คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่8
ทางกู่หนิวเองก็อดคิดไม่ได้ว่านับวันตัวเองยิ่งเนื้อหอม
มีคนมาเคาะห้องหรือทักทายตามรายทางอยู่บ่อยๆ บ้างก็แวะมาใช้บริการ
บ้างก็แวะเอาของมาฝาก บางคนยังเอานมสตรอวเบอรี่มาฝากอีกด้วย ซึ่งกรณีหลังสุดทำให้เขารู้สึกปลื้มปริ่ม
และอดคิดไม่ได้ว่าอาชีพผู้ดูแลป้อมก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร พอชินแล้วก็นับว่าเป็นงานที่โอเคงานหนึ่ง
เพียงแต่...อาชีพใหม่นี้ทำให้เขาไม่มีเวลาว่างมากนัก
ขนาดตอนดูแลดอกไม้อยู่ยังมีคนวิ่งมาตามหา
ไม่ต้องพูดถึงตอนทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ... เฮ้อ
“เอานมสตรอวเบอรี่ขวดหนึ่งครับ”
กู่หนิวลงมาแลกนมเหมือนเคย
ซึ่งชายร่างผอมผู้สวมชุดกาวน์สีขาวเป็นประจำอย่างคุณซูหมิง
หลังได้รับสูตรกำจัดกลิ่นเท้าไปก็ปฏิบัติต่อเขาดีขึ้นเล็กน้อย
นานๆทีจะแถมนมเพิ่มให้เขาขวดหนึ่ง อย่างเช่นวันนี้
“ไปเอามาสองขวด
...ฉันเลี้ยงขวดหนึ่ง”
“ขอบคุณครับ”กู่หนิวส่งยิ้มให้อีกฝ่ายแล้ววางคริสตัลสีแดงลง
ก่อนเดินไปหยิบ แต่ขาก้าวตรงไปทางตู้เย็นได้ไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงเรียกทัก
“พี่หนิว?”
แผ่นหลังเขาเกร็งขึ้นมาชั่วอึดใจ
ก่อนคลายลง กู่หนิวหันไปหาต้นเสียง
ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวในป้อมที่เรียกเขาว่าพี่หนิว
“เฉ่าเหมย”
ชายหนุ่มส่งเสียงทักกลับ
ขณะมองเด็กสาวที่วันนี้อยู่ในชุดประโปรงสีขาวยาวคลุมเข่าซึ่งขับเน้นให้ร่างบอบบางดูน่าทะนุถนอมยิ่งขึ้น
ทว่าแม้เครื่องแต่งกายจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่
แต่กิ๊ฟติดผมรูปสตรอวเบอรี่ที่ประดับผมนั้นกลับไม่เคยเปลี่ยนไป
“พี่หนิวมาแลกนมสตรอวเบอรี่อีกแล้วหรือคะ?”เสียงอ่อนหวานถามด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใส
กู่หนิวหลุบตาลงแล้วตอบเบาๆ
“อา ใช่
เธอล่ะ?”
“พี่ลู่ลู่บอกว่าวันนี้มีสตรอวเบอรี่เชื่อมสต๊อกใหม่เข้ามาน่ะค่ะ
เลยว่าจะมาแลก”
“อ้อ”กู่หนิวตอบรับคำ
เขาเองก็พอจะจำได้ว่าเฉ่าเหมยชอบกินสตรอวเบอรี่ ตอนที่ทำนมสตรอวเบอรี่ให้กินครั้งแรก
เธอก็ดูจะชอบเหมือนกัน...
หลังทำการแลกเปลี่ยนเสร็จกู่หนิวก็อาสาพาเด็กสาวไปส่ง
โดยระหว่างทางเขาก็คุยเรื่อยเปื่อย อย่างเช่นถามว่าช่วงนี้ทำอะไรอยู่
“ช่วงนี้ก็ไม่มีงานอะไรมากหรอกค่ะ
แค่ดูแลพวกสวนสตรอวเบอรี่กับเติมน้ำใส่แท๊งก์ แต่คงเพราะย้ายไปทำด้านล่าง
พวกเราเลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่”
กู่หนิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ
เพราะหลังเขาออกจากโครงการ
พวกต้นสตรอวเบอรี่ก็ถูกย้ายไปยังเรือนกระจกที่สร้างใหม่ด้านล่างของป้อม
ซึ่งพอถามหลงคุนดูอีกฝ่ายก็บอกว่า
“...เรือนกระจกที่สร้างใหม่มีความเหมาะสมกับการปลูกสตรอวเบอรี่มากกว่า”
นั่นก็จริง เขาเองก็เคยได้ยินเหมือนกันว่าการจะได้ดอกไม้และผลไม้ที่มีคุณภาพจำเป็นต้องได้รับการดูแลในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
“อ่า จริงสิ
ผ้าเช็ดหน้าที่เธอเคยให้มา ฉันทำมันหายน่ะ
โทษทีนะ”กู่หนิวที่นึกขึ้นได้ระหว่างทางกล่าวขึ้น
ผ้าเช็ดหน้าลายสตรอวเบอรี่ที่เฉ่าเหมยให้เขามาตอนที่ได้ทำงานด้วยกัน
หลังเขาให้คุณชายเซียงเว่ยยืมใช้ไปครั้งนั้นก็หายไปอย่างน่าเสียดาย
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ
ถ้าพี่หนิวอยากได้ผืนใหม่
ไว้เดี๋ยวเหมยจะเอามาให้นะคะ”เฉ่าเหมยพูดด้วยรอยยิ้มที่ยังคงอ่อนโยนเหมือนเคย
แต่กู่หนิวส่ายหัวปฏิเสธอย่างเกรงใจ
“ไม่เป็นไรหรอก
ปกติก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้วด้วย”
อีกอย่าง
เขาได้ผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่จากเซียงเว่ยมาแล้วด้วย...
“...อย่างนั้นเหรอคะ”
ไม่นานก็ถึงห้อง
กู่หนิวโบกมือลา หลังมองร่างบางหายเข้าไปในห้อง เขาก็เดินกลับห้องของตัวเอง
แต่ระหว่างทางกลับถูกคนจำนวนหนึ่งลากเข้าห้องน้ำ ซึ่งกลุ่มคนดังกล่าวคือคู่หูหลงจูกับหลงไช่
ทั้งสองมีสีหน้าเคร่งขณะสอบถามเขาที่แผ่นหลังถูกดันติดผนัง
“นายคุยอะไรกับเฉ่าเหมยน่ะ?”
“ครับ?
ก็เรื่องทั่วไป...”
กู่หนิวตอบคำหลงไช่ที่ดูร้อนใจกว่าใครเพื่อน
ขณะที่หลงจูกลับมีท่าทางใจเย็นกว่า อีกฝ่ายยืนกอดอกแล้วมองมาที่เขานิ่งๆ
“นาย...มีความสัมพันธ์อะไรกับเฉ่าเหมย?”
อ้า
ใช่จริงๆด้วย... จากท่าทีคุกคามของทั้งคู่
กู่หนิวก็คาดเดาไว้แล้วว่ามันคงเกี่ยวข้องกับเรื่องแนวนี้ เขาส่ายหัวเบาๆ
แล้วตอบด้วยเสียงโทนเรียบ
“ก็แค่คนที่เคยรู้จักกันครับ
และปัจจุบันก็เป็นแค่นั้น”
คล้ายคำตอบของเขาจะไม่เป็นอย่างที่คาดทำให้หลงไช่ชะงักไปครู่หนึ่ง
คิ้วบนใบหน้าของเด็กหนุ่มมุ่นเข้าหากันแล้วถามด้วยเสียงไม่แน่ใจ
“แล้ว...ในแง่ความรู้สึกล่ะ?”
“เธอเป็นเหมือนน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งครับ”กู่หนิวตอบโดยไม่กะพริบตา
สีหน้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ หลงไช่มีท่าทีโล่งใจ ขณะที่กู่หนิวคิดจะขอตัวกลับ
หลงจูที่ยืนดูอยู่แต่แรกก็ถามขึ้นมาคำถามหนึ่ง
“ที่ว่าปัจจุบันเป็นแค่นั้น
แล้วอนาคตล่ะ?”
กู่หนิวชะงัก
เขามองคนถาม แล้วส่งยิ้มบางให้
“สำหรับความสัมพันธ์ของผมกับเธอ...มันไม่มีคำว่าอนาคตหรอกครับ”
กู่หนิวกลับถึงห้องก็เอนกายแล้วหลับตา
เขาใช้แขนก่ายหน้าผาก เมื่อนึกถึงเรื่องวันนี้ ริมฝีปากหนาที่มีรอยแตกเล็กๆ
ก็คล้ายยกยิ้มกับตัวเอง
เพียงแต่...รอยยิ้มดังกล่าวนั้นรางเลือนไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก
วันถัดมากู่หนิวก็ยังทำงานอย่างเคย แค่วันนี้ค่อนข้างสงบกว่าทุกวัน โดยไม่มีใครมาตามผู้ดูแลคนนี้ไปช่วยแก้ไขปัญหาจิปาถะเช่นทุกวัน นับว่าเป็นวันสบายๆที่หาได้ยากวันหนึ่ง
“เอ้านี่”หลงคุนส่งคริสตัลกับอาหารกระป๋องให้อย่างเคย
กู่หนิวรับมาเงียบๆ แต่ก่อนจะออกจากห้องเขาก็ได้รับข้อความแจ้งจากหลงคุน
“พรุ่งนี้เตรียมตัวให้พร้อม
คุณชายจะไปออกล่า”
“เข้าใจแล้วครับ”
กู่หนิวที่ได้มาออกล่าพร้อมกับเซียงเว่ยอยู่บ่อยๆ
รู้สึกแปลกกว่าทุกที คงเพราะวันนี้มีแค่เขากับเด็กหนุ่มที่เดินอยู่ด้วยกันสองคน
ขณะที่คนที่เหลือก็กระจายกันออกไปสำรวจเป็นคู่ๆ
พอเดินกันสองคนจึงมีแต่ความเงียบเป็นเสียงประกอบ
แต่มันอาจจะดีก็ได้ เพราะเขาเองก็อยากพักหูอย่างสงบๆบ้างเหมือนกัน
“หนิว”
“ครับ”กู่หนิวตอบรับพร้อมหันไปทางคนที่อยู่เยื้องไปด้านขวา
ซึ่งเด็กหนุ่มผู้งดงามในชุดขาวกำลังมองมาด้วยนัยน์ตาสีฟ้าแวววาว
“เย็บผ้าเป็น?”
“อ่า ใช่ครับ
ผมเย็บเป็นนิดหน่อย”กู่หนิวตอบคำถามพลางนึกประหลาดใจที่เซียงเว่ยรู้เรื่องนี้ด้วย
เขาเกาแก้มอย่างเก้อๆ
“เย็บบ่อย?”เซียงเว่ยถามต่อ
“ก็ไม่ถือว่าบ่อยหรอกครับ
ผมแค่เย็บตัวที่ขาดๆเป็นบางครั้ง ฝีมือก็ไม่ได้ดีอะไร
แค่พอใช้แก้ขัดชั่วครั้งชั่วคราวน่ะครับ”
บทสนทนาของพวกเขาจบลงตรงนี้
แต่บรรยากาศนับว่าไม่เลว กู่หนิวคิดเปรียบเทียบกับช่วงแรกๆที่เจอกัน
ตอนนั้นเซียงเว่ยให้บรรยากาศที่เย็นชาและเข้าถึงยากกว่านี้
ซึ่งคงเป็นเพราะบรรยากาศพาไป เขาเลยเริ่มชวนอีกฝ่ายคุย
“คุณชายเซียงชอบดอกลิลลี่เหรอครับ?”
“...ชอบ”
“ได้ยินมาว่า
ก่อนหน้านี้คุยชายเป็นคนดูแลดอกไม้ในเรือนกระจกด้วยตัวเองทั้งหมดเลยเหรอครับ?”
“ใช่”
กู่หนิวพยายามคิดหาหัวข้อชวนคุยที่ไม่ดูละลาบละล้วงเกินไป
แต่กลับได้ยินเสียงเซียงเว่ยถามกลับ
“ชอบดอกไม้?”
เพราะคำถามที่สั้นเกินไป
กู่หนิวจึงเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายต้องการถามว่า ชอบดอกไม้รึเปล่า หรือ ชอบดอกไม้อะไร
กันแน่ แต่เขาก็เลือกตอบทั้งสองข้อในทีเดียว
“แต่ก่อนผมก็ไม่ได้สนใจพวกดอกไม้มากหรอกครับ
แต่ถ้าถามว่าชอบดอกไม้อะไรที่สุด ตอนนี้ก็คงเป็นดอกลิลลี่นี่แหละครับ”
กู่หนิวตอบยิ้มๆ
เพราะเขาต้องคอยดูแลพวกดอกลิลลี่ในเรือนกระจกอยู่ตลอด ถ้าจะไม่รู้สึกชอบก็คงแปลก
“อืม”
ได้ยินเสียงเซียงเว่ยรับคำเบาๆ ก่อนอีกฝ่ายจะตั้งท่าเตรียมต่อสู้ กู่หนิวเองก็กระชับไม้เบสบอลที่ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นอันที่เหมาะกับมือมากขึ้น พวกเขามองไปยังทิศทางหนึ่งที่มีเสียงฝีเท้าแผ่วๆดังแว่วมา และไม่นานร่างของผู้ล่าในชุดคนไข้ก็ปรากฏขึ้น ซึ่งกู่หนิวที่ได้พิจารณาสภาพร่างกายที่บึกบึนราวกับนักกีฬาอย่างถ้วนถี่แล้วบังเกิดความรู้สึกประหลาดใจ เพราะเท่าที่ลองมองกวาดตาดูคร่าวๆ เขาพบว่าแม้ชุดสีเขียวนั้นจะเต็มไปด้วยคราบเลือด แต่บนร่างอีกฝ่ายกลับปราศจากบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้ายจากผู้ล่า
กู่หนิวขมวดคิ้ว
สีหน้าเคร่งขึ้นทันควันเมื่อในหัวคาดเดาความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายคือ ‘ผู้กลายพันธุ์แรกเริ่ม’
ย้อนกลับไปเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว
ครั้งแรกที่วันสิ้นโลกมาถึงคือ 29 กุภาพันธ์ 25xx ในวันนั้นท้องฟ้าปรากฏเมฆสีแดงอมม่วงแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วโลก
เมฆพวกนั้นเปรียบเสมือนผ้าห่มผืนใหญ่ที่โอบกอดโลกทั้งใบเอาไว้
มันบดบังซึ่งแสงอาทิตย์อันอบอุ่น และก่อนจะได้ทันตั้งตัว
หยาดฝนโลหิตพลันพรั่งพรูลงมา กลุ่มคนที่สัมผัสหยาดโลหิตเหล่านั้นบางส่วนล้มลงไปหมดสติ
ขณะที่คนที่เหลืออย่างเช่นตัวเขาพากันรู้สึกคล้ายจะเป็นไข้
กู่หิวยังจำความรู้สึกวิงเวียนราวกับถูกจับไปอยู่ใจกลางพายุหมุน
และความรู้สึกร้อนผ่าวราวกับแช่อยู่ในทะเลเพลิงนั้นได้ดี
หลังผ่านไปราวสามชั่วโมงความรู้สึกทรมานเหล่านั้นก็ค่อยๆบรรเทาลง แต่ฝนสีเลือดกลับยังคงตกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึงสิบห้าวัน แต่เมื่อสายฝนประหลาดได้หยุดลง เหตุการณ์ที่น่าสยดสยองอย่างแท้จริงกลับเพิ่งเริ่มต้นขึ้น
หลังเมฆประหลาดจางหายไปเมื่อมองท้องฟ้าอีกครั้ง
ผืนฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าเสมอมาก็ยังคงเป็นสีฟ้าเหมือนเคย
หากแต่ดวงอาทิตย์ที่เคยอยู่กลับเลือนหาย และแทนที่ด้วยดวงจันทร์สีเลือดทั้งเจ็ด
ในขณะที่หลายคนตกตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏบนท้องฟ้า
ในโรงพยาบาลและสถานที่อื่นๆ กลุ่มคนจำนวนมากที่หมดสติไปในตอนที่โดนฝนสีเลือดกลับลืมตาขึ้น
และเริ่มออกจู่โจมคนที่อยู่ใกล้ตัว...
กลุ่มคนดังกล่าวถูกเรียกขานว่าผู้กลายพันธุ์แรกเริ่ม
ซึ่งที่เขาเครียดหนักเป็นเพราะกลุ่มผู้กลายพันธุ์แรกเริ่มไม่สมควรอยู่มาถึงตอนนี้
พวกมันเป็นตัวอันตรายที่สมควรถูกกำจัดทิ้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกมันสามารถแพร่เชื้อทำให้คนกลายพันธุ์ได้ด้วยการสร้างบาดแผลเล็กๆให้
ต่างกับผู้ติดเชื้อที่กลายพันธุ์ ที่คนที่ถูกโจมตีจะกลายพันธุ์ก็ต่อเมื่อตายไปแล้ว
แน่นอนว่าวิธีการต่อกรที่ชาญฉลาดที่สุดสำหรับพวกกลายพันธุ์แรกเริ่มคือ
สู้กับพวกมันในระยะไกล
“คุณชายครับ
เดี๋ยวผมจะออกไปล่อมัน ระหว่างนั้นคุณชายก็หาโอกาสโจมตีมันจากไกลๆนะครับ”
กู่หนิวพูดบอกก่อนพุ่งตัวเข้าไปหาร่างผู้ล่าทันที
โดยที่ชายหนุ่มไม่ทันเห็นว่าด้านหลังมีใครบางคนพยายามเอื้อมมือมารั้งแขนตนไว้...
ความคิดเห็น