวกลับเข้าห้องมาก่อน ในหัวสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าเพราะพิษไข้ยังไม่หายดีหรือว่ายังไงผมถึงไม่สามารถจัดเรียงข้อมูลในสมองได้


       ไม่ยกให้? 


       แข่งกัน?


       จีบ?


       ...ผม?


       ที่พูดนั่น...มันเรื่องอะไรกัน?


       ผมยกมือสองข้างขึ้นปิดหู ขณะเดียวกันก็หลับตาแน่น เม้มปาก ผมไม่อยากรับรู้อะไรที่เจ็บปวด ไม่อยากผิดหวังซ้ำอีกครั้ง แต่ในขณะที่พยายามปิดกั้นภาพรอยยิ้ม คำทักทาย และบทสนทนากับทั้งเจ็ดคนก็ฉายวนในหัว


       "ไหนๆก็มาคนเดียว ไปดื่มกับพวกผมทางโน้นไหมครับ?"


       เสียงพูดชวนยังดังก้องอย่ในหู รอยยิ้มอ่อนโยนในค่ำคืนนั้นยังคงติดตา สิ่งเหล่านั้นทำให้ผมคิดขึ้นได้ นั่นสินะ ถึงผมจะไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไรและทำอะไรอยู่ ถึงหลายๆสิ่งที่ทำให้ผมมามันอาจเคลือบแฝงบางอย่างเอาไว้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มั่นใจว่าคำพูดห่วงใยและรอยยิ้มที่ได้รับมา...มันเป็นของจริง


       ในเมื่อสิ่งที่ผมได้รับมาเป็นของจริง ต่อให้สิ่งที่ตามมาจะเป็นเรื่องที่ชวนเจ็บปวด...ผมก็สมควรยอมรับมัน


       เพราะตัดสินใจแบบนั้น ผมเลยเดินออกมาเก็บกะละมังด้วยท่าทางปกติ เข้าไปล้างหน้าแปรงฟันก่อนออกมาเผชิญหน้า ซึ่งพวกไปป์ที่ได้ยินเสียงประตูที่ผมจงใจปิดให้ดังก็พากันเดินมาดูผม


       "ทอย ลุกไหวแล้วเหรอ? ไข้เป็นไงบ้าง?"ไปป์เป็นคนแรกที่มาถึงตัวผม อีกฝ่ายทำท่าจะเข้ามาประคองแต่ผมส่ายหน้าให้เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ซึ่งตอนนี้เองที่คนอื่นๆตามมาถึง


       "ทอย! เป็นยังไงบ้าง?" จินพุ่งเข้ามาหาสีหน้าดูเป็นกังวล แต่ก่อนที่ผมจะตอบคำเจ้าตัวก็เขยิบมาชิด ใช้หลังมือแตะหน้าผากผมเพื่อวัดอุณหภูมิ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างโล่งอก "ดูเหมือนไข้จะลดแล้วสินะ ทอยต้องพักผ่อนเยอะๆนะจะได้หายไวๆ"


       ผมมองรอยยิ้มกว้างของจินอย่างรู้สึกอบอุ่นใจ แต่ตะกอนเล็กๆที่ตกค้างอยู่ในใจก็ทำให้ผมปัดมือจินออก ก่อนถอยห่างออกมาก้าวใหญ่ ซึ่งผมที่รู้ตัวว่าเผลอไปก็รีบพูดชี้แจง


       "ฉันยังไม่หายดี อย่าเข้ามาใกล้เลย...เดี๋ยวจะติดหวัดเอา"คำแก้ตัวที่มันคงมีน้ำหนักกว่านี้ถ้าผมมองสบตากับคนฟังไปด้วยไม่ใช่หลบสายตาอยู่แบบนี้


       "...อ้อ ได้" จินยิ้มรับเจื่อนๆ สีหน้าดูหงอยลงจนผมรู้สึกผิด เพราะจินอุตส่าห์เป็นห่วงแต่ผมกลับทำท่าทีแบบนั้นใส่ ไปป์ที่เห็นท่าทางน่าอึดอัดจึงพูดเปลี่ยนเรื่องเพื่อคลี่คลายบรรยากาศ


       "อ่า ทอยอาการดีขึ้นก็ดีแล้ว ตอนแรกพวกฉันเป็นห่วงแทบแย่แน่ะ จินเล่นโทรมาโวยวายบอกว่าทอยเป็นลมนี่ทำเอาพวกฉันตกใจกันหมดเลย โชคดีจริงๆที่ไม่เป็นไรมาก"


       พอไปป์พูดขึ้นมาผมจึงเพิ่งระลึกได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเผลอวูบไปที่หน้าบ้าน จะว่าไปแล้วใครเป็นคนพาผมเข้ามากัน?


       "ฉันไม่ได้โวยวายสักหน่อย..."จินพูดแก้ตัวเสียงเบา แต่ไปป์เถียงกลับ


       "ไม่ได้โวยวายที่ไหนกัน ทอยต้องมาฟังตอนหมอนั่นพูด... จริงสิ ทอยไม่มียาติดบ้านไว้ลยเหรอ? หรือว่าเก็บไว้ตรงไหนเหรอ? พอดีพวกฉันหาไม่เจอน่ะ"จู่ๆไปป์ก็เปลี่ยนเรื่อง อีกฝ่ายถามผมด้วยใบหน้ายิ้มกริ่ม ผมเลิกคิ้วมองท่าทางนั้นอย่างนึกสงสัย ก่อนจะพยายามทบทวนความจำ


       "อ้อ เพิ่งหมดน่ะ ฉันว่าจะไปซื้ออยู่"ผมตอบไปป์ไป เมื่อพอจะจำได้ว่าเพิ่งทิ้งซองยาไปเมื่อหลายเดือนก่อน


       "งั้นเหรอ ก็ดีแล้ว"ไปป์ตอบรับง่ายๆเหมือนไม่ค่อยใส่ใจ แต่กลับพูดกำชับในประโยคหลัง "ไว้ทีหลังถ้ายาหมดทอยต้องรีบซื้อมาเก็บตุนไว้เยอะๆนะ ...จะได้ไม่ลำบากคนบางคนวิ่งวุ่นหายาให้แต่ไม่เจอจนต้องรีบร้อนโทรไปถามเวย์..."


       ทั้งที่คู่สนทนาคือผมแท้ๆ แต่สายตาของอีกฝ่ายกลับเหล่มองไปยังคนข้างๆผมแทน ผมหันมองตามสายตาไปป์ก็พบกับจินที่จ้องถลึงตามองไปป์ ทั้งยังแยกเขี้ยวขู่ แต่คนโดนมองอย่างไปป์หาได้กลัวไม่ เจ้าตัวทำลอยหน้าลอยตาพูดต่อเฉย


       "แย่แล้วๆ! เวย์ๆๆ ทำไงดีทอยเป็นลม ตัวร้อนมากๆด้วยทำไงดี?"ทันทีที่ไปป์ขึ้นต้นประโยคจินก็พุ่งเข้าใส่คนพูดทันควันแต่ไปป์ก็พลิกตัวหลบอย่างสบายๆทั้งยังทำเสียงเล็กเสียงน้อยว่าต่อ 


       "นี่ๆ เวย์รู้ไหมว่าคนป่วยปกติเขากินยาอะไรกันน่ะ? ของทอยเหรอ? ไม่มี อ๊ะ บ้านทอยไม่มียาเลย หา ฉันต้องไปซื้อเหรอ? อ่า งั้น แล้ว...แล้ว...ฉันต้องซื้อยาอะไรบ้างล่ะ? แล้ว...ต้องซื้อยาที่ไหนล่ะ? เช็ดตัว? ต้องเช็ดตัวยังไงล่ะ? บอกฉันทีสิเวย์!"น้ำเสียงแสร้งลนลานของไปป์ช่างสมจริงจนผมนึกอยากปรบมือชม แต่มันคงไม่เหมาะกับสถานการณ์เท่าไหร่


       "ไปป์!"เสียงของจินแทบเปลี่ยนเป็นคำราม ทางฝ่ายไปป์เองพอแหย่เสร็จก็กระโดดไปหลบหลังไนท์คล้ายใช้อีกฝ่ายเป็นโล่ จินดูเหมือนไม่กล้าตามไปเอาเรื่องจึงได้แต่ทำท่าฟึดฟัดอยู่ลำพัง 


       ผมไม่แน่ใจว่าที่ไปป์พูดมานั่นจินเป็นคนพูดเองทั้งหมดรึเปล่า แต่ปฏิกิริยาของคนตรงหน้าก็ทำให้ผมเชื่อ


       "จิน"ผมเรียกชื่ออีกฝ่ายแค่เบาๆ แต่เจ้าตัวกลับสะดุ้งหันกลับมามองผมด้วยสีหน้าตื่นๆ ก่อนจะรีบพูดเสียงระรัว 


       "ฉันไม่ได้โวยวายนะ! แค่...โทรไปถามเวย์เรื่องยาแก้ไข้เฉยๆ ก็...ก็ฉันไม่เคยซื้อยากินเองนี่ ไม่เคยเช็ดตัวใครมาก่อนด้วย..."ยิ่งพูดเสียงยิ่งแผ่ว เมื่อผมเดินไปหยุดยืนตรงหน้าจินก็ค่อยๆเงยหน้ามองผมด้วยท่าทางหงอๆ จนผมต้องยกยิ้มบาง เอื้อมมือไปลูบหัวอีกฝ่ายเบาๆ


       "ขอบใจนะ" ผมพูดขอบคุณจิน คำขอบคุณที่กลั่นมาจากความรู้สึกข้างใน ขอบคุณที่มาเยี่ยม ขอบคุณที่ดูแล และ...ขอบคุณที่เป็นห่วง


       "อะ อื้อ ไม่เป็นไร"จินมีท่าทีอึ้งๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาตอบรับเสียงเบา ปฏิกิริยาตอบรับจินชวนให้ผมรู้สึกเอ็นดู และพยายามคิดในแง่ดี เรื่องก่อนหน้านี้ อาจเป็นผมที่ฟังผิดเองก็ได้? จริงๆแล้วมันอาจไม่มีอะไรก็ได้?


       "นี่จิน... เล่นอะไรกันอยู่เหรอ?"ความคิดในแง่บวกเล็กๆผลักดันให้ผมเอ่ยถามออกไปในที่สุด จินมีสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจผมจึงขยายความเพิ่มเติม


       "ฉันได้ยินแค่นิดหน่อย... ที่ว่า 'ฉันไม่ยกทอยให้แน่' นี่ หมายถึงอะไร?"


       "!!!"


       ไม่ใช่แค่จิน แต่คนฟังโดนรอบก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา จินมองผมอย่างอึ้งค้าง


       "ทอย...ได้ยิน?"


       "อืม"ผมรับคำ ก่อนว่าซ้ำอย่างใจเย็น "ฉันถึงอยากถามพวกนาย...ว่าเล่นอะไรกันอยู่?"


       สิ้นคำถามความเงียบก็เข้ามากลืนกิน จินอ้ำอึ้งไม่กล้าพูด เช่นเดียวกับคนอื่นๆที่ใช้ความนิ่งเงียบเป็นการตอบรับ ผมถอนหายใจก่อนกวาดตาไล่เรียงมองทีละคน


       จิน ไปป์ ไนท์ ลอส ริกซ์ ซิตซ์ เวย์ 


       ถึงจะพูดไม่ได้เต็มปากว่าการได้เจอกับพวกเขาเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต แต่ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยก็เป็นความทรงจำดีๆที่ผมอยากจดจำเอาไว้ เพราะงั้น...


       "ที่มาเยี่ยมฉันวันนี้ ขอบใจนะ"ผมพูดขึ้นดึงสายสายตาทุกคู่ให้มองมา "ขอบใจที่ช่วยมาดูแลฉันวันนี้ อุตส่าห์สละเวลามา ขอบใจมากนะ"ผมส่งยิ้มบาง พลางมองไปที่พวกเวย์อย่างขอบคุณ


       แต่คนฟังกลับตีหน้าไม่เข้าใจ ขมวดคิ้วมองมาที่ผมอย่างสับสน ท่าทางของพวกเขาทุกคนคล้ายจะงุนงงและไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำขอบคุณจากผม


       "ฉันแค่อยากพูดน่ะ เพราะไม่รู้ว่าพวกนายเล่นอะไรกันอยู่...ฉันถึงต้องพูดมันตอนนี้"ผมกล่าวขึ้นอย่างช้าๆ "ฉันก็ไม่แน่ใจหรอกนะว่าที่พวกนายทำมาทั้งหมดนี่ทำเพื่ออะไรกัน แต่จะแค่แกล้งทำเล่นๆหรืออะไรก็ตามฉันก็อยากขอบคุณอยู่ดี เพราะสิ่งที่พวกนายทำและสิ่งที่ฉันได้รับมันเป็นของจริง เพราะอย่างนั้นฉันถึงอยากขอบคุณ"


       ก่อนหน้าที่ผมจะออกมาเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งหมด ผมได้ทบทวนเรื่องราวต่างๆและได้ลองตั้งสมมุติฐานโดยพยายามคิดในแง่ที่ร้ายที่สุดดู ซึ่งจากการประมวลผลคำพูดของพวกจิน ผลลัพธ์ที่แย่ที่สุดที่ผมคิดได้คือการที่พวกเขากำลังเล่นเกมบางอย่างที่มีผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย... จริงๆถ้ามันเป็นแค่เกมที่พวกเขาเล่นสนุกกันชั่วคราวผมคิดว่าตัวเองคงพอรับได้ เพราะตอนผมวัยเดียวกับพวกเขาก็เคยเห็นการเล่นแผลงๆ ที่แฝงตลกร้ายมาเยอะ แม้ตัวผมคงจะเสียความรู้สึกไม่น้อย ถ้าสิ่งที่พวกเขาทำมาทั้งหมดเป็นเพราะเกมจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น...


       "วันนั้นที่ชวนฉันไปดื่มด้วยน่ะ ขอบคุณนะ"


       ผมส่งยิ้มให้เวย์อย่างจริงใจ เพราะคำชวนในวันนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมได้มารู้จักกับพวกเขา มองไปทางไปป์กับจินที่ในคืนนั้นคอยชวนผมคุยอยู่ตลอด แล้วนึกถึงความใส่ใจที่อีกฝ่ายมอบให้ ทั้งสองคนพยายามหามุกตลกมาเล่าเพื่อดึงความสนใจผมไม่ให้กลับไปนั่งเศร้าต่อ ผมเลื่อนสายตาไปยังไนท์นึกถึงเรื่องประหลาดที่อีกฝ่ายเสนอให้ผมไปค้างด้วย ถึงไม่รู้ว่าทำอย่างนั้นเพราะอะไรก็ตามแต่ถ้าอีกฝ่ายไม่ชวนผมไปค้างด้วย ผมคงไม่ได้ร่วมวงหม้อไฟในคืนนั้น และคงไม่ได้รู้ว่ามีแฝดคู่หนึ่งชื่นชอบนิยายของผม ซึ่งเพราะลอสกับริกซ์ทำให้ผมรู้สึกว่าคิดไม่ผิดที่ตัดสินใจเลือกเป็นนักเขียน...


       สุดท้าย ซิตซ์ 


       กับซิตซ์ ผมไม่ได้พูดคุยด้วยมากนัก อาจเพราะอีกฝ่ายดูอันตรายและมีบรรยากาศที่ยากจะเข้าใกล้ในความรู้สึก แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากขอบคุณอีกฝ่าย


       คืนนั้น หากมองย้อนจะนับว่าเป็นความผิดพลาดก็ใช่ เมื่อผมเองไม่ตั้งใจให้มันลงเอยในรูปแบบนั้น แต่เสี้ยวหนึ่งในใจผมก็รู้สึกขอบคุณซิตซ์ที่ทำให้ผมได้มีค่ำคืนแห่งความทรงจำ... อ้อมกอดที่อบอุ่น รสสัมผัสแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้จัก ประสบการณ์ที่ยากจะลืมครั้งนั้นถือเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งทีเดียว


       ผมมองว่าพวกเขาทั้งเจ็ดได้ให้อะไรหลายๆอย่างกับผม เพราะอย่างนั้นผมเลยอยากพูดความรู้สึกเหล่านี้ออกไป


       "คราวก่อนที่ชวนไปกินหม้อไฟด้วย ฉันสนุกมาก ขอบใจนะ"


       "แล้วก็ที่ชวนไปสวนสนุกเมื่อวาน ฉันสนุกจริงๆ ขอบใจมาก"


       ผมพยายามไล่เรียงเรื่องราว การกระทำเล็กๆน้อยๆที่บางทีพวกเขาอาจไม่เห็นค่า แต่สิ่งที่พวกทำมาทั้งหมดสำหรับผมมันเป็นการแต่งแต้มสีสันให้กับชีวิตที่จืดชืด ถึงแม้อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าโลกของผมอาจต้องกลับไปเป็นสีขาวที่ว่างเปล่าอีกครั้ง แต่ว่า


       มองไปยังทั้งเจ็ดคนที่ยังคงนิ่งฟังอย่างตั้งใจแล้วใบหน้าผมก็ต้องแต้มรอยยิ้ม


       แค่นี้ก็พอแล้ว แค่คำพูดนี้ที่อยากถ่ายทอดมันออกไป


       "ถึงที่ผ่านมาจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็...ขอบคุณมากนะ"


       หลังจากผมพูดจบก็เกิดความเงียบ ผมมองสบตากับพวกเขาอย่างไม่หลบหลีก รอฟังข่าวร้ายที่จะมาถึง แต่สิ่งแรกที่ได้ยินกลับเป็นเสียงถอนหายใจ ซึ่งพอมองไปยังต้นเสียงอย่างไปป์ก็พบว่าอีกฝ่ายกำลังเกาแก้มแล้วทำหน้าแปลกๆเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิง ไปป์จ้องมองผมเหมือนอยากจะพูดอะไร สุดท้ายก็ถอนใจหนักๆก่อนว่าเสียงแห้ง


       "ให้ตายสิ ยอมแพ้ทอยเลยจริงๆ"พูดแค่นั้นก็ระบายลมหายใจระลอกใหญ่ ขณะที่ผมยังไม่หายข้องใจจินก็ย่อตัวลงไปนั่งยองๆทั้งซุกหน้าลงกับเข่าแล้วกล่าวเสียงอู้อี้


       "ขี้โกงจริงๆ อย่างนี้ก็ตัดใจยากเข้าไปใหญ่"จินเงยหน้ามองสบตากับผม สายตานั้นคล้ายตัดพ้อและกล่าวโทษอะไรบางอย่าง ผมกะพริบตาอย่างงุนงงเมื่อจับใจความของคำพูดนั้นไม่ได้เลย


       "ทอยครับ"


       เสียงเรียกอันนุ่มนวลเรียกผมให้หันไปสบสายตากับเจ้าของเสียง ผมมองไปยังดวงตาสีฟ้าคู่สวยของเวย์ที่มักฉายแววอ่อนโยนอยู่เสมอซึ่งตอนนี้ได้เผยประกายบางอย่างที่ต่างไปจากเดิม และผมที่สบตาคู่นั้นพลันหัวใจก็เต้นแรงขึ้นเมื่อความรู้สึกบางอย่างกำลังร้องเตือนผมว่าสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังจะพูดนั้นสำคัญมาก และอาจสำคัญต่อชีวิตในอนาคตของผมด้วย    


       "ผม...พวกผมอยากเป็น เจ้าของของเล่น ทอยจะอนุญาตไหมครับ?"


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×