ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วัวกินหญ้า หรือ หญ้ากินวัว? BL

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่8

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ย. 64


    ทางกู่หนิวเองก็อดคิดไม่ได้ว่านับวันตัวเองยิ่งเนื้อหอม มีคนมาเคาะห้องหรือทักทายตามรายทางอยู่บ่อยๆ บ้างก็แวะมาใช้บริการ บ้างก็แวะเอาของมาฝาก บางคนยังเอานมสตรอวเบอรี่มาฝากอีกด้วย ซึ่งกรณีหลังสุดทำให้เขารู้สึกปลื้มปริ่ม และอดคิดไม่ได้ว่าอาชีพผู้ดูแลป้อมก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร พอชินแล้วก็นับว่าเป็นงานที่โอเคงานหนึ่ง

    เพียงแต่...อาชีพใหม่นี้ทำให้เขาไม่มีเวลาว่างมากนัก ขนาดตอนดูแลดอกไม้อยู่ยังมีคนวิ่งมาตามหา ไม่ต้องพูดถึงตอนทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำ... เฮ้อ

    “เอานมสตรอวเบอรี่ขวดหนึ่งครับ”

    กู่หนิวลงมาแลกนมเหมือนเคย ซึ่งชายร่างผอมผู้สวมชุดกาวน์สีขาวเป็นประจำอย่างคุณซูหมิง หลังได้รับสูตรกำจัดกลิ่นเท้าไปก็ปฏิบัติต่อเขาดีขึ้นเล็กน้อย นานๆทีจะแถมนมเพิ่มให้เขาขวดหนึ่ง อย่างเช่นวันนี้

    “ไปเอามาสองขวด ...ฉันเลี้ยงขวดหนึ่ง”

    “ขอบคุณครับ”กู่หนิวส่งยิ้มให้อีกฝ่ายแล้ววางคริสตัลสีแดงลง ก่อนเดินไปหยิบ แต่ขาก้าวตรงไปทางตู้เย็นได้ไม่เท่าไหร่ก็ได้ยินเสียงเรียกทัก

    “พี่หนิว?”

    แผ่นหลังเขาเกร็งขึ้นมาชั่วอึดใจ ก่อนคลายลง กู่หนิวหันไปหาต้นเสียง ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวในป้อมที่เรียกเขาว่าพี่หนิว

    “เฉ่าเหมย”

    ชายหนุ่มส่งเสียงทักกลับ ขณะมองเด็กสาวที่วันนี้อยู่ในชุดประโปรงสีขาวยาวคลุมเข่าซึ่งขับเน้นให้ร่างบอบบางดูน่าทะนุถนอมยิ่งขึ้น ทว่าแม้เครื่องแต่งกายจะเปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไหร่ แต่กิ๊ฟติดผมรูปสตรอวเบอรี่ที่ประดับผมนั้นกลับไม่เคยเปลี่ยนไป

    “พี่หนิวมาแลกนมสตรอวเบอรี่อีกแล้วหรือคะ?”เสียงอ่อนหวานถามด้วยรอยยิ้มที่ดูสดใส กู่หนิวหลุบตาลงแล้วตอบเบาๆ

    “อา ใช่ เธอล่ะ?”

    “พี่ลู่ลู่บอกว่าวันนี้มีสตรอวเบอรี่เชื่อมสต๊อกใหม่เข้ามาน่ะค่ะ เลยว่าจะมาแลก”

    “อ้อ”กู่หนิวตอบรับคำ เขาเองก็พอจะจำได้ว่าเฉ่าเหมยชอบกินสตรอวเบอรี่ ตอนที่ทำนมสตรอวเบอรี่ให้กินครั้งแรก เธอก็ดูจะชอบเหมือนกัน...

    หลังทำการแลกเปลี่ยนเสร็จกู่หนิวก็อาสาพาเด็กสาวไปส่ง โดยระหว่างทางเขาก็คุยเรื่อยเปื่อย อย่างเช่นถามว่าช่วงนี้ทำอะไรอยู่

    “ช่วงนี้ก็ไม่มีงานอะไรมากหรอกค่ะ แค่ดูแลพวกสวนสตรอวเบอรี่กับเติมน้ำใส่แท๊งก์ แต่คงเพราะย้ายไปทำด้านล่าง พวกเราเลยไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่”

    กู่หนิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะหลังเขาออกจากโครงการ พวกต้นสตรอวเบอรี่ก็ถูกย้ายไปยังเรือนกระจกที่สร้างใหม่ด้านล่างของป้อม ซึ่งพอถามหลงคุนดูอีกฝ่ายก็บอกว่า

    “...เรือนกระจกที่สร้างใหม่มีความเหมาะสมกับการปลูกสตรอวเบอรี่มากกว่า”

    นั่นก็จริง เขาเองก็เคยได้ยินเหมือนกันว่าการจะได้ดอกไม้และผลไม้ที่มีคุณภาพจำเป็นต้องได้รับการดูแลในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม

    “อ่า จริงสิ ผ้าเช็ดหน้าที่เธอเคยให้มา ฉันทำมันหายน่ะ โทษทีนะ”กู่หนิวที่นึกขึ้นได้ระหว่างทางกล่าวขึ้น ผ้าเช็ดหน้าลายสตรอวเบอรี่ที่เฉ่าเหมยให้เขามาตอนที่ได้ทำงานด้วยกัน หลังเขาให้คุณชายเซียงเว่ยยืมใช้ไปครั้งนั้นก็หายไปอย่างน่าเสียดาย

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้าพี่หนิวอยากได้ผืนใหม่ ไว้เดี๋ยวเหมยจะเอามาให้นะคะ”เฉ่าเหมยพูดด้วยรอยยิ้มที่ยังคงอ่อนโยนเหมือนเคย แต่กู่หนิวส่ายหัวปฏิเสธอย่างเกรงใจ

    “ไม่เป็นไรหรอก ปกติก็ไม่ได้ใช้อยู่แล้วด้วย”

    อีกอย่าง เขาได้ผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่จากเซียงเว่ยมาแล้วด้วย...

    “...อย่างนั้นเหรอคะ”

    ไม่นานก็ถึงห้อง กู่หนิวโบกมือลา หลังมองร่างบางหายเข้าไปในห้อง เขาก็เดินกลับห้องของตัวเอง แต่ระหว่างทางกลับถูกคนจำนวนหนึ่งลากเข้าห้องน้ำ ซึ่งกลุ่มคนดังกล่าวคือคู่หูหลงจูกับหลงไช่ ทั้งสองมีสีหน้าเคร่งขณะสอบถามเขาที่แผ่นหลังถูกดันติดผนัง

    “นายคุยอะไรกับเฉ่าเหมยน่ะ?”

    “ครับ? ก็เรื่องทั่วไป...”

    กู่หนิวตอบคำหลงไช่ที่ดูร้อนใจกว่าใครเพื่อน ขณะที่หลงจูกลับมีท่าทางใจเย็นกว่า อีกฝ่ายยืนกอดอกแล้วมองมาที่เขานิ่งๆ

    “นาย...มีความสัมพันธ์อะไรกับเฉ่าเหมย?”

    อ้า ใช่จริงๆด้วย... จากท่าทีคุกคามของทั้งคู่ กู่หนิวก็คาดเดาไว้แล้วว่ามันคงเกี่ยวข้องกับเรื่องแนวนี้ เขาส่ายหัวเบาๆ แล้วตอบด้วยเสียงโทนเรียบ

    “ก็แค่คนที่เคยรู้จักกันครับ และปัจจุบันก็เป็นแค่นั้น”

    คล้ายคำตอบของเขาจะไม่เป็นอย่างที่คาดทำให้หลงไช่ชะงักไปครู่หนึ่ง คิ้วบนใบหน้าของเด็กหนุ่มมุ่นเข้าหากันแล้วถามด้วยเสียงไม่แน่ใจ

    “แล้ว...ในแง่ความรู้สึกล่ะ?”

    “เธอเป็นเหมือนน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่งครับ”กู่หนิวตอบโดยไม่กะพริบตา สีหน้าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ หลงไช่มีท่าทีโล่งใจ ขณะที่กู่หนิวคิดจะขอตัวกลับ หลงจูที่ยืนดูอยู่แต่แรกก็ถามขึ้นมาคำถามหนึ่ง

    “ที่ว่าปัจจุบันเป็นแค่นั้น แล้วอนาคตล่ะ?”

    กู่หนิวชะงัก เขามองคนถาม แล้วส่งยิ้มบางให้

    “สำหรับความสัมพันธ์ของผมกับเธอ...มันไม่มีคำว่าอนาคตหรอกครับ”

    กู่หนิวกลับถึงห้องก็เอนกายแล้วหลับตา เขาใช้แขนก่ายหน้าผาก เมื่อนึกถึงเรื่องวันนี้ ริมฝีปากหนาที่มีรอยแตกเล็กๆ ก็คล้ายยกยิ้มกับตัวเอง เพียงแต่...รอยยิ้มดังกล่าวนั้นรางเลือนไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก

    วันถัดมากู่หนิวก็ยังทำงานอย่างเคย แค่วันนี้ค่อนข้างสงบกว่าทุกวัน โดยไม่มีใครมาตามผู้ดูแลคนนี้ไปช่วยแก้ไขปัญหาจิปาถะเช่นทุกวัน นับว่าเป็นวันสบายๆที่หาได้ยากวันหนึ่ง

    “เอ้านี่”หลงคุนส่งคริสตัลกับอาหารกระป๋องให้อย่างเคย กู่หนิวรับมาเงียบๆ แต่ก่อนจะออกจากห้องเขาก็ได้รับข้อความแจ้งจากหลงคุน

    “พรุ่งนี้เตรียมตัวให้พร้อม คุณชายจะไปออกล่า”

    “เข้าใจแล้วครับ”

    กู่หนิวที่ได้มาออกล่าพร้อมกับเซียงเว่ยอยู่บ่อยๆ รู้สึกแปลกกว่าทุกที คงเพราะวันนี้มีแค่เขากับเด็กหนุ่มที่เดินอยู่ด้วยกันสองคน ขณะที่คนที่เหลือก็กระจายกันออกไปสำรวจเป็นคู่ๆ

    พอเดินกันสองคนจึงมีแต่ความเงียบเป็นเสียงประกอบ แต่มันอาจจะดีก็ได้ เพราะเขาเองก็อยากพักหูอย่างสงบๆบ้างเหมือนกัน

    “หนิว”

    “ครับ”กู่หนิวตอบรับพร้อมหันไปทางคนที่อยู่เยื้องไปด้านขวา ซึ่งเด็กหนุ่มผู้งดงามในชุดขาวกำลังมองมาด้วยนัยน์ตาสีฟ้าแวววาว

    “เย็บผ้าเป็น?”

    “อ่า ใช่ครับ ผมเย็บเป็นนิดหน่อย”กู่หนิวตอบคำถามพลางนึกประหลาดใจที่เซียงเว่ยรู้เรื่องนี้ด้วย เขาเกาแก้มอย่างเก้อๆ

    “เย็บบ่อย?”เซียงเว่ยถามต่อ

    “ก็ไม่ถือว่าบ่อยหรอกครับ ผมแค่เย็บตัวที่ขาดๆเป็นบางครั้ง ฝีมือก็ไม่ได้ดีอะไร แค่พอใช้แก้ขัดชั่วครั้งชั่วคราวน่ะครับ”

    บทสนทนาของพวกเขาจบลงตรงนี้ แต่บรรยากาศนับว่าไม่เลว กู่หนิวคิดเปรียบเทียบกับช่วงแรกๆที่เจอกัน ตอนนั้นเซียงเว่ยให้บรรยากาศที่เย็นชาและเข้าถึงยากกว่านี้ ซึ่งคงเป็นเพราะบรรยากาศพาไป เขาเลยเริ่มชวนอีกฝ่ายคุย

    “คุณชายเซียงชอบดอกลิลลี่เหรอครับ?”

    “...ชอบ”

    “ได้ยินมาว่า ก่อนหน้านี้คุยชายเป็นคนดูแลดอกไม้ในเรือนกระจกด้วยตัวเองทั้งหมดเลยเหรอครับ?”

    “ใช่”

    กู่หนิวพยายามคิดหาหัวข้อชวนคุยที่ไม่ดูละลาบละล้วงเกินไป แต่กลับได้ยินเสียงเซียงเว่ยถามกลับ

    “ชอบดอกไม้?”

    เพราะคำถามที่สั้นเกินไป กู่หนิวจึงเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายต้องการถามว่า ชอบดอกไม้รึเปล่า หรือ ชอบดอกไม้อะไร กันแน่ แต่เขาก็เลือกตอบทั้งสองข้อในทีเดียว

    “แต่ก่อนผมก็ไม่ได้สนใจพวกดอกไม้มากหรอกครับ แต่ถ้าถามว่าชอบดอกไม้อะไรที่สุด ตอนนี้ก็คงเป็นดอกลิลลี่นี่แหละครับ”

    กู่หนิวตอบยิ้มๆ เพราะเขาต้องคอยดูแลพวกดอกลิลลี่ในเรือนกระจกอยู่ตลอด ถ้าจะไม่รู้สึกชอบก็คงแปลก

    “อืม”

    ได้ยินเสียงเซียงเว่ยรับคำเบาๆ ก่อนอีกฝ่ายจะตั้งท่าเตรียมต่อสู้ กู่หนิวเองก็กระชับไม้เบสบอลที่ถูกเปลี่ยนใหม่เป็นอันที่เหมาะกับมือมากขึ้น พวกเขามองไปยังทิศทางหนึ่งที่มีเสียงฝีเท้าแผ่วๆดังแว่วมา และไม่นานร่างของผู้ล่าในชุดคนไข้ก็ปรากฏขึ้น ซึ่งกู่หนิวที่ได้พิจารณาสภาพร่างกายที่บึกบึนราวกับนักกีฬาอย่างถ้วนถี่แล้วบังเกิดความรู้สึกประหลาดใจ เพราะเท่าที่ลองมองกวาดตาดูคร่าวๆ เขาพบว่าแม้ชุดสีเขียวนั้นจะเต็มไปด้วยคราบเลือด แต่บนร่างอีกฝ่ายกลับปราศจากบาดแผลหรือร่องรอยการถูกทำร้ายจากผู้ล่า

    กู่หนิวขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขึ้นทันควันเมื่อในหัวคาดเดาความเป็นไปได้ว่าอีกฝ่ายคือ ผู้กลายพันธุ์แรกเริ่ม

    ย้อนกลับไปเมื่อเกือบสี่ปีที่แล้ว ครั้งแรกที่วันสิ้นโลกมาถึงคือ 29 กุภาพันธ์ 25xx ในวันนั้นท้องฟ้าปรากฏเมฆสีแดงอมม่วงแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วโลก เมฆพวกนั้นเปรียบเสมือนผ้าห่มผืนใหญ่ที่โอบกอดโลกทั้งใบเอาไว้ มันบดบังซึ่งแสงอาทิตย์อันอบอุ่น และก่อนจะได้ทันตั้งตัว หยาดฝนโลหิตพลันพรั่งพรูลงมา กลุ่มคนที่สัมผัสหยาดโลหิตเหล่านั้นบางส่วนล้มลงไปหมดสติ ขณะที่คนที่เหลืออย่างเช่นตัวเขาพากันรู้สึกคล้ายจะเป็นไข้

    กู่หิวยังจำความรู้สึกวิงเวียนราวกับถูกจับไปอยู่ใจกลางพายุหมุน และความรู้สึกร้อนผ่าวราวกับแช่อยู่ในทะเลเพลิงนั้นได้ดี

    หลังผ่านไปราวสามชั่วโมงความรู้สึกทรมานเหล่านั้นก็ค่อยๆบรรเทาลง แต่ฝนสีเลือดกลับยังคงตกอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึงสิบห้าวัน แต่เมื่อสายฝนประหลาดได้หยุดลง เหตุการณ์ที่น่าสยดสยองอย่างแท้จริงกลับเพิ่งเริ่มต้นขึ้น

    หลังเมฆประหลาดจางหายไปเมื่อมองท้องฟ้าอีกครั้ง ผืนฟ้าที่เคยเป็นสีฟ้าเสมอมาก็ยังคงเป็นสีฟ้าเหมือนเคย หากแต่ดวงอาทิตย์ที่เคยอยู่กลับเลือนหาย และแทนที่ด้วยดวงจันทร์สีเลือดทั้งเจ็ด

    ในขณะที่หลายคนตกตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏบนท้องฟ้า ในโรงพยาบาลและสถานที่อื่นๆ กลุ่มคนจำนวนมากที่หมดสติไปในตอนที่โดนฝนสีเลือดกลับลืมตาขึ้น และเริ่มออกจู่โจมคนที่อยู่ใกล้ตัว...

    กลุ่มคนดังกล่าวถูกเรียกขานว่าผู้กลายพันธุ์แรกเริ่ม ซึ่งที่เขาเครียดหนักเป็นเพราะกลุ่มผู้กลายพันธุ์แรกเริ่มไม่สมควรอยู่มาถึงตอนนี้ พวกมันเป็นตัวอันตรายที่สมควรถูกกำจัดทิ้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกมันสามารถแพร่เชื้อทำให้คนกลายพันธุ์ได้ด้วยการสร้างบาดแผลเล็กๆให้ ต่างกับผู้ติดเชื้อที่กลายพันธุ์ ที่คนที่ถูกโจมตีจะกลายพันธุ์ก็ต่อเมื่อตายไปแล้ว

    แน่นอนว่าวิธีการต่อกรที่ชาญฉลาดที่สุดสำหรับพวกกลายพันธุ์แรกเริ่มคือ สู้กับพวกมันในระยะไกล

    “คุณชายครับ เดี๋ยวผมจะออกไปล่อมัน ระหว่างนั้นคุณชายก็หาโอกาสโจมตีมันจากไกลๆนะครับ”

    กู่หนิวพูดบอกก่อนพุ่งตัวเข้าไปหาร่างผู้ล่าทันที โดยที่ชายหนุ่มไม่ทันเห็นว่าด้านหลังมีใครบางคนพยายามเอื้อมมือมารั้งแขนตนไว้...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×