คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : องก์สอง
โม่เหยียนซิงเฝ้าถามใจตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า 'เพราะเหตุใด'
ต่อให้นาม 'โม่เหยียนซิง' จะไม่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง แต่ชื่อเสียงของ 'คุณชายโม่' แห่งแคว้นต้าฉางกลับลือไกลไปทั่วสิบห้าแคว้น หากให้กล่าวถึงตำนานของชายหนุ่มแล้วก็คล้ายจะมีมากมายจนไม่อาจเล่าได้หมด ไม่ว่าจะเป็นชำนาญเรื่องหมากล้อมตั้งแต่อายุห้าขวบ เมื่อครบหกขวบก็สามารถท่องตำราทั้งหลายกลับหลังได้อย่างไม่มีตกหล่นแม้แต่ครึ่งคำ ยามแตะเลขสิบทั้งภาพเขียนอักษรกลอนกวีภายใต้ฝีพู่กันของเขาล้วนถูกผู้คนทั่วหล้าแย่งชิงกันครอบครอง หลังจากเริ่มร่ำเรียนเพลงพิณผีผาอยู่สองปีก็ไม่อาจหาคู่ต่อกรได้อีก
ความโดดเด่นของชายหนุ่มไปเข้าตาอดีตกุนซือท่านหนึ่ง ตอนอายุเพียงสิบห้าหนาวจึงถูกคนจากฝ่ายกองทัพเชิญไปเป็นที่ปรึกษาด้านกลศึก ซึ่งสั่งสมประสบการณ์ได้ปีกว่า คุณชายโม่ก็เริ่มแสดงฝีมือชี้นำกลยุทธ์ด้วยปัญญาอันเลิศล้ำ และได้นำพาชัยชนะครั้งใหญ่มาสู่แคว้นต้าฉาง
ทว่า เป็นเรื่องน่าเสียดายที่เมื่ออายุได้ยี่สิบ สุขภาพร่างกายของชายหนุ่มที่เดิมอ่อนแออยู่แล้วได้ทรุดลงอีก สุดท้ายจึงได้ถอนตัวออกมาและกลับไปพักฟื้นยังบ้านเกิด
เรื่องปัญญาความสามารถของชายหนุ่มถูกเรื่องลือมากเพียงใด เรื่องรูปโฉมเองก็ถูกถกเถียงมากเทียมกัน เพราะแม้คุณชายโม่จะไม่ออกมาเผยโฉมให้เห็น แต่จากคำบอกเล่าของผู้ที่เคยพานพบได้กล่าวไว้ว่า ชายหนุ่มมีใบหน้าอ่อนโยนดังหยก รูปลักษณ์สูงสง่าดุจต้นสนในฤดูวสันต์ ทวงท่ากลิ่นอายคล้ายเทพเซียนลงมาจุติ คำร่ำลือที่ถูกกล่าวอ้างพาให้เหล่าสตรีในแคว้นต้าฉางที่ยังไม่มีคนในดวงใจพากันหวั่นไหวและวาดฝันที่จะเคียงคู่กับบุรุษผู้เพียบพร้อมเช่นนั้น
หากแต่บรรดากลุ่มคนที่รู้ฐานะแท้จริงของชายหนุ่มกลับไม่มีผู้ใดอาจหาญเทียบเคียง เพราะถึง 'วังไผ่เขียว' จะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ของแคว้น แต่ก็มียศศักดิ์เทียบเท่า ด้วยผู้สืบเชื้อสายสกุลโม่จะมีอำนาจในการควบคุมสัตว์อสูรตั้งแต่ระดับพิภพไปจนถึงระดับนภาขั้นสูง อีกทั้งในตัววังยังเลี้ยงดูกลุ่มสัตว์อสูรจำนวนมากเอาไว้ ซึ่งในอดีตยามภัยมาเยือนแคว้น เหล่าคนสกุลโม่ได้สั่งการกองทัพสัตว์อสูรใต้อาณัติให้บดขยี้กลุ่มโจรร้ายจนราบคาบ ทำให้แคว้นปั้นฉีเสียหายหนักจนต้องพักฟื้นนานนับสิบปี พวกเขาจึงถูกเคารพยกย่องในนาม 'เทพพิทักษ์แห่งต้าฉาง' และด้วยคุณงามความดีของชาววังไผ่เขียวเป็นที่ประจักษ์แจ้ง ราชวงศ์แห่งแคว้นต้าฉางจึงมีบัญญัติให้ผู้คนในแคว้นจดจำและปฏิบัติตามว่าต้องให้เกียรติเหล่าคนสกุลโม่เสมือนคนในราชวงศ์ ซึ่งด้วยฐานะและตัวตนเช่นนี้เองที่ทำให้ต่อให้มีความกล้าสักเท่าใดก็ไม่มีใครในแคว้นต้าฉางคิดเกี่ยวดองกับคนของวังไผ่เขียว
ตัวโม่เหยียนซิง ในฐานะนายน้อยเพียงหนึ่งเดียวแห่งวังไผ่เขียวก็เข้าใจกฏเกณฑ์เหล่านี้ดี ดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงมิเคยคิดชายตามองสตรีในแคว้นตน ซึ่งหากไม่ติดปัญหาเรื่องสุขภาพแล้ว ยามนี้เขาคงได้ออกเดินทางไปยังแคว้นต่างๆ เพื่อตามหาคนรักในฝัน เฉกเช่นเดียวกับที่บิดาได้กระทำเมื่อครั้งยังเป็นหนุ่ม
อันที่จริง เงื่อนไขคนรักของเขาก็ไม่ได้เข้มงวดอะไรนัก ขอเพียงเป็นผู้เข้าใจในสำเนียงและมีรักมั่นคงมิสั่นคลอนก็พอแล้ว... ชายหนุ่มมุ่งปรารถนาจะเป็นดังเช่นบิดาของตนที่แม้มารดาจะจากไปร่วมยี่สิบก็มิคิดมองหาผู้ใดมาทดแทน
โม่เหยียนซิงที่มีความคิดเช่นนั้น ไม่เคยคาดคิดว่าความรักที่ตนเองจะได้เผชิญในอนาคต จะแตกต่างจากสิ่งที่วาดหวังไว้โดยสิ้นเชิง...
ความรักมักเกิดขึ้นโดยวาสนานำพา โชคชะตาชักนำ
ในบ่ายวันนั้น ยามท้องฟ้าปลอดโปร่ง สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน ณ ศาลาริมน้ำที่ตัวเขามักไปนั่งบรรเลงเพลงขลุ่ยเล่นเพื่อผ่อนคลายอารมณ์กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญมาเยือน
แขกคนดังกล่าวเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ สวมใส่อาภรณ์สีดำที่นับเป็นสีต้องห้ามในแคว้นต้าฉาง ด้วยแคว้นปั้นฉีที่เป็นศัตรูมาช้านานนิยมเสื้อผ้าสีเข้ม โดยเฉพาะสีดำ อาภรณ์ของผู้คนในแคว้นต้าฉางจึงมีสีโทนสว่าง แม้จะสามารถสวมใส่สีเข้มได้บางโอกาส แต่สีดำนั้นับว่าเป็นสีต้องห้ามโดยสิ้นเชิง
โม่เหยียนซิงพินิจมองรูปลักษณ์ของชายหนุ่มที่อายุดูไปแล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับตนเองก็พบว่าใบหน้าหล่อเหลาติดมืดมนของชายหนุ่มดูไม่คล้ายผู้คนในเขตแคว้นใกล้เคียงเท่าใด โดยเฉพาะแคว้นปั้นฉี ผู้คนในแคว้นนั้นล้วนมีใบหน้าเป็นเหลี่ยมมุมอย่างเห็นได้ชัด คนเหล่านั้นมีริมปากหยาบหนาและปลายจมูกงุ้มขึ้นเหมือนตะขอ ซึ่งไม่มีจุดใดตรงกับลักษณะของบุคคลตรงหน้า
คนผู้นี้...คือใครกัน?
โม่เหยียนซิงตั้งคำถามในใจ แต่ยังคงไม่เอ่ยคำใด เพราะยามนี้เขากำลังเป่าขลุ่ยและตัวบทเพลงก็ได้ดำเนินมาถึงท่อนสำคัญแล้ว ผู้รักในเสียงเพลงอย่างแท้จริงจะไม่ยินยอมให้บทเพลงถูกทำลายโดยไม่จำเป็น ดังนั้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีคิดร้ายอะไร โม่เหยียนซิงจึงเลือกบรรเลงเพลงจนจบ
เสียงขลุ่ยที่ดังคลอไปทั่วบริเวณนั้นชวนให้รู้สึกถึงความสงบอันหาได้ยาก มนุษย์เรามุ่งหวังชื่อเสียง แสวงหาเงินทองและเกียรติยศ แต่กลับมิเคยหวนคิดว่าความสุขแท้จริงคือสิ่งใด ผู้คนมากมายมักหวนนึกได้ยามเมื่อสาย
บทเพลงนี้มีชื่อว่า 'ไผ่ลู่ลมหวน' ตัวทำนองบทเพลงค่อนไปทางเรียบเรื่อยและเชื่องช้า มีเพียงบางท่อนที่คล้ายหุนหันดังพายุซัดโหม แต่ก็ค่อยๆสลายไปดังสายลมโชยผ่าน ผู้ที่ไม่รู้จักบทเพลงอาจฟังแค่เพลงนี้ราบเรียบจนน่าเบื่อหน่าย และให้ความสนใจแต่ท่อนที่จังหวะเปลี่ยน แต่ผู้ที่เข้าใจบทเพลงอย่างลึกซึ้งจะรู้ดีว่าความสำคัญของบทเพลงนี้ขึ้นอยู่กับท่อนที่เรียบง่ายเหล่านั้น
ในใต้หล้านี้ จำนวนผู้ที่สามารถถ่ายทอดความสงบให้กับบทเพลงไผ่ลู่ลมหวนได้มีอยู่น้อยนิดนัก เพราะคนเรามีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา การละทิ้งอารมณ์เหล่านั้นยากเย็นเพียงใด การสร้างบทเพลงที่ปราศจากคลื่นอารมณ์เหล่านั้นก็ยากเข็ญพอกัน แต่ความยากลำบากเหล่านั้นกลับไม่อาจมองเห็นได้ในบทเพลงนี้
ไม่ช้าไม่นานบทเพลงนี้ก็ได้จบลง โม่เหยียนซิงเพิ่งผละริมฝีปากออกจากตัวขลุ่ยก็ได้ยินเสียงปรบมือพร้อมคำชื่นชม
"เป็นไผ่ลู่ลมหวนที่ยอดเยี่ยม"
ได้ยินคำกล่าวนี้ดวงตาที่เดิมแต่งแต้มด้วยความอ่อนโยนทอประกายขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากของโม่เหยียนซิงผลิยิ้มนุ่มนวล
"ยากนักที่จะเจอผู้รู้สำเนียงเช่นท่าน"
"การเสาะหาผู้ที่สามารถบรรเลงแก่นแท้ของบทเพลงได้เช่นนี้...กลับยากยิ่งกว่า"
นัยน์ตาสีดำสองคู่สบประสาน คู่หนึ่งอ่อนโยนใสกระจ่างดังทะเลสาบหยก คู่หนึ่งลึกลับมืดหม่นดุจทะเลหมอกไร้คลื่น
"ข้า โม่เหยียนซิง"
"...เรียกข้าว่า 'ผิง' "
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวความรัก...และความแค้นของพวกเขา
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา ชายที่ชื่อผิงก็มักจะลอบเข้ามาที่ศาลาริมน้ำเพื่อรับฟังบทเพลงของเขาอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งพวกเขายังพูดคุยสนทนากันถึงความหมายของบทเพลง และบางคราก็ได้ผลัดเปลี่ยนไปสนทนาหัวข้ออื่นเช่นถกเรื่องภาพวาดบทกลอนหรือกระทั่งเดินหมากล้อมเล่นกัน เนื่องจากเป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีคนสามารถเอาชนะเขาบนกระดานได้ โม่เหยียนซิงที่ได้พบพานกับสหายรู้ใจเช่นนี้จึงรู้สึกยินดียิ่ง อีกทั้งตัวเขาไม่รู้สึกว่าชายหนุ่มมีเจตนาร้ายใดๆ จึงคบหาอย่างสนิทใจ และไม่คิดสืบหาที่มาของอีกฝ่าย
แต่พูดไปแล้วผิงก็เป็นชายที่ประหลาดและลึกลับนัก วังไผ่เขียวอาจไม่นับว่ายิ่งใหญ่อะไร แต่ฝีมือในการปกป้องตนเองยังมีอยู่ องครักษ์ผู้ทำหน้าที่เฝ้าระวังล้วนมีวรยุทธ์สูงส่ง ในส่วนชั้นในของวังนอกจากจะมีสัตว์อสูรระดับนภาคอยอารักขาแล้ว ทั่วบริเวณจุดสำคัญยังมีการวางค่ายกลสังหารชั้นสูงเอาไว้ ซึ่งหากไม่ใช่คนในก็ยากที่จะผ่านปราการด่านป้องกันชั้นแล้วชั้นเล่าเข้ามาได้ แต่คนผู้นี้กลับมาและไปดังว่าวังไผ่เขียวแห่งนี้เป็นสวนหลังบ้านของตน
โม่เหยียนคิดแล้วก็โคลงศีรษะ ก่อนจะมองดูอีกคนวางพู่กันพลางส่งกระดาษที่มีกลอนบทหนึ่งเขียนเอาไว้มาให้
กวีใดยากเอื้อนเอ่ย ตรึงใจ
กวีใดยากจรดหมึก คะนึงหา
กวีใดยากยลยิน ล้ำค่า
กวีใดยากไขว่คว้า เพียงจดจำ
โม่เหยียนซิงอ่านกลอนคำที่มองผิวเผินดูเป็นเพียงคำบอกเล่าถึงบทกวี แต่แท้จริงคือกลอนรักที่กำลังบอกเล่าความรู้สึกในใจอย่างเรียบง่ายที่สุด
ยากเอื้อนเอ่ย/ตรึงใจ กล่าวได้ว่าผู้เขียนมีคำพูดในใจที่อยากจะบอก แต่ก็ทำไม่ได้ด้วยเหตุผลบางประการ
ยากจรดหมึก/คะนึงหา สื่อตรงๆว่าผู้เขียนกำลังคิดถึงคนผู้หนึ่งและอยากจะเขียนจดหมายหา แต่ไม่อาจทำได้
ยากยลยิล/ล้ำค่า และ ยากไขว่คว้า/เพียงจดจำ คล้ายเป็นความรู้สึกต่อเนื่องว่าการพบหน้าพูดคุยเป็นเรื่องยากลำบาก ดังนั้นจึงทำได้เพียงจดจำช่วงเวลาอันล้ำค่าเหล่านั้นเอาไว้
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่โม่เหยียนซิงได้อ่านบทกลอนที่อีกฝ่ายแต่งขึ้นจึงทำให้เขาเข้าใจความคิดของอีกคนได้ไม่ยาก ชายหนุ่มนามผิงผู้นี้ชอบสร้างบทกลอนขึ้นตามความรู้สึกโดยไม่สนว่าผู้ที่ได้อ่านจะสามารถเข้าใจสิ่งที่ต้องการสื่อได้หรือไม่ และไม่ใส่ใจว่าบทกลอนที่เขียนไปนั้นมีความไพเราะหรือไม่ แต่ทั้งนี้การเขียนกลอนแต่ละบทได้สะท้อนนิสัยของอีกฝ่ายออกมาอย่างชัดเจน
ผิงเป็นชายผู้ไม่สนใจความคิดของผู้อื่นที่มีต่อตนเองแม้แต่น้อย ทั้งยังเป็นคนที่ชอบใช้การกระทำหนึ่งมาปกปิดความคิดในใจของตนไม่ให้ใครรู้เห็นโดยง่าย อย่างเช่นกลอนบทนี้ ทั้งที่เป็นกลอนรักที่เรียบง่ายอย่างที่สุด แต่อีกฝ่ายนำคำว่า 'กวีใด' มาเบนความสนใจ ผู้ที่ไม่รู้จักชายหนุ่มจึงมองว่านี่เป็นบทวิจารณ์กวีของมือใหม่หัดแต่งที่ไม่มีค่าควรใส่ใจ
"นึกไม่ถึงว่าท่านจะมีคนรักแล้ว"โม่เหยียนซิงขยับยิ้มพลางเอ่ย ผิงเพียงชำเลืองมาและส่งเสียงรับคำในคอ
"อืม"
"คนรักของท่านเป็นคนเช่นไรหรือ?"เดิมโม่เหยียนซิงไม่ใช่คนที่สนใจเรื่องราวส่วนตัวของผู้อื่น แต่เพราะผิงนับเป็นสหายรู้ใจคนแรก เขาจึงสงสัยอยู่บ้างว่ายอดคนเช่นใดจึงสามารถทำให้ชายหนุ่มที่มีนิสัยเดาใจยากยอมสยบ ทว่าหลังถามออกไปก็ได้รับความเงียบงันยาวนานเป็นคำตอบ และในตอนที่เขาคิดว่าอีกคนคงไม่ตอบคำแน่แล้ว เสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นอย่างเชื่องช้า
"ดื้อ"
"เอาใจยาก"
"เจ้าคิดเจ้าแค้น"
"ใจดำ"
ที่กล่าวออกมาทุกคำล้วนไม่ใช่คำชื่นชม แต่โม่เหยียนซิงเห็นอย่างชัดเจนว่าทุกครั้งที่กล่าวคำเหล่านั้นออกมา แววตาที่มักหม่นครึ้มติดเย็นชาของชายหนุ่มทอแสงอ่อนละมุน มุมปากของผิงยังแต้มไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนอย่างที่ยากจะพบเห็น
ตึก ตัก
เสียงหัวใจที่เต้นผิดจังหวะไปทำให้นัยน์ตาของโม่เหยียนซิงเผยแววตระหนก แต่เพียงชั่วพริบตาต่อมาความรู้สึกดังกล่าวก็ถูกกลบฝังและลบหายไปภายใต้รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้น
"ฟังดูเป็นคนน่าสนใจนัก จริงสิ... ท่านเคยกล่าวว่าจะนำภาพวาดของท่านซือม่านมามอบให้ข้า ไหนของเล่า?"ชายหนุ่มเอ่ยทักทวงด้วยท่าทีสนิทชิดเชื้อ
"นำมาแล้ว"อีกคนกล่าวพลางยื่นกระบอกไผ่สีม่วงมาหา โม่เหยียนซิงรับมาเปิดฝาแล้วหยิบม้วนภาพวาดด้านในออกมาคลี่ดู
"เป็นฝีพู่กันท่านซือม่านจริงๆ! ท่านไม่ได้หลอกข้า"โม่เหยียนมองดูภาพวาดพลางคลี่ยิ้มด้วยความพึงใจ ดวงตาคู่นั้นทอประกายตื่นเต้นยินดี เพราะเมื่อครั้งก่อนตอนเล่นกระดานหมากล้อม พวกเขาได้วางเดิมพันกันว่าผู้แพ้ต้องมอบภาพวาดล้ำค่าให้ผู้ชนะ โดยหากเขาแพ้ จะมอบภาพวาด 'หยาดฝนเหมย' หนึ่งในบรรดาภาพวาดที่เขาวาดแล้วรู้สึกพอใจที่สุดให้ แต่หากอีกฝ่ายแพ้จะต้องมอบภาพวาดของท่านซือม่าน จิตรกรลึกลับที่ทุกภาพที่ถูกท่านวาดล้วนโดดเด่นมีชีวิตชีวาอย่างหาตัวจับได้ยาก มาแทน
"ขอบคุณท่านมาก"โม่เหยียนซิงเอ่ยอย่างซาบซึ้ง เพราะถึงจะวางเดิมพันกัน แต่ตัวเขาทราบดีว่าผลงานของท่านซือม่านนั้นหามาครอบครองได้ยากเพียงใด การที่อีกฝ่ายยินยอมมอบภาพวาดให้จริงๆ จึงนับว่าใจกว้างนัก
"เจ้าชอบก็ดีแล้ว"อีกคนเอ่ยด้วยท่าทีไม่ใส่ใจพลางยกชาผู่เอ้อร์ขึ้นจิบ ฝ่ายโม่เหยียนซิงส่งยิ้มขอบคุณให้กับอีกฝ่าย ขณะที่ดวงตาสบประสาน
"ข้าชอบมาก"
ดังคล้ายเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ แต่ก็คล้ายจะคิดไปเอง เพราะผิงเพียงวางถ้วยชาลงแล้วกล่าวด้วยเสียงราบเรียบเช่นเคย
"...คราวหน้าเป็นตาข้าชิงภาพจากเจ้าบ้าง"
"ข้าน้อมรับคำท้า"
นานวันความสัมพันธ์ของพวกเขายิ่งชิดใกล้ เช่นเดียวกับความรู้สึกในใจที่ถักทอเป็นสายใยที่ยากจะตัดขาด โม่เหยียนซิงไม่อาจหลอกตัวเองได้อีกต่อไป เขารับรู้อย่างกระจ่างแจ้งแก่ใจว่าตนได้หวั่นไหวกับบุรุษผู้เปรียบเสมือนสหายรู้ใจผู้นี้เข้าแล้ว
น่าเสียดาย...
โม่เหยียนซิงถอนใจเบาๆ ในอกซ้ายปวดหนึบทุกคราที่นึกขึ้นได้ชายที่ตนหลงรักมีคนในดวงใจแล้ว แต่เขาเป็นสุภาพชน ย่อมให้ความสำคัญกับลำดับก่อนหลัง ดังนั้นจึงไม่คิดกระทำเรื่องต่ำช้าอย่างแย่งชิงคนรักของผู้อื่น
"เป็นอะไร?"
โม่เหยียนซิงหันไปมองตามเสียงเรียกก็พบกับใบหน้าจริงจังของชายหนุ่มที่ถูกล้อด้วยแสงตะวันยามบ่าย เจ้าของเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยทักถามยังคงเพ่งสมาธิอยู่กับหน้ากระดาษสำหรับวาดภาพที่ค่อยๆถูกแต่งแต้มด้วยหมึกจากพู่กัน
วันนี้พวกเขาสองคนแข่งกันวาดภาพเหมือนโดยมีเดิมพันเป็นคำขอหนึ่งอย่าง สำหรับตัวเขาแล้ว การแข่งครั้งนี้ง่ายดายเหมือนดื่มน้ำ ด้วยเดิมทีก็มีฝีมือด้านนี้อยู่แล้ว อีกทั้งภาพที่ต้องวาดยังเป็นภาพของคนที่ตนแอบมีใจให้ ดังนั้นภาพวาดของเขาจึงเสร็จสิ้นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา ขณะที่อีกคนจดจ่ออยู่กับการวาดภาพมาไม่ต่ำว่าครึ่งชั่วยามแล้ว
โม่เหยียนซิงขยับยิ้ม "ข้าเพียงสงสัยว่าท่านต้องใช้เวลานานอีกนานเท่าใด เพราะอีกไม่นานก็จะยามเซิน*(15.00-16.59 น.)แล้ว"
"เจ้ามีเรื่องอื่นต้องทำ?"น้ำเสียงที่เอ่ยถามครั้งนี้เจือความหงุดหงิดอย่างคนถูกเร่ง
"ข้าไม่มีสิ่งใดต้องทำเป็นพิเศษในวันนี้ ข้าเพียงแต่คิดว่าหากเริ่มมืดค่ำแล้วจะมองเห็นลำบากเอา"
"...อีกครู่ก็เสร็จแล้ว"แม้จะกล่าวเช่นนั้นสีหน้าและน้ำเสียงของพูดกลับบูดบึ้งกว่าทุกที ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่โม่เหยียนซิงชอบเย้าแหย่อีกคนเล่น
โม่เหยียนซิงเฝ้ามองของชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม
ผิงมีนิสัยเก็บงำความรู้สึกไว้ในใจ ้เรื่องนี้หาใช่ข้อเสีย เพราะมันเป็นสิ่งที่ผู้ที่จะต้องขึ้นเป็นเจ้าตระกูลหรือผู้นำถูกสอนให้กระทำตั้งแต่ยังเล็ก แม้แต่เขาเองก็เป็นเช่นนั้น แต่ก็เพราะสาเหตุนี้ที่ทำให้เขาอยากกระตุ้นให้ผิงแสดงความรู้สึกและตัวตนที่แท้จริงออกมา เพราะถึงไม่อาจเป็นคนรัก ตัวเขาก็ยังหวังตำแหน่งสหายรู้ใจของอีกคนอยู่...
"เสร็จแล้ว"
"งั้นมาแลกกันเถอะ"
โม่เหยียนซิงเอ่ยพลางรับภาพวาดที่ตัวหมึกยังไม่แห้งดีมาชม ก่อนจะนิ่งงันไป
ภาพที่ผิงวาดไม่มีความพิเศษใด ลายเส้นไม่ได้หวือหวาน่าตื่นตา กระนั้นภาพที่สะท้อนออกมากลับเปี่ยมล้นด้วยความรู้สึกนึกคิดที่ผู้วาดมีต่อบุคคลในภาพ ภาพวาดที่ปรากฏคือชายหนุ่มผู้มีใบหน้าอ่อนโยนดูเป็นสุภาพบุรุษ แต่ดวงตาและรอยยิ้มอบอุ่นกลับแฝงด้วยร่องรอยของเด็กน้อยขี้แกล้ง
ฉับพลันเขาก็ตระหนักขึ้นได้ หากภาพที่ผิงวาดสะท้อนความนึกคิดที่อีกฝ่ายมีต่อเขา เช่นนั้นภาพวาดของเขาก็...
โม่เหยียนซิงเลื่อนสายตาจากภาพวาดขึ้นไปสบกับอีกคนที่มองมาด้วยท่าทางนิ่งสงบ แต่ถึงจะพยายามปกปิดโม่เหยียนซิงก็ยังคงเห็นร่องรอยประหลาดใจในดวงตาคู่นั้น
"ข้า..."
"ครั้งนี้ภาพวาดของเจ้าดีกว่า"ผิงเอ่ยแทรกคำขึ้นอย่างหาได้ยาก พร้อมกันนั้นร่างสูงพลันผุดลุกขึ้นด้วยท่าทีติดเร่งร้อนพลางหมุนตัวเดินออกจากศาลา แต่ก่อนที่จะจากไป ชายหนุ่มทิ้งถ้อยคำไว้ประโยคหนึ่ง
"เรื่องคำขอ...เจ้าไปคิดรอไว้ก็แล้วกัน"
เวลาผ่านไปเกือบสิบวันแล้วที่ผิงไม่มาหาเขา โม่เหยียนซิงคิดทบทวนแล้วก็แน่ใจว่าอีกคนคงจะรับรู้ความรู้สึกที่แอบซ่อนของเขาแล้ว
โม่เหยียนซิงถอนหายใจพลางเหม่อมองภาพเหมือนของตนที่ผิงเป็นคนวาด
นี่...จะไม่มาหาอีกแล้วงั้นเหรอ?
"เหยียนซิง"บุรุษเคราดำสวมอาภรณ์สีเขียวแก่ที่โทนค่อนไปทางเทาก้าวเข้ามาในศาลาพลางส่งเสียง โม่เหยียนซิงที่เห็นดังนั้นก็รีบลุกขึ้นยืนพร้อมประสานมือคำนับบิดาผู้ติดพันกับงานจนครึ่งปีหลังมานี้ไม่ค่อยได้พบหน้ากัน
"ท่านพ่อ!"
"อืม เจ้าทำอะไรอยู่รึ?"
ทั้งที่เป็นคำทักถามทั่วไป แต่โม่เหยียนซิงกลับดังวัวสันหลังหวะจึงพยายามใช้ร่างตนบังภาพวาดบนโต๊ะ ใบหน้าอ่อนโยนเผยยิ้มอ่อนโยนพร้อมตอบคำ
"ข้าเพียงนั่งชมวิวเล่นเท่านั้น ท่านพ่อมีสิ่งใดจะสั่งการข้าหรือไม่?"
"ฮึ ข้าแค่จะมาดูเจ้าสักหน่อย อาการดีขึ้นมากรึยัง?"คำถามอย่างห่วงใยทำให้หัวใจของผู้ฟังอบอุ่น ชายหนุ่มเอ่ยตอบรับ
"ดีขึ้นมากแล้วขอรับ ต้องขอบคุณรังนกจากนกโสมแห่งแม่น้ำเหลืองที่ท่านพ่อมอบให้ข้า"
"ดีขึ้นได้ก็ดีแล้ว..."บิดาของเขากล่าวก่อนเงียบลง นัยน์ตาดอกท้อที่มีร่องรอยกาลเวลาสะท้อนความกลัดกลุ้มออกมาอย่างคล้ายมีเรื่องในใจ โม่เหยียนซิงเห็นดังนั้นแล้วจึงไถ่ถามอย่างห่วงใย
"ท่านพ่อมีเรื่องอันใดในใจหรือไม่? หากต้องการให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดก็โปรดสั่งการมาเถอะขอรับ"
"...ช่างเถอะ เจ้ารักษาตัวให้ดีก็พอ ข้าไปล่ะ"อีกฝ่ายเอ่ยด้วยท่าทีตัดใจ โม่เหยียนซิงไม่อาจคาดคั้นจึงได้แต่คำนับลา
"รักษาตัวด้วยนะขอรับ"
หลังเงาร่างของผู้บิดาจากไป โม่เหยียนซิงก็ลอบนิ่วคิ้วพร้อมตั้งคำถามกับตนเอง
ท่านพ่อมีเรื่องปิดบัง? เรื่องอะไรกันที่บอกเขาไม่ได้?
สำหรับคำถามดังกล่าว โม่เหยียนซิงได้รับคำตอบทั้งหมดในวันเกิดครบรอบยี่สิบเอ็ดปีของตนเอง และมันก็ได้กลายเป็นวันเกิดที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขา...
ในวันนั้นข้ารับใช้ทั้งหลายช่วยเขาแต่งกายและเดินนำไปยังงานเลี้ยงเฉกเช่นปีที่ผ่านมา แต่ในโถงงานเลี้ยงที่ควรเปี่ยมด้วยเสียงพูดคุยสังสรรค์ของผู้คนกลับแทนที่ด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงอาวุธกระทบกันดังกึกก้อง
โม่เหยียนซิงสีหน้าเปลี่ยน เขาเร่งฝีเท้าไปยังที่มาของต้นเสียง ในใจนึกห่วงกังวลถึงบิดาที่ยามนี้น่าจะอยู่ในโถงงานเลี้ยงเช่นกัน และก็ไม่ผิดเพราะเมื่อใกล้สถานที่จัดเลี้ยงเขาก็ได้ยินเสียงของบิดาพูดคุยกับคนผู้หนึ่ง
"...ทั้งหมดเป็นความผิดของมารชั่วอย่างเจ้า!"
ท่านพ่อ? โม่เหยียนซิงยังไม่ทันจับใจความคำพูดของผู้เป็นบิดาก็ต้องชะงักร่างเมื่อได้ยินเสียงของอีกคน
"เอาแต่โทษผู้อื่น น่าสมเพช"
...เสียงนี้มัน...
ผิง?
ฉัวะ!
ภาพที่โม่เหยียนซิงซึ่งใช้สองมือผลักประตูเปิดเข้าไปคือโถงงานเลี้ยงที่มีศพของผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดีนอนทับถมบนแอ่งเลือด แต่สิ่งที่ชัดเจนที่สุดในครรลองสายตาของเขาคือภาพเงาร่างบุรุษชุดดำที่คุ้นเคยจนไม่อาจหลอกตัวเอง ได้ใช้กระบี่ที่ด้ามจับและตัวพู่ห้อยมีสีดำสนิทแทงทะลุเข้าไปยังอกซ้ายของชายที่เป็นบิดาแท้ๆของเขา
ดวงตาของโม่เหยียนซิงสบประสานกับนัยน์ตาคู่นั้น นัยน์ตาสีดำลึกล้ำดังหุบเหวไร้ก้นบึ้ง
อีกฝ่ายถอนกระบี่ออกโดยไม่ละสายตาจากเขา หลังร่างของบิดาของเขาล้มลง ร่างสูงก็ก้าวข้ามร่างนั้นตรงมาหาเขา ก่อนเอ่ย
"ข้ามาฟังคำขอของเจ้า"
โม่เหยียนซิงฟังน้ำเสียงนิ่งสงบนั้นแล้วคล้ายมีความรู้สึกขบขันปรากฏขึ้นในใจ ในเวลานี้แล้วอีกฝ่ายยังคิดถึงเรื่องเดิมพันอยู่อีกหรือ? แม้จะคิดเช่นนั้นแต่เขายังเปิดปากถามกลับไป
"อะไรก็ได้หรือ?"
"อะไรก็ได้"
คำตอบรับที่เอ่ยอย่างง่ายดาย ทว่า ทางโม่เหยียนซิงผู้ที่แต่เดิมถูกยกย่องเรื่องความฉลาดเฉลียวก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตกใจเกินไปหรือไม่ แต่ยามนี้ตัวเขาได้ลืมคำขอที่ตนเองเคยคิดไว้ไปจนหมดสิ้น ในหัวว่างเปล่าจนไม่รู้ว่าควรตอบคำเช่นไร ระหว่างที่ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่นั้นสายตาก็พลันจับภาพร่างที่ไร้ลมหายใจของบิดาที่เพิ่งสิ้นใจไปไม่นาน โลหิตอุ่นบนร่างนั้นยังไม่ทันเย็นชืดจึงมีสีสันแดงจัดจนชวนบาดตา
โม่เหยียนซิงหลับตาลงครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจบอกได้ว่าสุขหรือทุกข์
"...แม้แต่ชีวิตท่าน?"
ใบหน้าเรียบเฉยของผิงไม่เผยร่องรอยใดกับคำที่ถูกถาม ร่างสูงเพียงมองสบนัยน์ตาอันคุ้นเคยที่บัดนี้ไร้ความอ่อนโยนดังวันวานนิ่ง หลังเวลาผ่านไปครู่ใหญ่โม่เหยียนซิงก็ได้ยินเสียงตอบรับอันหนักแน่น
"แม้แต่ชีวิตข้า"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สิ่งที่เรียกว่าน้ำตาพลันพรั่งพรูจากดวงตาทั้งสองของเขา
ชายที่ตนมีใจให้...บัดนี้กลับกลายเป็นผู้สังหารบิดา
เช่นนี้ข้าควรรักหรือแค้นท่านดีเล่า...
...ผิง?
ความคิดเห็น