ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คนสมควรตาย รีบกลับเข้าร่างเดี๋ยวนี้! BL

    ลำดับตอนที่ #7 : องก์สอง

    • อัปเดตล่าสุด 17 มิ.ย. 64



       เพราะเหตุใด เฮ่อหมิงต้านนึกถามหาเหตุผลอยู่นาน แต่คำว่าเพราะบุญคุณก็ดูจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง

       เป็นที่รู้กันดีว่าในบรรดาทั่วสิบห้าแคว้น แคว้นจิ้งนับเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์และมั่งคั่งที่สุด และเพราะเป็นแคว้นขนาดใหญ่จึงต้องมีการแบ่งเขตปกครองย่อยลงมาเพื่อง่ายต่อการจัดการดูแล ในหมู่ผู้ปกครองทั้งหมด อ๋องเฮ่อฉีจ้าง อดีตองค์ชายสามผู้มีสายเลือดนักรบในตัวที่ถูกส่งไปดูแลเขตทางใต้ถือเป็นผู้ที่โชคดีที่สุด ชายหนุ่มได้พานพบและครองรักหวานชื่นกับองค์หญิงหลายเอ้อเหมย ยอดสาวงามแห่งชนเผ่าลูก้า ผู้มีเกศาสีทองคำ และดวงตาที่งดงามดุจกักเก็บผืนฟ้าไว้ภายใน

       แต่การที่คนคนหนึ่งมีความสุขเกินไปย่อมทำให้สวรรค์นึกอิจฉา ดังนั้นทายาทเพียงคนเดียวของจวนเฮ่ออ๋องจึงราวกับถูกสาป เพราะหากไม่นับรูปลักษณ์ที่ถอดแบบมารดามา ไม่เพียงเด็กน้อยจะตาบอดและเป็นใบ้ตั้งแต่กำเนิด ยามถึงวัยก้าวเดินกลับพบว่าสองขาที่มีอยู่อ่อนแรงจนทำไม่ได้แม้แต่หยัดยืน ความพิกลพิการที่มีเมื่อถูกผนวกเข้ากับรูปโฉมอันเลิศล้ำ เฮ่อหมิงต้าน บุตรชายแห่งจวนอ๋องผู้ยิ่งใหญ่จึงถูกกล่าวขานว่าเป็นคนงามที่โชคร้ายที่สุดในแผ่นดิน

       อ๋องเฮ่อฉีจ้างได้ควานหาหมอจากทั่วใต้หล้ามาเพื่อรักษาบุตรชาย แต่ทุกผู้ที่พบเจอทำเพียงกล่าวว่านี่เป็นชะตากรรมที่ต้องน้อมรับ ไม่ว่าผู้ใดที่รับรู้เรื่องราวต่างพากันนึกสงสารและเห็นใจเด็กน้อย ทว่า เฮ่อหมิงต้านไม่เคยคิดว่าตนเองน่าสงสารแต่อย่างใด เพราะเขามีบิดามารดาที่รักใคร่และมองตัวเขาเป็นดังไข่มุกในอุ้งมืออยู่ ตั้งแต่เกิดมา นอกจากความพิการที่มี เขาก็ไม่เคยได้รับความลำบากใดๆ ในชีวิต เฮ่อหมิงต้านยังคงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อเขาอายุได้สิบหกปี

       ราวกับเกิดอาเพศครั้งใหญ่ขึ้นกับจวนเฮ่ออ๋อง ปีนั้นในเดือนสี่ ทั่วเขตทางใต้ได้มีการก่อจารจลครั้งใหญ่ อ๋องเฮ่อฉีจ้างได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้เข้าทำการปราบปราม แต่แล้วระหว่างปฏิบัติงานอยู่ พระองค์เกิดโชคร้ายตกจากหลังม้าและถูกม้าที่แตกตื่นเหยียบย่ำจนกระดูกแขนซ้ายป่น ทั้งกระดูกสันหลังได้ถูกกระแทกอย่างแรงตอนตกลงมาจนส่งผลให้ชายหนุ่มกลายเป็นอัมพาตทั้งตัว สืบเนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวพระชายาหลายเอ้อเหมยจึงได้ล้มป่วยลง และพออาการทุเลาลงพระนางกลับคล้ายจะเสียสติไปเสียแล้ว เพราะหากไม่จู่ๆ ก็ส่งเสียงกรีดร้องทำลายข้าวของ ก็จะเอาแต่นั่งร้องไห้อย่างเหม่อลอยอยู่บนตั่งเตียงโดยไม่พูดไม่จา

       เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้จวนเฮ่ออ๋องแทบตกต่ำถึงขีดสุด หลังหมอหลวงทำการตรวจอาการแล้วพบว่าไม่อาจรักษา ตำแหน่งผู้ปกครองเขตทางใต้จึงถูกเปลี่ยนมือ นับจากนั้นจวนเฮ่ออ๋องก็ปิดประตูไม่พบเจอผู้คนอีก จนเวลาผ่านพ้นไปสองปีจึงมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อบังเอิญมีหมอเทวดาท่านหนึ่งไปเยือนยังจวน และใช้เวลาเพียงสามวันทำการรักษาทั้งอ๋องเฮ่อฉีจ้างและพระชายาหลายเอ้อเหมยให้หายเป็นปกติ

       ผู้คนกล่าวว่าเหตุการณ์นั้นถือเป็นปาฏิหาริย์ ทว่า น่าแปลกที่ไม่มีใครพูดถึงบุตรชายเพียงคนเดียวของทั้งสองแม้แต่น้อย ราวกับพากันลืมเลือนไปจนหมดสิ้น...

     

       ทางด้าน เฮ่อหมิงต้าน บุตรชายจวนอ๋องผู้ถูกลืมเลือน แท้จริงแล้วเขาถูก หมอเทวดา พาตัวมารักษายังสถานที่ห่างไกล แต่นั่นก็เป็นเพียงข้ออ้างให้คนภายนอกรับรู้ เพราะหมอเทวดาที่อวดอ้างถึง แท้จริงแล้วคือปีศาจร้ายที่ตัวเขาได้เสนอกายเนื้อและวิญญาณเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในการทำการรักษาบิดามารดาที่ถูกคนชั่วทำร้าย

       ถูกแล้ว ไม่ว่าจะอาการบาดเจ็บของท่านพ่อของเขา หรือการล้มป่วยของท่านแม่ ล้วนเกิดขึ้นด้วยน้ำมือของคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น กระทั่งความพิการที่เขามีอยู่ก็เป็นฝีมือของคนผู้นั้นเช่นกัน ตอนรู้ความจริงเหล่านี้เฮ่อหมิงต้านพลันนึกอยากฆ่าคนขึ้นมาเป็นครั้งแรก แต่เพราะไม่มีกำลังพอเขาจึงทำได้เพียงคับแค้นกับโชคชะตา

       ทว่า หนึ่งปีหลังเกิดเรื่อง เขาก็ได้พานพบกับบุรุษที่จะมาเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขา

       ไห่เป่ยผิงคือนามของคนผู้นั้น ในวันหนึ่งอีกฝ่ายได้บุกรุกเข้ามาในห้องของเขาอย่างไร้เสียง ทั้งๆที่ตัวเขามีประสาทรับเสียงและกลิ่นไวมากแท้ๆ แต่เขาก็ยังคงไม่รับรู้ถึงการคงอยู่ของอีกคนจนกระทั่งอีกฝ่ายเอ่ยปาก

       “ได้ยินมาว่าจวนเฮ่ออ๋องซ่อนของล้ำค่าเอาไว้... คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นจริง”

       ภายใต้ความมืดมิดเสียงทุ้มเข้มที่แฝงมนต์เสน่ห์ชวนหลงใหลพลันดังขึ้นข้างกาย ยามนั้นเฮ่อหมิงต้านเพิ่งทานมื้อเที่ยงเสร็จจึงนั่งรับลมอยู่ข้างหน้าต่าง เมื่อได้ยินเสียงคนเขาพลันนึกตื่นตัวและคิดไปว่าผู้มาใหม่คือนักฆ่าที่ถูกส่งมาสังหารครอบครัวของเขา จึงอาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายถือดีมาจับคางเขา คว้าเอามือข้างนั้นมากัดอย่างเต็มแรง!

       “...หืม? ดุร้ายไม่เบาเลยนะเนี่ย”

       แทนที่เสียงร้องอย่างเจ็บปวด บุรุษผู้นั้นกลับกล่าวอย่างใจเย็น ซึ่งนั่นทำให้เฮ่อหมิงต้านออกแรงกัดเพิ่มขึ้นจนตัวฟันกระทบกับกระดูกดังกึก เขารู้ดีว่าสิ่งที่ทำอยู่มันไร้ความหมาย และอีกไม่ช้าก็คงถูกอีกฝ่ายหยิบยื่นความตายให้ แต่ถึงอย่างนั้นเขา เฮ่อหมิงต้าน ก็จะไม่ขอยอมจำนน ต่อให้ต้องตายเขาก็ขอฝากรอยแผลที่ไม่มีวันลบเอาไว้ให้!

       “นึกว่าลูกแมว แต่จริงๆ คือลูกเสืองั้นสินะ อืม... ถูกพิษไปหลายตัวเลยนี่ ที่ยังรอดแบบนี้นับว่าดวงดีไม่น้อย”อีกฝ่ายพึมพำอะไรบางอย่างขณะใช้มืออีกข้างลูบหัวเขาไปมา “แต่ก็คงดวงดีจริงๆ นั่นแหละ ถึงได้มาเจอข้า เอาเถอะ ถือเป็นวาสนา จะรักษาให้ก็แล้วกัน”

       พูดอะไรน่ะ? รักษา?

       ขณะที่ตั้งคำถามอยู่นั้นก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่ศีรษะเสมือนถูกของแหลมคมทิ่มแทง จากนั้นแทนที่ความมืดมิด เขาก็พลันเห็น...แสงสว่าง

       นี่มัน? มองเห็นแล้ว?!

       พรึ่บ!

       “อ้อ ไม่ได้สิ ตาแก่นั่นบอกว่าไม่ควรมองแสงจ้าทันที เจ้าก็ทนหน่อยแล้วกัน”เสียงชายผู้นั้นดังขึ้นกล่าวพร้อมสัมผัสของผ้าไหมเคลื่อนมาบดบังดวงตา แสงสว่างเจิดจ้าเมื่อครู่จึงหลงเหลือเพียงสีสันอันอ่อนโยนชนิดหนึ่งเลือนราง

       “ตาแล้ว ต่อไปก็เสียงสินะ”

       “อั่ก!

       เฮ่อหมิงต้านจำต้องคายปากที่กัดมืออีกฝ่ายออกเมื่อลำคอถูกบีบแน่นจนหายใจไม่ออก แต่ความรู้สึกนั้นก็อยู่ไม่นานนัก เมื่อแรงกดหายไปเขาก็รีบสูดลมหายใจเข้าพลางไอไล่ความเจ็บปวด

       “แค่กๆ แค่ก”

       “เอาล่ะ ไหนลองพูดซิ”

       ...พูด? เฮ่อหมิงต้านตะลึง หรือเมื่อครู่คือวิธีการรักษา?

       “พูดไม่เป็นก็ลองส่งเสียงออกมาหน่อยก็ได้ ไหนลองทำเสียงอาซิ อา...”น้ำเสียงกึ่งหยอกล้อที่เอ่ยฟังสามหาวนัก แต่เฮ่อหมิงต้านไม่มีเวลาใส่ใจ เพราะเขากำลังพยายามเปล่งเสียงตามคำแนะนำ

       “อะ อา?”เฮ่อหมิงต้านชะงักเมื่อมีเสียงบางอย่างลอดออกมาจากลำคอ เขาแตะช่วงคอของตนก่อนส่งเสียงซ้ำๆด้วยความตื่นเต้น “อะ อ่า! อา! อ้า!

       เสียงที่ถูกเปล่งออกมาฟังใสกังวานนัก เฮ่อหมิงต้านนึกยินดีจนหัวใจเต้นระรัว เขาไม่นึกเลยว่าชั่วชีวิตนี้จะมีโอกาสได้พูดจาเหมือนคนอื่น อีกทั้งเมื่อครู่เขาก็สามารถมองเห็นแล้ว ยามนี้ความพิการที่เขามีอยู่กำลังถูกรักษาไปทีละอย่าง

       “อืม ฝึกไปเรื่อยๆแล้วกัน คราวหน้าจะแวะมาคุยด้วย อ้อ ผ้าน่ะผูกไว้ก่อนก็ดี ค่อยๆ ทำตัวให้ชินกับแสงซะ ส่วนขา ถ้าว่างจะมารักษาให้แล้วกัน ไปล่ะ”

       สิ้นคำกล่าวลาเงาร่างอีกคนก็หายลับไป ฝ่ายเฮ่อหมิงต้านซึ่งใช้เวลาครู่ใหญ่จนสะกดความยินดีลงได้ก็พลันรับรู้ถึงของเหลวรสหวานออกเฝื่อนที่อยู่ในปาก เพียงแต่ในยามนั้นเขายังไม่รับรู้ว่ามันคือรสชาติของสิ่งใด

       จากนั้นเวลาได้ผ่านไปเดือนเศษ ยามนี้เขาสามารถมองเห็นแล้ว เพียงแต่นอกเหนือจากการฝึกมองแสงโคมยามค่ำคืน เขายังจำต้องใช้ผ้าไหมผูกตาไว้อีกชั้น ส่วนการพูด เขาฝึกฝนจนพูดได้ฉะฉาน แต่ช่วงแรกยังมีหลายครั้งที่เผลอลืมวิธีเปล่งเสียง แน่นอนว่าการฝึกฝนทั้งหมดถูกเก็บเป็นความลับ

       เฮ่อหมิงต้านกำลังเฝ้ารอการมาเยือนของบุรุษผู้นั้น ชายที่ถือวิสาสะบุกเข้ามาในจวนของเขาและเป็นผู้ทำการรักษาเขา คนผู้นั้นคือหมอเทวดาที่ผู้คนร่ำลือเช่นนั้นหรือ?

       เขาเคยได้ยินเรื่องเล่าถึงผู้วิเศษที่สามารถรักษาได้ทุกโรคและทำได้กระทั่งชุบชีวิตคนตาย ผู้คนต่างเรียกขานบุคคลที่มีความสามารถดังกล่าวว่าหมอเทวดา ก่อนหน้าที่จะได้พบกับชายลึกลับ เขาไม่เคยเชื่อว่าบนแผ่นดินนี้มีตัวตนเช่นนั้นอยู่จริง แต่หลังจากพานพบเขาก็เริ่มเปลี่ยนแปลงความเชื่อ และคาดหวัง

       หากอีกฝ่ายคือหมอเทวดาจริง ก็คงจะรักษาท่านพ่อกับท่านแม่ได้ใช่หรือไม่?

       สำหรับคำตอบของคำถามนั้น เขาได้รับมันในอีกสองเดือนให้หลัง

       ชายผู้นั้นโผล่มาเยือนอีกครั้ง ซึ่งเวลานี้เฮ่อหมิงต้านมองเห็นเป็นปกติแล้ว แม้สายตาของเขาจะยังไม่ค่อยสู้แสง แต่ก็สามารถมองดูโลกใบนี้ได้ด้วยดวงตาของตนเอง และยามนี้เขาก็มองเห็นผู้ที่ทำการรักษาเขาได้อย่างชัดเจน อีกฝ่ายเป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ โดยสวมใส่ชุดคลุมสีดำตัดผิวกายขาว ใบหน้าดูโดดเด่นชวนมอง แต่หาได้ดูอ่อนโยนอย่างคนมีเมตตา เฮ่อหมิงต้านยังคงแยกแยะไม่ได้ว่าสิ่งใดงดงาม ทว่าหลายเดือนที่ผ่านมาเขาได้ศึกษาเรื่องของสีสัน และความรู้สึกของเขาบอกว่าชายผู้นี้ไม่เหมาะสมกับอาภรณ์ที่สะอาดบริสุทธิ์อย่างสีขาว กลับกัน สีดำที่ห่อหุ้มกายอยู่กลับเข้ากับชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี

       “หืม รอข้าอยู่งั้นหรือ?”อีกฝ่ายพลางเดินเข้ามาด้วยทวงท่าสบายๆ คล้ายอยู่บ้านของตนเอง พอเดินมาถึงคนก็แตะขาทั้งสองของเขาอยู่ครู่ก่อนปล่อยออกแล้วเดาะลิ้นหนึ่งที

       “มีอะไรหรือ?”เฮ่อหมิงต้านใช้เสียงของตนสนทนากับคนอื่นเป็นครั้งแรก แม้เนื้อเสียงยามพูดจะสั่นพลิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยังไพเราะจับจิต ฝ่ายชายชุดดำเมื่อได้ยินคำถามก็เดาะลิ้นอีกรอบแล้วตอบ

       “ขาเจ้า ข้ารักษาไม่ได้”

       เมื่อได้ยินดังนั้นเฮ่อหมิงต้านพลันนิ่งอึ้งไป แต่เขาก็สามารถปรับความรู้สึกได้อย่างรวดเร็ว เพราะอันที่จริง สำหรับเขาแล้วการเดินไม่ได้ไม่ถือว่าสำคัญอะไร อาจรู้สึกเสียดายอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงกับผิดหวังจนยากจะทานทน ที่สำคัญกว่านั้น...

       “ขาของข้ารักษาไม่ได้ก็ช่างเถิด แต่...เจ้ารักษาท่านพ่อกับท่านแม่ได้หรือไม่?”

       เฮ่อหมิงต้านถามด้วยความคาดหวังที่ล้นปรี่ แทนที่อาการพิการของเขา เขาหวังอย่างยิ่งว่าอีกฝ่ายจะสามารถรักษาบิดามารดาของเขาได้

       “พ่อแม่ของเจ้า? ให้ข้าดูก่อน”พูดแค่นั้นอีกฝ่ายก็หาบวับไปทันที ก่อนจะกลับมาหลังผ่านไปหนึ่งก้านธูปพร้อมกับคำตอบอันน่ายินดี

       “ได้ พ่อแม่ของเจ้า ข้ารักษาได้”

       “จริงหรือ?!”เฮ่อหมิงต้านร้องถามเสียงตื่นเต้น นัยน์ตาสีฟ้างดงามที่กะพริบไหวพร่างพราวด้วยความปีติ จนกระทั่งสบตากับนัยน์ตาสีดำที่มืดมิดของคู่สนทนา เขารู้สึกตัวว่าเผลอเสียอาการไปจึงเม้มปากเบาๆ จากนั้นก็เอ่ยขอร้อง

       “ถ้าเช่นนั้นเจ้า...ช่วยรักษาท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าด้วยเถิด”

       ภาพศีรษะของผู้สูงศักดิ์ที่โน้มต่ำลงให้กับบุคคลปริศนาที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอาจดูแปลกประหลาด แต่เฮ่อหมิงต้านถูกกลับไม่คิดมาก ถึงเขาจะเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ถูกเลี้ยงมาดั่งไข่ในหิน แต่ความรู้พื้นฐานที่คนทั่วไปรู้เขาเองก็ได้ร่ำเรียนมา ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าเมื่อต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น สิ่งที่ต้องทำคือก้มศีรษะและเอ่ยปากขอร้องอย่างจริงใจ หาใช่พูดสั่ง ข่มขู่ หรือกดขี่บังคับด้วยอำนาจที่ตนมี

       แม้นี่จะเป็นการขอร้องใครสักคนครั้งแรกในชีวิต แต่เฮ่อหมิงต้านเชื่อว่าตนเองทำได้ดีพอ ทว่าคำตอบรับกลับตรงข้ามกับความคาดหวัง

       “โทษที แต่ไม่ล่ะ”

       “ว่าไงนะ?”เฮ่อหมิงต้านตะลึง เขารีบเงยหน้ามองผู้เอ่ยอย่างไม่เชื่อหู

       “ข้าช่วยเจ้าเพราะเห็นว่าเรามีวาสนาต่อ แต่รักษาพ่อแม่ของเจ้า นั่นมันอยู่นอกเหนือขอบเขตไปแล้ว”ชายผู้นั้นยิ้มอย่างไม่ยี่หระ และนั่นทำให้เฮ่อหมิงต้านร้อนใจจนหลุดปากอ้อนวอน

       “ขะ ข้าต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะยอมรักษาให้กับท่านพ่อและท่านแม่ของข้า? ขอเพียงเป็นสิ่งที่ข้าทำได้ข้ายอมทำทุกอย่าง!

       หลังเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกไป ชายชุดดำก็นิ่งเงียบไปนานกว่าจะกล่าวตอบ

       “เช่นนั้นเจ้า...มาเป็นภรรยาของข้าก็แล้วกัน”

       “ภรรยา? นั่นเป็นคำเรียกของสตรีไม่ใช่หรือ?”เฮ่อหมิงต้านขมวดคิ้วถามอย่างนึกสงสัย ซึ่งชายชุดดำปฏิเสธ

       “ผิดแล้ว ภรรยาคือบุคคลที่จะได้รับความใส่ใจและการปกป้องจากผู้เป็นสามี สิ่งใดที่ภรรยาต้องการ สามีมีหน้าที่จัดหามาให้ สิ่งใดที่ทำให้ภรรยาทุกข์ทน สามีมีหน้าที่ขจัดมันทิ้ง ดังนั้นหากเจ้าเป็นภรรยาของข้า เรื่องพ่อแม่ของเจ้าข้าจะจัดการรักษาให้เอง”

       คำกล่าวกล่อมฟังดูเป็นเหตุเป็นผล เฮ่อหมิงต้านที่ยังอ่อนเยาว์และไร้เดียงสาอยู่มากจึงหลงเชื่ออย่างง่ายดาย เขาฟังแล้วก็เอ่ยถามอย่างลังเล

       “ข้าแค่ต้องเป็นภรรยาของเจ้างั้นหรือ?”

       “ถูกต้อง”

       “แล้ว...ภรรยามีหน้าที่อะไรบ้าง?”

       คล้ายคำถามนี้จะไม่กระตุกต่อมขบขันของผู้ฟัง อีกฝ่ายจึงยกยิ้มขันก่อนจะเอ่ยตอบ

       “หน้าที่ของภรรยาย่อมเป็นการอยู่เคียงข้างสามี เพื่อให้สามีได้ทำหน้าที่ของสามี”

       “ความหมายของเจ้าคือ หากข้าเป็นภรรยาของเจ้า ข้าจะต้องติดตามเจ้าไป และไม่อาจอยู่ที่จวนนี้ต่องั้นหรือ?”

       “ถูกต้อง”

       “แต่หากข้าไม่ตอบตกลง เจ้าก็จะไม่รักษาท่านพ่อกับท่านแม่ของข้า...”

       เฮ่อหมิงต้านเอ่ยต่อพลางจับจ้องไปยังใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของอีกฝ่าย เมื่อเห็นท่าทีที่ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธของอีกคน เฮ่อหมิงต้านก็หลุบตาลงต่ำพลางทบทวนข้อแลกเปลี่ยนที่ไม่ยากเกินตัดสินใจ

       แม้ต่อจากนี้ไปเขาอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ถ้ามันแลกมาด้วยการที่ท่านพ่อกับท่านแม่กลับมาหายดีแล้ว...เขาก็ยินดี

       หลังตัดสินใจได้เฮ่อหมิงต้านก็เอื้อนเอ่ยคำตอบของตน ซึ่งเมื่อได้รับคำตอบ ชายชุดดำก็กล่าวแนะนำตัวเองเป็นครั้งแรก

       “ข้าชื่อไห่เป่ยผิง จากนี้ไปจะเป็นสามีของเจ้า”

       เฮ่อหมิงต้านได้ยินอีกคนแนะนำตัวก็นึกได้ว่าตัวเองควรแนะนำตัวบ้าง แต่เพราะไม่เคยทำมาก่อน เขาจึงเลียนแบบรูปประโยคจากอีกฝั่ง

       “ข้า...มีนามว่าเฮ่อหมิงต้าน จากนี้ไปจะเป็นภรรยาของเจ้า...”เฮ่อหมิงต้านกล่าวถึงตรงนี้ก็นิ่งไปเล็กน้อย แล้วพูดเสริม “ถ้าเจ้ารักษาท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าได้น่ะนะ”

       ฟังคำกล่าวนี้แล้ว ไห่เป่ยผิงพลันยกยิ้ม แล้วเอ่ย

       “ไม่ต้องห่วง พ่อแม่ของเจ้า ข้าจะรักษาเอง”

       หลังรับคำเป็นมั่นเหมาะอีกฝ่ายก็ลงมือ และเพียงสามวัน อาการเป็นอัมพาตของเฮ่อฉีจ้างก็ดีขึ้นจนสามารถลุกขึ้นนั่งด้วยตัวเองได้ ส่วนหลายเอ้อเหมยก็กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าอาการของทั้งคู่ดีขึ้น เฮ่อหมิงต้านที่เดิมไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ไห่เป่ยผิงรักษาดวงตาให้พลันรู้สึกยินดีที่มีโอกาสเห็นท่านพ่อกับท่านแม่กลับมาแข็งแรงด้วยตาของตัวเอง

       “ท่านพ่อ ท่านแม่”เฮ่อหมิงต้านเอ่นเรียกบุพการีทั้งสองด้วยเสียงสั่นเครือ ทางด้านผู้ถูกเรียกขานต่างนิ่งตะลึงไป

       “เจ้า... หมิงเอ๋อร์? เมื่อกี้เป็นเจ้าพูดงั้นหรือ?!”เฮ่อฉีจ้างที่หลุดจากอาการตะลึงสอบถามอย่างไม่อยากเชื่อ เฮ่อหมิงต้านเห็นดังนั้นก็เอ่ยรับคำ

       “เป็นข้าเองท่านพ่อ”

       “เดี๋ยวก่อน นี่หมิงเอ๋อร์มองเห็นพวกเรางั้นหรือ?!”ครานี้เป็นเสียงอ่อนหวานของพระชายาหลายเอ้อเหมย

       “ถูกต้องท่านแม่ ข้ามองเห็นแล้ว”เฮ่อหมิงต้านกล่าวพลางสบประสานกับนัยน์ตาสีฟ้าใสของผู้เป็นมารดา

       “ดี! ดีเหลือเกิน! ในที่สุดสวรรค์ก็เห็นใจข้า! มานี่สิหมิงเอ๋อร์ มาให้แม่กอดเจ้าหน่อย”สีหน้าและแววตาของพระชายาเต็มไปด้วยความสุข เฮ่อหมิงต้านหันมองไห่เป่ยผิงเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยผลักเก้าอี้รถเข็น และด้วยการกระทำนั้นเองทำให้อีกสองคนพลันให้ความสนใจกับบุรุษแปลกหน้า

       “เจ้าคือ?”เฮ่อฉีจ้างสอบถามสั้นๆ ขณะที่นัยน์ตาคมกริบจับจ้องไปยังไห่เป่ยผิง

       “ข้าไห่เป่ยผิง เป็นผู้รักษาท่านกับนาง”โดยไร้ความเกรงกลัวต่อสายตาทรงอำนาจของผู้เป็นอ๋อง ไห่เป่ยผิงได้เอ่ยแนะนำตัวพร้อมชี้ชัดถึงข้อมูลสำคัญ

       “เช่นนั้นต้องขอบใจเจ้ามาก ข้าจะให้รางวัลเป็นการตอบแทน เจ้าต้องการสิ่งใดว่ามาได้เลย”

       “ไม่จำเป็น หมิงต้านได้ตกลงเรื่องนั้นกับข้าแล้ว”

       “หมิงต้าน?”พระชายาหลายเอ้อเหมยอุทานเบาๆ แล้วเลื่อนสายตามาที่บุตรชาย ซึ่งเฮ่อหมิงต้านก็สบตามารดาและบิดาของตนก่อนเอ่ย

       “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าได้ตกลงกับไห่เป่ยผิงว่าจะติดตามเขาไป โดยแลกเปลี่ยนกับการรักษาพวกท่าน อีกทั้งก่อนนี้ตัวข้าก็ได้รับการรักษาจากเขาเช่นกัน”

       “ติดตามไป? เจ้าจะไปจากที่นี่? ไม่นะ หมิงเอ๋อร์...”พระชายาตั้งใจจะเอ่ยค้าน แต่ถูกผู้เป็นสามีขัด เฮ่อฉีจ้างที่ยกมือเป็นสัญญาณให้ภรรยาเงียบสบตากับไห่เป่ยผิงก่อนกล่าว

       “ข้าขอพูดคุยกับเจ้าเป็นการส่วนตัวเสียหน่อย”

       “ไม่มีปัญหา”

       จากนั้นทั้งสองคนก็ลุกหายออกไปจากห้องเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม ระหว่างนั้นพระชายาหลายเอ้อเหมยก็ซักไซ้เฮ่อหมิงต้านถึงเรื่องราวทั้งหมด พอได้ยินเรื่องที่เฮ่อหมิงต้านตอบตกลงเป็นภรรยา พระนางก็มีสีหน้าตกใจและพูดคัดค้าน จากนั้นเฮ่อหมิงต้านจึงได้รู้ว่าตนเองถูกหลอก ภรรยาเป็นคำเรียกขานของสตรีจริงๆ แต่เขาก็ตอบตกลงไปแล้วจะทำอย่างไรได้

       “ไม่ต้องเป็นห่วงนะหมิงเอ๋อร์ พวกเราจะปกป้องเจ้าเอง”พระชายาพูดปลอบซ้ำๆ ด้วยท่าทีอ่อนโยนและรักใคร่ เฮ่อหมิงต้านทำเพียงพยักหน้าน้อยๆ รอจนอีกสองคนกลับมาเขากลับได้ยินเรื่องแปลกประหลาด

       “หมิงเอ๋อร์ ต่อไปเจ้าต้องติดตามผิงเอ๋อร์ไปก็ทำตัวดีๆเล่า”

       เฮ่อหมิงต้านไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ท่าทีที่ท่านพ่อมีต่อไห่เป่ยผิงดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไหนจะยังคำเรียก ผิงเอ๋อร์ อีก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ครึ่งเดือนถัดมา หลังท่านพ่อและท่านแม่ของเขาหายดีจนเป็นปกติแล้ว เขาก็จำต้องออกเดินทางโดยมีเพียงท่านพ่อและท่านแม่ยืนมองส่ง

       ขณะขึ้นมานั่งบนเกี้ยวลอยฟ้า เขาก็ทอดสายตาลงมองจวนที่ตนอาศัยมาเนิ่นนานอย่างอาลัย

       “หากสามีตาย ภรรยาก็สามารถกลับบ้านได้”

       “หือ?”

       จู่ๆ ไห่เป่ยผิงก็โพล่งถ้อยคำหนึ่งออกมา แต่เมื่อคิดซักถามว่าอีกฝ่ายหมายความว่ายังไงก็เห็นอีกคนพริ้มตาลงคล้ายจะหลับใหลไปแล้ว เฮ่อหมิงต้านจึงได้แต่ทบทวนคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่ในใจ

       กลับบ้าน?

       สามี...ตาย?


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×