ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คนสมควรตาย รีบกลับเข้าร่างเดี๋ยวนี้! BL

    ลำดับตอนที่ #4 : องก์สอง

    • อัปเดตล่าสุด 17 มิ.ย. 64


       คำว่า เพราะเหตุใดนี้ แม้แต่ตัวจ้าวหลางอวี้เองก็ยังตอบไม่ได้

       แต่เดิมแล้วตัวเขาใช้แซ่กู้ ทว่าหลังมารดาเสียชีวิต บิดาที่เดิมทีไม่ได้ไยดีเขานักก็พลันยกย่องอนุคนโปรดและบุตรของอนุผู้นั้นขึ้นแทนที่ตำแหน่งภรรยาเอกและผู้สืบทอดตระกูล ด้วยนิสัยไม่ยอมคนของจ้าวหลางอวี้ หลังอายุครบสิบสี่หนาวเขาก็เปลี่ยนไปใช้แซ่ของมารดาและออกจากบ้านที่ไม่มีไออุ่นนั่น ก่อนตรงไปสมัครเข้ากองทหารเพื่อรับใช้บ้านเมือง

       ตัวเขาใช้เวลาร่วมสี่ปีในการไต่เต้าทำผลงาน ซึ่งครั้งแรกที่จ้าวหลางอวี้ได้ยินชื่อมัจจุราชแดนเหนือก็หลังจากเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นทหารม้า เวลานั้นพวกเขากำลังทำศึกอยู่แถวชายแดนแคว้นที่บังเอิญอยู่ติดกับอาณาเขตพรรคต้าไห่พอดี ในคืนที่อากาศค่อนข้างหนาวเหน็บ ขณะนั่งล้อมวงหน้ากองไฟ เขาก็ได้ยินพวกทหารเก่าที่กำลังเฝ้ายามคนอื่นๆ เล่าถึงวีรกรรมอันโฉดชั่วของชายที่ชื่อไห่เป่ยผิง

       ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เริ่มฆ่าคนตั้งแต่อายุเพียงสิบหนาว เรื่องที่ลงมือสังหารบิดามารดาเพื่อขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขพรรคตอนสิบห้าหนาว หรือเรื่องที่เปิดฉากสังหารพวกผู้อาวุโสและกวาดล้างลูกพรรคไปครึ่งร้อย แล้วยังมีเรื่องฉุดคร่าผู้คนอีก...

       “มารร้าย! เจ้านั่นมันมารร้าย!

       “สังหารกระทั่งบุพการีของตนเอง ช่างชั่วช้าไม่มีใครเกิน!

       “ญาติห่างๆของข้าทำงานอยู่ที่โรงเตี๊ยมแถวนั้น เขาถึงกับได้เห็นฉากที่มารร้ายนั่นตัดหัวผู้อาวุโสสามของพรรคมากับตาตัวเอง!

       “ได้ยินว่าปีศาจนั่นฝึกวิชามารที่ต้องใช้พลังหยางของบุรุษ หลายปีมานี้จึงมีบุรุษรูปงามไม่น้อยที่ถูกมันลักพาตัวไป!

       หลังได้ยินคำร่ำลือมากมายนี้ ในใจจ้าวหลางอวี้ ภาพลักษณ์ของชายที่ชื่อไห่เป่ยผิงจึงกลายเป็นบุคคลผู้โฉดชั่วไร้คุณธรรม เป็นมารร้ายรกแผ่นดินที่สมควรถูกกำจัดทิ้ง

       สามปีต่อมา ตัวเขาที่ได้เลื่อนขั้นขึ้นดำรงตำแหน่งรองแม่ทัพเกิดเสียท่าศัตรู แม้จะหลุดจากวงล้อมสังหารของทหารศัตรูมาได้ แต่ก็ถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสจนต้องหลบหนีไปซ่อนตัวในป่าที่อยู่ใกล้เคียง

       ยามนั้นเขาทั้งอ่อนเพลียและอ่อนล้า พิษบาดแผลทำให้ประสาทสัมผัสทั้งหมดด้านชา สมองมึนงง ลำคอแห้งผากอย่างกระหายหนัก จ้าวหลางอวี้รู้ว่าหากปล่อยไปเช่นนี้ตนต้องตายแน่ จึงได้ตามเสียงน้ำไหลจนไปพบร่างของชายคนหนึ่งนั่งตกปลาอยู่ริมแม่น้ำ

       ชายผู้นั้นสวมชุดคลุมสีดำสนิทซึ่งมองแล้วไม่คล้ายเครื่องแบบทหารศัตรู ทั้งยังปล่อยผมสยายรุ่ยร่ายประหนึ่งอยู่ในบ้านตนเองอย่างไรอย่างนั้น ที่ข้างตัวนอกจากคันเบ็ดที่ทำจากกิ่งไม้สีเข้มก็มองไม่เห็นอาวุธใด แม้จะค่อนข้างแน่ใจว่าชายหนุ่มไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฝ่ายศัตรู แต่ด้วยรูปร่างสูงใหญ่ที่ดูองอาจไม่ธรรมดาก็ทำให้จ้าวหลางอวี้ไม่กล้าประมาทอีกฝ่าย

       เพราะไม่คาดว่าจะเจอคน เขาจึงไม่ได้ลดเสียงฝีเท้าลง ทางชายคนนั้นเมื่อรับรู้ถึงการมาของตัวเขาก็เบนหน้ามามอง ซึ่งซีกหน้าหล่อเหลาโดดเด่นที่หันมาหาส่งผลให้นัยน์ตาของจ้าวหลางอวี้กระตุกเล็กน้อย แต่แม้อีกฝ่ายจะเห็นเขาแล้วก็ไม่ได้มีทีท่าระวังตัวอะไร กลับหันไปผิวปากแล้วตกปลาต่อด้วยท่าทางสบายอารมณ์ ขณะที่จ้าวหลางอวี้เฝ้าระวังอยู่นั้น คนก็พลันโยนปลาแม่น้ำตัวโตที่เพิ่งตกได้มาให้โดยไม่มองพลางพูดบอกง่ายๆ

       “เอาไปย่างกินเองแล้วกัน”

       จ้าวหลางอวี้ยังคงนึกระแวง แต่เพราะไม่มีทางเลือกมากนักเขาจึงก่อกองไฟแล้วย่างปลาอย่างเชี่ยวชาญ นึกไม่ถึงว่าระหว่างที่ย่างอยู่นั้นชายชุดดำจะโยนปลามาให้อีกสามตัว

       “ฝากย่างด้วย” พูดจบคนก็ลุกเดินหายเข้าไปในป่า จ้าวหลางอวี้มุ่นคิ้วอย่างไม่ใคร่ชอบใจกับการโดนคนแปลกหน้าชี้นิ้วสั่ง หากแต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายแบ่งปลามาให้เขาจึงจัดแจงย่างปลาทั้งสามตัวนั้น

       ขณะที่รอปลาสุก จ้าวหลางอวี้ก็เดินไปวักน้ำในแม่น้ำขึ้นดื่มแก้กระหาย เขาล้างหน้าล้างตาก่อนจะถอดเกราะและคลายเสื้อตัวนอกออกเพื่อจัดการกับบาดแผล แต่แล้วคิ้วกระบี่ก็ต้องขมวดฉับเมื่อช่วงไหล่ซ้ายที่โดนฟันยังคงมีเลือดไหลไม่หยุด ครั้นเห็นว่าบาดแผลดูจะลึกกว่าที่คาดชายหนุ่มก็ฉีกชายเสื้อตัวในออกมา โดยหวังจะเอามามัดแผล แต่ก่อนจะได้ทำเช่นนั้นก็มีของบางอย่างพุ่งเข้าใส่ศีรษะจากทางด้านหลัง

       หมับ!

       จ้าวหลางอวี้ขมวดคิ้วขณะที่มือกำของที่ถูกปามาหาแน่น ก่อนสายตาจะจับจ้องไปยังชายหนุ่มชุดดำคนเมื่อครู่ที่ไม่รู้ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่อย่างระแวดระวัง ทว่า อีกฝ่ายเพียงหอบพวงผลไม้เดินไปนั่งข้างกองไฟเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

       หลังแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดเล่นตุกติกอะไร จ้าวหลางอวี้ก็ค่อยๆ คลายมือออกจากกัน ก่อนเขาจะเห็นว่าของที่ถูกโยนมาเมื่อครู่คือตลับยาอันหนึ่งที่มีกลิ่นสมุนไพรสดใหม่โชยออกมา

       นี่มัน...?

       จ้าวหลางอวี้กดคิ้วลงข้างหนึ่ง แต่ไม่เอ่ยคำพูดใด เช่นเดียวกับอีกคนที่ทำเพียงพลิกปลาดูว่าสุกรึยัง ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบที่มีเพียงเสียงกองไฟแล่นเปรี๊ยะ จ้าวหลางอวี้ได้เปิดตลับยาขึ้นทาเงียบๆ หลังแต่งตัวเสร็จเขาก็มานั่งกินปลาร่วมกับอีกคน

       “งั่มๆ น่าจะเอาเกลือมาด้วยน้า”

       เสียงพึมพำอู้อี้ของคนที่นั่งแทะปลาอยู่ตรงข้ามดังมาเข้าหูส่งผลให้จ้าวหลางอวี้ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเขาจะล้วงเอาขวดแก้วสีขุ่นออกมาโยนส่งให้โดยไม่มองหน้า ซึ่งภายในขวดแก้วนั้นย่อมเป็นเกลือที่อีกฝ่ายเรียกร้องอยู่

       “โอ้ ขอบใจ”

       จ้าวหลางอวี้ฟังคำขอบคุณโดยไม่โต้ตอบอะไร จากนั้นเมื่อกินกันเสร็จต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายไปตามเส้นทางของตนเอง

       และนั่นคือการพบกันครั้งแรกระหว่างเขากับชายที่ชื่อไห่เป่ยผิง

      

       ครั้งที่สองที่ได้พบกันคืออีกสี่เดือนต่อมา

       ยามนั้นเขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพกองหนุน หลังสงครามจบเขากับทหารใต้บังคบบัญชามีหน้าที่เก็บกวาดสนามรบและดูแลผู้บาดเจ็บ ซึ่งเป็นเพราะสมุนไพรไม่พอ เขาและทหารอีกสองสามคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่จึงได้เข้าไปในป่าเพื่อเก็บสมุนไพรกลับมา

       จ้าวหลางอวี้เดินลึกเข้าไปด้านในป่า ขณะที่เขาเก็บสมุนไพรห้ามเลือดที่ขึ้นอยู่ทั่วบริเวณก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ย่ำหนักอย่างจงใจ พอหันไปมองตามเสียงก็เห็นชายชุดดำคนเดิมกับเมื่อสี่เดือนก่อน ซึ่งบนหลังอีกฝ่ายมีตะกร้าสมุนไพรใบใหญ่อยู่

       จ้าวหลางอวี้สบตากับอีกคนที่ใบหน้าไม่มีร่องรอยเหนื่อยล้า ลมหายใจไม่สับสน กระทั่งหยาดเหงื่อก็ยังไม่มีให้เห็นแม้เพียงหยดครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บสมุนไพรต่อ แต่อึดใจต่อมาอีกคนกลับส่งเสียงขึ้น

       “ยาห้ามเลือด”พูดจบถุงหนังก็ถูกโยนส่งมาให้ จ้าวหลางอวี้รับมาแล้วเปิดดูข้างในถุง ซึ่งในนั้นมีตลับยาจำนวนมากใส่เอาไว้

       จ้าวหลางอวี้มองคนที่หลังโยนของเสร็จก็หันไปเก็บสมุนไพรต่อ...

       ไม่ถูกสิ

       จ้าวหลางอวี้ขมวดคิ้วเมื่อครั้งนี้เขาเห็นแล้วว่าของที่อยู่ในตะกร้าด้านหลังหาใช่สมุนไพรอย่างที่คาดไว้ตอนแรก ในนั้นกลับเต็มไปด้วยดอกไม้หกกลีบสีขาวบริสุทธิ์ แม้เขาจะไม่รู้ว่านั่นคือดอกไม้พันธุ์อะไร แต่ก็แน่ใจว่าหาใช่ดอกไม้งามหายาก ด้วยความสงสัยเขาจึงหลุดปากถามออกไป

       “จะเก็บดอกไม้นั่นไปเพื่ออะไร?”

       คนโดนถามชะงักกายไป ก่อนหันมาตอบด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน

       “ข้าจะเก็บไปให้ภรรยา”

       อาจด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลกว่าทุกครั้ง หรือรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น ทำให้ใบหน้าโดดเด่นที่เดิมมีกลิ่นอายชั่วร้ายดูน่ามองกว่าทุกที

       “ข้าช่วย”จ้าวหลางอวี้ตัดสินใจเอ่ยปาก แต่คนฟังกลับส่ายหน้าน้อยๆ แล้วเอ่ยทั้งที่ยังมีรอยยิ้มริมฝีปาก

       ของที่จะมอบให้ภรรยา ข้าควรหาด้วยตัวเอง”

       คำตอบที่ได้รับทำให้จ้าวหลางอวี้นิ่งไป หลังหยุดมองแผ่นหลังกว้างอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ล้วงขวดเกลือออกมาวางตั้งไว้ ก่อนพูดทิ้งท้ายสั้นๆ

       “ไว้ครั้งหน้าจะตอบแทน”

       ทั้งที่เขาเป็นฝ่ายคิดตอบแทน แต่เมื่อจ้าวหลางอวี้กลับถึงค่ายจึงเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีของบางอย่างถูกไว้ใส่ในอกเสื้อ ซึ่งเมื่อนำออกมาดูกลับพบว่าเป็นตำราเพลงหอกที่ร้ายกาจเล่มหนึ่ง ส่วนผู้ที่จะนำของสิ่งนี้มายัดใส่อกเสื้อโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวย่อมมีเพียงชายชุดดำลึกลับผู้นั้น

       แม้จ้าวหลางอวี้จะไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายมอบตำราเพลงหอกมาให้ แต่เขาก็หมั่นฝึกฝนวิชายุทธ์นั้นด้วยความสำนึกบุญคุณ

      

       ครั้งที่สามที่ได้พบกันคือสองปีต่อมา

       จ้าวหลางอวี้ที่ได้เลื่อนตำแหน่งอีกครั้งหลังทำผลงานก็เปลี่ยนมาแต่งกายด้วยสีแดงสดอันเป็นสีประจำกายแม่ทัพใหญ่ จ้าวหลางอวี้รู้ดีว่าหากไม่ได้ตำราเพลงหอกเล่มนั้น เขาคงไม่สามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้เร็วขนาดนี้

       เมื่อนึกถึงชายชุดดำเจ้าของตำราเพลงหอกผู้นั้นจ้าวหลางอวี้ก็รู้สึกจนใจ เพราะว่าเขาไม่รู้จักกระทั่งชื่อแซ่หรือเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับชายหนุ่มแม้แต่น้อย ดังนั้นมันจึงเป็นการยากที่ตอบแทนอีกฝ่าย เขาได้แต่รอให้โชคชะตาชักพาพวกเขาสองคนให้มาเจอกันอีกครั้ง

       ทว่า จ้าวหลางอวี้ไม่มีวันนึกถึงว่าการเผชิญหน้ากันครั้งที่สาม...จะเป็นการพบพานที่เลวร้ายที่สุด

       ในวันนั้นอากาศร้อนชื้น ทำให้ตัวเขารู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านใจ แม้แต่ เฮยหลง ม้าศึกคู่ใจของเขาก็ยังย่ำเท้าไปมาอย่างกระสับกระส่าย เขาได้รับคำสั่งให้มาจัดการคนร้ายที่บุกเข้าจวนขุนนางตระกูลหม่า แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุกลับพบเจอเพียงเลือดเจ่อนองพื้นและซากศพ

       ชายหนุ่มใช้สายตาตรวจสอบศพ ซึ่งทุกศพที่นอนล้มอยู่ล้วนแต่มีบาดแผลโดนกระบี่แทงทะลุอกซ้ายแบบเดียวกัน จ้าวหลางอวี้จึงอนุมานได้ว่ามีคนลงมือเพียงคนเดียว และคนผู้นั้นจะต้องมีฝีมือร้ายกาจเป็นอย่างมาก ขณะที่เขาส่งสัญญาณให้ทหารคนอื่นๆ เตรียมตัวบุก ก็ได้ยินบทสนทนาดังมาจากด้านใน

       “ดิ้นรนไปก็เปล่าประโยชน์”น้ำเสียงทุ้มลึกที่เจือแววขบขันของชายหนุ่มดังมาจากด้านใน จ้าวหลางอวี้ขมวดคิ้วเมื่อเขารู้สึกคล้ายว่าเคยได้ยินเสียงเช่นนี้จากที่ไหนมาก่อน

       “ก็น่าจะรู้ดีถึงผลลัพธ์ของการยื่นจมูกมาแส่เรื่องของผู้อื่น วางใจเถอะ ไม่ว่าจะเป็นภรรยา อนุ หรือบุตรชายบุตรสาวของเจ้า ข้าจะช่วยส่งไปอยู่เป็นเพื่อนเอง”ถ้อยคำสุดโหดเหี้ยมนี้ ผู้พูดกลับกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเจือแววปลอบประโลม จนฟังคล้ายคำพูดของเพื่อนบ้านที่รับปากคำฝากฝังสุดท้าย

       “อย่า! อย่าทำอะไรครอบครัวข้าเลย ขะ ข้าผิดไปแล้ว!”เสียงชายวัยกลางคนร้องอ้อนวอนเสียงสะอึกสะอื้นชวนให้เห็นใจ แต่อีกฝั่งกลับทำเสียงรำคาญ

       “ไม่เอาน่า ช่วงนี้ข้าใจดีหรอกนะถึงได้ลงมือจัดการแบบรวบรัด อย่าให้ข้าเสียเวลามากไปกว่านี้เลย ไปดีเถอะ”

       “มะ ไม่!

       จ้าวหลางอวี้รีบบุกเข้าไปด้านใน แต่ภาพที่เขาได้เห็นมีเพียงภาพถอนกระบี่ออกจากอกซ้ายและร่างเจ้าของจวนที่ล้มลง พริบตาที่ร่างอ้วนฉุในชุดขุนนางร่วงลงไปกอง จ้าวหลางอวี้ก็พลันเห็นหน้าคนลงมือ ซึ่งนั่นทำให้เขาต้องเบิกตากว้างอย่างตะลึงงัน เพราะคนที่ยืนสะบัดเลือดออกจากกระบี่ด้วยใบหน้าเรียบเฉยก็คือชายชุดดำเมื่อสองปีก่อน สีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายไม่ได้เย็นชาหรือโหดเหี้ยมดุร้ายอย่างคนเป็นนักฆ่า มีเพียงความเฉยชาที่เจือด้วยความรู้สึกเกียจคร้าน ประหนึ่งสิ่งที่ทำอยู่เป็นเรื่องน่าเบื่อและธรรมดาเสียยิ่งกว่าการกินข้าว

       ทันทีที่อีกฝ่ายเลื่อนนัยน์ตาสีดำมาสบ จ้าวหลางอวี้ถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะ

       “โอ้ เจ้านั่นเอง”ชายชุดดำผู้นั้นส่งเสียงอุทานอย่างแปลกใจ แต่หลังกวาดมองชุดที่เขาสวมใส่รอบหนึ่งก็พยักหน้า “เห็นแก่เจ้า ข้าจะรามือแค่นี้แล้วกัน”

       จบคำคนก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จ้าวหลางอวี้กุมหอกที่เป็นอาวุธคู่ใจแน่น เขาพลันนึกเย็นสันหลังวาบ รู้ดีแก่ใจว่าหากอีกฝ่ายไม่ถอนตัวไปเอง ตัวเขาและทหารคนอื่นๆ คงมีจุดจบไม่แตกต่างจากคนในจวนนี้เป็นแน่

       หลังจากนั้นเขาถึงสืบรู้ว่าอีกฝ่ายคือไห่เป่ยผิง ชายผู้ถูกรียกขานว่ามัจจุราชแดนเหนือผู้นั้น จ้าวหลางอวี้ลอบนึกขัดแย้ง เพราะคำร่ำลือกับตัวจริงคล้ายจะแตกต่างกันอยู่บ้าง อย่างน้อยๆทั้งสามครั้งที่ได้พบกัน อีกฝ่ายก็ไม่ได้ลงมือกับเขาแม้แต่ครั้งเดียว

       เนื่องจากช่วยเหลือคนอื่นๆ ในจวนและขับไล่มารร้ายผู้โฉดชั่วไปได้ เขาจึงได้รับพระราชทานจวนและที่ดินมา ถึงแม้จ้าวหลางอวี้จะคิดว่าตนเองไม่สมควรได้รับรางวัลนี้ แต่เขาก็ไร้หนทางปฏิเสธ ยามนี้จึงได้ย้ายมายังจวนใหญ่โดยมีข้ารับใช้พรั่งพร้อม

       หลังจากย้ายมายังจวนใหม่ จ้าวหลางอวี้ก็มุ่งตรงไปยังลานฝึกซ้อม เขาฝึกฝนเพลงหอกซ้ำไปซ้ำมาไม่จบสิ้นด้วยหวังว่าจะแข็งแกร่งขึ้นแม้เพียงอีกสักนิด ยิ่งนึกหวนถึงเรื่องวันก่อนหอกในมือก็ยิ่งแหลมคม นัยน์ตาเข้มส่องประกาย ในใจมุ่งมาดว่าจะไม่มีวันยอมแพ้แก่ผู้ใด ต่อให้คู่ต่อสู้เป็นถึงมารร้ายก็ตาม

       “หืม ฝีมือใช้ได้นี่ ฝึกวิชาหอกสีชาดได้ถึงขั้นนี้ภายในสองปี นับว่ามีพรสวรรค์”

       เสียงวิจารณ์ชมเชยที่ดังมาจากข้างลานทำให้จ้าวหลางอวี้ชะงักเกร็งแล้วหันขวับไปทางต้นเสียง ซึ่งต้นเสียงก็คือชายชุดดำคนเดิม โดยยามนี้อีกฝ่ายกำลังไขว่ห้างอยู่ในอากาศด้วยทวงท่าสง่างามจนดูคล้ายเทพเซียน ทว่าคนมองรู้ดีว่าอีกฝ่ายหาใช่เทพเซียนจากไหน หากแต่เป็น...มารร้าย

       “...ไห่เป่ยผิง”เขาพึมพำชื่ออีกฝ่ายแผ่วเบา ฝ่ายเจ้าของชื่อเลิกคิ้วเล็กๆ

       “ดูท่าข้าคงไม่ต้องแนะนำตัวแล้ว แต่เอาเถอะ”พูดถึงตรงนี้คนก็ดีดตัวลงมายืนหยุดอยู่ตรงหน้า ชายหนุ่มคลี่ยิ้มพลางกล่าว “ข้า ไห่เป่ยผิง ปีนี้อายุยี่สิบเก้าหนาว บิดามารดาล้วนแต่สิ้นไปแล้ว ข้าพอมีทรัพย์สินเงินทองและข้ารับใช้อยู่บ้าง ส่วนด้านภรรยา ตอนนี้มีอยู่ด้วยกันหกคน...”

       ภรรยาหกคน? จ้าวหลางอวี้ทวนข่าวสารใหม่อย่างฉงน จะว่าไปแล้วเขาไม่เคยได้ยินข่าวเรื่องรักๆใคร่ๆของมัจจุราชแดนเหนือเท่าไหร่ มากสุดก็มีเพียงเรื่องชุดคร่าบุรุษกลับไปฝึกวิชา...

       เดี๋ยวก่อน ฉุดคร่าบุรุษ?!

       ยังไม่ทันให้ความคิดแล่นดี เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นอีกครั้ง

       “เรื่องความสามารถ ข้าไม่ค่อยโดดเด่นด้านใดเป็นพิเศษ แต่ก็เชี่ยวชาญการใช้กระบี่กับพิษพอสมควร... อ้อ! ข้าตกปลาเก่งนะ อืม... ข้าแนะนำตัวจบแล้ว เอาล่ะ! จ้าวหลางอวี้ เพราะเจ้ารำหอกได้สวยดี สวมชุดสีแดงได้เหมาะมาก ใบหน้าเองก็...งามมาก ดังนั้นมาเป็นเจ้าสาวข้าเถอะ!

       คำพูดที่ตบท้ายด้วยรอยยิ้มที่ดูสบายๆ แต่จ้าวหลางอวี้กลับนิ่งงันไป ก่อนความรู้สึกจะเปลี่ยนเป็นเดือดพล่าน

       งาม? กล้าบอกว่าข้า...หน้าตางดงาม?

       หนึ่งในคำพูดต้องห้ามสำหรับจ้าวหลางอวี้ผู้มีหน้าตาคล้ายมารดาถึงเจ็ดส่วนก็คือคำว่า งดงาม

       “เจ้าสาว? อยากให้ข้าแต่งให้เจ้า? ฝันไปเถอะ! ไห่เป่ยผิง ข้าขอสู้ตายกับเจ้า!”พูดจบร่างเพรียวก็พุ่งแทงหอกใส่ร่างอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ขณะที่ฝ่ายโดนรุกใส่ก็เบี่ยงตัวหลบอย่างง่ายดาย

       “หืม ใจร้อนซะจริง”ไห่เป่ยผิงหัวเราะเบาๆ จากนั้นไม่ถึงสิบกระบวนท่า ฝ่ายจ้าวหลางอวี้ก็พ่ายแพ้ หลังจากถูกซัดกระเด็นจนล้มลงไปกอง หอกยังถูกแรงพัดจนพุ่งไปปักเข้ากับเสาด้านหลัง เมื่อเห็นเช่นนี้เขาก็เงยหน้าสบตากับคนชุดดำพลางกัดฟันพด

       “จะลงมือก็รีบลงมือ!

       “เจ้าอายุยังน้อย ไยต้องรีบร้อน”ไห่เป่ยผิงหัวเราะเสียงแผ่ว กว่าจ้าวหลางอวี้จะรู้ตัวอีกทีก็ถูกดึงขึ้นไปแนบอกอีกฝ่าย

       จ้าวหลางอวี้ตะลึง ก่อนใบหน้าจะแดงฉานพลางสบถด่าเสียงดังลั่น

       “เจ้าตัวบัดซบ! เจ้าคิดจะทำอะไร?!

       “พาเจ้าสาวไปเข้าพิธี เอาล่ะ ไปกันเถอะ”พูดจบคนก็ลงมือสกัดจุดก่อนจับเขาอุ้มด้วยท่าอุ้มสตรี จ้าวหลางอวี้ที่ยามนี้ขยับร่างกายไม่ได้หน้าเขียวคล้ำ นัยน์ตาแดงก่ำราวกับอสูรร้าย

       “เจ้าลูกเต่า! ใครรับปากแต่งให้เจ้า! ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้!

       “ผู้แพ้เป็นทาส ผู้ชนะครอบครองทุกสิ่ง ยามนี้ชีวิตของเจ้าเป็นของข้าแล้ว”คนพูดกล่าวด้วยน้ำเสียงไร้ความละอายจนคนฟังต้องร้องเสียงดังอย่างขัดใจ

       “เจ้า!

       “หึๆ อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ เอาอย่างนี้ ไว้เจ้าฆ่าข้าได้เมื่อไหร่ ข้าจะให้เจ้าเป็นอิสระแล้วกัน”ชายหนุ่มกล่าวเสียงกลั้วหัวเราะขณะดีดตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งฝั่งจ้าวหลางอวี้ที่ได้ฟังคำก็นัยน์ตาวาวขึ้นอย่างหมายมาด

       ขอแค่ฆ่าทิ้งได้...


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×