ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วัวกินหญ้า หรือ หญ้ากินวัว? BL

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่9

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ย. 64


    สภาพลานจอดรถที่ไร้ผู้คนดูวังเวงจนน่าหวั่นใจ ซึ่งท่ามกลางรถที่จอดเรียงราย ร่างหนาในเสื้อยืดสีดำลายสตรอวเบอรี่มุ่งตรงเข้าหาร่างผู้ล่าในชุดคนไข้ด้วยความรวดเร็วอย่างที่ยากจะจับทัน

    กู่หนิวออกแรงฟาดร่างบึ้กด้วยไม้เบสบอลเหล็กในมือเต็มแรง ก่อนจะกระโดดหนีกรงเล็บคมที่งอกออกมาจากหลังมือ ซึ่งรอดไปได้อย่างเฉียดฉิว ชายหนุ่มเหลือบมองอาวุธในมือตนที่บุบเบี้ยวไปกับการปะทะเมื่อครู่ สลับกับร่างแกร่งที่ไม่มีแม้แต่อาการบาดเจ็บแล้วส่ายหัวในใจ

    ครั้งนี้งานยากแล้วสิ...

    ร่างหนาใช้มือดัดอาวุธตนให้กลับมาตรงแล้วกระชับใหม่ เขาเล็งไปที่ศีรษะล้านโล่ง ระหว่างนั้นก็เห็นเงาในชุดขาวอยู่ไม่ไกลเกินระยะสบตา กู่หนิวโค้งศีรษะให้กับเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าแวววาว ซึ่งมองมาอย่างนิ่งๆ แต่อาจเพราะระยะห่างหรือแสงไฟที่สะท้อน ทำให้คล้ายเห็นเปลวไฟลุกโชนในดวงตาคู่นั้น

    มองผิดไปมั้ง?

    โดยไม่เหลือเวลาให้คิดเรื่องอื่นๆ กู่หนิวใช้ความเร็วที่ขนาดชีต้ายังแพ้หลบการจู่โจมของผู้ล่า พร้อมกับพยายามสร้างโอกาสโจมตีให้กับเซียงเว่ย แต่ไม่คาดว่าจะเจอข้อผิดพลาดอย่างหนึ่ง

    พรืด... ตุบ

    กู่หนิวที่ลื่นล้มหน้าทิ่มใช้แขนยันพื้นแล้วมองไปยังตัวต้นเหตุ

    รองเท้า...

    เพราะใช้มันมานานอย่างไม่มีโอกาสได้เปลี่ยนคู่ใหม่ ความสมบุกสมบันก็เรื่องหนึ่ง แต่ปัญหาซึ่งเกิดจากพื้นรองเท้าที่หายไป มันได้ทำให้เกิดอุบัติเหตุลื่นไถลหน้าคว่ำอย่างหมดท่าอย่างที่เห็นอยู่ และแน่นอนว่าผู้ล่าที่อยู่ไม่ไกลย่อมไม่ปล่อยเรื่องน่าขายหน้าที่เป็นโอกาสอันดีนี้ไปแน่

    เงามืดที่คืบคลานเข้ามาใกล้ทำให้หัวใจชายหนุ่มตกไปอยู่ตาตุ่ม เขาค่อยๆมองเงาร่างยักษ์ที่ย่ำก้าวเข้ามาใกล้ ริมฝีปากเปื้อนเลือดฉีกออกกว้างเผยเห็นฟันแหลมชี้ในปากที่ดูเหมือนของพวกสัตว์กินเนื้อ มันร้องกู่คำรามเสียงต่ำก่อนพุ่งเข้ามาด้วยท่าทีหมายขย้ำ ซึ่งวินาทีที่ความตายอยู่ห่างเพียงเสี้ยวลมหายใจ ภาพสโลว์ของกงเล็บคมที่กางเฉียดปลายจมูกไปไม่เท่าไหร่ ทำให้ความคิดหนึ่งพลันแวบเข้ามาในหัว

    กู่หนิวคิดอย่างเสียดาย

    เมื่อเช้าน่าจะแลกนมสตรอวเบอรี่มาอีกสักขวด...

    ฉัวะ!

    เพราะไม่ได้หลับตา ภาพที่เกิดขึ้นจึงอยู่ในสายตาทั้งหมด กู่หนิวเหม่อมองเลือดที่สาดกระเซ็น เสียงตุบหนักๆของร่างที่ล้มลงแทบไม่ได้เข้าหูชองชายหนุ่ม เมื่อสายตาของเขาติดตรึงอยู่ที่ร่างสีขาวซึ่งเคลื่อนไหวอย่างงดงาม เส้นผมสีเงินโบกสะบัดไปมา ใบหน้าที่เย็นชาและงดงามราวกับรูปสลักของเทพมรณะผู้ไม่ยี่หระต่อความเป็นตาย ในยามที่อีกฝ่ายตวัดคมมีดตัดหัวศัตรูด้วยความเฉียบขาดนั้น...ช่างดูคล้ายภูตหนุ่มที่กำลังเริงระบำ

    และเมื่อสติที่ถูกความงามล่อลวงกลับคืนสู่ร่าง กู่หนิวก็ได้เห็นร่างของผู้ล่าไร้หัวล้มลงไปกองชัด เช่นเดียวกับแววตาที่ฉายความกรุ่นโกรธชัดเจนกว่าครั้งไหนๆของเซียงเว่ย

    “กลับ!”คำสั่งสั้นๆที่กู่หนิวปฏิบัติตามแทบจะทันที เขาก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองทำผิดอะไร แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้เจ้านายหนุ่มกำลังโมโหตัวเขาอยู่...

    “เฮ้ ต้าหนิว นายทำไปอะไรให้บอสโกรธน่ะ?”

    คำถามของจางลู่ที่โพล่งขึ้นมาหลังจากแผ่นหลังเซียงเว่ยหายลับสายตาไปทำให้กู่หนิวสะดุ้งเฮือก และคำพูดนั่นเรียกสายตาของเพื่อนร่วมงานอีกสามคนให้หันมองเช่นกัน หลงจู หลงไช่ และไห่หลาง ทั้งสามเองก็จับบรรยากาศมาคุที่เกิดขึ้นบนรถได้ แต่เนื่องจากรับรู้ได้ว่าอารมณ์ของบอสไม่ค่อยจะดี พวกเขาจึงไม่ได้เอ่ยปากถาม

    “ผม...ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”กู่หนิวตอบอย่างลังเล เพราะเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่ถ้าจะให้คิดก็คงเป็นความเลินเล่อเรื่องรองเท้า ที่ทำแผนเสียจนต้องให้เซียงเว่ยเข้ามาช่วย

    “ยังไงก็ช่างเถอะ รีบหาทางง้อบอสไวๆแล้วกัน!”จางลู่พูดปัดอย่างคร้านจะใส่ใจ เด็กสาวพูดทิ้งท้ายแล้วสะบัดหน้าจากไปพร้อมอีกสามคน ทิ้งให้คนร่างโตยืนทำหน้าเหวอ

    งะ ง้อ?

    กู่หนิวกลับมานั่งคิดถึงคำนิยามของคำว่าง้อ ซึ่งเป็นคำย่อของคำว่า ขอคืนดี

    ขอคืนดี? แต่เขายังไม่รู้เลยว่าเซียงเว่ยโกรธเรื่องอะไร

    แต่แม้กู่หนิวจะคิดอย่างนั้น สุดท้ายเขาก็ยังทำตามที่จางลู่บอก นั่นคือพยายามง้อคนที่โกรธ โดยเริ่มจากส่งดอกไม้ไปให้ ซึ่งเขาเลือกดอกลิลลี่สีขาวที่มีความหมายสื่อถึงการขอโทษไปให้ทุกวัน แต่ถึงจะทำอย่างนั้นทุกครั้งที่ไปรับคริสตัลและอาหารในตอนเย็นก็ยังพบกับแววตาเย็นชา

    เมื่อพบว่าแค่ส่งดอกไม้ไปให้ยังไม่ได้ผล กู่หนิวที่ขาดแคลนสกิลด้านการง้อคนจึงตัดสินใจขอเข้าพบเซียงเว่ยแล้วพูดขอโทษตรงๆ

    “เรื่องคราวก่อนผมขอโทษด้วยครับ คราวหลังผมจะไม่ทำอีก”ร่างโตโค้งศีรษะขอโทษคนที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ใบหน้าบ้านๆที่คล้ำแดดฉายแววจริงใจอย่างที่ชวนให้คนมองใจอ่อน

    ในห้องที่เจือด้วยกลิ่นหอมของดอกลิลลี่ บรรยากาศที่เคยเย็นยะเยือกค่อยๆผ่อนคลายลง กู่หนิวนึกโล่งใจที่ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี เขารีบสำทับซ้ำ

    “คราวหลังผมจะไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องผิดพลาดอีกอย่างแน่นอนครับ!

    วูม...

    ความเย็นยะเยือกที่ชวนสะท้านกว่าคราแรกแผ่ขจายออกมาจนคนตั้งใจมาขอโทษต้องตัวสั่น ชายหนุ่มมองใบหน้าเย็นชากับแววตากระด้างของเด็กหนุ่ม ก่อนรีบพาร่างตัวเองเผ่นออกมาเมื่อได้รับคำสั่ง

    “ออกไปซะ”

    แล้วเวลาก็ล่วงเลยไปอีกอาทิตย์ จางลู่มองกู่หนิวที่ยืนซ่อมหลอดไฟด้วยท่าทีเหม่อแล้ววิจารณ์อย่างไม่สบอารมณ์

    “นี่ ช่วยกระฉับกระเฉงกว่านี้หน่อยไม่ได้รึไงฮะ!

    กู่หนิวสะดุ้งแล้วรีบพูดขอโทษ เขารีบจัดการซ่อมให้เสร็จแล้วเดินเหม่อๆออกมา ซึ่งระหว่างเดินชายหนุ่มก็เผชิญกับสายตาเห็นใจหลายคู่ โดยสาเหตุที่คนในป้อมมองมาเช่นนั้นก็เพราะตั้งแต่วันที่กู่หนิวไปขอโทษที่ห้องด้วยตัวเองแล้วถูไล่ออกมา หลงคุนก็ประกาศห้ามกู่หนิวเข้าพบเซียงเว่ยอีก โดยเรื่องเงินเดือนให้ลงไปรับที่แผนกการเงิน อันเป็นตำแหน่งงานที่จางลู่รับผิดชอบอยู่แทน

    และด้วยความใจกว้างยิ่งกว่าแม่น้ำฮวงเหอของจางลู่ พอเห็นหน้ากู่หนิวทีก็จะจิกกัดด้วยถ้อยคำเจ็บแสบ อย่างที่ถ้าคนเป็นโรคหัวใจมาฟังอาการคงทรุดหนักกว่าเดิม

    ฝั่งกู่หนิวที่กลับมาถึงห้องนอนก็ก่ายหน้าผากอย่างกลัดกลุ้ม เขารู้สึกไม่สบายใจที่ทำให้เซียงเว่ยโกรธ ไม่พูดถึงเรื่องที่เด็กหนุ่มเป็นเจ้าของป้อมที่จะไล่เขาออกไปเมื่อไหร่ก็ได้ เขาแค่...รู้สึกเหมือนว่าตัวเองทำเรื่องไม่ดีลงไป และอยากจะหาทางไถ่โทษ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด และไม่รู้ว่าควรใช้วิธีไหนง้อ

    และในที่สุดก็มีคนช่วยชี้ทางสว่าง

    เฉ่าเหมยที่กู่หนิวบังเอิญเจอตอนลงมารับเงินกับจางลู่ เมื่อได้พบกันพวกเขาก็ได้คุยกันหลายเรื่อง และหนึ่งในเรื่องนั้นคือเรื่องที่เซียงเว่ยโกรธเขา

    “พี่หนิวลองเขียนจดหมายขอโทษดูเป็นยังไงคะ?”

    “จดหมาย?”

    “ใช่ค่ะ เพราะพี่หนิวไม่รู้ว่าตัวเองทำผิดอะไร ถึงจะไปพูดขอโทษอีกกี่ครั้งก็คงไม่ทำให้บอสหายโกรธหรอกค่ะ เหมยเลยว่าพี่น่าจะเขียนจดหมายขอโทษดู พี่ลองบรรยายความรู้สึกตัวเองว่าคิดยังไงกับเรื่องที่ถูกโกรธ หรืออาจจะสอบถามดูก็ได้ว่าจริงๆแล้วบอสไม่พอใจพี่เรื่องอะไร เหมยเชื่อว่าถ้าพี่ทำอย่างนี้บอสจะต้องให้อภัยพี่แน่ค่ะ”รอยยิ้มอ่อนหวานของเด็กสาวทำให้คนฟังมีกำลังใจ กู่หนิวพยักหน้ารับพลางกล่าวขอบคุณ

    “เข้าใจล่ะ ขอบใจนะ”

    ด้วยคำแนะนำของเฉ่าเหมย กู่หนิวก็พยายามเขียนจดหมายขอโทษออกมา แต่คงเพราะเขาพูดไม่ค่อยเก่งและเรียนมาน้อย หลังลองเขียนไปหลายรอบก็ยังรู้สึกไม่พอใจ จนกว่าจะเขียนเสร็จก็เป็นวันออกล่าครั้งใหญ่

    ปกติแล้วการออกล่าจะแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆ ผลัดกันออกสำรวจ แต่วันออกล่าใหญ่คือการรวมกลุ่มราวสามสิบคนเพื่อไปออกล่าในพื้นที่ที่มีผู้ล่าชุกชุม ซึ่งจะจัดขึ้นราวครึ่งปีต่อครั้ง ครั้งที่แล้วกู่หนิวยังง่วนอยู่กับการปลูกสตรอวเบอรี่และเซียงเว่ยยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บทีจึงไม่ได้เข้าร่วม มาครั้งนี้ชายหนุ่มจึงมีโอกาสลงสนาม

    วันนี้ค่อนข้างอันตรายกว่าทุกที กู่หนิวจึงได้เครื่องป้องกันที่ทางป้อมแจกจ่ายให้ใช้กันทุกคน เขาจัดการสวมรองเท้ากีฬาแบบที่สามารถใช้วิ่งได้แม้บนพื้นโคลนซึ่งฝากจางลู่ไปซื้อมา และหยิบอาวุธอันใหม่ที่ไม่ค่อยคุ้นมือขึ้นมาถือ อาวุธใหม่นี้ก็ไม่ใช่ของแปลกตาอะไร เป็นขวานเหล็กเล่มหนึ่ง

    เพราะไม้เบสบอลดูจะเป็นอาวุธที่แย่เกินไปที่จะต่อกรกับผู้ล่า เขาจึงวานจางลู่ให้ช่วยจัดหาอาวุธที่เหมาะสมให้หน่อย แล้วก็ได้ขวานเหล็กที่คุณภาพค่อนข้างดีนี้มา

    กู่หนิวเห็นเซียงเว่ยที่พักหลังไม่ค่อยได้เจอหน้ายืนอยู่ไม่ไกล เขาลังเลแล้วลังเลอีกที่จะเอาจดหมายที่เขียนมาให้อีกฝ่าย ซึ่งจนกระทั่งออกเดินทางเขาก็ยังไม่กล้ามอบจดหมายให้ สายตาของเพื่อนร่วมงานที่อยู่บนรถต่างมองมาที่ชายหนุ่มอย่างเวทนา เพราะแม้จะนั่งห่างกันเพียงหนึ่งเก้าอี้ เซียงเว่ยก็ไม่แม้จะเหลือบหางตามองคนร่างโต

    กู่หนิวเองก็ค่อนข้างหดหู่ เพราะถึงจะไม่ได้สนิทอะไรมากมาย แต่กู่หนิวก็คิดเสมอว่าเซียงเว่ยเป็นผู้มีพระคุณ ที่มอบโอกาสให้กับเขาจนได้มาอยู่ตรงนี้

    จนในที่สุดก็ถึงสถานที่ออกล่า ซึ่งจุดออกล่าในครั้งนี้คือสวนสนุก

    ป้ายเชิญชวนที่สีสันยังคงไม่ชืดจาง ทว่าก็ห่างไกลจากความสดใสที่เคยเป็นอย่างมาก อาจด้วยเสียงเครื่องยนต์ทั้งหกคันที่ขับมาจอด จึงได้เรียกให้ผู้อาศัยในสถานที่ให้ออกมาต้อนรับ ร่างของพนักงานชายหญิงในชุดโชกเลือด รวมทั้งรปภ.หลายคนได้ออกมาทักทาย กู่หนิวเองก็เตรียมพร้อม จนกระทั่งสังเกตเห็นว่าสิ่งที่ยามสวนสนุกที่ใบหน้าแหว่งหายไปครึ่งซีกถือติดมือคือหัวเด็กผู้หญิงที่เบิกตาค้างด้วยสีหน้าหวาดกลัว และที่มากไปกว่านั้นคือการที่ซิบกางเกงของคนยามคนดังกล่าวถูกรูดลงจนเห็นของสกปรกบางอย่างแกว่งไกวไปมา

    ภาพที่เห็นชวนให้ผู้คนนึกสืบสาวเรื่องราว ว่าแท้จริงมันเกิดอะไรขึ้น

    กู่หนิวสะบัดหัว เขาพยายามไม่คิดแล้วกันว่ายามคนนี้โดนจู่โจมตอนกำลังยิงกระต่าย หรือเกิดเรื่องอื่นใด ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปจัดการกับผู้ล่าตัวนั้นโดยการสับหัวจนแบะ ก่อนกลับไปหาเซียงเว่ยที่เพิ่งจัดการพนักงานชายที่หน้าตาค่อนข้างดีคนหนึ่งลงไป

    ครั้งนี้เซียงเว่ยปรายตามองมาเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่พูดไม่จา หลังจัดการกับผู้ล่าชุดแรกเสร็จหมดเด็กหนุ่มก็เดินนำเข้าไปด้านใน จนกู่หนิวต้องรีบสาวเท้าตามติดไป

    เมื่อเข้าไปด้านใน เครื่องเล่นสวนสนุกมากมายก็ปรากฏสู่สายตา และที่มากมายยิ่งกว่าเครื่องเล่นคือร่างของผู้ล่าที่เริ่มทยอยกันปรากฏตัว บ้างก็เคลื่อนไหวเร็ว บ้างก็เชื่องช้า กู่หนิวจับสังเกตได้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องตั้งรับ เมื่อมีผู้ล่าที่มีสภาพเป็นเด็กสาวนุ่งมินิสเกิ้ตสีแดงกระโจนเข้ามาหา กู่หนิวค่อนข้างลำบากใจ เพราะสภาพร่างของเด็กสาวค่อนข้างสมบูรณ์ นอกจากรอยแหว่งที่คอก็แทบไม่มีตำหนิอื่น ซึ่งปัญหาก็คือ...เรือนร่างที่เจริญวัยแล้วมันบดเบียดกับร่างกายของเขา

    ยิ่งมองดูใบหน้าดีๆก็พบว่าเป็นเด็กสาวที่หน้าตาน่ารักไม่น้อย ถ้าไม่มีริมฝีปากเปรอะเลือดที่เผยอเขี้ยวน่ากลัวกับนัยน์ตาเหลือกสีขาวขุ่นล่ะก็นะ...

    ฉัวะ!

    กู่หนิวมองหัวของเด็กสาวที่หลุดลอย ก่อนหันไปมองคนลงมือที่กำลังยกชายเสื้อขึ้นเช็ดมีดเผยให้เห็นกล้ามท้องวับแวม กู่หนิวรีบเลื่อนสายตาที่เผลอสำรวจสิ่งไม่ควรขึ้นมองใบหน้าที่ไร้รอยตำหนิ แล้วเขาก็ต้องนิ่งงันไปเมื่อไม่ว่าจะขนตาหนาที่กะพริบไหว หรือริมฝีปากอิ่มสีอมส้มก็ล้วนแต่ดึงดูดสายตา สุดท้ายแล้วกู่หนิวก็เผลอคิดอย่างเปรียบเทียบในใจ

    ยังไงคุณชายเซียงก็หน้าตาดีที่สุดล่ะนะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×