ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เฟิงจิ้น จักรพรรดิสองวิญญา

    ลำดับตอนที่ #4 : บทสาม ฝึกวิชา

    • อัปเดตล่าสุด 3 มี.ค. 64



       ช่วงเวลาหนึ่งอาทิตย์ของวิญญาณทั้งสองได้หมดลงไปกับการอ่านหนังสือในหอตำราและการศึกษาศาสตร์สมุนไพรที่ค่อนข้างเป็นไปได้ด้วยดี และเมื่อครบกำหนดร่างกายหายดีเฟยจิ่งจึงได้ทวงสัญญา ซึ่งจิ้นเฟยก็ปล่อยให้วิญญาณอีกดวงเข้าครองร่างตามสัญญาแล้วสลับตัวมาเฝ้ามองการฝึกวิชาจากภายในแทนอย่างว่าง่าย 

       วันนี้ทั้งวันเฟยจิ่งและจิ้นเฟยได้เก็บตัวอยู่ในตำหนักไม่ออกไปไหน หลังมื้อเช้าก็ได้พูดกำชับสองนางกำนัลว่าอย่าให้ใครมารบกวน เรื่องอาหารเมื่อถึงเวลาก็ให้ตั้งวางไว้หน้าประตู อย่าได้แอบดูหรือเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างเด็ดขาด

       พูดถึงเรื่องฝึกแล้ว การฝึกของเฟยจิ่งช่างน่าสนใจ อีกฝ่ายเริ่มฝึกโดยการนั่งสมาธิเดินลมปราณเพื่อเพิ่มความแข็งแรงภายในร่างกาย ซึ่งจิ้นเฟยที่คิดจะทบทวนความรู้ในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาฆ่าเวลาระหว่างรอในทีแรกก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อสัมผัสถึงก้อนพลังที่ไหลเวียนในร่าง

       ก้อนพลังอุ่นร้อนค่อยๆแล่นไปเรื่อยๆอย่างเชื่องช้าแต่ไหลลื่นไม่ติดขัด จิ้นเฟยที่แม้จะปล่อยกายให้วิญญาณอีกดวงควบคุมแต่ก็ยังรับรู้ความรู้สึกร่วมที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้เฝ้ามองการฝึกอย่างไม่รบกวน จนกระทั่งก้อนพลังอุ่นๆนั้นย้อนกลับมาบรรจบที่ท้องน้อยอีกครั้ง ขณะที่เฟยจิ่งกำลังระบายลมหายใจออกอย่างช้าๆจิ้นเฟยก็ได้เอ่ยปากขึ้น

       "ลุงเฟยจิ่ง ฉันอยากเดินลมปราณเป็นบ้าง ลุงช่วยสอนให้หน่อยสิ"คำขอที่เฟยจิ่งซึ่งกำลังใช้ร่างอยู่เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะเอ่ยเตือนเสียงเรียบ

       "การเดินลมปราณใช่ว่าทำได้ง่ายดาย หากเจ้าไม่แน่วแน่และอดทนพออาจถึงขั้นธาตุไฟแตกได้ เจ้าเองมิมีความจำเป็นต้องฝืนฝึกฝน เมื่ออย่างไรร่างนี้ก็ยังมีข้าคอยประคอง"

       "แต่ฉันอยากลองฝึกดูนี่นาลุง นะๆ ให้ฉันลองดูแค่นิดหน่อยก็ได้ ถ้าฉันคิดว่าไม่ไหวจริงๆคราวหลังจะไม่เซ้าซี้เรื่องนี้กับลุงอีก นะๆ นะลุงเฟย"

       หากเป็นเมื่อยามแรกรู้จักเฟยจิ่งคงกล่าวตัดบทอย่างไร้เยื่อใยไปแล้ว แต่เวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ได้ร่วมพูดคุยสนทนาก็ได้สร้างความสนิทสนมขึ้นเล็กน้อยจึงได้ยอมโอนอ่อนตามคำขอนั้น แต่มิวายกล่าวเตือนกำชับเสียงหนัก

       "เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า แต่หากไม่ไหวก็จงอย่าฝืน อีกอย่างเจ้าต้องทำตามที่ข้าบอกทุกขั้นตอนอย่าได้พลาด เข้าใจหรือไม่?"

       "รับทราบขอรับ เฟยเอ๋อร์ผู้นี้จะทำตามที่ลุงเฟยบอกทุกอย่างเลย"จิ้นเฟยตอบรับเสียงเริงร่า ก่อนจะนิ่งฟังและปฏิบัติตามเสียงในหัวอย่างเคร่งครัด

       หลังฝึกเดินลมปราณจนครบรอบซึ่งใช้เวลาถึงสองชั่วยามเต็ม ต่างกับเฟยจิ่งที่ใช้เวลาเดินลมปราณหนึ่งรอบเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น จิ้นเฟยที่มีเหงื่อท่วมใบหน้าหลังละสมาธิออกก็ล้มตัวลงนอนแผ่หลาพลางว่าขึ้นด้วยเสียงอ่อนล้า

       "ไม่ไหวแล้ว... กว่าจะทำเสร็จรอบนึง...เหนื่อยเป็นบ้า งานนี้คงไม่ไหวจริงๆด้วย"

       ถ้อยคำยอมแพ้ที่เฟยจิ่งฟังแล้วต้องถอนใจอย่างนึกระอาปนเสียดาย จากที่เห็นจิ้นเฟยนับว่ามีพรสวรรค์ด้านนี้อยู่บ้าง คนส่วนใหญ่มักใช้เวลามากกว่าเจ็ดวันในการจับจุดพลังในครั้งแรก และใช้เวลาเป็นวันหรือมากกว่ากว่านั้นในการเดินโคจรลมปราณให้ครบรอบ แต่จิ้นเฟยกลับสามารถจับจุดพลังได้ตั้งแต่ครั้งแรกและใช้เวลาในการโคจรลมปราณเร็วกว่าคนทั่วไปอยู่เล็กน้อย นอกจากนี้อีกฝ่ายยังเป็นคนหัวไวเรียนรู้ได้เร็ว เพียงบอกข้อผิดพลาดก็สามารถแก้ไขได้หมดจด เสียแต่เจ้าตัวดูจะขาดความกระตือรือร้นไป

       แม้นึกเสียดาย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่อยากฝึกแล้วเขาจะฝืนบังคับไปเพื่อสิ่งใด?

       "เช่นนั้นภายหน้าก็อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก เจ้าก็หลบไปได้แล้วข้าจะฝึกต่อ"

       จิ้นเฟยที่ได้ยินเฟยจิ่งกล่าวไล่ก็เบ้ปากเล็กน้อย แต่ก็ยอมปล่อยให้วิญญาณอีกดวงเข้าคุมร่างแทนแต่โดยดี ขณะที่เฟยจิ่งเริ่มเดินโคจรลมปราณอีกครั้งจิ้นเฟยที่ไม่มีอะไรทำก็พูดบ่นอย่างเบื่อๆ

       "เฮ้อ เสียดายชะมัด จริงๆฉันก็อยากฝึกต่อนะ แต่พอทำดูเองแล้วมันร้อนเกินไป ฉันอยากได้แบบเย็นๆมากกว่า"คำพูดบ่นลอยๆ ที่ไม่น่าสนใจแต่เฟยจิ่งกลับหยุดเดินลมปราณแล้วถามด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด

       "เจ้าว่าอยากเรียนลมปราณสายเย็นงั้นรึ?"

       "เอ๋ มีลมปราณเย็นด้วยเหรอลุง?"จิ้นเฟยถามอย่างงุนงงเมื่อไม่เคยรู้มาก่อน

       "ย่อมต้องมี ดูเหมือนเจ้าจะไม่รู้จักลมปราณเลยล่ะสิ"คำถามที่หากจิ้นเฟยมีร่างกายคงพยักหน้าตอบไวๆเพราะโลกที่จิ้นเฟยเติบโตมาคือโลกแห่งเทคโนโลยีซึ่งแตกต่างกับโลกใบนี้โดยสิ้นเชิง เฟยจิ่งที่รับรู้ถึงความรู้สึกที่ส่งมาก็กล่าวต่อ 

       "ลมปราณมีหลายสายนัก แต่หากให้จำแนกโดยคร่าวก็จะแบ่งได้เป็นสายร้อนและสายเย็น วิถีโคจรที่ข้าให้เจ้าเดินเมื่อครู่ก็ถือเป็นลมปราณร้อนสายหนึ่ง ซึ่งหากให้เปรียบเทียบแล้ว ลมปราณร้อนก็เปรียบเสมือนไฟและดิน พลุ่งพล่านและหนักแน่น กล่าวคือมันจะให้พลังแก่เจ้าและปกป้องเจ้า ไฟที่เปรียบกับความร้อนจะทำให้ร่างกายเจ้าอบอุ่นและมีกำลังวังชา ขณะที่ดินจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายเจ้า"

       "เห ลมปราณนี่สารพัดประโยชน์จังแฮะ แล้วลมปราณสายเย็นล่ะ?"จิ้นเฟยถามต่ออย่างสนอกสนใจ ขณะที่เฟยจิ่งทอดถอนใจกับนิสัยชอบทำเป็นเล่นไปซะทุกเรื่องของอีกคน

       "ลมปราณเย็นจะต่างกับลมปราณร้อน เป็นสายขั้วตรงข้ามโดยสิ้นเชิง คุณสมบัติของมันคือโอนอ่อนและพลิ้วไหว หากลมปราณสายร้อนคือไฟและดิน ลมปราณสายเย็นก็เปรียบดังน้ำและลม แต่ลมปราณสายเย็นมักเหมาะกับสตรีมากกว่าบุรุษ เนื่องจากร่างกายสตรีสามารถดูดซับความเย็นรองรับธาตุหยินได้ง่ายกว่า ขณะที่ร่างบุรุษประกอบด้วยธาตุหยางจึงเหมาะกับลมปราณสายร้อน"

       "เห ฟังดูแล้วลมปราณสายเย็นน่าจะเหมาะกับฉันมากกว่านะ?"จิ้นเฟยว่าอย่างตื่นเต้น ขณะที่เฟยจิ่งเพียงกล่าวดับความหวังด้วยน้ำเสียงเฉยเมย

       "นั่นก็อาจจะจริง เพียงแต่เจ้าสมควรรู้ว่าร่างกายนี้ไม่อาจรองรับลมปราณถึงสองสายได้ ไม่นับรวมที่ร่างกายนี้เป็นบุรุษซึ่งเหมาะกับลมปราณสายร้อนอย่างที่ข้าบอกไปแต่แรก แต่ในหนึ่งร่างจักสามารถรองรับลมปราณได้เพียงสายเดียวเท่านั้น เพราะหากฝืนฝึกลมปราณทั้งสายร้อนและเย็นจะทำให้เกิดการตีรวนของลมปราณจนธาตุไฟเข้าแทรก"

       "ฉันสงสัยมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะ ธาตุไฟแตก ธาตุไฟเข้าแทรกมันคืออะไรเหรอ?"คำถามของจิ้นเฟยเรียกเสียงพ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายจากเฟยจิ่งที่ไม่คิดว่าต้องมาพร่ำสอนสิ่งอันเป็นพื้นฐานของชาวยุทธ์ให้เด็กน้อยผู้หนึ่งฟัง ทั้งยังเป็นเด็กที่ขี้สงสัยไม่น้อยเสียด้วย

       "ตั้งใจฟังให้ดี ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น"น้ำเสียงเคร่งจริงจังดึงจิ้นเฟยให้รีบตั้งสมาธิตั้งใจฟัง 

       "โดยปกติแล้วมนุษย์เราจะมีทางเดินลมปราณของตนเองซึ่งจะแตกต่างไปตามแต่ละบุคคล การเดินลมปราณนั้นไม่ใช่ว่าเจ้าจะสักแต่ว่าเดินไปอย่างมั่วๆ เจ้าต้องกำหนดเส้นทางในการเดินลมปราณอย่างเป็นระเบียบและชัดเจนเพื่อให้ง่ายต่อการการควบคุม"เสียงว่าถึงตรงนี้ก็เว้นช่วงเล็กน้อยเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ฟังสามารถตามเนื้อหาทัน 

       "อาการธาตุไฟเข้าแทรกที่เจ้าถามถึงเกิดจากการควบคุมลมปราณผิดพลาด หากคุมลมปราณผิดพลาดแล้วจะทำให้ลมปราณตีย้อนกลับเข้าแทรกในช่องทางเดินลมปราณเดิม หรือหากให้พูดให้เข้าใจง่ายๆ มันคือการทวนกระแสทางเดินลมปราณ ซึ่งหากเจ้าสามารถควบคุมกลับสภาพเดิมได้ทันก็ไม่เป็นไร แต่หากควบคุมให้กลับสภาพเดิมไม่ทัน ผลที่จะได้รับคือธาตุไฟแตก อาการธาตุไฟแตกนั้นจะขึ้นอยู่กับระดับขั้นของลมปราณ ยิ่งฝึกลมปราณขั้นสูงเท่าใดเมื่อธาตุไฟเข้าแทรกการควบคุมให้กลับสภาพเดิมก็จะยากขึ้นและโอกาสที่จะตายก็จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งกรณีธาตุไฟแตกนั้นหากแม้ไม่ตกตายก็ต้องพิการไปตลอดชีวิต"

       คำอธิบายอย่างเรียบเฉยที่ทำให้คนฟังเกิดนึกเสียวสันหลังในใจ ลอบเหงื่อแตกพลั่กเมื่อคิดไม่ถึงว่าการฝึกลมปราณจะเป็นเรื่องอันตรายขนาดนี้ เฟยจิ่งที่สัมผัสได้ถึงความคิดของจิ้นเฟยจึงกล่าวเรียบๆ

       "ข้าถึงบอกเจ้าว่าหากคิดว่าไม่ไหวก็จงอยู่เฉยเสีย เรื่องอื่นข้าจัดการเอง"

       จิ้นเฟยได้แต่รับคำหงอยๆ ก่อนจะถามขึ้นอย่างไม่หายคาใจ

       "แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมถึงฝึกลมปราณสองสายพร้อมกันไม่ได้?"

       "เจ้ายังไม่เข้าใจงั้นรึ? เช่นนั้นลองนึกตามคำข้า หากลมปราณสายร้อนคือไฟ ลมปราณสายเย็นคือน้ำ เมื่อเจ้าฝึกทั้งสองสายก็หมายความว่าร่างกายเจ้ากักเก็บพลังทั้งสองเอาไว้ เช่นนั้นข้าถามเจ้า เจ้าจะกักเก็บลมปราณทั้งสองไว้ที่ใด"

       "เอ แถวๆใต้สะดือ?"จิ้นเฟยลองเดา เพราะตอนโคจรลมปราณเฟยจิ่งบอกให้เริ่มเดินจากจุดนั้นและสิ้นสุดที่จุดนั้นเช่นกัน

       เฟยจิ่งที่เห็นจิ้นเฟยหัวไวก็ลอบพึงพอใจ

       "ถูกแล้ว นั่นเรียกว่าจุดตันเถียน จุดตันเถียนคือที่กักเก็บพลัง แต่จุดตันเถียนนั้นมิได้มีเพียงจุดเดียว แต่มีถึงสามจุดด้วยกัน จุดตันเถียนบนอยู่กึ่งกลางหน้าผาก จุดตันเถียนกลางอยู่ตรงกับหัวใจ และจุดตันเถียนล่างคือจุดใต้สะดือ ผู้คนนิยมกักเก็บพลังไว้จุดตันเถียนล่างเพราะง่ายต่อการควบคุม เช่นนั้นข้าขอถาม เจ้าคิดว่าเมื่อกักเก็บพลังไฟและพลังน้ำไว้จุดเดียวกันจะเกิดสิ่งใดขึ้น?"

       "เกิดอะไร? ไม่รู้สิ"จิ้นเฟยที่ไม่คุ้นเคยกับเรื่องลมปราณได้แต่ส่ายหัว เฟยจิ่งถอนใจก่อนอธิบาย

       "ลมปราณสองสายเมื่อปะทะกันจะเกิดเพียงสองกรณี หนึ่งคือฝ่ายแข็งแกร่งกลืนกินฝ่ายที่อ่อนด้อย มิไฟกลืนกินน้ำก็จักเป็นน้ำกลืนกินไฟ อีกหนึ่งคือพลังทั้งสองสายจักเกิดการหักล้างกัน ซึ่งมิว่าจะเกิดกรณีใดก็ล้วนล้มเหลวทั้งสิ้น"

       "เอ่อ สรุปคือลุงหมายถึงถ้าเอาลมปราณสายร้อนกับสายเย็นมารวมกันที่จุดตันเถียนอันเดียวกันจะล้มเหลวสินะ?"จิ้นเฟยที่สรุปตามความเข้าใจตัวเองว่า เฟยจิ่งรับคำสั้นยืนยัน จิ้นเฟยทำหน้าคิดต่อ

       "ถ้าอย่างนั้นแค่เราเก็บพลังลมปราณทั้งสองสายไว้คนละที่ก็พอไม่ใช่เหรอ?"

       "เจ้าว่าอะไรนะ?"เฟยจิ่งถามอย่างไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน

       "ก็นั่นไง ลุงบอกว่าร่างกายเรามีจุดตันเถียนสามแห่ง ใช้บ่อยสุดคือจุดตันเถียนล่างซึ่งก็คือใต้สะดือนี่ ถ้าเราใช้จุดนี้ในการกักเก็บลมปราณร้อนแล้วลองเก็บลมปราณเย็นไว้ที่จุดตันเถียนบนหรือจุดตันเถียนกลางดูล่ะ?"

       "สิ่งที่เจ้ากล่าวใช่ว่าไม่มีผู้อื่นเคยคิด หากแต่การกระทำจริงหาได้ง่ายดายนัก"เฟยจิ่งว่าเสียงแข็งไม่โอนอ่อน จิ้นเฟยทำแก้มป่องก่อนจะดีดนิ้วเมื่อคิดขึ้นได้

       "ลุงเฟย ลุงบอกว่าลมปราณปะทะกันเลยเกิดการหักล้างสินะ? แล้วถ้าเราประสานลมปราณให้เป็นหนึ่งล่ะ?"

       "เรื่องนั้นจะเป็นไปได้ยังไง"เฟยจิ่งที่ฟังคำพูดจิ้นเฟยเริ่มคิดว่าอีกฝ่ายพูดจาไร้แก่นสาร ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินคำกล่าวต่อมา

       "ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ในเมื่อต้นกำเนิดของลมปราณล้วนมาจากธรรมชาติ ซึ่งประกอบด้วยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในตัวคนเราเองก็ประกอบไปด้วยธาตุทั้งสี่นี้ สิ่งมีชีวิตอื่นๆก็เช่นกัน แค่เรามองหากลไกที่ใช้ในการควบคุมธาตุเหล่านั้นให้สมดุลเจอ บางทีเราอาจสร้างลมปราณชนิดใหม่ที่เป็นทั้งสายร้อนและสายเย็นได้ก็ได้!"จิ้นเฟยอธิบายความคิดตนเองด้วยเสียงตื่นเต้น

       "นั่น...มันเป็นไปไม่ได้"เฟยจิ่งพึมพำขณะคิดตามคำพูดนั้น 

       ประสานลมปราณรึ? หากสามารถค้นพบวิธีการควบคุมธาตุทั้งสี่ให้สมดุลได้จริง... บางทีพวกเขาอาจจะสามารถใช้ลมปราณร้อนเย็นพร้อมกันได้? และหากเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าพวกเขาทั้งสองจะเป็นเพียงผู้เดียวในใต้หล้าที่มีลมปราณถึงสองสายอยู่ในร่าง!

       "นี่ ลุงเฟยจิ่ง ลุงไม่อยากลองดูเหรอ? ถ้าเราสามารถฝึกลมปราณขั้วตรงข้ามได้ มันไม่สุดยอดไปเลยเหรอ?"จิ้นเฟยที่รับรู้ถึงความหวั่นไหวของเฟยจิ่งพูดยุต่ออย่างคาดหวัง

       "เจ้า..."เฟยจิ่งที่โดนคำพูดหลอกล่อถึงกับพูดไม่ออกไปครู่หนึ่งก่อนจะรู้สึกตัว เขากระแอมเบาๆ สองทีก่อนกล่าวเตือนเสียงเข้ม

       "ข้าขอเตือนเจ้าก่อนถึงเหตุผลอีกอย่างที่ผู้คนไม่ใช้จุดตันเถียนบนกับจุดตันเถียนกลางในการกักเก็บพลัง เป็นเพราะจุดตันเถียนทั้งสองจุดนั้นอยู่ในบริเวณสำคัญอย่างหัวใจและสมอง บริเวณนั้นจึงอ่อนไหวนัก หากเจ้าควบคุมพลาดจนทำให้เสียสมดุลไปแม้เพียงน้อยนิดก็อาจส่งผลถึงขั้นสิ้นชีพได้"คำเตือนนี้ฟังคล้ายคำขู่เสียมากกว่า จิ้นเฟยที่ฟังคำเผยยิ้มขำ

       "ชีวิตคนเราหากไม่เสี่ยงก็ไม่มีวันได้มา All or Nothing ไม่ต้องห่วงน่าลุงเฟย ถึงฉันจะพลาดก็ยังมีลุงอยู่นี่ จริงไหม?"คำพูดกึ่งหยอกแนบพร้อมรอยยิ้มเหยียดกว้างทำให้เฟยจิ่งได้แต่ถอนใจ ซึ่งชั่วพริบตาหนึ่งมุมปากที่ตึงเรียบได้ยกขึ้นเล็กน้อยก่อนจางหายไปในอึดใจ

       นับจากวันนั้นเป็นเวลาครึ่งปี วิญญาณทั้งสองก็ได้ค้นพบแนวทางในสร้างลมปราณสายใหม่ เนื่องด้วยจิ้นเฟยนั้นมาจากอนาคตอันไกลโพ้นจึงมีความคิดเปิดกว้างไม่ยึดติดกับแนวคิดเก่าๆ ขณะเดียวกันเฟยจิ่งก็เป็นถึงอดีตเจ้ายุทธภพผู้มีวรยุทธอันเก่งกาจ ดังนั้นการร่วมมือสรรค์สร้างวิถีลมปราณแบบใหม่ครั้งนี้จึงไม่ใช่เรื่องเกินกำลัง

       ผู้ใดเล่าจะรู้ว่า ณ ตำหนักตวนหมิงท้ายวังที่ไร้ผู้คนเหลือบแลจะก่อกำเนิดสุดยอดลมปราณชนิดใหม่ขึ้นมา ลมปราณเย็นร้อนสุดพิสดารที่ยากจะมีผู้ใดเลียนแบบได้

       ...ลมปราณแห่ง'หยินหยาง'อันแท้จริง...


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×