คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทสี่ หนีเที่ยว
ยามเที่ยงวันที่อากาศร้อนระอุ ณ
ท้ายวังหลวงอันเป็นจุดที่มีเวรยามเบาบางที่สุดได้มีเงาร่างหนึ่งวิ่งไต่กำแพงสูงด้วยความรวดเร็ว
มือเรียวสองข้างคว้าขอบกำแพงเอาไว้ก่อนดันตัวขึ้นชะเง้อมองรอบข้าง ดวงตาสีดำเป็นประกายวาววับกลอกสำรวจความปลอดภัย
ก่อนรีบหดศีรษะหลบเมื่อเห็นเงาร่างหนึ่งเลี้ยวผ่าน
หูได้ยินเสียงฝีเท้าหนักคู่หนึ่งเดินย่ำผ่านไป
หลังมั่นใจว่าบริเวณรอบข้างไม่มีใครอยู่แล้วร่างนั้นก็ดีดตัวขึ้นเหนือกำแพงด้วยฝีเท้าเงียบกริบ
ก่อนหันไปพูดเสียงกึ่งกระซิบกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง
"พี่ถังจู พี่เป้ยฉี
ข้าไปก่อนนะ"
เสียงทุ้มพร่าแตกเนื้อหนุ่มได้ดังขึ้นเหนือกำแพงวังหลวง
ร่างโปร่งของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนหันเสี้ยวหน้ามาส่งยิ้มสดใสให้กับหญิงสาวสองคนในชุดนางกำนัลซึ่งยืนส่งอยู่ด้านล่าง
"น้อมส่งองค์ชายเก้าเพคะ"หญิงสาวที่มีบุคลิกนิ่งสงบเอ่ยเสียงเบาพร้อมโน้มศีรษะลง
ขณะที่หญิงสาวอีกคนซึ่งตัวเล็กกว่าเพียงโบกมือส่งร่างโปร่งด้วยท่าทางร่าเริง
"เดินทางดีๆนะเพคะองค์ชาย
อย่าลืมซื้อขนมมาฝากหม่อมฉันด้วยนะเพคะ"
"ถังจู!"เป้ยฉีร้องดุขึ้นมาเมื่อนางกำนัลรุ่นน้องเริ่มทำตัวลามปาม
ฝ่ายที่โดนดุหดคอลงจนคนมองเหตุการณ์อยู่หลุดหัวเราะเบาๆ
"ฮึๆ
พี่เป้ยฉีไม่ต้องดุพี่ถังจูหรอก ข้าสัญญาว่าจะกลับมาก่อนค่ำ
และจะซื้อขนมมาให้พวกพี่ด้วย งั้นข้าไปล่ะนะ"
คำกล่าวลาสุดท้ายสิ้นสุดลงพร้อมร่างโปร่งที่กระโดดหายลับไปหลังกำแพง
เป้ยฉีและถังจูสองนางกำนัลประจำตำหนักตวนหมิงมองส่งเจ้านายตัวน้อยของพวกนางที่วันนี้ได้แอบหนีออกไปเที่ยวนอกวังเป็นครั้งแรก
อันที่จริงพวกนางก็ไม่ได้สนับสนุนนัก แต่ก็ไม่อาจกล่าวห้ามได้
ยิ่งวันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองครบรอบสี่สิบสี่ชันษาของฮ่องเต้ ซึ่งตั้งแต่ฮองเฮาองค์ก่อนได้ทรงจากไปองค์ชายน้อยของพวกนางก็เอาแต่เก็บตัวไม่ได้เข้าร่วมงานฉลองใดๆอีกเลย
มาปีนี้ทรงออกปากขอออกไปเที่ยวเล่นนอกวังด้วยองค์เอง
แล้วจะให้พวกนางทำใจแข็งห้ามลงได้อย่างไร?
ถึงจะเป็นกังวลที่องค์ชายทรงออกจากวังไปเพียงลำพังโดยไร้องครักษ์ติดตาม
แต่จะให้ทำเช่นไรเล่า? เรื่องนี้ต้องโทษที่ตำแหน่งขององค์ชายยามนี้เรียกได้ว่าต่ำที่สุดในวังหลวง
หลังหมดเรื่องถังจูและเป้ยฉีก็ได้แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน
พวกนางจัดการทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูตำหนักตวนหมิงอันเงียบเหงา
จะว่าไปนี่ก็เป็นเวลาสองปีแล้วสินะ ที่เจ้านายตัวน้อยของพวกนางได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
เด็กน้อยผู้กราดเกรี้ยวได้กลายเป็นเด็กหนุ่มผู้งามสง่า ทุกๆ
วันองค์ชายเก้าจะแวะเวียนไปยังหอตำราเพื่อยืมหนังสือตำรากลับมาอ่าน
หากว่างก็ทรงนั่งคัดอักษรอย่างมิเกียจคร้าน
ต่างกับยามก่อนครั้งยังเป็นรัชทายาทที่ทรงเอาแต่เที่ยวเล่นหาได้ใส่ใจตำราเรียนไม่
การเปลี่ยนแปลงนี้ช่างน่าประหลาดใจและช่างน่าเศร้านัก
สองนางกำนัลได้แต่นึกสงสัยว่าเหตุใดองค์ชายเฟิงจิ้นจึงมิได้เป็นเช่นนี้ตั้งแต่ต้น
หากทรงปฏิบัติตัวดังเช่นที่เป็นอยู่นี้ตั้งแต่ในวันวานก็คงไม่ต้องตกตระกำลำบากแล้ว
เป้ยฉีที่กำลังตากผ้าหรี่ตามองท้องฟ้าที่วันนี้แสงตะวันส่องแสงแรงจ้ากว่าทุกวันพลางนึกสงสัยว่าตอนนี้ท่านอ๋องน้อยของพวกนางกำลังทำสิ่งใดอยู่กันนะ? หากคาดไม่ผิดองค์ชายเฟิงจิ้นคงกำลังเที่ยวชมตลาดอย่างสนุกสนานอยู่เป็นแน่...
ทางองค์ชายเก้าที่เพิ่งออกจากวังมาครั้งแรกบัดนี้อยู่ในคราบเด็กหนุ่มชาวบ้าน
ซึ่งหลังจากเดินเที่ยวชมร้านรวงต่างๆสักพักเจ้าตัวก็ได้ซื้อพัดลายก้อนเมฆที่มีด้ามจับสีน้ำเงินเข้มจากในตลาดมาเล่มหนึ่ง
ก่อนจะมาลงเอยที่เหลาอาหารซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านตลาด
จิ้นเฟยเลือกที่นั่งชั้นสองริมระเบียงเพื่อหวังชมวิวทิวทัศน์ สองตามองฟ้าที่เริ่มดับแสงและถูกแทนที่แสงเทียนจากโคมไฟพลางเผยยิ้มเล็กๆ
ก่อนหันมาสนใจบรรดาอาหารที่ถูกสั่งมาตั้งเสียเต็มโต๊ะ
มือเรียวขาววาดตะเกียบขยับหวังคีบกุ้งผัดพริกที่อยู่ทางซ้ายมือ
"เจ้าเด็กขี้เกียจ!
กล้าดีอย่างไรหนีการฝึกออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้?"น้ำเสียงดุดันที่ดังขึ้นในหัวกะทันหันทำให้มือที่จับตะเกียบชะงักเล็กน้อย
ก่อนคนฟังจะขยับตะเกียบคีบกุ้งตัวอวบอ้วนเข้าปากพร้อมตอบคำเสียงในหัว
"อ้าว
ลุงเฟยตื่นแล้วเหรอ? จริงสิ วันนี้เป็นเป็นวันเกิดฮ่องเต้ล่ะ
เขาจัดงานเลี้ยงในวังแต่พวกเราไม่ได้โดนเชิญด้วย ฉันเลยว่าออกมาเที่ยวข้างนอกดีกว่า
ดูสิลุงตลาดตรงนั้นขายของน่าสนใจด้วยล่ะ"ไม่ว่าเปล่ามือขาวทำเนียนชี้ตะเกียบไปยังร้านขายหน้ากากที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุม
"ไม่ต้องมาพูดเปลี่ยนเรื่อง!"เฟยจิ่งไม่อ่อนข้อให้
จิ้นเฟยกลอกตาเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนแผนโดยทำเสียงน่าสงสารอ้อนอีกฝ่าย
"โธ่ลุงเฟย
ฉันขอวันหนึ่งเถอนะน่า อุตส่าห์ทนอุดอู้ฝึกวิชาอยู่ตั้งสองปี
ขอฉันผ่อนคลายสักวันเถอะน่า นะ
พลีส!"น้ำเสียงอ้อนวอนที่โต้กลับมาหาได้ทำให้คนฟังใจอ่อน
เฟยจิ่งนึกเคืองกว่าเดิมเมื่อเห็นท่าทีที่ไม่สำนึกผิดของอีกคน
"ทั้งที่แอบหลบออกมาระหว่างที่ข้าบำเพ็ญอยู่ เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้อีกรึ?"คำต่อว่ากล่าวขานที่จิ้นเฟยเบ้ปากทำหูทวนลม
ไม่มีทีท่าสำนึกกับความผิดที่ตนทำแม้แต่น้อย
บ่ายวันนี้จิ้นเฟยที่มองเห็นโอกาสดีหลายๆอย่างได้อาศัยช่วงเวลาที่เฟยจิ่งกำลังบำเพ็ญจิตอันเป็นการทำสมาธิขั้นสูง
ซึ่งอีกฝ่ายจะเข้าสู่ภวังค์ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกแอบโดดการฝึกหนีออกมา
เพราะวิญญาณสาวคาดว่าหากพูดขอเฟยจิ่งตรงๆ คงไม่ได้ออกมาเที่ยวแบบนี้แน่ๆ
"น่าๆ
แค่นิดๆหน่อยๆเอง ก็ฉันเบื่อๆนี่ ออกมาเที่ยวแค่เดี๋ยวเดียวก็กลับแล้วน่า นะ?"
"เหอะ
หากไม่ใช่เพราะเจ้าเกียจคร้านเช่นนี้ล่ะก็..."ก่อนที่เฟยจิ่งจะบ่นอะไรเพิ่มเติมจิ้นเฟยก็รีบพูดแทรก
"น่าๆ ลุงเฟย
ฉันก็พยายามเต็มที่แล้วไง วิชาตัวเบาก็ใช้ได้พอสมควร
อีกอย่างที่มันไม่ค่อยคืบหน้าเพราะฉันต้องติวภาษาอังกฤษให้ลุงด้วยนี่นา"เนื้อความที่ไม่ต่างอะไรกับข้ออ้างพาให้เฟยจิ่งที่รับฟังคิ้วกระตุก
"เรื่องภาษาตะวันตกนั่นก็เรื่องหนึ่ง
แต่การที่เจ้าโดดการฝึกเพื่อมาเที่ยวเล่นเช่นนี้..."
"มาๆลุง ทานนี่ดีกว่า
เกี๊ยวซ่านี่อร่อยใช้ได้เลยนะ"จิ้นเฟยที่ไม่อยากโดนบ่นต่อรีบชี้ชวนหาของกินมาล่ออีกฝ่าย
ฉันก็แค่อยากลองมาเที่ยวแบบนี้สักครั้ง ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว...
เฟยจิ่งที่คิดจะพูดขัดว่าตนหาใช่คนที่ถูกหลอกล่อด้วยของกินได้ต้องระงับคำเมื่อรับรู้ถึงความคิดที่อีกคนเผลอส่งมาอย่างไม่ตั้งใจ
เขาได้แต่กล้ำกลืนก้อนความโกรธเคืองลงไป
ก่อนเป็นฝ่ายเข้าไปควบคุมร่างกายให้คีบเกี๊ยวซ่าไส้ผักที่ว่าเข้าปากด้วยความรวดเร็ว
แอบนึกบ่นงุบงิบในใจอย่างหมายมาดว่ากลับไปจะต้องฝึกเจ้าเด็กโง่ให้รู้จักปิดกั้นจิตใจให้ดีกว่านี้ให้จงได้
ระหว่างที่ทั้งสองวิญญาณทานอาหารอยู่นั้นก็ได้มีกลุ่มลูกค้าเข้ามาใหม่
คนกลุ่มนั้นนั่งถัดจากโต๊ะพวกเขาไปทางซ้ายมือ
เฟยจิ่งที่ควบคุมร่างอยู่เหลือบมองเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงพลังยุทธ์ที่กล้าแกร่ง
ซึ่งตอนเหลือบมองไม่คาดว่าจะบังเอิญสบตากับชายสวมหน้ากากที่คล้ายมองมาพอดี
เฟยจิ่งเพียงละสายตาออกอย่างเป็นธรรมชาติ เช่นเดียวกับฝ่ายนั้นที่ละความสนใจไป
"แต่จะว่าไปตลาดที่นี่ก็คึกคักดีนะลุง
ฉันนึกว่างานวันเกิดฮ่องเต้จะส่งผลกับแค่คนในวังซะอีก
ไม่คิดว่าคนในเมืองนี้จะจัดงานอย่างกับมีเทศกาลแบบนี้"จิ้นเฟยที่ไม่ได้รับรู้อะไรว่าอย่างสนใจ
สองตากวาดมองลงไปยังถนนเบื้องล่างซึ่งมีผู้คนเดินขวักไขว่อยู่หนาแน่น
"ฮึ เจ้าเด็กโง่
ไม่เห็นป้ายเหล่านั้นหรือ? เป็นเพราะช่วงนี้ใกล้สิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยวพอดีจึงทำให้ผู้คนต่างจัดงานฉลองกันเช่นนี้
หาได้มีความพิเศษอื่นใดไม่"คำอธิบายจากเฟยจิ่งทำให้จิ้นเฟยบางอ้อ
ก่อนจะว่าอย่างนึกขึ้นได้
"จริงสิ
เดือนหน้าก็จะถึงวันไหว้พระจันทร์แล้วนี่นะ ลุงอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม?"
"ไม่"คำตอบรับห้วนๆอย่างที่จิ้นเฟยยังคงไม่ยอมแพ้
"ไม่มีจริงอ่ะ? วันไหว้พระจันทร์ทั้งทีเราน่าจะหาอะไรดีๆใส่ตัวไว้สิ
เอ อย่างปีที่แล้วขนมไหว้พระจันทร์ไส้ลูกบัวกับไข่เค็มที่ฉันลองทำให้ชิมก็ไม่เลวใช่ไหมล่ะ?"
"...เช่นนั้นก็เอาขนมนั่นแล้วกัน"ท่าทางอ้อมแอ้มกับเสียงที่หรี่ลงแผ่วไม่เหมือนทุกทีเรียกให้จิ้นเฟยฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์
"ลุงเฟยล่ะก็
ถ้าชอบก็บอกมาตรงๆสิ
วันหลังฉันจะได้ทำให้กินอีกบ่อยๆ"ถ้อยคำกระเซ้าที่เฟยจิ่งตอบกลับเสียงแข็ง
"ข้าไม่ได้ชอบ"
"ฮั่นแน่
ไม่ต้องเขินน่าลุง ยอมรับมาตรงๆเถอะน่า"
"เจ้า!"
ขณะที่สองวิญญาณพูดหยอกล้อกันเสียงสนทนาของโต๊ะถัดไปก็ลอยมาเข้าหู
"...งานประมูลเริ่มคืนนี้สินะ
ข้าหวังว่าจะมีของน่าสนใจ"
เสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ดังขึ้นเบาๆ
แต่ด้วยการฝึกวิชายุทธ์ทำให้ร่างกายหูดีขึ้นจนแม้ยืนอยู่ห่างไกลหลายช่วงตึกก็ยังคงได้ยินเสียงเข็มตกได้
จิ้นเฟยที่ได้ยินคำว่างานประมูลก็พลันกระดิกหูฟังอย่างสนใจ
"ท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอนขอรับ"
น้ำเสียงอีกคนนั้นออกแนวเกรงอกเกรงใจผสานตื่นเต้นชวนให้รู้สึกถึงความต่างชั้นกับเสียงของคนก่อนหน้า
จิ้นเฟยที่เข้าควบคุมร่างใช้หางตาเหลือบมองไปทางต้นเสียง
เห็นสองร่างนั่งอยู่โดยหนึ่งร่างเป็นชายร่างท้วมซึ่งหันหลังให้
อีกหนึ่งคือร่างสูงในอาภรณ์สีม่วงแดงที่ดูหรูหราไม่น้อย
ซึ่งสิ่งที่สะดุดตาที่สุดคงไม่พ้นหน้ากากสีทองที่อีกฝ่ายสวม...
ไม่ทันได้ตั้งข้อสงสัยใดๆ จิ้นเฟยก็ต้องสะดุ้งเมื่อสายตาพลันสบเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยที่จ้องมองมา
จิ้นเฟยรีบถอนสายตาออกอย่างว่องไว
ก่อนทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เบนหน้ามาทางของกินพลางใช้ตะเกียบคีบบรรดาเกี๊ยวซ่า ขนมจีบ
เป็ดย่าง และอื่นๆเข้าปากไม่หยุด ในหัวร้องถามเฟยจิ่งเสียงอ่อย
"นี่ลุง เอ่อ
ผู้ชายโต๊ะข้างๆนั่นยังจ้องเราอยู่รึเปล่า?"
"ใช่"เฟยจิ่งตอบเสียงนิ่ง จิ้นเฟยที่ได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าไม่ถูก
ยกมือขึ้นเกาแก้มอย่างลำบากใจ
"เขาจ้องเราทำไมอ่ะ?"
"ข้าจะไปรู้เรอะ?"เฟยจิ่งตอบคำอย่างไม่สนใจ
ถือโอกาสเข้าใช้ร่างแทนแล้วคีบเปาะเปี๊ยะทอดรสอ่อนใส่ปาก
"โธ่
ลุงอ่ะ!"จิ้นเฟยนึกอยากโวย ก่อนจะถามอย่างไม่แน่ใจ
"เขาจับได้เหรอว่าพวกเราแอบฟัง?"
"เจ้าเป็นผู้เดียวที่ลอบฟัง
อย่าได้ลากข้าไปข้องเกี่ยว"เฟยจิ่งกล่าวอย่างเย็นชา
จิ้นเฟยที่ได้ยินอย่างนั้นก็โวยวาย
"พูดงั้นได้ไงลุงเฟยจิ่ง
พวกเราใช้ร่างร่วมกันก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมสิ
สมมติว่าฉันหรือลุงเผลอทำผู้หญิงคนหนึ่งท้อง ยังไงสุดท้ายพวกเราก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน
เพราะพวกเรามีร่างกายร่วมกัน!"คำพูดตะเบ็งเสียงคล้ายเด็กน้อยเอาแต่ใจทำให้เฟยจิ่งนึกอยากอุดหูนัก
"พอได้แล้ว!
เจ้าช่างพูดจาได้ไม่อายปาก
เรื่องเช่นนี้สตรีเช่นเจ้าอย่าได้พูดมันออกมาอีก"เฟยจิ่งว่าขานอย่างไม่พอใจนัก
ขณะที่จิ้นเฟยยังดื้อเถียงอย่างไม่ยอมแพ้
"ลุงลืมอะไรรึเปล่า? ร่างนี้เป็นชายนะ
อีกอย่างในยุคฉันขนบธรรมเนียมพวกนี้ถูกมองว่าโบราณไปแล้ว
ยุคของฉันถ้ามีคนมาตีกรอบแบ่งแยกว่าอันนี้ผู้หญิงทำได้อันนั้นผู้หญิงทำไม่ได้คงได้เจอม็อบประท้วงข้อหากีดกันเสรีภาพของสตรีไปแล้ว"
"ยุคของเจ้าช่างน่าปวดหัวนัก
หากสตรีไม่เรียบร้อยอ่อนหวานแล้วนับว่าเป็นสตรีได้หรือ?"คำถามของเฟยจิ่งเรียกรอยยิ้มจากจิ้นเฟย
"แล้วไงล่ะลุง? ผู้หญิงที่ดีต้องงอมืองอเท้ารอให้ผู้ชายมาชุบเลี้ยงอย่างเดียวรึไง?
จะบอกให้นะ ในยุคของฉันน่ะผู้ชายส่วนใหญ่เป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อทั้งนั้นแหละ"
"เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ?"เฟยจิ่งทวนคำอย่างนึกสงสัยเมื่อไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน
"อืม...
ความหมายของมันก็ประมาณว่าไม่เอาการเอางานน่ะ
ในยุคของฉันผู้ชายน่ะดีแต่แต่งตัวหล่อควงสาวขับรถเที่ยวเท่านั้นแหละ
วันๆก็เอาแต่ชี้นิ้วสั่งโบ้ยงานให้ผู้หญิงหมด
ไม่มีอะไรดีสักอย่าง"จิ้นเฟยที่อธิบายความหมายเสร็จถอนใจเล็กน้อย
ขณะที่เฟยจิ่งฟังแล้วรู้สึกเดือดจนเส้นเลือดปูด
"เพ้ย!
ไม่เอาการเอางานแล้วยังชี้นิ้วสั่งสตรี? คนเช่นนั้นนับเป็นบุรุษได้อย่างไร?
บุรุษพรรค์นั้นสมควรตอนตัวเองไปเป็นขันทีเสีย!"คำกล่าวอย่างเดือดดาลที่เริ่มแสดงออกทางสีหน้าทำให้จิ้นเฟยรีบเข้าคุมร่างแล้วว่าปลอบให้ใจเย็น
"เดี๋ยวก่อนสิลุง
คือ...จริงๆก็ใช่ว่าผู้ชายจะเป็นแบบนั้นกันหมดนะ
ที่ดีๆเอาการเอางานก็มีอยู่หรอก... มันไม่ถึงกับแย่ไปหมดทุกคนหรอกน่า"
คำปลอบนี้จิ้นเฟยต้องพยายามฝืนยิ้มอย่างอยู่รู้สึกเฝื่อนขมในใจ
เพราะมันแทบเป็นค่านิยมหลักของสังคมปัจจุบันที่ผู้หญิงทำงานหนักส่วนผู้ชายนอนอยู่บ้าน
แตกต่างกับยุคนี้และยุคของเฟยจิ่งที่ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้าส่วนผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง
เป็นการกลับด้านของสังคมที่ตลกดีแท้
เมื่อเข้มแข็งก็ต้องรับภาระหนัก เมื่ออ่อนแอก็จะถูกผูกมัดบีบบังคับให้อยู่ในกรอบ
แบบนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันผู้หญิงเราควรเป็นแบบไหนดี?
"เจ้าเหม่ออะไร? รีบๆกินให้เสร็จได้แล้ว"
"อ้อ
ได้"เสียงเฟยจิ่งดึงจิ้นเฟยให้กลับมายังสถานการณ์ปัจจุบัน
แต่หลังกวาดตามองอาหารบนโต๊ะดีๆจิ้นเฟยก็ต้องลอบขำในใจเมื่อบนโต๊ะเหลือกุ้งผัดพริกที่มีรสชาติสุดเผ็ดอยู่แค่อย่างเดียว
ส่วนอาหารอย่างอื่นที่สั่งมาได้มลายหายไปหมดเสียแล้ว
ก็นะ
อยู่ด้วยกันมาสองปีเต็มทำให้จิ้นเฟยรู้ดีถึงรสนิยมการกินของเฟยจิ่งที่ชอบอาหารรสอ่อนกับพวกของหวาน
คงเพราะคนยุคนี้มักทานอาหารที่รสชาติไม่จัดจ้านทำให้ทานของเผ็ดๆกันไม่ค่อยได้
พอคิดถึงตรงนี้จิ้นเฟยก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกฉงน
"จะว่าไปก็แปลกดีนะลุง
ทั้งที่ตอนฝึกวิชาลมปราณเราสามารถสัมผัสถึงพลังที่อยู่ในร่างร่วมกันได้แม้จะไม่ได้ควบคุมร่างกายอยู่
แต่พอเป็นประสาทสัมผัสที่เกิดขึ้นจากสิ่งเร้าภายนอกพวกเรากลับสามารถแยกกันรับรู้ได้
กลไกในการอยู่ร่วมกันในร่างนี้ของพวกเรานี่ทำงานกันยังไงนะ?"จิ้นเฟยมองมือที่ขยับตะเกียบอย่างสงสัยและไม่มีท่าจะกินต่อสักทีจนเฟยจิ่งต้องพูดตัดบท
"นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาสงสัยตอนนี้
รีบๆกินรีบๆเที่ยวเล่นให้เสร็จๆไปซะ จะได้รีบๆกลับไปฝึกวิชาต่อ"คำพูดที่คล้ายไม่มีอะไรแต่จิ้นเฟยที่ได้ยินต้องอุทาน
"เอ๋? นี่ลุงอนุญาตแล้วเหรอ?"
จิ้นเฟยที่คีบกุ้งผัดพริกค้างกะพริบตาอย่างแปลกใจและไม่เชื่อหู
ขณะที่คนโดนถามอย่างเฟยจิ่งหลีกเลี่ยงคำตอบโดยการพูดขู่เสียงเข้ม
"เจ้าจะกินให้หมดๆไปดีๆหรือจะให้ข้าจับยัดแทน?"คำกล่าวขู่ที่คล้ายแอบเอาจริงทำให้คนฟังทำปากบู้
"ถามแค่นี้ไม่ห็นต้องพูดจาโหดร้ายแบบนั้นเลย"จิ้นเฟยพูดบ่นงึมงำเสียงเบาขณะงับกุ้งตัวโตเข้าปากเคี้ยวจนสองแก้มบวมตุ่ย
ซึ่งแก้มพองๆนั้นได้บดบังรอยยิ้มเล็กๆที่ปรากฏขึ้นไว้โดยสิ้นเชิง
ความคิดเห็น