คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : องก์สอง
ไถ่ถามว่า ‘เพราะเหตุใด’ หนานตู้อวิ๋นเองก็ยังคงนึกสงสัยถึงเหตุผลที่ตนกระทำเรื่องไร้ประโยชน์เหล่านี้
ด้วยผู้โง่เขลามักถูกเหยียบย่ำ ตั้งแต่จำความได้ หนานตู้อวิ๋นจึงดำรงตนอย่างชาญฉลาด
เขาใช้สติปัญญาที่มีหลีกเลี่ยงปัญหาจึงสามารถหลบหนีอันตรายที่เข้าก้ำกรายได้เสมอ
แต่กระนั้น นักปราชญ์ยังเคยพลั้งพลาด หนานตู้อวิ๋นในวัยเก้าขวบได้เผอเรอใช้อารมณ์ตัดสินใจเรื่องราวจนเป็นเหตุให้ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากแสนสาหัส
ซึ่งนั่นก็ได้กลายมาเป็นบทเรียนครั้งใหญ่และครั้งเดียวในชีวิตของเขา โดยนับจากวันนั้นก็ผ่านมาร่วมสิบปีแล้ว
จากเด็กน้อยไร้เดียงสาได้เติบโตมาเป็นชายหนุ่มรูปงามผู้พรั่งพร้อมด้วย...พิษร้าย
หนานตู้อวิ๋นผู้ปัจจุบันดำรงฐานะประมุขพรรคมารบุปผามาได้สามปี
วันนี้ก็ยังคงกระทำตัวได้สมตำแหน่งมารบุปผาโลหิตเหมือนเคย
“แค่กๆ ได้...โปรด อภัย...”
ในคุกใต้ดินที่มีเพียงแสงจากผลึกแก้วจันทราตามรายทางคอยให้ความสว่าง เสียงคร่ำครวญขอความเมตตาของหญิงสาวที่ทั้งแหบแห้งและน่าเวทนาได้ดังสะท้อนไปทั่ว
ทว่า น่าเสียดายที่ผู้สดับฟังคำอ้อนวอนเหล่านั้นกลับมีท่าทีไม่แยแส บุรุษหนุ่มในอาภรณ์สีเหลืองอ่อนซึ่งนับว่าเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่อยู่บริเวณนี้ทำแค่เพียงทอดฝีเท้าอ้อยอิ่งพลางชื่นชมเหล่าดอกไม้งามที่ถูกปลูกไว้ริมผนังด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้ม
ดอกไม้เหล่านั้นมีลักษณะเป็นเถาเกาะติดกำแพงหินสีขี้เถ้า โดยตัวดอกมีห้ากลีบ
แต่ละกลีบมีสองแฉก บ้างสีแดงบ้างสีม่วง ทุกดอกต่างสวยสดและส่งกลิ่นเย้ายวนชวนฝัน
ซึ่งพวกมันนับเป็นความงดงามเพียงอย่างเดียวในคุกใต้ดินที่หม่นครึ้มแห่งนี้
ครู่ใหญ่กว่าร่างของชายหนุ่มจะก้าวตรงไปยังต้นตอของเสียงโหยหวนที่ดังไม่หยุด ไม่ช้าฝีเท้าอันเงียบงันก็ได้หยุดลงเบื้องหน้าประตูคุกที่มีลักษณะประหลาด ซี่กรงที่ควรตั้งตรงกลับเรียงรายในแนวนอนแทน
ทั้งแต่ล่ะซี่ยังมีเถาวัลย์เกาะเกี่ยวไว้อีก แต่เมื่อมองลอดผ่านซี่กรงเหล่านั้นไปยังต้องพบกับเรื่องน่าประหลาดใจกว่าเดิม
ไม่ว่าคุกไหนๆ สภาพนักโทษจะทรุดโทรม สกปรก และเต็มไปด้วยบาดแผลน้อยใหญ่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
กลับกัน หากสภาพนักโทษที่ว่าดูสะอาดตา ไร้ร่องรอยบาดแผลจากทัณฑ์ทรมานนั่นจึงนับว่าน่าพิศวง
แต่ภาพที่เห็นก็เป็นเช่นนั้น สตรีในชุดขาวที่คู้กายอยู่ภายในคุกพร้อมส่งเสียงคร่ำครวญอย่างทรมานนั้น
ทั้งเนื้อตัวปราศจากบาดแผลใด กระทั่งชุดขาวที่สวมใส่ยังไม่มีแม้แต่รอยฝุ่นเปรอะ
เสมือนว่านางหาใช่นักโทษ แต่เป็นหญิงเสียสติที่นึกอยากมานอนในคุกเล่น
“อีกสองราตรีบุปผาโลหิตก็จะถึงเวลาเบ่งบาน
ข้าต้องขอบใจแม่นางเฉียวเป็นอย่างยิ่งที่เสียสละตนมาช่วยทางพรรคดูแลดอกไม้หายากนี้”เสียงทอดหวานของบุรุษดังสะท้อนไปทั่วคุก
กลบเสียงสะอื้นไห้ของสตรีชุดขาวโดยสิ้นเชิง ซึ่งขณะกล่าวคำ ปลายนิ้วเรียวยาวที่ขาวผ่องนวลเนียนก็ได้ลูบไล้ไปตามซี่กรงด้วยกิริยาชวนมอง
และด้วยการกระทำดังกล่าวส่งผลให้เถาวัลย์ที่เคยนิ่งสงบมานานเคลื่อนไหว
เถาเส้นที่ถูกแตะต้องพลันคลายซี่กรงทิ้งแล้วหันไปพันเกี่ยวกับข้อนิ้วชี้ของชายหนุ่มดุจมีชีวิต
หนานตู้อวิ๋นที่เห็นอย่างนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
ก่อนใช้เล็บนิ้วโป้งกรีดฝ่ามือ เมื่อหยาดโลหิตไหลรินออกมาเถาวัลย์น้อยเส้นนั้นก็พุ่งดิ่งเข้าหาแล้วทำการดูดกินอย่างกระหาย
กระทั่งเลือดบนฝ่ามือขาวแห้งเหือด
เจ้าเถาวัลย์ที่ดูมีชีวิตชีวาจนถึงเมื่อครู่จึงค่อยถอยกลับไปกอดซี่กรงต่อนิ่งๆ
หนานตู้อวิ๋นมองดูเถาวัลย์ตะกละด้วยสายตาคล้ายเอ็นดูก่อนเก็บมือกลับมา
เขาเบนสายตาไปยังร่างสตรีชุดขาวอีกครั้งพลางเอ่ย
“ข้ารู้ว่างานนี้ลำบากนัก
แต่คงต้องขอให้เจ้าทนอีกสักหน่อย”รอยยิ้มผู้พูดดูงดงามหยาดเยิ้ม แต่ผู้ฟังกลับตัวสั่นเทิ้มอย่างหวาดกลัว
ปากหญิงสาวเปล่งเสียงครวญร้องขอความเมตตา แต่หนานตู้อวิ๋นกลับไม่คิดใส่ใจอีก
เขาหมุนตัวกลับออกมาจากคุกที่ไร้คนเฝ้า แล้วตรงไปยังเส้นทางลับที่เชื่อมต่อกับ‘หอสุขสันต์’
เป็นธรรมดาที่ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคจะมาเยี่ยมเยียนกิจการหลักที่ทำรายได้มหาศาลให้กับทางพรรคอยู่บ่อยครั้ง แต่วันนี้ก็นับว่าพิเศษกว่าปกติเล็กน้อย เมื่อมีคนใจกว้างทุ่มเงินเหมาหอนี้ไว้ถึงเจ็ดคืนเต็ม
ควรรู้ก่อนว่าสถานที่นี้แตกต่างจากหอโคมทั่วไป
ในหอสุขสันต์แห่งนี้ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีต่างถูกเลือกเฟ้นและอบรมสั่งสอนมาอย่างดี
บุคลิกและความรู้ความสามารถจึงประหนึ่งคุณหนูคุณชายในตระกูลสูง ซึ่งการจะได้เหยียบย่างเข้ามาข้างในหอนี้
ผู้คนยังต้องเสียทองไปร่วมนับสิบหีบ จึงไม่ต้องพูดถึงการร่วมอภิรมย์ที่หนึ่งคืนก็มากพอจะซื้อคฤหาสน์ดีๆในเมืองหลวงได้ถึงสามหลัง
กระนั้นในวันนี้กลับมีคนมือเติบใช้จ่ายเงินทองมากมายมหาศาลเพื่อครอบครองสถานที่แห่งความฝันไว้เพียงลำพัง
หนานตู้อวิ๋นจึงนึกสนใจ ‘ลูกค้ารายใหญ่’ ผู้นี้นัก และคิดมาพบหน้าอีกฝ่ายสักหน่อย
แต่เมื่อได้พบตัว
หนานตู้อวิ๋นถึงกับนึกว่ากำลังเห็นภาพหลอน เพราะลูกค้าคนสำคัญผู้นี้ดันกลายเป็น ‘มัจจุราชแดนเหนือ’ ประมุขพรรคต้าไห่ผู้โหดเหี้ยม
ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยพบหน้ากันตรงๆ
แต่หนานตู้อวิ๋นย่อมเคยได้ชื่อเสียงเรียงนามของบุรุษหนุ่มผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่เป็นอันดับหนึ่งของยุทธภพ
อีกทั้งเขายังเคยให้คนไปคัดลอกภาพเหมือนของอีกฝ่ายมาเพราะได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับความหล่อเหลา
พอได้เจอตัวจริงหนานตู้อวิ๋นจำต้องยอมรับว่าในบรรดาผู้คนที่เขาเคยพบเจอมา
ไห่เป่ยผิงนับเป็นชายผู้มีรูปลักษณ์โดดเด่นเป็นอันดับต้นๆ
ซึ่งคงมีสตรีมากมายยอมพลีกายให้ชายหนุ่มเพียงขอให้อีกฝ่ายชายตาแล
แต่น่าเสียดายที่บุรุษผู้นี้มีรสนิยมค่อนข้างพิเศษ
หนานตู้อวิ๋นกวาดมองลอบบริเวณ
ก่อนจะเลิกคิ้วน้อยๆ เมื่อในห้องรับรองพิเศษที่มีพื้นที่พอให้คนนับสิบจัดโต๊ะกินเลี้ยงแห่งนี้กลับมีแค่เพียงร่างสูงในชุดสีดำโดดเดี่ยวนั่งร่ำสุราเพียงลำพัง
โดยมีร่างหนุ่มน้อยรูปงามในชุดสีขาวเนื้อบางคอยรินให้เพียงผู้เดียว
ในหอสุขสันต์ที่ควรเต็มไปด้วยความสำราญกลับไร้เสียงขับร้อง ไร้ทำนองดนตรี
บรรยากาศในห้องหม่นหมองซะยิ่งกว่าอะไร
“นายท่าน”สตรีชุดแดงผู้มีหน้าที่คอยต้อนรับแขกเดินเข้ามากระซิบถ้อยคำอันน่าประหลาดใจ
อีกฝ่ายกล่าวว่าเมื่อสองชั่วยามก่อน บุรุษและสตรีทั้งหมดในหอล้วนต่างถูกส่งเข้าไปในห้องแล้วถูกขับไล่ออกมาทั้งสิ้น
นอกจากคนคอยรินเหล้าแล้ว ชายในห้องรับรองก็ไม่ได้รั้งตัวใครไว้อีก
มองดูเงาร่างแกร่งที่ยังคงตั้งตรงดุจเทพสุราผู้พันจอกไม่เมามาย
หนานตู้อวิ๋นก็ยกยิ้ม ก่อนเดินนวยนาดเข้าไปด้านในอย่างไม่รอให้ใครเชิญ
ใบหน้าหล่อเหลาเจือกลิ่นอายอันตรายยังคงมืดครึ้มราวกับมีเรื่องราวในใจ
หนานตู้อวิ๋นหย่อนกายลงนั่งข้างๆ ชายหนุ่มพลางสอบถามอย่างเอาใจใส่
“ไม่ทราบว่าสุราถูกปากท่านหรือไม่?”
“พอใช้”ไห่เป่ยผิงตอบคำโดยไม่มองคู่สนทนาและไม่ได้มีทีท่าประหลาดใจกับการปรากฏกายของอีกฝ่าย
“สุราเมฆาสวรรค์ที่ทางหอจัดสรรนับว่าเลื่องชื่อ
แต่ยังไม่นับเป็นอันดับหนึ่ง”หนานตู้อวิ๋นยิ้ม เขาใช้ปลายนิ้วเกลี่ยไรผมสีน้ำตาลข้างแก้มตัวเอง
“ข้ามีสุราหมื่นบุปผาอยู่ไหหนึ่ง หากท่านไม่รังเกียจ มาดื่มด้วยกันเป็นอย่างไร?”
“หมื่นบุปผา?”มือที่ยกจอกสุราชะงักค้าง
ก่อนไห่เป่ยผิงจะผินหน้ามองผู้เอ่ย
ซึ่งเมื่อใบหน้างดงามที่ให้ความรู้สึกเย้ายวนและล่อลวงจิตวิญญาณผู้คนเข้ามาอยู่ในครรลองสายตา
นัยน์ตาสีดำมืดของไห่เป่ยผิงพลันส่องประกายวูบ ก่อนเอ่ยต่อเสียงเรียบเฉย
“ยอดสุราพิษที่กลั่นจากบุปผาโลหิต สิบปีมีเพียงไห
ท่านประมุขพรรคมารบุปผาช่างใจกว้างนัก”
“ชมกินไปแล้ว
ยอดสุราย่อมคู่ควรกับยอดฝีมือเช่นท่าน”หนานตู้อวิ๋นตอบคำพลางส่งสัญญาณให้คนไปนำสุราหมื่นบุปผามา
เพียงครู่เดียวของก็ถูกยกมาวาง ทั้งไหและจอกเหล้าสีขาวพิสุทธ์ที่ถูกนำใส่ถาดไม้มาล้วนสลักภาพบุปผาโลหิตด้วยรูปลักษณ์และสีสันเหมือนจริง
หนานตู้อวิ๋นหยิบจอกเหล้าจากถาดมารินส่งให้ด้วยตัวเอง
ซึ่งยามหยาดสุรากระทบจอกเหล้าก็พลันโชยกลิ่นหอมเย้ายวนของบุปผาโลหิตออกมา
เพียงได้กลิ่นก็แทบทำให้ผู้คนมึนเมาบ้าคลั่ง
แม้แต่หนุ่มน้อยที่เป็นคนยกถาดมาวางยังหน้าแดงระเรื่อ ทว่า
ทั้งหนานตู้อวิ๋นซึ่งเป็นคนรินและไห่เป่ยผิงที่รับจอกเหล้ามาถือกลับมีสีหน้าปกติยิ่ง
“กลิ่นไม่เลว”ไห่เป่ยผิงเอ่ยชม
“เพียงกลิ่นไม่อาจตัดสินรสสุรา”หนานตู้อวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
แต่ไห่เป่ยผิงยังไม่ดื่ม เขาหมุนจอกสุราในมืออย่างใช้ความคิด
ฝ่ายหนานตู้อวิ๋นไม่ได้เอ่ยเร่งเร้า เพียงหันไปรินสุราให้กับตัวเองบ้าง
ระหว่างนั้นเขาก็เอ่ยถามอย่างสงสัย
“ว่าแต่นายท่านอุตส่าห์มาเยือนหอสุขสันต์ทั้งที ไยไม่ชื่นชมดอกไม้
ยลยินบทเพลง มองหาความสำราญสักหน่อยเล่า? หรือดอกไม้ในหอเรายังไม่งามพอ?”
“งาม แต่ไม่พอให้จิตใจหวั่นไหว”คำตอบห้วนนัก
แต่หนานตู้อวิ๋นกลับนึกสนใจ
“แล้วดอกไม้งามแบบใดเล่า จึงจะสั่นคลอนจิตใจท่านได้?”
ไห่เป่ยผิงชะงักไปอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเหลือบตามองคนถามก่อนเอ่ยตอบ
“อาจเป็น...ดอกไม้พิษ”
สีหน้าของหนานตู้อวิ๋นไม่ได้แปรเปลี่ยน
เขาสบกับดวงตาดำมืดราวกับเหวลึกที่ยากเกินหยั่งก้นบึ้งแล้วคลี่ยิ้มเชิญชวน
“ใต้หล้านี้มีบุปผามากมายดาษดื่น เพียงแต่ยอดบุปผาพิษ
คงมีแต่ข้า...ที่มี”พูดถึงตรงนี้เขาก็ใช้สองมือประคองจอกสุราขึ้นมาชิดริมฝีปาก
หยาดสุราในจอกมีสีเหลืองทอง แต่เมื่อต้องแสงไฟกลับสะท้อนสีแดงจางๆ “บุปผาพิษนี้ หากท่านปรารถนาจะครอบครอง
คงต้องนำสิ่งสูงค่ามาแลกเปลี่ยนแล้ว”
นาทีนี้สุรา เครื่องหอม หรือสิ่งเย้ายวนใดๆ
กลับด้อยค่า เพราะริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำที่จรดลงบนจอกเหล้านั้นงามตา ยั่วเย้า
และสั่นคลอนจิตวิญญาณผู้คนจนยากจะหวนกลับ
“กร่อนวิญญาณ สะคราญจิต สะพานเดี่ยว”รอจนหนานตู้อวิ๋นดื่มหมดจอก
เสียงของไห่เป่ยผิงที่เงียบไปนานก็ดังขึ้น ซึ่งถ้อยคำที่อีกฝ่ายเอ่ยนับว่าน่าตกใจ
เพราะมันคือชื่อสามยอดพิษที่เหล่าผู้ใช้พิษทั่วหล้าล้วนปรารถนาครอบครอง!
พิษกร่อนวิญญาณ คือยอดพิษด้านการทรมาน กล่าวกันว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าของผู้รับพิษนี้เข้าไปจะไวขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า
เพียงลมพัดถูกกายยังคล้ายถูกแส้หนามฟาด ไม่พอ ทุกครึ่งชั่วยามยังต้องเผชิญกับความรู้สึกเสมือนโดนแมลงนับร้อยกัดแทะกระดูกและอวัยวะภายในอย่างช้าๆ
ผู้ต้องพิษนี้มักรู้สึกทรมานยิ่งกว่าตายทั้งเป็น แต่พิษนี้กลับไม่ทำให้คนตาย
ยิ่งใช้ควบคู่กับยารั้งฟ้าที่เป็นยายื้อชีวิตอีกจะสามารถรั้งคนไว้ได้นานถึงสิบปีเลยทีเดียว
พิษสะคราญจิต เป็นยอดพิษด้านการควบคุม
ไร้กลิ่นและสี ผู้ต้องพิษนี้จะมีสภาพไม่ต่างจากหุ่นเชิดไร้จิตใจ ข้อมูลความลับใดล้วนคายออกมาหมดสิ้น
แม้สั่งให้ไปตายก็ไม่ขัดขืน
ส่วนพิษสะพานเดี่ยว ชื่อแม้ฟังน่าขัน
แต่ที่มากลับไม่นับว่าชวนขำขันเท่าใด เมื่อผู้ที่ต้องพิษนี้ล้วนไร้หนทางรักษา
มีเพียงมุ่งหน้าตรงสู่เส้นทางมรณะอย่างไร้โอกาสหวนกลับ
ยอดพิษเหล่านี้ผู้คนทำได้เพียงฟังเรื่องเล่า
เพราะผู้ที่มีโอกาสพบเห็นและสัมผัสพวกมันต่างลงไปดื่มน้ำแกงในปรโลกกันหมดแล้ว
หนานตู้อวิ๋นนับเป็นผู้ใช้พิษคนหนึ่ง
เมื่อได้ยินชื่อของเล่นทั้งสามจึงเบิกตาอย่างประหลาดใจแฝงด้วยความยินดีตื่นเต้น
ก่อนจะอมยิ้มถาม “จริงหรือ?”
“ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยนใจ”
“ข้าย่อมไม่เปลี่ยนใจ”หนานตู้อวิ๋นตอบคำด้วยรอยยิ้มหวานชวนเคลิบเคลิ้ม
นัยน์ตาดอกท้อสบมองนิ่งกับอีกคน
ตอนนี้เองที่ไห่เป่ยผิงยกจอกสุราในมือขึ้นดื่มรวดเดียว
หลังวางจอกเหล้าสีหน้าเย็นชาของชายหนุ่มคล้ายถูกหลอมละลาย รอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์อันร้ายกาจผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลา
ร่างสูงผุดลุกขึ้นตรงไปทางประตู ก่อนเสียงทุ้มต่ำจะกล่าวคำทิ้งท้าย
“ยอดสุราคู่ยอดบุปผา อีกสามวันข้าจะมารับเจ้า”
“ข้าจะรอ”
บทสนทนาลับๆ ที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยามได้เกิดขึ้นในหอสุขสันต์โดยไม่มีใครทราบ
หนานตู้อวิ๋นใช้เวลาที่เหลืออยู่จัดการงานคั่งค้างและฝากฝังงานให้กับบรรดาลูกพรรค
“ข้าจะไม่อยู่สักพัก จงจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย”
“ขอรับนายท่าน!”เสียงตอบรับนับพันฟังแข็งขัน หนานตู้อวิ๋นหมุนตัวผละจากไป
เขายังต้องไปดูดอกไม้ที่ปลูกไว้อยู่
คืนนี้จันทราส่องสว่าง
บรรยากาศในคุกใต้ดินของพรรคเงียบสงบ ทว่าความสงบนี้หาได้ยืนยาวนัก
เพราะเมื่อถึงเวลาที่บุปผาโลหิตเบ่งบาน เสียงกรีดร้องสุดท้ายแห่งชีวิตก็ได้แผดลั่นยาวอย่างแสบแก้วหู
หนานตู้อวิ๋นนับว่าชินชาต่อเสียงเช่นนั้นแล้ว
ดังนั้นเขาจึงเพียงยืนเฝ้าดูขั้นตอนที่กำลังเกิดขึ้นภายในห้องขังด้วยสายตาสงบนิ่ง
โดยมุมปากยังประดับไว้ด้วยรอยยิ้มสามส่วน
ร่างของสตรีชุดขาวในห้องขังดิ้นพล่าน สองมือตะกุยเล็บจิกทึ้งส่วนท้องของตัวเองอย่างเสียสติ
แต่แม้จะทำเช่นนั้นก็หาได้ลดทอนความเจ็บปวดลง
ขณะที่เสื้อผ้าบนร่างของหญิงสาวขาดวิ่นจนเผยผิวเนื้อนวลผุดผ่อง
ภายใต้ผิวกายงามกระจ่างก็คล้ายมีบางสิ่งเคลื่อนไหว
โดยเฉพาะส่วนท้องแบนราบที่ถูกจิกทึ้งจนมีเลือดไหลซึมนั้น หากเพ่งมองดีๆ จะเห็นเงาเส้นสายสีเขียวเคลื่อนไหวไปมา
ซึ่งยิ่งเวลาผ่านไป ความเคลื่อนไหวก็ยิ่งหนักหน่วงจนสามารถเห็นเป็นรูปร่างปูดนูน
และไม่นานนัก บางสิ่งก็บางอย่างก็ได้พุ่งทะลุผิวกายหญิงสาวออกมา!
เป็นเถาวัลย์
เส้นสายสีเขียวสดโชกเลือดหลายสิบเส้นผุดออกมาจากร่างพร้อมหยาดโลหิตที่สาดกระเซ็น
เสียงกรีดร้องที่แต่เดิมดังลั่นไปทั่วคุกเริ่มขาดห้วง ไม่นานสตรีชุดขาวผู้รับหน้าที่เป็นกระถางดอกไม้ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาก็ได้สิ้นลมหายใจลงด้วยสภาพดวงตาเหลือกค้าง
ปากอ้ากว้าง มือเท้าจิกเกร็ง เพียงมองจากจุดเหล่านี้ก็แทบจะบอกได้ทันทีว่าหญิงสาวได้รับความทุกข์ทรมานเพียงใดก่อนตาย
แต่หนานตู้อวิ๋นยังคงไร้ซึ่งความเห็นใจหรือความสงสาร
ดวงตาอันงดงามจับจ้องไปยังเส้นเถาวัลย์ที่แพร่ออกมาจากร่างที่ไร้ลมหายใจ
หนานตู้อวิ๋นมองดูอยู่ครู่หนึ่งจึงเห็นตัวดอกตูมสีแดงสองดอกปรากฏออกมา
แต่ไหนแต่ไรหนึ่งเมล็ดพันธุ์จะผลิตได้เพียงหนึ่งบุปผา เพราะ ‘กระถาง’
ที่ใช้ปลูกมักมีสารอาหารไม่พอหล่อเลี้ยงดอกไม้ถึงสอง ดังนั้นการที่จู่ๆ มีโผล่ออกมาถึงสองดอกด้วยกันจึงนับว่าประหลาดมาก
แต่หนานตู้อวิ๋นก็ไม่ได้ให้ความสนใจนัก เขาเฝ้ามองและเฝ้ารอ
รอ...ให้ดอกตูมเหล่านั้นเบ่งบาน
กลีบดอกที่เดิมม้วนติดกันเป็นเกลียว
ภายใต้สายตาที่จับจ้องก็ค่อยๆ คลี่ออกจากกัน เผยกลิ่นหอมที่มัวเมาจิตใจออกมา
หนานตู้อวิ๋นคลี่ยิ้มอย่างพึงใจ ดวงตาดอกท้อโค้งเป็นรูปจันทร์เสี้ยว
ก่อนเงาร่างในชุดสีเหลืองจะผลักประตูห้องขังเข้าไป ขณะเดียวกันก็ใช้เล็บกรีดไล่ตั้งแต่ฝ่ามือมายังท้องแขนของตน
หยดเลือดที่พรั่งพรูออกมาทำให้เส้นเถาวัลย์บนร่างหญิงสาวชุดขาวชะงัก ก่อนคลืบคลานตรงมาหาเลือดของชายหนุ่มที่หยดลงพื้นด้วยความเร็วที่ตาเนื้อมองทัน
หนานตู้อวิ๋นย่อกายและยื่นมืออาบโลหิตข้างนั้นออกไป
หมู่เถาวัลย์ด้านล่างก็พลันพุ่งเข้ารัดแน่นจนได้ยินเสียงกระดูกลั่น ชายหนุ่มไม่ได้ดิ้นรนหรือปัดป้อง
เขาเพียงมองดูเถาวัลย์เหล่านั้นไต่ขึ้นมาพันถึงหัวไหล่ ก่อนหนึ่งในบรรดาเส้นเถาจะชอนไชชำแรกเข้ามาในร่างผ่านทางบาดแผล
เพียงชั่วอึดใจเส้นเถาทั้งหมดรวมถึงตัวดอกที่เพิ่งเบ่งบานเมื่อครู่ก็ได้ผลุบหายเข้าไปในร่างจนหมด
เมื่อหมดเรื่องราว
หนานตู้อวิ๋นก็ใช้ปลายนิ้วก้อยตวัดผ่านรอยแผล
ซึ่งน่าอัศจรรย์ที่บาดแผลกรีดลึกที่ปรากฏจนถึงเมื่อครู่ได้เลือนหายไปจนคล้ายไม่เคยมีอยู่
หนานตู้อวิ๋นหมุนร่างกลับออกมาจากคุก เขาไม่ได้สนใจศพในคุกใต้ดิน
เพราะรู้ดีว่าจุดจบของหญิงชุดขาวผู้มีหน้าที่เป็นกระถางคือถูกนำไปโยนลงบ่อโลหิตเพื่อเป็นแหล่งอาหารของมวลบุปผาต่อไป
เช้าวันถัดมา
หนานตู้อวิ๋นที่นั่งดื่มชาร้อยบุปผาอยู่ในห้องรับรองส่วนตัวในหอสุขสันต์ก็รับรู้ถึงการมาเยือนของผู้มาใหม่
ไห่เป่ยผิงที่ยังคงอยู่ในชุดคลุมดำยกยิ้มขณะยื่นมือออกมา
เบื้องหลังชายหนุ่มคือวิหคสีขาวนับพันและเกี้ยวสีดำที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ
หนานตู้อวิ๋นส่งมือให้ไห่เป่ยผิง
เขายกขาย่างก้าวเข้าไปด้านในเกี้ยวคันงามด้วยสีหน้าประดับยิ้ม
หลังไห่เป่ยผิงเข้ามาด้านในก็ยกสองนิ้วแนบริมฝีปากพลางส่งเสียงหวีดชนิดหนึ่งออกมา
ไม่นานตัวเกี้ยวก็เคลื่อนไหว หมู่มวลวิหคได้มุ่งตรงสู่ดินแดนทางเหนือ
ขณะที่หนานตู้อวิ๋นนึกสนใจเกี้ยวลอยฟ้าที่นั่งอยู่ ไห่เป่ยผิงก็ส่งกล่องเหล็กที่มีลักษณะคล้ายหีบสมบัติขนาดราวๆสองฝ่ามือให้
พลางกล่าว
“สินสอด”
หนานตู้อวิ๋นเลิกคิ้วน้อยๆ
เขารับหีบใบน้อยมาเปิดดู
ก่อนมุมปากที่เดิมอมยิ้มสามส่วนจะคลี่ออกเป็นรอยยิ้มหวานล้ำ
“ขอบคุณ”
ขวดยาใบน้อยทั้งสามในหีบนั้นนับว่าล้ำค่าแล้ว
แต่เทียบยาสามแผ่นที่แนบมาด้วยกลับล้ำค่ายิ่งกว่า
แม้หนานตู้อวิ๋นจะมั่นใจว่าขอเพียงมีเวลาเขาก็สามารถแกะส่วนผสมของตัวยาทั้งสามได้
แต่เทียบยาทั้งสามแผ่นก็ได้ทุ่นเวลาเขาลงไปมาก
“ระหว่างสามีภรรยาไม่จำเป็นต้องมีคำขอบคุณ”
รอยยิ้มบนใบหน้าหนานตู้อวิ๋นชะงักค้าง
เขามองใบหน้าคนข้างกายที่ยามนี้ดูอ่อนโยนยิ่งอย่างประเมิน ก่อนจะตอบรับ
“เข้าใจแล้ว”
หลังมาถึงที่หมาย หนานตู้อวิ๋นก็ส่งมือให้ไห่เป่ยผิงที่รอรับพลางก้าวลงจากเกี้ยว แต่เมื่อเท้าแตะพื้นกลับพบว่าตนเองอยู่ในสรวงสวรรค์ ดินแดนอันงดงามดุจภาพมายาเบื้องหน้าช่างดูคล้ายภาพฝัน
“ไปกันเถิด”
หนานตู้อวิ๋นที่หลุดจากห้วงภวังค์สบตากับร่างแกร่งซึ่งยืนรออยู่ ก่อนพยักหน้าเบาๆ
พวกเขาทั้งก้าวเดินไปตามเส้นทางสีขาว ผ่านซึ่งพรรณไม้งามและเสาแดงสองข้างทาง เสียงสายน้ำไหลฟังรื่นหูนัก และปลายทางยิ่งตระการตา หอสูงเทียมฟ้าช่างดูคล้ายที่พำนักของเหล่าเซียน
“เจ็ดชั้นแรกประกอบด้วย ลานศิลา แดนโอสถ หอพิษ สระชำระ ด่านสมบัติ ทะเลสาบหยก และห้องฝึกตน ส่วนเจ็ดชั้นบนเป็นที่พัก สี่ชั้นบนมีเจ้าของแล้ว ห้องของเจ้าอยู่ชั้นห้า หากนับจากล่างขึ้นบนคือชั้นที่สิบ”
ไห่เป่ยผิงเดินนำชมสถานที่มากมาย ในบรรดานั้น ‘หอพิษ’ ดึงดูดใจเขาที่สุด หนานตู้อวิ๋นกวาดมองชั้นหนังสือสีดำที่บรรจุตำราพิษหายากมากมายไว้ครู่หนึ่ง ก่อนเหลียวมองหม้อปรุงยาสีทึบอีกฝั่งที่มีร่องรอยคล้ายเพิ่งผ่านการใช้งานด้วยความสนใจอยู่ห่างๆ
“ที่นี่เจ้ามาได้ตลอด อยากหยิบใช้สิ่งใดก็ทำได้ตามสะดวก หากขาดเหลือสิ่งใดก็สั่งการพวกนาง” ‘พวกนาง’ ที่ไห่เป่ยผิงเอ่ยถึงคือกลุ่มสตรีชุดดำที่กระจายกันซ่อนอยู่ในเงาไม้เบื้องล่างรอบหอห่างออกไปราวสิบฟุต หนานตู้อวิ๋นพยักหน้ารับ ก่อนจะสังเกตเห็นประตูเหล็กที่แอบอยู่เบื้องหลังชั้นหนังสือมุมในจึงส่งเสียงทัก
“นั่นคือ?”
“ห้องลับ”ไห่เป่ยผิงตอบรับด้วยเสียงเป็นธรรมชาติจนผู้ฟังนึกตะลึง ก่อนชายหนุ่มจะเกี่ยวสายสร้อยที่ห้อยคอตนออกมา ซึ่งตัวจี้ที่ถูกร้อยอยู่มีลักษณะคล้ายกุญแจอันหนึ่ง เพียงแต่วัสดุที่ใช้ทำนั้นดูพิเศษอย่างยิ่ง “จะเปิดห้องนั้นได้จำเป็นต้องใช้กุญแจดอกนี้”
หนานตู้อวิ๋นมองดูกุญแจดอกนั้นแล้วมองดูแม่กุญแจที่เหมือนจะทำจากวัสดุเดียวกันอย่างสนใจ
“จำเป็นต้องใช้กุญแจหรือ?”หนานตู้อวิ๋นส่งเสียงถาม
“จำเป็น”ไห่เป่ยผิงผงกหัว “หากไม่เปิดด้วยกุญแจ ของด้านในจะถูกทำลายทิ้ง”
ถึงกับทำลายทิ้ง? การที่สร้างกลไกเช่นนี้ย่อมหมายความว่าของด้านในเป็นของสำคัญหรือสิ่งอันตรายยิ่ง ดวงตาของหนานตู้อวิ๋นเปล่งประกายแพรวพราว ตอนนี้เองที่มีเสียงของมารร้ายดังกระซิบข้างหู
“หากข้าตาย กุญแจดอกนี้ยกให้เจ้าเป็นอย่างไร?”
หนานตู้อวิ๋นหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับคำท้าทายของชายผู้ขึ้นชื่อว่าชั่วร้ายที่สุดในใต้หล้า แล้วยกยิ้ม
“ดี”
ความคิดเห็น