คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทหก หอเพลิงระบำ
บนทางเดินที่มีเพียงแสงสลัวจากโคมไฟ
ร่างโปร่งของเด็กหนุ่มในชุดสีฟ้าก้าวเดินตามหลังสตรีในชุดอาภรณ์โปร่งสีแดงสดเบื้องหน้าไปด้วยฝีเท้าไม่เร็วไม่ช้า
ใบหน้าเชิดคอตรงหลังตรง ทวงท่าการเดินที่งามสง่าดึงสายตาหญิงสาวในชุดสีสดหลายคู่ให้หันมองตามอย่างเผลอไผล
แววตาเป็นประกายวาววับทั้งหลายจับจ้องไปยังเจ้าของกลุ่มผมสีดำเงางามที่ถูกรวบมัดเป็นทรงหางม้าสูง
ก่อนจะพากันทอดถอนใจอย่างเสียดายเมื่อพบว่าส่วนเครื่องหน้าครึ่งบนของบุรุษผู้นั้นถูกทาบปิดด้วยหน้ากากสีขาวเงินเผยให้เห็นเพียงริมฝีปากบางที่แต้มรอยยิ้มน้อยๆไว้
ฝีเท้าของทั้งสองได้หยุดลงเบื้องหน้าประตูโค้งที่เส้นทางถูกบดบังด้วยม่านสีแดงมีระเย้า
หญิงสาวในชุดแดงหันมาแย้มยิ้มอย่างยั่วยวนขณะผายมือไปยังม่านสีเพลิงนั้น
"เชิญคุณชายเจ้าค่ะ"
เสียงใสดังกระดิ่งกล่าวอย่างอ่อนหวานและนอบน้อม
ผู้ถูกเรียกว่าคุณชายนิ่งไปอึดใจ ก่อนมือเรียวขาวจะวาดปัดผืนผ้าแพรสีแดงให้พ้นทาง
สองขาก้าวเข้าไปด้านใน โดยมีเสียงกระซิบแผ่วหวานแว่วตามหลัง
"งานประมูลจะเริ่มในอีกไม่ช้า...
ขอให้ค่ำคืนนี้คุณชายได้รับสินค้าที่ถูกใจติดมือกลับไปนะเจ้าคะ"
ก่อนหน้านี้เพียงครึ่งชั่วยาม...
หลังตระเวนเที่ยวตลาดต่อได้พักใหญ่จิ้นเฟยก็แหงนหน้าสังเกตท้องฟ้าซึ่งพบว่านี่ก็เริ่มย่ำค่ำแล้ว
นึกถึงสัญญาที่ให้ไว้กับนางกำนัลทั้งสองจิ้นเฟยก็แวะซื้อขนมสองสามอย่างเตรียมเอากลับไปฝากเป้ยฉีกับถังจู
ชั่วขณะที่คิดจะกลับวังก็บังเอิญพบเห็นชายสวมหน้ากากสีทองจากเหลาอาหารเมื่อครู่กำลังเดินไปยังฝั่งตะวันออกของถนนหลักอันเป็นแหล่งโลกีย์
จิ้นเฟยหรี่ตาลงพลางนึกถึงบทสนทนาที่ได้ยินก่อนหน้านี้
งานประมูลงั้นเหรอ? น่าสนใจแฮะ
สองเท้าสอดรับความคิด
ทว่าไม่ทันได้สาวเท้าก้าวตามไปร่างกายพลันชะงักนิ่งพร้อมกันนั้นเฟยจิ่งก็พูดดักขึ้นมาอย่างรู้ทัน
"เจ้าสัญญาไว้ว่าจะกลับก่อนมืด"
คำกล่าวทักเรียกให้จิ้นเฟยหัวเราะแหะๆ ก่อนจะพยายามอ้อน
"น่า ลุงเฟย
แค่นิดๆหน่อยๆเองน่า ฉันก็แค่อยากเปิดหูเปิดตา นานๆทีถึงจะได้ออกมาสักครั้ง น่า
ขอไปดูหน่อยนะ แค่แวบเดียวเอง กลับไปลุงจะให้ฉันฝึกหนักแค่ไหนฉันจะไม่บ่นเลย
เพราะงั้นขอแค่ครั้งนี้นะ พลีส"
น้ำคำอ้อนที่ทางเฟยจิ่งได้แต่นึกระอา
นึกสงสัยว่ากรรมใดที่พัดพาเขาให้มาเจอกับเจ้าเด็กน่าปวดหัวนี่กัน?
"ฮึ"เสียงแค่นขึ้นจมูกที่ดังขึ้นสั้นๆ
ควบคู่กับร่างกายที่กลับมาขยับตามใจต้องการทำให้จิ้นเฟยเผยยิ้มร่า
มองสอดส่ายตาหาเป้าหมายอีกครั้งก่อนเร่งฝีเท้าตามไป
ระหว่างทางก็แวะซื้อหมั่นโถมากินเล่นสองสามลูก
มองตามรายทางที่มีชายหนุ่มและชายวัยฉกรรจ์แวะเวียนเวียนเข้าไปในห้องหอต่างๆ
ก่อนสองขาจะหยุดชะงักเมื่อเห็นร่างสูงที่ตนลอบติดตามอยู่แวะเลี้ยวเข้าไปในหอแห่งหนึ่ง
หลังร่างนั้นหายลับเข้าไปในหอจิ้นเฟยก็เดินมาหยุดยืนเบื้องหน้าตึกสูงแล้วไล่สายตาอ่านชื่อหอบนป้ายที่ติดไว้
"หอเพลิงระบำ?"
ชื่อที่สื่อถึงความร้อนแรงที่ชวนให้ตื่นเต้น
หน้าทางเข้าหอมีโคมไฟสีแดงสดประดับอยู่สี่อัน เมื่อพิจารณาลวดลายของมันก็พบว่าเป็นดอกมู่ตัน
จิ้นเฟยมองผู้คนที่หลั่งไหลเข้าไปในหอนั้นแล้วพยักหน้ากับตัวเอง
"นี่สินะโลกของผู้ใหญ่... ว่าแต่เขามีกฎห้ามเด็กเข้าไปรึเปล่าเนี่ย?"จิ้นเฟยเปรยถามเบาๆ
"เด็ก? เจ้าพูดถึงอะไร?"คำถามย้อนกลับของเฟยจิ่งเรียกให้จิ้นเฟยกะพริบตาเล็กน้อยก่อนจะทุบฝ่ามืออย่างนึกขึ้นได้
"อ้อ จริงสิ ฉันลืมไป
สำหรับที่นี่อายุแค่สิบสี่ก็ถือว่าโตกันแล้วสินะ? ดีจังน้า
ต่างกับยุคของฉันเลยที่ถ้ายังไม่ถึงสิบแปดห้ามยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทั้งปวง
แล้วถ้ายังไม่ครบยี่สิบนี่ยังต้องอยู่ในความดูแลของผู้ปกครองอยู่เลย"คำพูดบ่นพึมพำที่เฟยจิ่งฟังแล้วนึกรำคาญจึงกล่าวตัดบทอย่างไม่สนใจ
"ตกลงว่าเจ้าจะเข้าไปได้รึยัง?"
"อ่าๆ เข้าใจแล้วน่า
ไม่เห็นต้องใจร้อนเลย"จิ้นเฟยรับคำจบก็เดินตรงเข้าไปในหอ
มองไปแล้วข้างในนี้ก็ดูคล้ายๆกับเหลาอาหารทั่วไป
มีเพียงแค่เวทีการแสดงที่ตั้งอยู่ใจกลางที่แตกต่างออกไป อ้อ
รวมถึงเหล่าหญิงสาวในเสื้อผ้าสีฉูดฉาดที่คอยให้บริการกลุ่มลูกค้าอย่างที่เหลาอาหารทั่วไปไม่มีนั่นด้วย
จิ้นเฟยมองหาร่างสูงก่อนหน้า
ก่อนจะทันเห็นอีกฝ่ายขึ้นบันไดไปชั้นบนจึงทำเนียนเดินตามไปห่างๆ
ก่อนหาที่นั่งแล้วลอบมองร่างนั้นยืนคุยกับหญิงสาวชุดแดง
ถึงแม้ทีท่าที่แสดงออกของทั้งคู่จะคล้ายพูดจากันตามปกติแต่ด้วยประสาทหูที่ดีเกินคนทั่วไปก็ทำให้ได้ยินในสิ่งที่แตกต่าง
"ราตรีมิคล้อยตามจันทร์"เสียงใสกระจ่างเอ่ยอย่างแผ่วเบา
ตามด้วยเสียงทุ้มต่ำของชายสวมหน้ากากที่กล่าวไม่ดังเกินกระซิบ
"สุริยันรอวันฉายแสง"
ถ้อยคำที่เป็นดังรหัสกล่าวอย่างเรียบง่ายด้วยท่าทีเป็นธรรมชาติ
ก่อนสองร่างที่สนทนาจะพากันเดินหายไปเบื้องหลังม่านสีทึบ
จิ้นเฟยที่ลอบมองลอบฟังอยู่ยกน้ำชาขึ้นจิบเงียบๆ
"ท่าทางพวกนั้นกำลังประมูลอะไรสักอย่างอยู่ที่ชั้นบนสินะลุงเฟย?"คำถามลอยๆที่เฟยจิ่งตอบรับอย่างอ่อนใจเมื่อมีสังหรณ์ว่าเจ้าเด็กตัวปัญหาต้องคิดสร้างเรื่องขึ้นอีกแน่
"ใช่"
"หืม? นั่นมันน่าสนใจไม่ใช่เหรอ?"น้ำเสียงที่ออกทีท่ารื่นเริงเกินเหตุทำให้เฟยจิ่งเอ่ยปราม
"อย่าก่อเรื่อง"
"ฉันไม่ได้ก่อเรื่องสักหน่อย"จิ้นเฟยปฏิเสธข้อกล่าวหาด้วยน้ำเสียงดุจโดนใส่ร้าย
ก่อนคนพูดจะเผยยิ้มเผล่ "ฉันก็แค่หาเรื่องสนุกทำ หรือว่าลุงไม่สนใจ?"
ความเงียบที่ตอบกลับมาทำให้คนถามยิ้มกว้าง ดวงตาสีนิลวาววับ
ขณะที่มือเรียวล้วงหยิบหน้ากากสีขาวเงินจากในอกเสื้อขึ้นสวม
"งั้นไปกันเถอะ"
และด้วยเหตุที่ว่าจึงนำพาให้วิญญาณทั้งสองมาอยู่ในงานประมูลลึกลับซึ่งจัดขึ้นที่ชั้นบนสุดของหอระบำเพลิง
จิ้นเฟยมองไปรอบๆกายเห็นผู้คนมากมายบ้างนั่งบ้างยืนชมเวทีประมูลซึ่งอยู่ใจกลางโถงกว้าง
จากที่มองดูคร่าวๆพบว่าทุกผู้ในที่นี้ล้วนแต่เป็นบุรุษ
ซึ่งเมื่อพิจารณาจากการแต่งกายเสื้อผ้าที่คนเหล่านั้นใส่ล้วนเป็นผ้าไหมชั้นดีที่ผ่านการตัดเย็บอย่างประณีต
อีกทั้งข้างกายคนเหล่านั้้นยังมีผู้ติดตามที่ดูพอจะมีฝีมือประกบอยู่ไม่ห่าง
เพียงวิเคราะห์จากสองจุดนี้จิ้นเฟยก็พอจะคาดเดาได้ว่ากลุ่มคนในลานประมูลแห่งนี้ต้องมีฐานะที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่
แต่เพราะทุกคนต่างสวมหน้ากากปกปิดตัวตนไว้จึงยากจะรู้ว่าเป็นใคร
ย้อนมามองเวทีประมูลที่ไม่ต่างจากเวทีการแสดงเบื้องล่างเท่าไหร่มีเพียงการตกแต่งที่ดูเลอค่าอลังการกว่า
และมีร่างของสตรีในชุดสีกลีบบัวเนื้อผ้าบางเบานางหนึ่งยืนอยู่บนเวที
ซึ่งหญิงสาวคนนั้นทำหน้าที่คอยประกาศรายการสินค้าและขานราคาประมูล
เสียงหวานใสพูดกล่าวแนะนำสินค้าที่โดยส่วนใหญ่เป็นอัญมณีหายาก
บ้างก็เป็นอาภรณ์ที่งดงามเลิศหรู
จิ้นเฟยดูๆไปสักพักก็เริ่มเบื่อจึงลอบปลีกตัวมาเดินเล่น
แต่ด้วยเส้นทางที่เป็นดังเขาวงกตเมื่อปราศจากคนนำทางก็ส่งผลให้คนที่เดินไปมาอย่างมั่วๆหลงทางทันใด
ยิ่งเมื่อเฟยจิ่งไม่ยอมบอกทางกลับให้จึงทำให้คนมากเรื่องจำต้องคลำทางหาทางกลับเอาเอง
"เอ ทางนี้รึเปล่าน้า?"จิ้นเฟยลองเดาสุ่มเส้นทาง
ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็รู้สึกเหมือนตัวเองเดินย้อนกลับมาที่เดิมตลอด?
ไปๆมาๆก็เดินไปเจอประตูโค้งและม่านสีเพลิง
จิ้นเฟยรีบเข้าไปด้วยคิดว่ามาถูกทาง
แต่เมื่อเข้าไปกับกลายเป็นห้องว่างที่มีลักษณะคล้ายห้องนอน
แลมองไปยังมุ้งสีชมพูที่กางไว้บ่งบอกว่ามีคนอยู่ก็ทำให้ร่างโปร่งลดเสียงฝีเท้าตน
ก่อนความอยากรู้อยากเห็นจะพาให้เจ้าตัวเดินย่องไปแง้มมองคนที่อยู่ในม่าน
ซึ่งทันทีที่เห็นผู้ที่อยู่ภายในจิ้นเฟยก็ต้องนิ่งค้างอย่างตกตะลึง
นี่มัน...!
นี่มัน...นางฟ้าชัดๆ!
ร่างเล็กที่อยู่นอนสงบนิ่งอยู่บนเตียงช่างดูราวกับเทพธิดาตัวน้อยๆ
อาภรณ์ที่สวมใส่เป็นสีขาวบริสุทธิ์ขับเน้นให้ร่างของเด็กสาวดูบอบบางมากขึ้น
ผิวกายขาวเนียนตัดกับเส้นผมสีดำขลับที่ยาวสยายพาให้ดวงใจผู้พบเห็นเต้นระรัวด้วยความหวั่นไหว
มองดูริมฝีปากน้อยๆ ที่หากแย้มยิ้มสักครา ทั่วใต้หล้าคงจำต้องยอมสยบด้วยความเต็มใจ
ขณะที่จิ้นเฟยนิ่งอึ้งตะลึง
เฟยจิ่งเพียงชำเลืองมองผ่านๆ แลเห็นเพียงสตรีน้อยที่อายุยังไม่ถึงวัยปักปิ่นนางหนึ่งก็ละความสนใจไป
แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อจิ้นเฟยยังคงนิ่งงันจนคล้ายคนไร้วิญญาณ
ครั้นคิดจะสะกิดเรียกอีกฝ่ายก็พลันกรีดร้องขึ้นในใจ
“น่าร้ากกกกก!!!”
เป็นคราวที่เฟยจิ่งต้องนิ่งอึ้งบ้าง
เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเด็กโง่นี่ ไม่ทันได้สอบถามเสียงกรีดร้องในใจก็ดังขึ้นอีกระลอก
“น่ารักสุดๆ! งื้อ
เค้าอยากเอากลับบ้านอ่า! จะเอากลับๆๆ”
เป็นเรื่องน่าทึ่งที่สามารถรักษาอาการท่าทางสงบนิ่งไว้ได้ทั้งที่ในใจร่ำร้องพร่ำเพ้อดังคนเสียสติ
เฟยจิ่งเพิ่งเคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของจิ้นเฟยเป็นครั้งแรกจึงไม่อาจหาหนทางรับมือได้
ได้แต่พยายามกล่าวตัดบท
“พูดไร้สาระ
เจ้านึกว่านางเป็นสิ่งของรึจึงคิดหยิบฉวยโดยง่าย”
“ก็เด็กคนนี้น่ารักนี่นาลุง!”จิ้นเฟยว่าอย่างดื้อดึงพาให้เฟยจิ่งที่ฟังคำนึกได้ปวดหัว
ไม่เข้าใจนักว่าอีกฝ่ายเกิดเสียสติขึ้นมาหรืออย่างไร
“เจ้าอย่าได้กล่าวล้อเล่น
คิดจะหาภาระใส่ตัวงั้นรึ?”เฟยจิ่งพยายามพูดเตือนสติ
แต่จิ้นเฟยที่อยู่ในหมดคลั่งก็หาได้ฟังเหตุผล
“ลุงไม่เข้าใจหรอก
ความน่ารักคือความยุติธรรม สาวน้อยน่ารักคือความยุติธรรม!”แม้เฟยจิ่งจะไม่เข้าใจความหมายจริงๆตามที่อีกฝ่ายพูด
แต่น้ำเสียงคล้ายคนคลั่งเสียสติของอีกฝ่ายก็ทำให้เขามุมปากกระตุก
ขณะคิดหาวิธีลากเจ้าเด็กเสียสตินี่กลับเขาก็จับความรู้สึกได้ว่าผู้ที่นอนอยู่กำลังจะตื่น
ไม่ทันให้จิ้นเฟยได้คิดอ่านเฟยจิ่งกระโดดเข้าปิดปากเด็กสาวที่นอนบนเตียง
จึงกลายเป็นว่าร่างโปร่งของพวกเขากำลังทับคร่อมทับร่างเล็กอยู่ในอากัปกิริยาล่อแหลม
ซึ่งหากใครมาเห็นภาพนี้เข้าคงได้เข้าใจผิดแน่ๆ
"ลุงเฟยนิสัยไม่ดี!
ลวนลามเด็ก! ลามก!"
"เจ้าผายลมอันใด!"เสียงประณามอย่างกล่าวหาเรียกให้เฟยจิ่งนึกโมโห
หากแต่สถานการณ์ตรงหน้าทำให้เขาไม่ว่างพอไปโต้เถียงกับวิญญาณสาว
ก้มมองดวงตาสีเทาอ่อนใสกระจ่างตรงหน้าจิ้นเฟยที่อยู่ข้างในก็ร้องขึ้นอย่างยากจะทานทน
"อ๊า น่ารักชะมัดเลยอ้า
จะละลายแล้ว"เฟยจิ่งเลือกทำเป็นเมินคำพูดไร้สาระที่พูดกรอกหู
เขาตั้งสติกล่าวกับเด็กสาวเบื้องล่างตนอย่างใจเย็น
"ข้าหาใช่คนร้าย
เจ้าจงอย่าได้ส่งเสียง เข้าใจหรือไม่?"คำถามที่ได้รับการตอบรับเป็นอาการนิ่งสนิท
จิ้นเฟยที่อยู่ข้างในหัวเราะขำ
"โธ่เอ๊ยลุง
ใครจะไปเชื่อใจไว้ใจคนที่สวมหน้ากากแถมจับตัวเองกดลงเตียงได้ลงล่ะ? มองยังไงก็น่าสงสัยชัดๆ"
คำกล่าวที่เฟยจิ่งรับฟังจบก็แค่นเสียงเบาๆ
"งั้นเจ้ามาจัดการเองเลย"
"รับทราบ!"
จิ้นเฟยรีบตอบรับราวกับรอโอกาสนี้มานาน
หลังสวมรอยควบคุมร่างต่อเจ้าตัวก็ใช้มือข้างที่ว่างอยู่ปลดหน้ากากออก
ก่อนส่งยิ้มให้เด็กสาวอย่างอ่อนโยนและเป็นมิตร
"ข้าไม่ใช่คนร้ายหรอกนะ
ดังนั้นไม่ต้องกลัวไป อีกเดี๋ยวพอข้าปล่อยมือแล้วเจ้าอย่าส่งเสียงล่ะ โอเคไหม?"จิ้นเฟยพูดพลางใช้นิ้วชี้จ่อปากเป็นเชิงให้เงียบ
ทั้งยังขยิบตาให้อย่างทะเล้น แต่ร่างเล็กไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ
มีเพียงดวงตาใสที่สบมองอย่างนิ่งเฉย
จิ้นเฟยพยายามทบทวนว่าตัวเองพูดอะไรผิดก่อนจะเข้าใจเมื่อนึกได้ว่าตนเผลอพูดภาษาอังกฤษปนไปจึงเปลี่ยนคำพูดใหม่
"ข้าหมายถึงถ้าปล่อยมือออกแล้วอย่าส่งเสียง
เข้าใจไหม?"คราวนี้อีกฝ่ายมีปฏิกิริยาตอบโต้
เด็กสาวกดหน้าลงเล็กน้อย จิ้นเฟยถือว่าเข้าใจตรงกันก็ค่อยๆ ปล่อยมือออก
แต่ก็ยังระวังตัว
หากเห็นร่างเล็กทำท่าคิดส่งเสียงร้องเมื่อไหร่ตนจะรีบจัดการปิดปากใหม่ทันที
แต่หลังปล่อยมือได้พักใหญ่อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าจะกรีดร้องขอความช่วยเหลือ
จิ้นเฟยเลยค่อยๆลุกออกจากตัวร่างเล็ก หลังถอยห่างออกมาร่างนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้นนั่ง
สีหน้าเด็กสาวดูนิ่งเฉยไม่ตกใจหรือหวาดกลัวเท่าที่ควรชวนให้สะกิดใจ
แต่จิ้นเฟยก็สะบัดข้อสงสัยต่างๆ ทิ้งเมื่อความสนใจทั้งหมดถูกทุ่มไปกับการเก็บภาพเด็กสาวเซฟใส่ความทรงจำ
โอ๊ย น่ารักเป็นบ้า! ขนกลับบ้านได้ไหมเนี่ย?
จิ้นเฟยที่เป็นโรคคลั่งไคล้ของน่ารักนึกเสียดายสุดหัวใจที่ยุคสมัยนี้ไม่มีกล้อง
งานนี้อดเก็บภาพเด็กน่ารักไปดูเล่นเลย ทั้งที่สมัยนี้การจะหาของน่ารักๆ สบายตาเจอนั้นยากเหมือนงมเข็มแท้ๆ
แต่พอเจอกลับไร้วาสนาจะครอบครองเสียได้
"เจ้าชื่ออะไรเหรอ?"จิ้นเฟยถามออกไปอย่างอดใจไม่อยู่ แต่ก็ได้รับความเงียบตอบกลับมา
นึกสงสัยถึงสาเหตุที่ร่างเล็กไม่ยอมตอบ
แล้วก็คิดขึ้นได้ว่าตัวเองก็ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย
"จริงสิ ข้าชื่อ...เฟย
เรียกข้าว่าเฟยก็ได้"
ชื่อที่จิ้นเฟยแนะนำออกไปได้ผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์เรียบร้อยแล้วว่าหากใช้ชื่อจริงของร่างนี้คงไม่เป็นผลดี
จึงคิดจะใช้ชื่อจริงๆของตัวเอง
แต่พอคำนวณแล้วว่าร่างนี้ไม่ใช่แค่ของตัวเองจึงคิดหาชื่อกลางที่สามารถสื่อถึงพวกเขาทั้งสองคนได้
นั่นก็คือ'เฟย' ซึ่งเรื่องนี้จิ้นเฟยได้ปรึกษาเจ้าของชื่อร่วมแล้ว
และได้รับเสียงฮึสูงๆมาเป็นคำอนุญาต
ในเมื่อไม่ห้ามก็ถือว่าอนุญาตล่ะนะ
แต่เด็กสาวเบื้องหน้าก็ยังไม่เอ่ยถ้อยคำใด จิ้นเฟยเกาแก้มพลางนึกสงสัยว่าตนทำอะไรผิดไปกัน?
ทางเฟยจิ่งที่จับสังเกตมาสักระยะว่าขึ้น
"ดูจากท่าทาง
นางน่าจะเป็นใบ้"
"เป็นใบ้?"จิ้นเฟยร้องทวนในใจ ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าแล้วถามอย่างนุ่มนวล
"เจ้าพูดไม่ได้หรือ?"
คำถามนี้ได้รับการผงกศีรษะน้อยๆตอบ เป็นการยืนยันสิ่งที่เฟยจิ่งคาด
จิ้นเฟยแทบใจสลายเมื่อได้รู้ว่าเทพธิดาตัวน้อยเบื้องหน้าตนพูดไม่ได้
นึกเสียดายในใจ ก่อนจะถามใหม่ด้วยเสียงอ่อนโยน
"แล้วเจ้ามีชื่อไหม?"เด็กสาวผงกหัวเบาๆ จิ้นเฟยยิ้ม "เจ้าเขียนชื่อตนเองได้รึเปล่า?"เมื่อได้รับการพยักหน้าจิ้นเฟยก็พยายามหาพู่กันกับกระดาษ
แต่หาไม่เจอเลยได้แต่ส่ายหัวอย่างจนใจ ก่อนจะแบฝ่ามือออกไปตรงหน้าร่างเล็ก
"เขียนบนมือข้าแทนได้หรือไม่?"
ได้ยินคำถามนี้เด็กสาวมีท่าทีลังเล
จิ้นเฟยไม่เร่งรัดสีหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้มบางประดับ
ก่อนรอยยิ้มจะเหยียดกว้างขึ้นเมื่อเด็กสาวผงกศีรษะ
ร่างเล็กใช้นิ้วน้อยๆขีดเขียนเป็นตัวอักษรบนฝ่ามือ
"ลู่-หลิน? ลู่หลินอย่างนั้นเหรอ?"
ใบหน้าเล็กกดลงเล็กน้อย
จิ้นเฟยอมยิ้ม
ลู่หลิน...บันทึกแห่งไพรีงั้นหรือ เป็นชื่อที่ดีจริงๆ
ความคิดเห็น