ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฟิงจิ้น จักรพรรดิสองวิญญา

    ลำดับตอนที่ #6 : บทห้า ดอกไม้ที่ดื้อดึง

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 64



       เมื่อจัดการอาหารทั้งหมดเสร็จวิญญาณทั้งสองก็ได้ออกเที่ยวตลาดต่อ ทางจิ้นเฟยที่ได้รับอนุญาตจากเฟยจิ่งแล้วก็ได้เดินตรงดิ่งไปยังร้านขายหน้ากากที่เล็งไว้เป็นอันดับแรกด้วยความเริงร่า

       ที่ร้านนั้นมีหน้ากากวางขายหลายรูปแบบ ทั้งแบบครึ่งหน้า แบบเต็มหน้า และแบบหัวสวม จิ้นเฟยหยิบหน้ากากรูปหมูเต็มหน้ามาลองใส่อย่างนึกสนุก ก่อนจะขอกระจกจากพ่อค้ามาส่องดู ซึ่งเมื่อเห็นภาพใบหน้าหล่อๆของตนเปลี่ยนเป็นหน้าหมูแก้มย้วยสีชมพูปลั่งฉีกยิ้มกว้างจิ้นเฟยก็หลุดหัวเราะขำยกใหญ่ ก่อนชี้ชวนให้เฟยจิ่งดูบ้าง

       "ดูนี่สิลุงเฟย เป็นไง อย่างนี้หล่อรึเปล่า?"คำถามหยอกล้อผสานเสียงหัวเราะเจือมาพาให้เฟยจิ่งที่มองดูเหตุการณ์จากภายในลอบส่ายหัวอย่างระอากับการเล่นเป็นเด็กๆของวิญญาณอีกดวง

       หลังถอดหน้ากากหมูออกจิ้นเฟยก็เดินดูหน้ากากในร้านต่อ ระหว่างทางก็หยิบจับหน้ากากอีกสองสามอันมาใส่เล่นด้วยความเบิกบาน สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็เลือกหน้ากากสีขาวเงินเรียบๆอันหนึ่งมาเตรียมจ่าย

       เฟยจิ่งมองดูหน้ากากที่จิ้นเฟยเลือกมา ลักษณะเป็นแบบครึ่งหน้าซึ่งปกปิดกระทั่งดวงตา อาจเพราะมีสีออกเงิน หน้ากากอันนี้จึงให้ความรู้สึกเย็นชาสูงส่ง ขณะที่เฟยจิ่งละความสนใจ จิ้นเฟยที่กำลังจะจ่ายเงินก็บังเอิญสะดุดตาเข้ากับหน้ากากสีดำแบบเต็มหน้าอันหนึ่งที่แขวนอยู่ริมด้านในแผงอย่างไม่เป็นที่สังเกต ไม่ทันรู้ตัวสองขาก็ก้าวเข้าไปชิดใกล้ จิ้นเฟยหยิบหน้ากากอันนั้นขึ้นมาพินิจดูครู่หนึ่ง แล้วเปรยถามเฟยจิ่งเสียงเรียบเฉย

       "นี่ลุงเฟย ลุงว่าหน้ากากอันนี้กำลังโกรธหรือยิ้มอยู่กันแน่นะ?"

       เฟยจิ่งลอบมุ่นคิ้วกับคำถามไร้สาระ คิดจะต่อว่าแต่เมื่อเหลือบมองพิจารณาหน้ากากที่ไร้อารมณ์ตรงหน้าดีๆก็ต้องขมวดคิ้วแน่น

       "เหตุใดเจ้าจึงไม่คิดว่าหน้ากากนี่กำลังร้องไห้เล่า? เจ้าไม่เห็นรอยหยดน้ำที่แต้มนั่นรึ? "

       ไม่เพียงเฟยจิ่ง เป็นใครก็ต้องนึกสงสัย เมื่อตัวหน้ากากสีดำราบเรียบในมือจิ้นเฟยนั้นนอกจากรอบดวงตาที่ถูกวาดด้วยสีทองบางๆแล้ว ยังมีจุดหนึ่งที่พิเศษเด่นชัด นั่นคือรูปหยดน้ำสีขาวที่วาดแต้มอยู่ใต้ตาซ้าย ดังนั้นร้อยทั้งร้อยหากถูกถามว่าหน้ากากอันนี้กำลังแสดงอารมณ์เช่นไรอยู่ก็ล้วนต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันแน่

       ทว่า จิ้นเฟยที่มักโต้ตอบคำได้อย่างว่องไวหลังได้ยินคำตอบกลับของเฟยจิ่งก็นิ่งไปชั่วอึดใจ ก่อนจะว่าตอบด้วยน้ำเสียงติดขบขัน

       "หน้ากากน่ะ มันไม่ร้องไห้หรอกนะลุง"

       พูดจบจิ้นเฟยก็ไม่ได้ขยายคำต่อ ทางเฟยจิ่งเองก็ไม่ได้ต่อคำ เขามองดูจิ้นเฟยเดินกลับไปจ่ายเงินเงียบๆ โดยในใจลอบครุ่นคิดบางสิ่ง

       เมื่อครู่นี้...เพียงชั่วขณะสั้นๆที่วิญญาณสาวนิ่งไปด้วยอาการคล้ายเหม่อลอย เพียงชั่วอึดใจก่อนที่ความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายจะส่งผ่านมา

       ...ตัวตนและจิตวิญญาณของจิ้นเฟยได้หายไปจากการรับรู้ของเขาโดยสิ้นเชิง...

       แต่เพราะเป็นแค่ช่วงสั้นๆเขาจึงไม่อาจแน่ใจอะไร อีกทั้งอีกฝ่ายเองก็ดูจะไม่รู้ตัวด้วย เฟยจิ่งจึงตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน

       ฝ่ายจิ้นเฟย ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ได้เลือกซื้อหน้ากากสีขาวเงินครึ่งหน้ากับหน้ากากสีดำที่มีลายแต้มหยดน้ำใต้ตามา หลังจ่ายเงินเสร็จก็จัดแจงเอาหน้ากากทั้งสองอันซุกใส่อกเสื้อแล้วออกเดินเที่ยวตลาดต่อ โดยจุดมุ่งหมายถัดไปคือจุดที่มีประชากรตัวเล็กตัวน้อยยืนออกันอยู่ และเมื่อไปถึงจิ้นเฟยก็ไม่ผิดหวังเมื่อพบว่ามันคือแผงร้านน้ำตาลปั้นเสียบไม้นั่นเอง

       ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มผิวค่อนข้างคล้ำท่าทางทะมัดทะแมงใช้กระบวยตักน้ำตาลเคี่ยวตวัดวาดภาพลงบนแผ่นเหล็กที่ถูกขัดจนเงาวับ ท่ามกลางเสียงร้องอย่างตื่นเต้นของพวกเด็กๆ ไม่นานภาพผีเสื้อสีทองสยายปีกเกาะไม้ก็เสร็จสิ้น จิ้นเฟยก็ยืนดูเพลินๆ พลางพูดคุยกับเฟยจิ่งในใจ

       “ฉันไม่ได้เห็นน้ำตาลปั้นมานานแล้วนะเนี่ย ยุคของฉันขนมพวกนี้แทบจะสาบสูญไปหมดแล้ว นานๆทีถึงจะได้เจอสักครั้ง แหม คิดถึงจัง”

       “สาบสูญ? เป็นเพราะเหตุใด?”น้ำเสียงข้องใจของเฟยจิ่งเรียกรอยยิ้มจนใจจากคนเปิดประเด็น

       “เรื่องนี้มันช่วยไม่ได้ล่ะนะ ยุคของฉันเป็นยุคที่พวกขนมตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลชนิดเรียกได้ว่าแทบจะครอบงำ อย่างพวกน้ำตาลปั้นเนี่ยก็โดนกระแสพวกลูกอมของทางตะวันตกกลบซะมิด คงเพราะพวกน้ำตาลปั้นนี่ต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำแต่ละอัน ขณะที่พวกลูกอมมีแบบสำเร็จรูปให้กินได้เลยล่ะมั้ง? อีกอย่าง ขนมน้ำตาลปั้นมีรสชาติไม่หลากหลายเท่าพวกลูกอมหรืออมยิ้มด้วย”

       “ลูกอม? อมยิ้ม?”เสียงสอบถามที่คล้ายรอคำอธิบายทำให้จิ้นเฟยต้องเกาหัวแกรกๆ

       “อ่า มันก็คล้ายๆน้ำตาลปั้นนั่นแหละ แต่จะมีรสชาติอื่นผสมด้วย อธิบายลำบากแฮะ ไว้มีโอกาสฉันจะลองทำให้ลุงกินแล้วกัน”

       “อืม”เฟยจิ่งที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่ซักไซ้ต่อ

       บทสนทนาของทั้งคู่สิ้นสุดลงตรงนี้เมื่อกลุ่มเด็กน้อยต่างพากันแยกย้ายไป ภาพบ้างจูงมือพ่อแม่ บ้างจูงมือพี่น้อง ชวนให้รู้สึกอบอุ่นและน่าอิจฉายังไงบอกไม่ถูก จิ้นเฟยเดินตรงไปหาคนขายซึ่งมองใกล้ๆแล้วตัวใหญ่ราวกับภูเขา อีกฝ่ายสวมเสื้อป่านสีซีดๆดูเรียบๆ แต่นั่นไม่อาจปกปิดกล้ามเนื้อแกร่งที่ซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้าได้

       “นี่คนขายน้ำตาลปั้นหรือนักมวยปล้ำเนี่ย?”จิ้นเฟยคิดในใจขำๆ ขณะที่เฟยจิ่งไม่ได้สอบถามว่านักมวยปล้ำคืออะไรอย่างที่ชอบถามเมื่อได้ยินคำที่ไม่เข้าใจ เขาพินิจร่างกายคนขายน้ำตาลปั้นอย่างละเอียดแล้วมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แม้จะอ่อนด้อยกว่าตัวเขาในยามนี้อยู่หลายขั้น แต่ฝีมือก็จัดว่าอยู่ในระดับสูง คนเช่นนี้ย่อมไม่ใช่คนขายน้ำตาลปั้นธรรมดาๆเป็นแน่

       จิ้นเฟยที่ไม่รับรู้ความคิดเฟยจิ่งก็สอบถามราคาจากคนขายน้ำตาลปั้นที่กำลังเตรียมน้ำตาลเคี่ยว เมื่อฟังคำตอบพบว่าไม่แพงเลยจึงถามต่อด้วยท่าทางสนใจ

       “พี่ชาย ท่านสามารถทำน้ำตาลปั้นเป็นรูปใดได้บ้าง?”

       “ขอแค่เป็นสิ่งที่ข้ารู้จัก ย่อมสามารถทำได้”ผู้ถูกเรียกว่าพี่ชายก้มหน้ากวนน้ำตาลในกระทะเล็กพลางตอบเสียงเบา จิ้นเฟยได้ยินอย่างนั้นก็ว่าอย่างนึกสนุก

       “เช่นนั้นข้าอยากได้ท่าน”

       มือที่กวนน้ำตาลอยู่ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนเจ้าของมือจะเงยหน้ามองคนพูดที่ยืนฉีกยิ้มสดใสรอ

       “พี่ชายช่วยวาดน้ำตาลปั้นรูปท่านให้ข้าสักอันเถิด”

       เมื่อได้ยินคำร้องขอนี้ผู้ฟังก็นิ่งอึ้งไป หากพูดตามตรงนี่ย่อมเป็นคำขอที่ไม่ได้เกินเลย ยังคงอยู่ในขอบเขตสิ่งที่ตัวเขารู้จัก และแน่นอนว่าเขาย่อมสามารถวาดรูปตัวเองได้ แต่การจะวาดตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นนำไปแทะกิน ฟังดูแล้วออกจะประหลาดเกินไปหรือไม่? แม้จะสามารถกระทำได้ แต่สมควรกระทำหรือ? ขณะกำลังกลุ้มกับคำขอที่ไม่รู้ควรตัดสินใจอย่างไรก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะ

       “คิก ถ้าท่านลำบากใจ เปลี่ยนเป็นดอกไม้สักดอกแทนแล้วกัน”จิ้นเฟยที่แต่แรกตั้งใจกลั่นแกล้ง เมื่อเห็นสีหน้าคิดหนักของอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและยอมเลิก คนขายน้ำตาลปั้นมีท่าทางโล่งใจ ก่อนสอบถามกลับ

       “เจ้าอยากได้ดอกไม้ชนิดใด”

       “แล้วแต่พี่ชายเห็นสมควรเถิด”จิ้นเฟยตอบอย่างไม่เรื่องมาก คนขายน้ำตาลปั้นได้ยินเช่นนั้นก็เงียบคิดอยู่อึดใจ ก่อนเริ่มตวัดกระบวยวาด จิ้นเฟยเห็นอีกฝ่ายลงมือแล้วก็รีบมองดู พลางนึกลุ้นว่าภาพที่ออกมาจะเป็นอะไร

       เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ จิ้นเฟยก็รับน้ำตาลปั้นขนาดครึ่งฝ่ามือมาหมุนดูพลางเลิกคิ้วสูง

       “ดอกทานตะวัน?”

       “เจ้ารู้จักหรือ?”คนขายน้ำตาลปั้นถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยแฝงแววแปลกใจ ซึ่งเมื่อได้ยินคำถามจิ้นเฟยก็พยักหน้าให้อย่างตรงไปตรงมา

       “ข้าเคยเห็นอยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าที่นี่จะมีเช่นกัน”ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็ส่ายหัวให้

       “มิใช่ ดอกไม้นี้ข้าเพียงพบเห็นยามเดินทาง แม้แต่นามของมันข้าก็ไม่ทราบ”

       จิ้นเฟยฟังไปพยักหน้าไป แต่สองตายังมองดอกทานตะวันดอกเล็กในมือ กลีบซ้อนสีเหลืองเรียงตัวสวยกับแกนกลางที่วาดได้กลมเด่นน่ามอง ให้ความรู้สึกคล้ายดวงตะวันจริงๆ จนอดยิ้มอย่างถูกใจไม่ได้ ปากเอ่ยถามอีกฝ่ายไปอย่างไม่คิดอะไร

       “เช่นนั้นท่านทราบความหมายของมันหรือไม่?”

       “ความหมาย?”สีหน้าฉงนบ่งบอกถึงคำตอบได้เป็นอย่างดี จิ้นเฟยเห็นท่าทางนั้นก็ซ่อนยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงลึกลับ

       “ดอกไม้ชนิดนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นดอกไม้ที่ดื้อดึงที่สุดในแผ่นดิน”

       “ดอกไม้ที่ดื้อดึง? เพราะเหตุใด”น้ำเสียงสงสัยแฝงความใคร่รู้เรียกรอยยิ้มบางจากจิ้นเฟย ก่อนเจ้าตัวจะว่าเสียงนุ่มนวล

       “เพราะมันมองตามแค่เพียงดวงตะวัน ไม่ว่าแสงหิ่งห้อย แสงจันทรา หรือแสงจากตะเกียง ก็ไม่อาจทำให้มันหันมองได้”

       จิ้นเฟยก้มมองดูดอกทานตะวันที่หมุนเล่นในมือพลางยิ้มอ่อน

       “ไม่ว่าแสงรอบข้างจะโดดเด่น หรืออบอุ่นชวนมองมากเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้เจ้าดอกทานตะวันที่แสนดื้อดึงนี้เปลี่ยนใจ มันยังคงมั่นคงซื่อสัตย์ภักดีต่อดวงตะวันเพียงผู้เดียว แม้รู้ดีว่าดวงตะวันนั้นไม่มีทางหันมามองมันก็ตาม”พูดถึงตรงนี้จิ้นเฟยก็เงยหน้าพลางฉีกยิ้มกว้างให้คนฟัง

       “เป็นดอกไม้ที่ดื้อดึงมากใช่หรือไม่?”

       รอยยิ้มที่สดใสดุจแสงตะวันทำให้ผู้ได้ยลเหม่อมองอยู่ครู่ใหญ่ ปากก็ตอบไปอย่างเผลอไผล

       “ใช่ ช่างดื้อดึงนัก”

       จิ้นเฟยที่เริ่มรู้สึกตัวว่าเผลอคุยกับอีกฝ่ายซะนานก็รีบจ่ายเงิน ก่อนโบกมือลาคนขายน้ำตาลปั้นด้วยใบหน้าเริงร่า

       “ไว้เจอกันใหม่นะ พี่ชายน้ำตาลปั้น”

       หลังเดินห่างออกมาพอสมควรจิ้นเฟยก็ลดรอยยิ้มลง แล้วส่งเสียงถามคนที่เงียบหายไปพักใหญ่

       “ลุงเฟย เป็นอะไรไปเหรอ? เห็นเงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”

       “เจ้าคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นอย่างไร?”เฟยจิ่งที่นิ่งเงียบไปนานถามขึ้นด้วยน้ำเสียงยากคาดเดาอารมณ์ ซึ่งจิ้นเฟยก็ตอบคำแทบจะทันที

       “กล้ามเยอะน่าซบ”

       “เจ้า!”ได้ยินคำตอบไม่น่าฟังเฟยจิ่งก็ร้องออกมาคำหนึ่ง ในใจนึกอยากฟาดเจ้าเด็กหน้าไม่อายนี่ให้รู้สำนึก ฝ่ายจิ้นเฟยที่แหย่กวนอารมณ์คนได้สำเร็จก็ยิ้มเผล่ก่อนแก้คำ

       “ล้อเล่นน่า ก็ดูธรรมดา หน้าตาไม่ถึงกับหล่อ แต่ก็ไม่ขี้เหร่ มีกล้ามเนื้ออย่างคนออกกำลังกายประจำ ทำไมเหรอ?”

       จิ้นเฟยตอบพลางคิดถึงใบหน้าที่ไม่มีส่วนใดโดดเด่นของคนขายน้ำตาลปั้น ไม่ว่าจะเป็นผิวสีคล้ำซึ่งรับกับเส้นผมดำตัดสั้นที่ดูยุ่งๆ นัยน์ตาสีเดียวกันที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ หรือจมูกแคบกับริมฝีปากที่ไม่หนาไม่บาง ไม่ว่าจะมองส่วนไหนก็ไม่มีจุดเด่นให้จดจำแม้แต่น้อย แต่สีหน้าเรียบเฉยกับท่าทางนิ่งเงียบตลอดเวลาของอีกฝ่ายก็ชวนให้รู้สึกอยากกลั่นแกล้งอย่างบอกไม่ถูก

       ฝ่ายเฟยจิ่ง หลังฟังคำตอบแล้วก็หน้าบึ้ง ก่อนกล่าวแก้ข้อสงสัยให้อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเข้ม

       “เจ้าหนุ่มนั่นมีวรยุทธ์”

       “อ้อ แล้ว?”จิ้นเฟยตอบรับอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากไม่เข้าใจความสำคัญของวรยุทธ์ เฟยจิ่งเห็นอย่างนั้นก็นึกโกรธเคือง

       “เจ้าคิดว่าวรยุทธ์เป็นสิ่งที่อยากฝึกก็ฝึกได้รึ? เจ้าต้องอาศัยทั้งความสามารถ โชค และวาสนา! เจ้าหนุ่มนั่นอายุยังน้อยแต่มีวรยุทธ์ในระดับขั้นที่ไม่ธรรมดา คนประเภทนั้นย่อมมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน”

       “อ้อ อย่างนี้นี่เอง”หลังโดนเทศน์ยกหนึ่งจิ้นเฟยก็เข้าใจในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เพราะตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรู เรื่องจะเป็นใครมาจากไหนย่อมไม่สำคัญ

       ความคิดเรียบง่ายที่ส่งตรงมาพาให้เฟยจิ่งนึกอยากตำหนิ แต่ก็ไม่อาจโต้แย้ง เมื่อจริงดังเจ้าเด็กโง่ว่า ยามนี้อีกฝ่ายหาใช่ศัตรูย่อมไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากความ แต่แม้จะคิดเช่นนั้นเขาก็ยังคงกดหัวคิ้วลงอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก

       ภาวนาให้เจ้าหนุ่มนั่นอย่าได้เป็นศัตรูก็แล้วกัน


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×