ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฟิงจิ้น จักรพรรดิสองวิญญา

    ลำดับตอนที่ #5 : บทสี่ หนีเที่ยว

    • อัปเดตล่าสุด 19 มี.ค. 64


     

       ยามเที่ยงวันที่อากาศร้อนระอุ ณ ท้ายวังหลวงอันเป็นจุดที่มีเวรยามเบาบางที่สุดได้มีเงาร่างหนึ่งวิ่งไต่กำแพงสูงด้วยความรวดเร็ว มือเรียวสองข้างคว้าขอบกำแพงเอาไว้ก่อนดันตัวขึ้นชะเง้อมองรอบข้าง ดวงตาสีดำเป็นประกายวาววับกลอกสำรวจความปลอดภัย ก่อนรีบหดศีรษะหลบเมื่อเห็นเงาร่างหนึ่งเลี้ยวผ่าน หูได้ยินเสียงฝีเท้าหนักคู่หนึ่งเดินย่ำผ่านไป หลังมั่นใจว่าบริเวณรอบข้างไม่มีใครอยู่แล้วร่างนั้นก็ดีดตัวขึ้นเหนือกำแพงด้วยฝีเท้าเงียบกริบ ก่อนหันไปพูดเสียงกึ่งกระซิบกับผู้ที่อยู่เบื้องหลัง

       "พี่ถังจู พี่เป้ยฉี ข้าไปก่อนนะ"

       เสียงทุ้มพร่าแตกเนื้อหนุ่มได้ดังขึ้นเหนือกำแพงวังหลวง ร่างโปร่งของเด็กหนุ่มผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมสีฟ้าอ่อนหันเสี้ยวหน้ามาส่งยิ้มสดใสให้กับหญิงสาวสองคนในชุดนางกำนัลซึ่งยืนส่งอยู่ด้านล่าง

       "น้อมส่งองค์ชายเก้าเพคะ"หญิงสาวที่มีบุคลิกนิ่งสงบเอ่ยเสียงเบาพร้อมโน้มศีรษะลง ขณะที่หญิงสาวอีกคนซึ่งตัวเล็กกว่าเพียงโบกมือส่งร่างโปร่งด้วยท่าทางร่าเริง

       "เดินทางดีๆนะเพคะองค์ชาย อย่าลืมซื้อขนมมาฝากหม่อมฉันด้วยนะเพคะ"

       "ถังจู!"เป้ยฉีร้องดุขึ้นมาเมื่อนางกำนัลรุ่นน้องเริ่มทำตัวลามปาม ฝ่ายที่โดนดุหดคอลงจนคนมองเหตุการณ์อยู่หลุดหัวเราะเบาๆ

       "ฮึๆ พี่เป้ยฉีไม่ต้องดุพี่ถังจูหรอก ข้าสัญญาว่าจะกลับมาก่อนค่ำ และจะซื้อขนมมาให้พวกพี่ด้วย งั้นข้าไปล่ะนะ"

       คำกล่าวลาสุดท้ายสิ้นสุดลงพร้อมร่างโปร่งที่กระโดดหายลับไปหลังกำแพง เป้ยฉีและถังจูสองนางกำนัลประจำตำหนักตวนหมิงมองส่งเจ้านายตัวน้อยของพวกนางที่วันนี้ได้แอบหนีออกไปเที่ยวนอกวังเป็นครั้งแรก อันที่จริงพวกนางก็ไม่ได้สนับสนุนนัก แต่ก็ไม่อาจกล่าวห้ามได้ ยิ่งวันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองครบรอบสี่สิบสี่ชันษาของฮ่องเต้ ซึ่งตั้งแต่ฮองเฮาองค์ก่อนได้ทรงจากไปองค์ชายน้อยของพวกนางก็เอาแต่เก็บตัวไม่ได้เข้าร่วมงานฉลองใดๆอีกเลย มาปีนี้ทรงออกปากขอออกไปเที่ยวเล่นนอกวังด้วยองค์เอง แล้วจะให้พวกนางทำใจแข็งห้ามลงได้อย่างไร?

       ถึงจะเป็นกังวลที่องค์ชายทรงออกจากวังไปเพียงลำพังโดยไร้องครักษ์ติดตาม แต่จะให้ทำเช่นไรเล่า? เรื่องนี้ต้องโทษที่ตำแหน่งขององค์ชายยามนี้เรียกได้ว่าต่ำที่สุดในวังหลวง

       หลังหมดเรื่องถังจูและเป้ยฉีก็ได้แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน พวกนางจัดการทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูตำหนักตวนหมิงอันเงียบเหงา จะว่าไปนี่ก็เป็นเวลาสองปีแล้วสินะ ที่เจ้านายตัวน้อยของพวกนางได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน เด็กน้อยผู้กราดเกรี้ยวได้กลายเป็นเด็กหนุ่มผู้งามสง่า ทุกๆ วันองค์ชายเก้าจะแวะเวียนไปยังหอตำราเพื่อยืมหนังสือตำรากลับมาอ่าน หากว่างก็ทรงนั่งคัดอักษรอย่างมิเกียจคร้าน ต่างกับยามก่อนครั้งยังเป็นรัชทายาทที่ทรงเอาแต่เที่ยวเล่นหาได้ใส่ใจตำราเรียนไม่ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่างน่าประหลาดใจและช่างน่าเศร้านัก สองนางกำนัลได้แต่นึกสงสัยว่าเหตุใดองค์ชายเฟิงจิ้นจึงมิได้เป็นเช่นนี้ตั้งแต่ต้น หากทรงปฏิบัติตัวดังเช่นที่เป็นอยู่นี้ตั้งแต่ในวันวานก็คงไม่ต้องตกตระกำลำบากแล้ว

       เป้ยฉีที่กำลังตากผ้าหรี่ตามองท้องฟ้าที่วันนี้แสงตะวันส่องแสงแรงจ้ากว่าทุกวันพลางนึกสงสัยว่าตอนนี้ท่านอ๋องน้อยของพวกนางกำลังทำสิ่งใดอยู่กันนะ? หากคาดไม่ผิดองค์ชายเฟิงจิ้นคงกำลังเที่ยวชมตลาดอย่างสนุกสนานอยู่เป็นแน่...

     

       ทางองค์ชายเก้าที่เพิ่งออกจากวังมาครั้งแรกบัดนี้อยู่ในคราบเด็กหนุ่มชาวบ้าน ซึ่งหลังจากเดินเที่ยวชมร้านรวงต่างๆสักพักเจ้าตัวก็ได้ซื้อพัดลายก้อนเมฆที่มีด้ามจับสีน้ำเงินเข้มจากในตลาดมาเล่มหนึ่ง ก่อนจะมาลงเอยที่เหลาอาหารซึ่งตั้งอยู่ใจกลางย่านตลาด

       จิ้นเฟยเลือกที่นั่งชั้นสองริมระเบียงเพื่อหวังชมวิวทิวทัศน์ สองตามองฟ้าที่เริ่มดับแสงและถูกแทนที่แสงเทียนจากโคมไฟพลางเผยยิ้มเล็กๆ ก่อนหันมาสนใจบรรดาอาหารที่ถูกสั่งมาตั้งเสียเต็มโต๊ะ มือเรียวขาววาดตะเกียบขยับหวังคีบกุ้งผัดพริกที่อยู่ทางซ้ายมือ

       "เจ้าเด็กขี้เกียจ! กล้าดีอย่างไรหนีการฝึกออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้?"น้ำเสียงดุดันที่ดังขึ้นในหัวกะทันหันทำให้มือที่จับตะเกียบชะงักเล็กน้อย ก่อนคนฟังจะขยับตะเกียบคีบกุ้งตัวอวบอ้วนเข้าปากพร้อมตอบคำเสียงในหัว

       "อ้าว ลุงเฟยตื่นแล้วเหรอ? จริงสิ วันนี้เป็นเป็นวันเกิดฮ่องเต้ล่ะ เขาจัดงานเลี้ยงในวังแต่พวกเราไม่ได้โดนเชิญด้วย ฉันเลยว่าออกมาเที่ยวข้างนอกดีกว่า ดูสิลุงตลาดตรงนั้นขายของน่าสนใจด้วยล่ะ"ไม่ว่าเปล่ามือขาวทำเนียนชี้ตะเกียบไปยังร้านขายหน้ากากที่ตั้งอยู่ตรงหัวมุม

       "ไม่ต้องมาพูดเปลี่ยนเรื่อง!"เฟยจิ่งไม่อ่อนข้อให้ จิ้นเฟยกลอกตาเล็กน้อยก่อนเปลี่ยนแผนโดยทำเสียงน่าสงสารอ้อนอีกฝ่าย

       "โธ่ลุงเฟย ฉันขอวันหนึ่งเถอนะน่า อุตส่าห์ทนอุดอู้ฝึกวิชาอยู่ตั้งสองปี ขอฉันผ่อนคลายสักวันเถอะน่า นะ พลีส!"น้ำเสียงอ้อนวอนที่โต้กลับมาหาได้ทำให้คนฟังใจอ่อน เฟยจิ่งนึกเคืองกว่าเดิมเมื่อเห็นท่าทีที่ไม่สำนึกผิดของอีกคน

       "ทั้งที่แอบหลบออกมาระหว่างที่ข้าบำเพ็ญอยู่ เจ้ายังกล้าพูดเช่นนี้อีกรึ?"คำต่อว่ากล่าวขานที่จิ้นเฟยเบ้ปากทำหูทวนลม ไม่มีทีท่าสำนึกกับความผิดที่ตนทำแม้แต่น้อย

       บ่ายวันนี้จิ้นเฟยที่มองเห็นโอกาสดีหลายๆอย่างได้อาศัยช่วงเวลาที่เฟยจิ่งกำลังบำเพ็ญจิตอันเป็นการทำสมาธิขั้นสูง ซึ่งอีกฝ่ายจะเข้าสู่ภวังค์ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกแอบโดดการฝึกหนีออกมา เพราะวิญญาณสาวคาดว่าหากพูดขอเฟยจิ่งตรงๆ คงไม่ได้ออกมาเที่ยวแบบนี้แน่ๆ

       "น่าๆ แค่นิดๆหน่อยๆเอง ก็ฉันเบื่อๆนี่ ออกมาเที่ยวแค่เดี๋ยวเดียวก็กลับแล้วน่า นะ?"

       "เหอะ หากไม่ใช่เพราะเจ้าเกียจคร้านเช่นนี้ล่ะก็..."ก่อนที่เฟยจิ่งจะบ่นอะไรเพิ่มเติมจิ้นเฟยก็รีบพูดแทรก

       "น่าๆ ลุงเฟย ฉันก็พยายามเต็มที่แล้วไง วิชาตัวเบาก็ใช้ได้พอสมควร อีกอย่างที่มันไม่ค่อยคืบหน้าเพราะฉันต้องติวภาษาอังกฤษให้ลุงด้วยนี่นา"เนื้อความที่ไม่ต่างอะไรกับข้ออ้างพาให้เฟยจิ่งที่รับฟังคิ้วกระตุก

       "เรื่องภาษาตะวันตกนั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่การที่เจ้าโดดการฝึกเพื่อมาเที่ยวเล่นเช่นนี้..."

       "มาๆลุง ทานนี่ดีกว่า เกี๊ยวซ่านี่อร่อยใช้ได้เลยนะ"จิ้นเฟยที่ไม่อยากโดนบ่นต่อรีบชี้ชวนหาของกินมาล่ออีกฝ่าย

       ฉันก็แค่อยากลองมาเที่ยวแบบนี้สักครั้ง ขอแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว...

       เฟยจิ่งที่คิดจะพูดขัดว่าตนหาใช่คนที่ถูกหลอกล่อด้วยของกินได้ต้องระงับคำเมื่อรับรู้ถึงความคิดที่อีกคนเผลอส่งมาอย่างไม่ตั้งใจ เขาได้แต่กล้ำกลืนก้อนความโกรธเคืองลงไป ก่อนเป็นฝ่ายเข้าไปควบคุมร่างกายให้คีบเกี๊ยวซ่าไส้ผักที่ว่าเข้าปากด้วยความรวดเร็ว แอบนึกบ่นงุบงิบในใจอย่างหมายมาดว่ากลับไปจะต้องฝึกเจ้าเด็กโง่ให้รู้จักปิดกั้นจิตใจให้ดีกว่านี้ให้จงได้

       ระหว่างที่ทั้งสองวิญญาณทานอาหารอยู่นั้นก็ได้มีกลุ่มลูกค้าเข้ามาใหม่ คนกลุ่มนั้นนั่งถัดจากโต๊ะพวกเขาไปทางซ้ายมือ เฟยจิ่งที่ควบคุมร่างอยู่เหลือบมองเล็กน้อยเมื่อสัมผัสถึงพลังยุทธ์ที่กล้าแกร่ง ซึ่งตอนเหลือบมองไม่คาดว่าจะบังเอิญสบตากับชายสวมหน้ากากที่คล้ายมองมาพอดี เฟยจิ่งเพียงละสายตาออกอย่างเป็นธรรมชาติ เช่นเดียวกับฝ่ายนั้นที่ละความสนใจไป

       "แต่จะว่าไปตลาดที่นี่ก็คึกคักดีนะลุง ฉันนึกว่างานวันเกิดฮ่องเต้จะส่งผลกับแค่คนในวังซะอีก ไม่คิดว่าคนในเมืองนี้จะจัดงานอย่างกับมีเทศกาลแบบนี้"จิ้นเฟยที่ไม่ได้รับรู้อะไรว่าอย่างสนใจ สองตากวาดมองลงไปยังถนนเบื้องล่างซึ่งมีผู้คนเดินขวักไขว่อยู่หนาแน่น

       "ฮึ เจ้าเด็กโง่ ไม่เห็นป้ายเหล่านั้นหรือ? เป็นเพราะช่วงนี้ใกล้สิ้นสุดฤดูกาลเก็บเกี่ยวพอดีจึงทำให้ผู้คนต่างจัดงานฉลองกันเช่นนี้ หาได้มีความพิเศษอื่นใดไม่"คำอธิบายจากเฟยจิ่งทำให้จิ้นเฟยบางอ้อ ก่อนจะว่าอย่างนึกขึ้นได้

       "จริงสิ เดือนหน้าก็จะถึงวันไหว้พระจันทร์แล้วนี่นะ ลุงอยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม?"

       "ไม่"คำตอบรับห้วนๆอย่างที่จิ้นเฟยยังคงไม่ยอมแพ้

       "ไม่มีจริงอ่ะ? วันไหว้พระจันทร์ทั้งทีเราน่าจะหาอะไรดีๆใส่ตัวไว้สิ เอ อย่างปีที่แล้วขนมไหว้พระจันทร์ไส้ลูกบัวกับไข่เค็มที่ฉันลองทำให้ชิมก็ไม่เลวใช่ไหมล่ะ?"

       "...เช่นนั้นก็เอาขนมนั่นแล้วกัน"ท่าทางอ้อมแอ้มกับเสียงที่หรี่ลงแผ่วไม่เหมือนทุกทีเรียกให้จิ้นเฟยฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์

       "ลุงเฟยล่ะก็ ถ้าชอบก็บอกมาตรงๆสิ วันหลังฉันจะได้ทำให้กินอีกบ่อยๆ"ถ้อยคำกระเซ้าที่เฟยจิ่งตอบกลับเสียงแข็ง

       "ข้าไม่ได้ชอบ"

       "ฮั่นแน่ ไม่ต้องเขินน่าลุง ยอมรับมาตรงๆเถอะน่า"

       "เจ้า!"

       ขณะที่สองวิญญาณพูดหยอกล้อกันเสียงสนทนาของโต๊ะถัดไปก็ลอยมาเข้าหู

       "...งานประมูลเริ่มคืนนี้สินะ ข้าหวังว่าจะมีของน่าสนใจ"

       เสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์ดังขึ้นเบาๆ แต่ด้วยการฝึกวิชายุทธ์ทำให้ร่างกายหูดีขึ้นจนแม้ยืนอยู่ห่างไกลหลายช่วงตึกก็ยังคงได้ยินเสียงเข็มตกได้ จิ้นเฟยที่ได้ยินคำว่างานประมูลก็พลันกระดิกหูฟังอย่างสนใจ

       "ท่านจะไม่ผิดหวังแน่นอนขอรับ"

       น้ำเสียงอีกคนนั้นออกแนวเกรงอกเกรงใจผสานตื่นเต้นชวนให้รู้สึกถึงความต่างชั้นกับเสียงของคนก่อนหน้า จิ้นเฟยที่เข้าควบคุมร่างใช้หางตาเหลือบมองไปทางต้นเสียง เห็นสองร่างนั่งอยู่โดยหนึ่งร่างเป็นชายร่างท้วมซึ่งหันหลังให้ อีกหนึ่งคือร่างสูงในอาภรณ์สีม่วงแดงที่ดูหรูหราไม่น้อย ซึ่งสิ่งที่สะดุดตาที่สุดคงไม่พ้นหน้ากากสีทองที่อีกฝ่ายสวม...

       ไม่ทันได้ตั้งข้อสงสัยใดๆ จิ้นเฟยก็ต้องสะดุ้งเมื่อสายตาพลันสบเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยที่จ้องมองมา จิ้นเฟยรีบถอนสายตาออกอย่างว่องไว ก่อนทำท่าไม่รู้ไม่ชี้เบนหน้ามาทางของกินพลางใช้ตะเกียบคีบบรรดาเกี๊ยวซ่า ขนมจีบ เป็ดย่าง และอื่นๆเข้าปากไม่หยุด ในหัวร้องถามเฟยจิ่งเสียงอ่อย

       "นี่ลุง เอ่อ ผู้ชายโต๊ะข้างๆนั่นยังจ้องเราอยู่รึเปล่า?"

       "ใช่"เฟยจิ่งตอบเสียงนิ่ง จิ้นเฟยที่ได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าไม่ถูก ยกมือขึ้นเกาแก้มอย่างลำบากใจ

       "เขาจ้องเราทำไมอ่ะ?"

       "ข้าจะไปรู้เรอะ?"เฟยจิ่งตอบคำอย่างไม่สนใจ ถือโอกาสเข้าใช้ร่างแทนแล้วคีบเปาะเปี๊ยะทอดรสอ่อนใส่ปาก

       "โธ่ ลุงอ่ะ!"จิ้นเฟยนึกอยากโวย ก่อนจะถามอย่างไม่แน่ใจ "เขาจับได้เหรอว่าพวกเราแอบฟัง?"

       "เจ้าเป็นผู้เดียวที่ลอบฟัง อย่าได้ลากข้าไปข้องเกี่ยว"เฟยจิ่งกล่าวอย่างเย็นชา จิ้นเฟยที่ได้ยินอย่างนั้นก็โวยวาย

       "พูดงั้นได้ไงลุงเฟยจิ่ง พวกเราใช้ร่างร่วมกันก็ถือว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมสิ สมมติว่าฉันหรือลุงเผลอทำผู้หญิงคนหนึ่งท้อง ยังไงสุดท้ายพวกเราก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพราะพวกเรามีร่างกายร่วมกัน!"คำพูดตะเบ็งเสียงคล้ายเด็กน้อยเอาแต่ใจทำให้เฟยจิ่งนึกอยากอุดหูนัก

       "พอได้แล้ว! เจ้าช่างพูดจาได้ไม่อายปาก เรื่องเช่นนี้สตรีเช่นเจ้าอย่าได้พูดมันออกมาอีก"เฟยจิ่งว่าขานอย่างไม่พอใจนัก ขณะที่จิ้นเฟยยังดื้อเถียงอย่างไม่ยอมแพ้

       "ลุงลืมอะไรรึเปล่า? ร่างนี้เป็นชายนะ อีกอย่างในยุคฉันขนบธรรมเนียมพวกนี้ถูกมองว่าโบราณไปแล้ว ยุคของฉันถ้ามีคนมาตีกรอบแบ่งแยกว่าอันนี้ผู้หญิงทำได้อันนั้นผู้หญิงทำไม่ได้คงได้เจอม็อบประท้วงข้อหากีดกันเสรีภาพของสตรีไปแล้ว"

       "ยุคของเจ้าช่างน่าปวดหัวนัก หากสตรีไม่เรียบร้อยอ่อนหวานแล้วนับว่าเป็นสตรีได้หรือ?"คำถามของเฟยจิ่งเรียกรอยยิ้มจากจิ้นเฟย

       "แล้วไงล่ะลุง? ผู้หญิงที่ดีต้องงอมืองอเท้ารอให้ผู้ชายมาชุบเลี้ยงอย่างเดียวรึไง? จะบอกให้นะ ในยุคของฉันน่ะผู้ชายส่วนใหญ่เป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อทั้งนั้นแหละ"

       "เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ?"เฟยจิ่งทวนคำอย่างนึกสงสัยเมื่อไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน

       "อืม... ความหมายของมันก็ประมาณว่าไม่เอาการเอางานน่ะ ในยุคของฉันผู้ชายน่ะดีแต่แต่งตัวหล่อควงสาวขับรถเที่ยวเท่านั้นแหละ วันๆก็เอาแต่ชี้นิ้วสั่งโบ้ยงานให้ผู้หญิงหมด ไม่มีอะไรดีสักอย่าง"จิ้นเฟยที่อธิบายความหมายเสร็จถอนใจเล็กน้อย ขณะที่เฟยจิ่งฟังแล้วรู้สึกเดือดจนเส้นเลือดปูด

       "เพ้ย! ไม่เอาการเอางานแล้วยังชี้นิ้วสั่งสตรี? คนเช่นนั้นนับเป็นบุรุษได้อย่างไร? บุรุษพรรค์นั้นสมควรตอนตัวเองไปเป็นขันทีเสีย!"คำกล่าวอย่างเดือดดาลที่เริ่มแสดงออกทางสีหน้าทำให้จิ้นเฟยรีบเข้าคุมร่างแล้วว่าปลอบให้ใจเย็น

       "เดี๋ยวก่อนสิลุง คือ...จริงๆก็ใช่ว่าผู้ชายจะเป็นแบบนั้นกันหมดนะ ที่ดีๆเอาการเอางานก็มีอยู่หรอก... มันไม่ถึงกับแย่ไปหมดทุกคนหรอกน่า"

       คำปลอบนี้จิ้นเฟยต้องพยายามฝืนยิ้มอย่างอยู่รู้สึกเฝื่อนขมในใจ เพราะมันแทบเป็นค่านิยมหลักของสังคมปัจจุบันที่ผู้หญิงทำงานหนักส่วนผู้ชายนอนอยู่บ้าน แตกต่างกับยุคนี้และยุคของเฟยจิ่งที่ผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้าส่วนผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง เป็นการกลับด้านของสังคมที่ตลกดีแท้

       เมื่อเข้มแข็งก็ต้องรับภาระหนัก เมื่ออ่อนแอก็จะถูกผูกมัดบีบบังคับให้อยู่ในกรอบ แบบนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันผู้หญิงเราควรเป็นแบบไหนดี?

       "เจ้าเหม่ออะไร? รีบๆกินให้เสร็จได้แล้ว"

       "อ้อ ได้"เสียงเฟยจิ่งดึงจิ้นเฟยให้กลับมายังสถานการณ์ปัจจุบัน แต่หลังกวาดตามองอาหารบนโต๊ะดีๆจิ้นเฟยก็ต้องลอบขำในใจเมื่อบนโต๊ะเหลือกุ้งผัดพริกที่มีรสชาติสุดเผ็ดอยู่แค่อย่างเดียว ส่วนอาหารอย่างอื่นที่สั่งมาได้มลายหายไปหมดเสียแล้ว

       ก็นะ อยู่ด้วยกันมาสองปีเต็มทำให้จิ้นเฟยรู้ดีถึงรสนิยมการกินของเฟยจิ่งที่ชอบอาหารรสอ่อนกับพวกของหวาน คงเพราะคนยุคนี้มักทานอาหารที่รสชาติไม่จัดจ้านทำให้ทานของเผ็ดๆกันไม่ค่อยได้ พอคิดถึงตรงนี้จิ้นเฟยก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างนึกฉงน

       "จะว่าไปก็แปลกดีนะลุง ทั้งที่ตอนฝึกวิชาลมปราณเราสามารถสัมผัสถึงพลังที่อยู่ในร่างร่วมกันได้แม้จะไม่ได้ควบคุมร่างกายอยู่ แต่พอเป็นประสาทสัมผัสที่เกิดขึ้นจากสิ่งเร้าภายนอกพวกเรากลับสามารถแยกกันรับรู้ได้ กลไกในการอยู่ร่วมกันในร่างนี้ของพวกเรานี่ทำงานกันยังไงนะ?"จิ้นเฟยมองมือที่ขยับตะเกียบอย่างสงสัยและไม่มีท่าจะกินต่อสักทีจนเฟยจิ่งต้องพูดตัดบท

       "นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาสงสัยตอนนี้ รีบๆกินรีบๆเที่ยวเล่นให้เสร็จๆไปซะ จะได้รีบๆกลับไปฝึกวิชาต่อ"คำพูดที่คล้ายไม่มีอะไรแต่จิ้นเฟยที่ได้ยินต้องอุทาน

       "เอ๋? นี่ลุงอนุญาตแล้วเหรอ?"

       จิ้นเฟยที่คีบกุ้งผัดพริกค้างกะพริบตาอย่างแปลกใจและไม่เชื่อหู ขณะที่คนโดนถามอย่างเฟยจิ่งหลีกเลี่ยงคำตอบโดยการพูดขู่เสียงเข้ม

       "เจ้าจะกินให้หมดๆไปดีๆหรือจะให้ข้าจับยัดแทน?"คำกล่าวขู่ที่คล้ายแอบเอาจริงทำให้คนฟังทำปากบู้

       "ถามแค่นี้ไม่ห็นต้องพูดจาโหดร้ายแบบนั้นเลย"จิ้นเฟยพูดบ่นงึมงำเสียงเบาขณะงับกุ้งตัวโตเข้าปากเคี้ยวจนสองแก้มบวมตุ่ย ซึ่งแก้มพองๆนั้นได้บดบังรอยยิ้มเล็กๆที่ปรากฏขึ้นไว้โดยสิ้นเชิง

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×