คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทห้า ดอกไม้ที่ดื้อดึง
เมื่อจัดการอาหารทั้งหมดเสร็จวิญญาณทั้งสองก็ได้ออกเที่ยวตลาดต่อ
ทางจิ้นเฟยที่ได้รับอนุญาตจากเฟยจิ่งแล้วก็ได้เดินตรงดิ่งไปยังร้านขายหน้ากากที่เล็งไว้เป็นอันดับแรกด้วยความเริงร่า
ที่ร้านนั้นมีหน้ากากวางขายหลายรูปแบบ ทั้งแบบครึ่งหน้า แบบเต็มหน้า
และแบบหัวสวม จิ้นเฟยหยิบหน้ากากรูปหมูเต็มหน้ามาลองใส่อย่างนึกสนุก ก่อนจะขอกระจกจากพ่อค้ามาส่องดู
ซึ่งเมื่อเห็นภาพใบหน้าหล่อๆของตนเปลี่ยนเป็นหน้าหมูแก้มย้วยสีชมพูปลั่งฉีกยิ้มกว้างจิ้นเฟยก็หลุดหัวเราะขำยกใหญ่
ก่อนชี้ชวนให้เฟยจิ่งดูบ้าง
"ดูนี่สิลุงเฟย เป็นไง
อย่างนี้หล่อรึเปล่า?"คำถามหยอกล้อผสานเสียงหัวเราะเจือมาพาให้เฟยจิ่งที่มองดูเหตุการณ์จากภายในลอบส่ายหัวอย่างระอากับการเล่นเป็นเด็กๆของวิญญาณอีกดวง
หลังถอดหน้ากากหมูออกจิ้นเฟยก็เดินดูหน้ากากในร้านต่อ
ระหว่างทางก็หยิบจับหน้ากากอีกสองสามอันมาใส่เล่นด้วยความเบิกบาน สุดท้ายแล้วเจ้าตัวก็เลือกหน้ากากสีขาวเงินเรียบๆอันหนึ่งมาเตรียมจ่าย
เฟยจิ่งมองดูหน้ากากที่จิ้นเฟยเลือกมา ลักษณะเป็นแบบครึ่งหน้าซึ่งปกปิดกระทั่งดวงตา
อาจเพราะมีสีออกเงิน หน้ากากอันนี้จึงให้ความรู้สึกเย็นชาสูงส่ง
ขณะที่เฟยจิ่งละความสนใจ จิ้นเฟยที่กำลังจะจ่ายเงินก็บังเอิญสะดุดตาเข้ากับหน้ากากสีดำแบบเต็มหน้าอันหนึ่งที่แขวนอยู่ริมด้านในแผงอย่างไม่เป็นที่สังเกต
ไม่ทันรู้ตัวสองขาก็ก้าวเข้าไปชิดใกล้ จิ้นเฟยหยิบหน้ากากอันนั้นขึ้นมาพินิจดูครู่หนึ่ง
แล้วเปรยถามเฟยจิ่งเสียงเรียบเฉย
"นี่ลุงเฟย
ลุงว่าหน้ากากอันนี้กำลังโกรธหรือยิ้มอยู่กันแน่นะ?"
เฟยจิ่งลอบมุ่นคิ้วกับคำถามไร้สาระ
คิดจะต่อว่าแต่เมื่อเหลือบมองพิจารณาหน้ากากที่ไร้อารมณ์ตรงหน้าดีๆก็ต้องขมวดคิ้วแน่น
"เหตุใดเจ้าจึงไม่คิดว่าหน้ากากนี่กำลังร้องไห้เล่า? เจ้าไม่เห็นรอยหยดน้ำที่แต้มนั่นรึ?
"
ไม่เพียงเฟยจิ่ง เป็นใครก็ต้องนึกสงสัย
เมื่อตัวหน้ากากสีดำราบเรียบในมือจิ้นเฟยนั้นนอกจากรอบดวงตาที่ถูกวาดด้วยสีทองบางๆแล้ว
ยังมีจุดหนึ่งที่พิเศษเด่นชัด นั่นคือรูปหยดน้ำสีขาวที่วาดแต้มอยู่ใต้ตาซ้าย
ดังนั้นร้อยทั้งร้อยหากถูกถามว่าหน้ากากอันนี้กำลังแสดงอารมณ์เช่นไรอยู่ก็ล้วนต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันแน่
ทว่า จิ้นเฟยที่มักโต้ตอบคำได้อย่างว่องไวหลังได้ยินคำตอบกลับของเฟยจิ่งก็นิ่งไปชั่วอึดใจ
ก่อนจะว่าตอบด้วยน้ำเสียงติดขบขัน
"หน้ากากน่ะ มันไม่ร้องไห้หรอกนะลุง"
พูดจบจิ้นเฟยก็ไม่ได้ขยายคำต่อ ทางเฟยจิ่งเองก็ไม่ได้ต่อคำ เขามองดูจิ้นเฟยเดินกลับไปจ่ายเงินเงียบๆ
โดยในใจลอบครุ่นคิดบางสิ่ง
เมื่อครู่นี้...เพียงชั่วขณะสั้นๆที่วิญญาณสาวนิ่งไปด้วยอาการคล้ายเหม่อลอย
เพียงชั่วอึดใจก่อนที่ความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายจะส่งผ่านมา
...ตัวตนและจิตวิญญาณของจิ้นเฟยได้หายไปจากการรับรู้ของเขาโดยสิ้นเชิง...
แต่เพราะเป็นแค่ช่วงสั้นๆเขาจึงไม่อาจแน่ใจอะไร อีกทั้งอีกฝ่ายเองก็ดูจะไม่รู้ตัวด้วย
เฟยจิ่งจึงตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้ก่อน
ฝ่ายจิ้นเฟย
ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็ได้เลือกซื้อหน้ากากสีขาวเงินครึ่งหน้ากับหน้ากากสีดำที่มีลายแต้มหยดน้ำใต้ตามา
หลังจ่ายเงินเสร็จก็จัดแจงเอาหน้ากากทั้งสองอันซุกใส่อกเสื้อแล้วออกเดินเที่ยวตลาดต่อ
โดยจุดมุ่งหมายถัดไปคือจุดที่มีประชากรตัวเล็กตัวน้อยยืนออกันอยู่
และเมื่อไปถึงจิ้นเฟยก็ไม่ผิดหวังเมื่อพบว่ามันคือแผงร้านน้ำตาลปั้นเสียบไม้นั่นเอง
ภาพที่เห็นคือชายหนุ่มผิวค่อนข้างคล้ำท่าทางทะมัดทะแมงใช้กระบวยตักน้ำตาลเคี่ยวตวัดวาดภาพลงบนแผ่นเหล็กที่ถูกขัดจนเงาวับ ท่ามกลางเสียงร้องอย่างตื่นเต้นของพวกเด็กๆ ไม่นานภาพผีเสื้อสีทองสยายปีกเกาะไม้ก็เสร็จสิ้น จิ้นเฟยก็ยืนดูเพลินๆ พลางพูดคุยกับเฟยจิ่งในใจ
“ฉันไม่ได้เห็นน้ำตาลปั้นมานานแล้วนะเนี่ย
ยุคของฉันขนมพวกนี้แทบจะสาบสูญไปหมดแล้ว นานๆทีถึงจะได้เจอสักครั้ง แหม คิดถึงจัง”
“สาบสูญ? เป็นเพราะเหตุใด?”น้ำเสียงข้องใจของเฟยจิ่งเรียกรอยยิ้มจนใจจากคนเปิดประเด็น
“เรื่องนี้มันช่วยไม่ได้ล่ะนะ
ยุคของฉันเป็นยุคที่พวกขนมตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลชนิดเรียกได้ว่าแทบจะครอบงำ
อย่างพวกน้ำตาลปั้นเนี่ยก็โดนกระแสพวกลูกอมของทางตะวันตกกลบซะมิด คงเพราะพวกน้ำตาลปั้นนี่ต้องใช้เวลาพอสมควรในการทำแต่ละอัน
ขณะที่พวกลูกอมมีแบบสำเร็จรูปให้กินได้เลยล่ะมั้ง? อีกอย่าง ขนมน้ำตาลปั้นมีรสชาติไม่หลากหลายเท่าพวกลูกอมหรืออมยิ้มด้วย”
“ลูกอม? อมยิ้ม?”เสียงสอบถามที่คล้ายรอคำอธิบายทำให้จิ้นเฟยต้องเกาหัวแกรกๆ
“อ่า มันก็คล้ายๆน้ำตาลปั้นนั่นแหละ
แต่จะมีรสชาติอื่นผสมด้วย… อธิบายลำบากแฮะ
ไว้มีโอกาสฉันจะลองทำให้ลุงกินแล้วกัน”
“อืม”เฟยจิ่งที่ได้ยินแบบนั้นก็ไม่ซักไซ้ต่อ
บทสนทนาของทั้งคู่สิ้นสุดลงตรงนี้เมื่อกลุ่มเด็กน้อยต่างพากันแยกย้ายไป
ภาพบ้างจูงมือพ่อแม่ บ้างจูงมือพี่น้อง
ชวนให้รู้สึกอบอุ่นและน่าอิจฉายังไงบอกไม่ถูก จิ้นเฟยเดินตรงไปหาคนขายซึ่งมองใกล้ๆแล้วตัวใหญ่ราวกับภูเขา
อีกฝ่ายสวมเสื้อป่านสีซีดๆดูเรียบๆ แต่นั่นไม่อาจปกปิดกล้ามเนื้อแกร่งที่ซ่อนอยู่ใต้เนื้อผ้าได้
“นี่คนขายน้ำตาลปั้นหรือนักมวยปล้ำเนี่ย?”จิ้นเฟยคิดในใจขำๆ
ขณะที่เฟยจิ่งไม่ได้สอบถามว่านักมวยปล้ำคืออะไรอย่างที่ชอบถามเมื่อได้ยินคำที่ไม่เข้าใจ
เขาพินิจร่างกายคนขายน้ำตาลปั้นอย่างละเอียดแล้วมั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์
แม้จะอ่อนด้อยกว่าตัวเขาในยามนี้อยู่หลายขั้น แต่ฝีมือก็จัดว่าอยู่ในระดับสูง
คนเช่นนี้ย่อมไม่ใช่คนขายน้ำตาลปั้นธรรมดาๆเป็นแน่
จิ้นเฟยที่ไม่รับรู้ความคิดเฟยจิ่งก็สอบถามราคาจากคนขายน้ำตาลปั้นที่กำลังเตรียมน้ำตาลเคี่ยว
เมื่อฟังคำตอบพบว่าไม่แพงเลยจึงถามต่อด้วยท่าทางสนใจ
“พี่ชาย
ท่านสามารถทำน้ำตาลปั้นเป็นรูปใดได้บ้าง?”
“ขอแค่เป็นสิ่งที่ข้ารู้จัก
ย่อมสามารถทำได้”ผู้ถูกเรียกว่า‘พี่ชาย’ก้มหน้ากวนน้ำตาลในกระทะเล็กพลางตอบเสียงเบา
จิ้นเฟยได้ยินอย่างนั้นก็ว่าอย่างนึกสนุก
“เช่นนั้นข้าอยากได้ท่าน”
มือที่กวนน้ำตาลอยู่ชะงักไปชั่วขณะ
ก่อนเจ้าของมือจะเงยหน้ามองคนพูดที่ยืนฉีกยิ้มสดใสรอ
“พี่ชายช่วยวาดน้ำตาลปั้นรูปท่านให้ข้าสักอันเถิด”
เมื่อได้ยินคำร้องขอนี้ผู้ฟังก็นิ่งอึ้งไป
หากพูดตามตรงนี่ย่อมเป็นคำขอที่ไม่ได้เกินเลย ยังคงอยู่ในขอบเขต‘สิ่งที่ตัวเขารู้จัก’ และแน่นอนว่าเขาย่อมสามารถวาดรูปตัวเองได้ แต่การจะวาดตัวเองเพื่อให้ผู้อื่นนำไปแทะกิน
ฟังดูแล้วออกจะประหลาดเกินไปหรือไม่? แม้จะสามารถกระทำได้ แต่สมควรกระทำหรือ? ขณะกำลังกลุ้มกับคำขอที่ไม่รู้ควรตัดสินใจอย่างไรก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะ
“คิก ถ้าท่านลำบากใจ เปลี่ยนเป็นดอกไม้สักดอกแทนแล้วกัน”จิ้นเฟยที่แต่แรกตั้งใจกลั่นแกล้ง
เมื่อเห็นสีหน้าคิดหนักของอีกฝ่ายก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและยอมเลิก
คนขายน้ำตาลปั้นมีท่าทางโล่งใจ ก่อนสอบถามกลับ
“เจ้าอยากได้ดอกไม้ชนิดใด”
“แล้วแต่พี่ชายเห็นสมควรเถิด”จิ้นเฟยตอบอย่างไม่เรื่องมาก
คนขายน้ำตาลปั้นได้ยินเช่นนั้นก็เงียบคิดอยู่อึดใจ ก่อนเริ่มตวัดกระบวยวาด
จิ้นเฟยเห็นอีกฝ่ายลงมือแล้วก็รีบมองดู พลางนึกลุ้นว่าภาพที่ออกมาจะเป็นอะไร
เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการ
จิ้นเฟยก็รับน้ำตาลปั้นขนาดครึ่งฝ่ามือมาหมุนดูพลางเลิกคิ้วสูง
“ดอกทานตะวัน?”
“เจ้ารู้จักหรือ?”คนขายน้ำตาลปั้นถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยแฝงแววแปลกใจ
ซึ่งเมื่อได้ยินคำถามจิ้นเฟยก็พยักหน้าให้อย่างตรงไปตรงมา
“ข้าเคยเห็นอยู่บ้าง แต่ไม่คิดว่าที่นี่จะมีเช่นกัน”ได้ยินอย่างนั้นคนฟังก็ส่ายหัวให้
“มิใช่ ดอกไม้นี้ข้าเพียงพบเห็นยามเดินทาง
แม้แต่นามของมันข้าก็ไม่ทราบ”
จิ้นเฟยฟังไปพยักหน้าไป
แต่สองตายังมองดอกทานตะวันดอกเล็กในมือ กลีบซ้อนสีเหลืองเรียงตัวสวยกับแกนกลางที่วาดได้กลมเด่นน่ามอง
ให้ความรู้สึกคล้ายดวงตะวันจริงๆ จนอดยิ้มอย่างถูกใจไม่ได้
ปากเอ่ยถามอีกฝ่ายไปอย่างไม่คิดอะไร
“เช่นนั้นท่านทราบความหมายของมันหรือไม่?”
“ความหมาย?”สีหน้าฉงนบ่งบอกถึงคำตอบได้เป็นอย่างดี
จิ้นเฟยเห็นท่าทางนั้นก็ซ่อนยิ้มแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงลึกลับ
“ดอกไม้ชนิดนี้ถูกกล่าวขานว่าเป็นดอกไม้ที่ดื้อดึงที่สุดในแผ่นดิน”
“ดอกไม้ที่ดื้อดึง? เพราะเหตุใด”น้ำเสียงสงสัยแฝงความใคร่รู้เรียกรอยยิ้มบางจากจิ้นเฟย
ก่อนเจ้าตัวจะว่าเสียงนุ่มนวล
“เพราะมันมองตามแค่เพียงดวงตะวัน
ไม่ว่าแสงหิ่งห้อย แสงจันทรา หรือแสงจากตะเกียง ก็ไม่อาจทำให้มันหันมองได้”
จิ้นเฟยก้มมองดูดอกทานตะวันที่หมุนเล่นในมือพลางยิ้มอ่อน
“ไม่ว่าแสงรอบข้างจะโดดเด่น
หรืออบอุ่นชวนมองมากเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้เจ้าดอกทานตะวันที่แสนดื้อดึงนี้เปลี่ยนใจ
มันยังคงมั่นคงซื่อสัตย์ภักดีต่อดวงตะวันเพียงผู้เดียว แม้รู้ดีว่าดวงตะวันนั้นไม่มีทางหันมามองมันก็ตาม…”พูดถึงตรงนี้จิ้นเฟยก็เงยหน้าพลางฉีกยิ้มกว้างให้คนฟัง
“เป็นดอกไม้ที่ดื้อดึงมากใช่หรือไม่?”
รอยยิ้มที่สดใสดุจแสงตะวันทำให้ผู้ได้ยลเหม่อมองอยู่ครู่ใหญ่
ปากก็ตอบไปอย่างเผลอไผล
“…ใช่ ช่างดื้อดึงนัก”
จิ้นเฟยที่เริ่มรู้สึกตัวว่าเผลอคุยกับอีกฝ่ายซะนานก็รีบจ่ายเงิน
ก่อนโบกมือลาคนขายน้ำตาลปั้นด้วยใบหน้าเริงร่า
“ไว้เจอกันใหม่นะ
พี่ชายน้ำตาลปั้น”
หลังเดินห่างออกมาพอสมควรจิ้นเฟยก็ลดรอยยิ้มลง
แล้วส่งเสียงถามคนที่เงียบหายไปพักใหญ่
“ลุงเฟย เป็นอะไรไปเหรอ?
เห็นเงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
“เจ้าคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นอย่างไร?”เฟยจิ่งที่นิ่งเงียบไปนานถามขึ้นด้วยน้ำเสียงยากคาดเดาอารมณ์
ซึ่งจิ้นเฟยก็ตอบคำแทบจะทันที
“กล้ามเยอะน่าซบ”
“เจ้า!”ได้ยินคำตอบไม่น่าฟังเฟยจิ่งก็ร้องออกมาคำหนึ่ง
ในใจนึกอยากฟาดเจ้าเด็กหน้าไม่อายนี่ให้รู้สำนึก
ฝ่ายจิ้นเฟยที่แหย่กวนอารมณ์คนได้สำเร็จก็ยิ้มเผล่ก่อนแก้คำ
“ล้อเล่นน่า ก็ดูธรรมดา
หน้าตาไม่ถึงกับหล่อ แต่ก็ไม่ขี้เหร่ มีกล้ามเนื้ออย่างคนออกกำลังกายประจำ
ทำไมเหรอ?”
จิ้นเฟยตอบพลางคิดถึงใบหน้าที่ไม่มีส่วนใดโดดเด่นของคนขายน้ำตาลปั้น
ไม่ว่าจะเป็นผิวสีคล้ำซึ่งรับกับเส้นผมดำตัดสั้นที่ดูยุ่งๆ นัยน์ตาสีเดียวกันที่ไม่เล็กไม่ใหญ่
หรือจมูกแคบกับริมฝีปากที่ไม่หนาไม่บาง ไม่ว่าจะมองส่วนไหนก็ไม่มีจุดเด่นให้จดจำแม้แต่น้อย
แต่สีหน้าเรียบเฉยกับท่าทางนิ่งเงียบตลอดเวลาของอีกฝ่ายก็ชวนให้รู้สึกอยากกลั่นแกล้งอย่างบอกไม่ถูก
ฝ่ายเฟยจิ่ง หลังฟังคำตอบแล้วก็หน้าบึ้ง
ก่อนกล่าวแก้ข้อสงสัยให้อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเข้ม
“เจ้าหนุ่มนั่นมีวรยุทธ์”
“อ้อ แล้ว?”จิ้นเฟยตอบรับอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่
เนื่องจากไม่เข้าใจความสำคัญของวรยุทธ์ เฟยจิ่งเห็นอย่างนั้นก็นึกโกรธเคือง
“เจ้าคิดว่าวรยุทธ์เป็นสิ่งที่อยากฝึกก็ฝึกได้รึ?
เจ้าต้องอาศัยทั้งความสามารถ โชค และวาสนา! เจ้าหนุ่มนั่นอายุยังน้อยแต่มีวรยุทธ์ในระดับขั้นที่ไม่ธรรมดา
คนประเภทนั้นย่อมมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง”หลังโดนเทศน์ยกหนึ่งจิ้นเฟยก็เข้าใจในที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ เพราะตราบใดที่อีกฝ่ายไม่ใช่ศัตรู
เรื่องจะเป็นใครมาจากไหนย่อมไม่สำคัญ
ความคิดเรียบง่ายที่ส่งตรงมาพาให้เฟยจิ่งนึกอยากตำหนิ
แต่ก็ไม่อาจโต้แย้ง เมื่อจริงดังเจ้าเด็กโง่ว่า ยามนี้อีกฝ่ายหาใช่ศัตรูย่อมไม่จำเป็นต้องกังวลให้มากความ
แต่แม้จะคิดเช่นนั้นเขาก็ยังคงกดหัวคิ้วลงอย่างไม่ใคร่สบายใจนัก
ภาวนาให้เจ้าหนุ่มนั่นอย่าได้เป็นศัตรูก็แล้วกัน
ความคิดเห็น