คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่9
สภาพลานจอดรถที่ไร้ผู้คนดูวังเวงจนน่าหวั่นใจ
ซึ่งท่ามกลางรถที่จอดเรียงราย ร่างหนาในเสื้อยืดสีดำลายสตรอวเบอรี่มุ่งตรงเข้าหาร่างผู้ล่าในชุดคนไข้ด้วยความรวดเร็วอย่างที่ยากจะจับทัน
กู่หนิวออกแรงฟาดร่างบึ้กด้วยไม้เบสบอลเหล็กในมือเต็มแรง
ก่อนจะกระโดดหนีกรงเล็บคมที่งอกออกมาจากหลังมือ ซึ่งรอดไปได้อย่างเฉียดฉิว
ชายหนุ่มเหลือบมองอาวุธในมือตนที่บุบเบี้ยวไปกับการปะทะเมื่อครู่ สลับกับร่างแกร่งที่ไม่มีแม้แต่อาการบาดเจ็บแล้วส่ายหัวในใจ
ครั้งนี้งานยากแล้วสิ...
ร่างหนาใช้มือดัดอาวุธตนให้กลับมาตรงแล้วกระชับใหม่
เขาเล็งไปที่ศีรษะล้านโล่ง ระหว่างนั้นก็เห็นเงาในชุดขาวอยู่ไม่ไกลเกินระยะสบตา กู่หนิวโค้งศีรษะให้กับเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าแวววาว
ซึ่งมองมาอย่างนิ่งๆ แต่อาจเพราะระยะห่างหรือแสงไฟที่สะท้อน ทำให้คล้ายเห็นเปลวไฟลุกโชนในดวงตาคู่นั้น
มองผิดไปมั้ง?
โดยไม่เหลือเวลาให้คิดเรื่องอื่นๆ
กู่หนิวใช้ความเร็วที่ขนาดชีต้ายังแพ้หลบการจู่โจมของผู้ล่า พร้อมกับพยายามสร้างโอกาสโจมตีให้กับเซียงเว่ย
แต่ไม่คาดว่าจะเจอข้อผิดพลาดอย่างหนึ่ง
พรืด... ตุบ
กู่หนิวที่ลื่นล้มหน้าทิ่มใช้แขนยันพื้นแล้วมองไปยังตัวต้นเหตุ
รองเท้า...
เพราะใช้มันมานานอย่างไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนคู่ใหม่
ความสมบุกสมบันก็เรื่องหนึ่ง แต่ปัญหาซึ่งเกิดจากพื้นรองเท้าที่หายไป มันได้ทำให้เกิดอุบัติเหตุลื่นไถลหน้าคว่ำอย่างหมดท่าอย่างที่เห็นอยู่
และแน่นอนว่าผู้ล่าที่อยู่ไม่ไกลย่อมไม่ปล่อยเรื่องน่าขายหน้าที่เป็นโอกาสอันดีนี้ไปแน่
เงามืดที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทำให้หัวใจชายหนุ่มตกไปอยู่ตาตุ่ม
เขาค่อยๆมองเงาร่างยักษ์ที่ย่ำก้าวเข้ามาใกล้
ริมฝีปากเปื้อนเลือดฉีกออกกว้างเผยเห็นฟันแหลมชี้ในปากที่ดูเหมือนของพวกสัตว์กินเนื้อ
มันร้องกู่คำรามเสียงต่ำก่อนพุ่งเข้ามาด้วยท่าทีหมายขย้ำ ซึ่งวินาทีที่ความตายอยู่ห่างเพียงเสี้ยวลมหายใจ
ภาพสโลว์ของกงเล็บคมที่กางเฉียดปลายจมูกไปไม่เท่าไหร่ ทำให้ความคิดหนึ่งพลันแวบเข้ามาในหัว
กู่หนิวคิดอย่างเสียดาย
เมื่อเช้าน่าจะแลกนมสตรอวเบอรี่มาอีกสักขวด...
ฉัวะ!
เพราะไม่ได้หลับตา
ภาพที่เกิดขึ้นจึงอยู่ในสายตาทั้งหมด กู่หนิวเหม่อมองเลือดที่สาดกระเซ็น เสียงตุบหนักๆของร่างที่ล้มลงแทบไม่ได้เข้าหูชองชายหนุ่ม
เมื่อสายตาของเขาติดตรึงอยู่ที่ร่างสีขาวซึ่งเคลื่อนไหวอย่างงดงาม
เส้นผมสีเงินโบกสะบัดไปมา ใบหน้าที่เย็นชาและงดงามราวกับรูปสลักของเทพมรณะผู้ไม่ยี่หระต่อความเป็นตาย
ในยามที่อีกฝ่ายตวัดคมมีดตัดหัวศัตรูด้วยความเฉียบขาดนั้น...ช่างดูคล้ายภูตหนุ่มที่กำลังเริงระบำ
และเมื่อสติที่ถูกความงามล่อลวงกลับคืนสู่ร่าง
กู่หนิวก็ได้เห็นร่างของผู้ล่าไร้หัวล้มลงไปกองชัด เช่นเดียวกับแววตาที่ฉายความกรุ่นโกรธชัดเจนกว่าครั้งไหนๆของเซียงเว่ย
“กลับ!”คำสั่งสั้นๆที่กู่หนิวปฏิบัติตามแทบจะทันที
เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองทำผิดอะไร แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เจ้านายหนุ่มกำลังโมโหตัวเขาอยู่...
“เฮ้ ต้าหนิว
นายทำไปอะไรให้บอสโกรธน่ะ?”
คำถามของจางลู่ที่โพล่งขึ้นมาหลังจากแผ่นหลังเซียงเว่ยหายลับสายตาไปทำให้กู่หนิวสะดุ้งเฮือก
และคำพูดนั่นเรียกสายตาของเพื่อนร่วมงานอีกสามคนให้หันมองเช่นกัน หลงจู หลงไช่ และไห่หลาง
ทั้งสามเองก็จับบรรยากาศมาคุที่เกิดขึ้นบนรถได้ แต่เนื่องจากรับรู้ได้ว่าอารมณ์ของบอสไม่ค่อยจะดี
พวกเขาจึงไม่ได้เอ่ยปากถาม
“ผม...ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”กู่หนิวตอบอย่างลังเล
เพราะเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด
แต่ถ้าจะให้คิดก็คงเป็นความเลินเล่อเรื่องรองเท้า
ที่ทำแผนเสียจนต้องให้เซียงเว่ยเข้ามาช่วย
“ยังไงก็ช่างเถอะ
รีบหาทางง้อบอสไวๆแล้วกัน!”จางลู่พูดปัดอย่างคร้านจะใส่ใจ
เด็กสาวพูดทิ้งท้ายแล้วสะบัดหน้าจากไปพร้อมอีกสามคน ทิ้งให้คนร่างโตยืนทำหน้าเหวอ
งะ ง้อ?
กู่หนิวกลับมานั่งคิดถึงคำนิยามของคำว่าง้อ
ซึ่งเป็นคำย่อของคำว่า ขอคืนดี
ขอคืนดี?
แต่เขายังไม่รู้เลยว่าเซียงเว่ยโกรธเรื่องอะไร
แต่แม้กู่หนิวจะคิดอย่างนั้น
สุดท้ายเขาก็ยังทำตามที่จางลู่บอก นั่นคือพยายามง้อคนที่โกรธ
โดยเริ่มจากส่งดอกไม้ไปให้
ซึ่งเขาเลือกดอกลิลลี่สีขาวที่มีความหมายสื่อถึงการขอโทษไปให้ทุกวัน แต่ถึงจะทำอย่างนั้นทุกครั้งที่ไปรับคริสตัลและอาหารในตอนเย็นก็ยังพบกับแววตาเย็นชา
เมื่อพบว่าแค่ส่งดอกไม้ไปให้ยังไม่ได้ผล
กู่หนิวที่ขาดแคลนสกิลด้านการง้อคนจึงตัดสินใจขอเข้าพบเซียงเว่ยแล้วพูดขอโทษตรงๆ
“เรื่องคราวก่อนผมขอโทษด้วยครับ
คราวหลังผมจะไม่ทำอีก”ร่างโตโค้งศีรษะขอโทษคนที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้
ใบหน้าบ้านๆที่คล้ำแดดฉายแววจริงใจอย่างที่ชวนให้คนมองใจอ่อน
ในห้องที่เจือด้วยกลิ่นหอมของดอกลิลลี่
บรรยากาศที่เคยเย็นยะเยือกค่อยๆผ่อนคลายลง
กู่หนิวนึกโล่งใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เขารีบสำทับซ้ำ
“คราวหลังผมจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดอีกอย่างแน่นอนครับ!”
วูม...
ความเย็นยะเยือกที่ชวนสะท้านกว่าคราแรกแผ่ขจายออกมาจนคนตั้งใจมาขอโทษต้องตัวสั่น
ชายหนุ่มมองใบหน้าเย็นชากับแววตากระด้างของเด็กหนุ่ม
ก่อนรีบพาร่างตัวเองเผ่นออกมาเมื่อได้รับคำสั่ง
“ออกไปซะ”
แล้วเวลาก็ล่วงเลยไปอีกอาทิตย์
จางลู่มองกู่หนิวที่ยืนซ่อมหลอดไฟด้วยท่าทีเหม่อแล้ววิจารณ์อย่างไม่สบอารมณ์
“นี่
ช่วยกระฉับกระเฉงกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไงฮะ!”
กู่หนิวสะดุ้งแล้วรีบพูดขอโทษ
เขารีบจัดการซ่อมให้เสร็จแล้วเดินเหม่อๆออกมา ซึ่งระหว่างเดินชายหนุ่มก็เผชิญกับสายตาเห็นใจหลายคู่
โดยสาเหตุที่คนในป้อมมองมาเช่นนั้นก็เพราะตั้งแต่วันที่กู่หนิวไปขอโทษที่ห้องด้วยตัวเองแล้วถูไล่ออกมา
หลงคุนก็ประกาศห้ามกู่หนิวเข้าพบเซียงเว่ยอีก โดยเรื่องเงินเดือนให้ลงไปรับที่แผนกการเงิน
อันเป็นตำแหน่งงานที่จางลู่รับผิดชอบอยู่แทน
และด้วยความใจกว้างยิ่งกว่าแม่น้ำฮวงเหอของจางลู่
พอเห็นหน้ากู่หนิวทีก็จะจิกกัดด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ
อย่างที่ถ้าคนเป็นโรคหัวใจมาฟังอาการคงทรุดหนักกว่าเดิม
ฝั่งกู่หนิวที่กลับมาถึงห้องนอนก็ก่ายหน้าผากอย่างกลัดกลุ้ม
เขารู้สึกไม่สบายใจที่ทำให้เซียงเว่ยโกรธ
ไม่พูดถึงเรื่องที่เด็กหนุ่มเป็นเจ้าของป้อมที่จะไล่เขาออกไปเมื่อไหร่ก็ได้
เขาแค่...รู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำเรื่องไม่ดีลงไป และอยากจะหาทางไถ่โทษ
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด และไม่รู้ว่าควรใช้วิธีไหนง้อ
และในที่สุดก็มีคนช่วยชี้ทางสว่าง
เฉ่าเหมยที่กู่หนิวบังเอิญเจอตอนลงมารับเงินกับจางลู่
เมื่อได้พบกันพวกเขาก็ได้คุยกันหลายเรื่อง
และหนึ่งในเรื่องนั้นคือเรื่องที่เซียงเว่ยโกรธเขา
“พี่หนิวลองเขียนจดหมายขอโทษดูเป็นยังไงคะ?”
“จดหมาย?”
“ใช่ค่ะ
เพราะพี่หนิวไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร
ถึงจะไปพูดขอโทษอีกกี่ครั้งก็คงไม่ทำให้บอสหายโกรธหรอกค่ะ
เหมยเลยว่าพี่น่าจะเขียนจดหมายขอโทษดู
พี่ลองบรรยายความรู้สึกตัวเองว่าคิดยังไงกับเรื่องที่ถูกโกรธ
หรืออาจจะสอบถามดูก็ได้ว่าจริงๆแล้วบอสไม่พอใจพี่เรื่องอะไร
เหมยเชื่อว่าถ้าพี่ทำอย่างนี้บอสจะต้องให้อภัยพี่แน่ค่ะ”รอยยิ้มอ่อนหวานของเด็กสาวทำให้คนฟังมีกำลังใจ
กู่หนิวพยักหน้ารับพลางกล่าวขอบคุณ
“เข้าใจล่ะ
ขอบใจนะ”
ด้วยคำแนะนำของเฉ่าเหมย
กู่หนิวก็พยายามเขียนจดหมายขอโทษออกมา แต่คงเพราะเขาพูดไม่ค่อยเก่งและเรียนมาน้อย หลังลองเขียนไปหลายรอบก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จนกว่าจะเขียนเสร็จก็เป็นวันออกล่าครั้งใหญ่
ปกติแล้วการออกล่าจะแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ
ผลัดกันออกสำรวจ แต่วันออกล่าใหญ่คือการรวมกลุ่มราวสามสิบคนเพื่อไปออกล่าในพื้นที่ที่มีผู้ล่าชุกชุม
ซึ่งจะจัดขึ้นราวครึ่งปีต่อครั้ง
ครั้งที่แล้วกู่หนิวยังง่วนอยู่กับการปลูกสตรอวเบอรี่และเซียงเว่ยยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บทีจึงไม่ได้เข้าร่วม
มาครั้งนี้ชายหนุ่มจึงมีโอกาสลงสนาม
วันนี้ค่อนข้างอันตรายกว่าทุกที
กู่หนิวจึงได้เครื่องป้องกันที่ทางป้อมแจกจ่ายให้ใช้กันทุกคน
เขาจัดการสวมรองเท้ากีฬาแบบที่สามารถใช้วิ่งได้แม้บนพื้นโคลนซึ่งฝากจางลู่ไปซื้อมา
และหยิบอาวุธอันใหม่ที่ไม่ค่อยคุ้นมือขึ้นมาถือ อาวุธใหม่นี้ก็ไม่ใช่ของแปลกตาอะไร
เป็นขวานเหล็กเล่มหนึ่ง
เพราะไม้เบสบอลดูจะเป็นอาวุธที่แย่เกินไปที่จะต่อกรกับผู้ล่า
เขาจึงวานจางลู่ให้ช่วยจัดหาอาวุธที่เหมาะสมให้หน่อย
แล้วก็ได้ขวานเหล็กที่คุณภาพค่อนข้างดีนี้มา
กู่หนิวเห็นเซียงเว่ยที่พักหลังไม่ค่อยได้เจอหน้ายืนอยู่ไม่ไกล
เขาลังเลแล้วลังเลอีกที่จะเอาจดหมายที่เขียนมาให้อีกฝ่าย ซึ่งจนกระทั่งออกเดินทางเขาก็ยังไม่กล้ามอบจดหมายให้
สายตาของเพื่อนร่วมงานที่อยู่บนรถต่างมองมาที่ชายหนุ่มอย่างเวทนา
เพราะแม้จะนั่งห่างกันเพียงหนึ่งเก้าอี้ เซียงเว่ยก็ไม่แม้จะเหลือบหางตามองคนร่างโต
กู่หนิวเองก็ค่อนข้างหดหู่
เพราะถึงจะไม่ได้สนิทอะไรมากมาย แต่กู่หนิวก็คิดเสมอว่าเซียงเว่ยเป็นผู้มีพระคุณ
ที่มอบโอกาสให้กับเขาจนได้มาอยู่ตรงนี้
จนในที่สุดก็ถึงสถานที่ออกล่า
ซึ่งจุดออกล่าในครั้งนี้คือสวนสนุก
ป้ายเชิญชวนที่สีสันยังคงไม่ชืดจาง
ทว่าก็ห่างไกลจากความสดใสที่เคยเป็นอย่างมาก อาจด้วยเสียงเครื่องยนต์ทั้งหกคันที่ขับมาจอด
จึงได้เรียกให้ผู้อาศัยในสถานที่ให้ออกมาต้อนรับ
ร่างของพนักงานชายหญิงในชุดโชกเลือด รวมทั้งรปภ.หลายคนได้ออกมาทักทาย กู่หนิวเองก็เตรียมพร้อม
จนกระทั่งสังเกตเห็นว่าสิ่งที่ยามสวนสนุกที่ใบหน้าแหว่งหายไปครึ่งซีกถือติดมือคือหัวเด็กผู้หญิงที่เบิกตาค้างด้วยสีหน้าหวาดกลัว
และที่มากไปกว่านั้นคือการที่ซิบกางเกงของคนยามคนดังกล่าวถูกรูดลงจนเห็นของสกปรกบางอย่างแกว่งไกวไปมา
ภาพที่เห็นชวนให้ผู้คนนึกสืบสาวเรื่องราว
ว่าแท้จริงมันเกิดอะไรขึ้น
กู่หนิวสะบัดหัว
เขาพยายามไม่คิดแล้วกันว่ายามคนนี้โดนจู่โจมตอนกำลังยิงกระต่าย
หรือเกิดเรื่องอื่นใด ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปจัดการกับผู้ล่าตัวนั้นโดยการสับหัวจนแบะ
ก่อนกลับไปหาเซียงเว่ยที่เพิ่งจัดการพนักงานชายที่หน้าตาค่อนข้างดีคนหนึ่งลงไป
ครั้งนี้เซียงเว่ยปรายตามองมาเล็กน้อย
แต่ก็ยังไม่พูดไม่จา หลังจัดการกับผู้ล่าชุดแรกเสร็จหมดเด็กหนุ่มก็เดินนำเข้าไปด้านใน
จนกู่หนิวต้องรีบสาวเท้าตามติดไป
เมื่อเข้าไปด้านใน
เครื่องเล่นสวนสนุกมากมายก็ปรากฏสู่สายตา และที่มากมายยิ่งกว่าเครื่องเล่นคือร่างของผู้ล่าที่เริ่มทยอยกันปรากฏตัว
บ้างก็เคลื่อนไหวเร็ว บ้างก็เชื่องช้า กู่หนิวจับสังเกตได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องตั้งรับ
เมื่อมีผู้ล่าที่มีสภาพเป็นเด็กสาวนุ่งมินิสเกิ้ตสีแดงกระโจนเข้ามาหา
กู่หนิวค่อนข้างลำบากใจ เพราะสภาพร่างของเด็กสาวค่อนข้างสมบูรณ์
นอกจากรอยแหว่งที่คอก็แทบไม่มีตำหนิอื่น ซึ่งปัญหาก็คือ...เรือนร่างที่เจริญวัยแล้วมันบดเบียดกับร่างกายของเขา
ยิ่งมองดูใบหน้าดีๆก็พบว่าเป็นเด็กสาวที่หน้าตาน่ารักไม่น้อย
ถ้าไม่มีริมฝีปากเปรอะเลือดที่เผยอเขี้ยวน่ากลัวกับนัยน์ตาเหลือกสีขาวขุ่นล่ะก็นะ...
ฉัวะ!
กู่หนิวมองหัวของเด็กสาวที่หลุดลอย
ก่อนหันไปมองคนลงมือที่กำลังยกชายเสื้อขึ้นเช็ดมีดเผยให้เห็นกล้ามท้องวับแวม กู่หนิวรีบเลื่อนสายตาที่เผลอสำรวจสิ่งไม่ควรขึ้นมองใบหน้าที่ไร้รอยตำหนิ
แล้วเขาก็ต้องนิ่งงันไปเมื่อไม่ว่าจะขนตาหนาที่กะพริบไหว
หรือริมฝีปากอิ่มสีอมส้มก็ล้วนแต่ดึงดูดสายตา สุดท้ายแล้วกู่หนิวก็เผลอคิดอย่างเปรียบเทียบในใจ
ยังไงคุณชายเซียงก็หน้าตาดีที่สุดล่ะนะ
ความคิดเห็น